คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #128 : -- ๑๓ – ความจริงของผู้ให้กำเนิด - “เรื่องที่พ่อเคยสอนผม...ก็แค่โกหกงั้นเหรอฮะ!”
๑๓ – ความจริงของผู้ให้กำเนิด
นิกซ์ผุดลุกจากเก้าอี้ทันที
ทว่าพ่อยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ที่นั่งอยู่คือพ่อ พ่อซึ่งมองมาทางเขา สายตายังคงเคร่งขรึมจริงจัง แต่ไม่ได้มีประสงค์ร้าย
“อ...อนธการเทพ” เด็กชายรวบรวมความกล้า ละสายตาจากชายที่ดูเหมือนพ่อแต่มีเสียงของสิ่งอื่น กวาดมองทางเดินสีขาวซึ่งบัดนี้ว่างเปล่า ไม่เห็นเงาของแม่กับนิกซ์วัยเด็กอยู่หน้าชั้นวางเด็กทารกดองอีก
“เรียก ‘พ่อ’ แทนเถอะ นิกซ์” ชายบนม้านั่งพูด นัยน์ตาเหมือนมีรอยเศร้าพาดผ่าน...ทว่าเด็กชายไม่แน่ใจอีกแล้ว “ถึงอย่างไร พ่อก็เป็นพ่อของลูก ลูกมีพ่อเพียงคนเดียว...หรือตนเดียวเท่านั้น”
นิกซ์สั่นศีรษะ ก้าวถอยไปจนหลังปะทะกำแพงสีขาวด้านหลัง
“มานั่งข้างพ่อสิ” อีกฝ่ายตบม้านั่งว่างเปล่าข้างตัว “พ่อจะเล่านิทานให้ฟัง ไม่อยากฟังนิทานของพ่ออีกแล้วหรือ”
เด็กชายยังคงสั่นศีรษะ เบียดชิดผนังเข้าไปอีก ราวกับหวังว่าจะแทรกกายหลบหนีออกไปได้
ทว่าชายตรงหน้าไม่สนใจ และเอ่ยต่อไป เรียบเรื่อย...ราวกับเล่านิทานให้เด็กน้อยสักคนฟังจริงๆ
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ‘ความมืด’ ถือกำเนิดขึ้นมาเพียงลำพัง...ในความว่างเปล่า
“ความมืดเหงานัก จึงได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เพื่อฆ่าเวลา...ทั้งผืนดิน...และผืนน้ำ ทว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนนิ่งงัน มิอาจตอบสนองต่อความมืดได้ ความมืดจึงได้สร้างอีกชีวิตหนึ่งขึ้นในกายของตน หล่อหลอมมันจนเติบใหญ่...เพียงเพื่อให้มันฉีกกระชากตนเองออกจากความมืด
“สิ่งนั้นคือ ‘แสงสว่าง’
“แสงสว่างถือกำเนิดขึ้นจากอุทรของความมืด แต่ก็ไม่อยากอยู่ร่วมกับความมืด แสงสว่างแยกตัวออกไปเป็นกลางวัน ทิ้งความมืดให้ไล่ตามเป็นกลางคืน แสงสว่างก่อร่างเป็นดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาว จากนั้นก็สร้างชีวิต ทั้งพืชพรรณ สัตว์ และมนุษย์ บนผืนดินผืนน้ำที่ความมืดได้สร้างไว้ก่อน
แสงสว่างมอบไฟให้มนุษย์ เสี้ยมสอนมนุษย์ให้ชิงชังและทำลายความมืด ทั้งที่ในกายมนุษย์เองก็เก็บกักความมืด ซึมซับความมืดเข้าไปจากผืนดินผืนน้ำที่หล่อเลี้ยงพวกเขานั่นเอง
“และดังนี้เอง สิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ‘อารยธรรม’ จึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับ ‘สงคราม’ ต่อความมืด
“ในบางครั้ง เมื่อทารกบังเกิดในครรภ์มารดา หรือคลอดออกมาสู่โลกในฤกษ์หรือภาวะอันเหมาะสม เช่นเวลาแห่งคราส ความมืดก็จะแทรกซึมเข้าไปในกายได้มากกว่ามนุษย์อื่นๆ ทารกเหล่านั้นจึงมีอำนาจแห่งความมืดอยู่มากกว่าผู้อื่น เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นพร้อมกับอำนาจนั้น ก็ย่อมเป็นที่เกรงกลัวและชิงชัง กระทั่งถูกเรียกขานว่า ‘บุตรแห่งอสุรเทพ’
“พวกเขามากมายเป็นพี่ของสิ่งซึ่งบัดนี้ถูกเรียกว่าเนฟิลิม...ผู้มีเขาเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของอสุรเทพ หรือที่บัดนี้เรียกว่าอนธการเทพ
“เหล่ามนุษย์ที่เชื่อฟังเทพแสงสว่างเห็นบุตรแห่งอสุรเทพเป็นภัย จึงได้ตามล่าล้างผลาญ สังหารพวกเขามากมายกว่าหยาดฝน ทั้งๆ ที่พวกมันเองก็มีความดำมืดเช่นเดียวกัน ประวัติศาสตร์นับร้อยนับพันปีถูกขับเคลื่อนด้วยการดิ้นรน และการกวาดล้างสังหารนี้ จนถึงวันที่สุริยเทพตระหนักว่ามนุษย์ซึมซับความมืดของอสุรเทพเข้าไปเสียจนเต็มอิ่ม เกินขจัดความมืดในกายให้พวกมันกลับมาใสบริสุทธิ์ได้อีกแล้ว
“สุริยเทพจึงเปล่งรัศมีเต็มที่ หมายแผดเผาโลกทั้งมวลและสร้างโลกแห่งแสงสว่างขึ้นมาใหม่ มันรวมอำนาจของตน แปรร่างแข็งแกร่งประหนึ่งศิลาเป็นผลึกสุริยะ ส่งลงมายังบริเวณที่อนธการเทพสถิตอยู่
“นั่นเอง...คือสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกว่าหายนะจากฟากฟ้า
“อนธการเทพพยายามตั้งรับ ส่งความมืดมาห่อหุ้มกลืนกินสุริยเทพ แต่ก็ไม่อาจต้านทานอำนาจของมันได้อย่างสมบูรณ์ ร่างกายของอนธการเทพจึงถูกทำลายเป็นเศษเสี้ยว ฟุ้งกระจายดังหมอกควัน บังเกิดเป็นความมืดอันเข้มข้น หนาหนักเหนือผืนดิน...
“ด้านสุริยเทพ ครั้นพบว่าการทุ่มอำนาจของตนไม่อาจทำลายมนุษย์และอนธการเทพได้ จึงได้ดับจิตสิ้นสูญไป ทิ้งไว้เพียงก้อนอำนาจไร้จิตใจที่พวกสาวกมืดบอดของมันนำกลับมาบูชา
“และดังนี้เอง จึงเหลือเพียงอนธการเทพอยู่ในโลกที่ไร้ตะวัน กับพวกเหลือบไรน่ารังเกียจที่เคยเกาะสูบสุริยเทพ ซึ่งบัดนี้ยังคงอ้างถึงเทพที่ไม่มีอยู่แล้วของพวกมัน โดยไม่รู้อะไรเลย”
“นั่น...หมายความว่า...ท่านชนะแล้วไม่ใช่หรือ” นิกซ์ตั้งคำถาม “ก็กำจัดสุริยเทพได้แล้วนี่”
“ผิดแล้ว ลูกเอ๋ย” ชายเบื้องหน้าสั่นศีรษะ “เทพทั้งสองได้แต่รบกัน หมายทำให้อีกฝ่ายปราชัย แต่หากอีกฝ่ายปราชัย สิ่งใดกันที่เกิดขึ้น ลูกคิดว่าโลกที่มีแต่กลางวันเพียงอย่างเดียว...หรือกลางคืนเพียงอย่างเดียวยังดำรงอยู่ได้หรือ เทพทั้งสองมีชะตาต้องรบกัน ห้ำหั่นกันชั่วนิรันดร์ มนุษย์เองก็ต้องห้ำหั่นกันระหว่างแสงสว่างกับความมืดไปชั่วนิรันดร์ ทว่าการห้ำหั่นนั้นมีความหมายใดเล่า บัดนี้ปราศจากสุริยเทพแล้ว มนุษย์ก็ยังห้ำหั่นกันไม่จบไม่สิ้นอย่างไร้ประโยชน์ อนธการเทพมิได้ชนะเลย
“...ผู้ที่จะชนะอย่างแท้จริง คือผู้ที่ทำให้การห้ำหั่นอันไร้ความหมายนี้สิ้นสุดลงต่างหาก...”
“แล้วนั่นก็คือ...ผม?” เด็กชายเอ่ยเสียงแผ่ว
“ใช่” อนธการเทพในคราบพ่อพยักหน้า “ยังสงสัยอีกหรือ ว่าทำไมถึงต้องเป็นลูก”
นิกซ์ไม่ตอบ แต่ดูเหมือนคู่สนทนาจะล่วงรู้ความต้องการของเขา
“เนฟิลิมหรือเหล่ามนุษย์ที่มีเขาก็คือบุตรแห่งอสุรเทพเช่นกัน แต่เป็นบุตรแห่งอสุรเทพที่ต่างออกไปจากผู้ที่เพียงเกิดใต้ฤกษ์แห่งความมืดเท่านั้น
“...เพราะพวกเขาคือผู้ที่ถือกำเนิดจากเมล็ดพันธุ์ของอสุรเทพเอง”
เด็กชายไม่แน่ใจว่าตนเข้าใจ แต่ก็รู้สึกราวกับมีบางสิ่งในอกกรีดร้อง...บอกว่าเขารู้มากกว่าจะต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม จากความฝันที่เห็นร่างเงาทะมึนกับแม่...แม่ที่พร่ำเรียกคำว่าเนฟิลิม
“บางครั้ง อสุรเทพก็ถอดจิตของตนมาสิงสู่ร่างของบุรุษ และบุรุษนั้นก็มีลูกกับสตรีขึ้นในชั่วเวลานั้น” ชายที่ดูเหมือนกับพ่อขยับแว่น “ทว่าบุตรนั้นเกิดจากเชื้อแห่งความมืดของอสุรเทพ จึงมีเขาเป็นเครื่องแสดงฐานะบุตรแห่งเทพเจ้า ในยุคตะวันดับนี้ อนธการเทพผู้ไร้ร่างย่อมมีอิสระมากขึ้น เมื่อรู้ว่าเศษเสี้ยวของตนสักชิ้นอยู่ใกล้ที่ใด ก็สามารถถอดจิตไป ‘ให้กำเนิด’ เนฟิลิมในเวลาที่ใกล้กันนั้น เพื่อให้บุตรที่มีความมืดเข้มข้นดึงดูดเศษเสี้ยวนั้นมาไว้กับตัว ครั้นแล้วก็รอเวลาให้เนฟิลิมนั้นเติบโต เศษเสี้ยวในกายซึมซับความมืดเข้าไปจนเต็มที่ เพื่อคืนสู่สภาพอวัยวะดังเดิม และผลักดันให้เขาที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจงอกออกมา
“นี่เอง...คือกำเนิดของเนฟิลิมทั้งมวลผู้มีอวัยวะของเทพอนธการ เนฟิลิมซึ่งมีพ่อเดียวกันทั้งหมด”
...บ้าไปแล้ว... นิกซ์นึกอะไรนอกจากนี้ไม่ออกอีก ...บ้าชัดๆ...
“ไม่น่าดีใจหรือ นิกซ์” อนธการเทพในร่างพ่อคลี่ยิ้ม “ลูกอยากมีพี่น้องมาตลอดไม่ใช่หรือ ไม่ดีใจหรือที่ได้รู้ว่าที่จริงลูกมีพี่น้องตั้งมากมาย ทั้งพี่ราดา พี่ซีเรนา พี่เวซาโน พี่ทาลอส พี่แอนเธีย...”
“ไม่จริง !” เด็กชายร้อง “โกหก ! พ่อของผมเป็นมนุษย์ ! พ่อไม่ใช่อนธการเทพ ! ไม่ใช่แน่ๆ !”
...อย่าหลอกกันอีกเลย อย่าหลอกกันอีก อย่าหลอก...
“พ่อไม่ได้หลอก” ชายที่ดูเหมือนพ่อลุกจากเก้าอี้ เดินตรงเข้ามาหานิกซ์ซึ่งยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับถูกสะกดตรึงไว้ “จะเป็นมนุษย์หรืออนธการเทพ พ่อก็คือพ่อ คือเจ้าของเลือดเนื้อเชื้อไขที่ประกอบเป็นลูกไม่ใช่หรือ ลูกเป็นเนฟิลิม แต่ก็ยังแตกต่างจากพี่น้องคนอื่น ลูกเหนือกว่าพวกเขาที่เกิดมาพร้อมกับความบกพร่องผิดพลาด ลูกคือเนฟิลิมที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ถือกำเนิดมา...เพราะพ่อตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ลูกยังจำชื่อของพ่อได้ไหม”
“อ...เอเรบอส...เอเทอร์นา” เด็กชายตอบตะกุกตะกัก ตอบโดยไม่รู้เหตุผล ขณะที่มือของอีกฝ่ายยึดไหล่ของตนไว้
“เอเรบอสคือนามแห่ง ‘ความมืด’” ชายเจ้าของชื่อคลี่ยิ้ม “ความมืดในตำนานถือกำเนิดโบราณ และเอเทอร์นาแปลว่านิรันดร...ความมืดชั่วนิรันดร์ มนุษย์ต่ำต้อยที่ไหนจะอหังการ์ใช้ชื่อนี้กัน
“ไม่เคยมีมนุษย์ชื่อเอเรบอส เอเทอร์นา ให้อนธการเทพสิงสู่อยู่แต่แรกแล้ว มีก็แต่ ‘ตัวตน’ อย่างมนุษย์ที่อนธการเทพพยายามรวบรวมอำนาจของตนก่อร่างขึ้น เพื่อจะได้ให้กำเนิดเนฟิลิมผู้สมบูรณ์แบบอย่างลูก และปลดปล่อยทุกคนจากความทุกข์ทั้งมวลเท่านั้นเอง”
...ไม่จริง... นิกซ์ยังคงกรีดร้องอยู่ในใจ เขาจำได้ดี...พ่อมีรูปถ่ายรุ่นที่เรียนจบ มีปริญญาภาษาและวรรณคดีใส่กรอบติดผนังห้อง พ่อเป็นมนุษย์...ถึงเขาจะไม่รู้เรื่องญาติๆ ของพ่อ และเชื่อที่พ่อบอกว่าปู่กับย่าเสียไปตั้งแต่พ่อยังเด็ก เด็กจนกระทั่งไม่มีรูปถ่ายหรือของดูต่างหน้าอื่นๆ ให้เขาเห็น แต่พ่อก็เป็นมนุษย์...
“จะถือว่าพ่อเป็นมนุษย์ก็ได้ไม่ใช่หรือ...เมื่อรวบรวมพลังความมืดอัดเข้าไปกลุ่มก้อน ก็ได้ร่างที่สัมผัสได้เหมือนมนุษย์ เดิน พูด และมีการกระทำทุกอย่างได้เหมือนมนุษย์ แต่เหนือกว่ามนุษย์ตรงที่สามารถมอบ ‘พร’ อันยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่ลูกคนสำคัญของพ่อได้
“...พรที่จะทำให้ลูกไม่อาจรับรู้ความเจ็บปวดทางกายใดๆ...”
นิกซ์รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกลายเป็นหิน ขณะที่มือของอนธการเทพในคราบบิดาบีบไหล่แน่นขึ้น...โดยไม่อาจสัมผัสความเจ็บปวด
“แล้วทำไม...ทำไมถึงทำให้ผม...”
“เพราะลูกคือลูกที่พ่อปรารถนา คือผู้ที่จะดับโลกอันไร้ความหมายเสีย ก่อนหน้านี้ พ่อให้กำเนิดเนฟิลิมทั้งหลาย ด้วยหวังว่าคนใดคนหนึ่งจะมีอวัยวะที่มีอำนาจกลืนกิน เมื่อนั้น พ่อจึงจะติดต่อเขา และเผยหน้าที่อันแท้จริง กระนั้น...ก็เหมือนเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร เพราะอำนาจของพ่อเจือจางลงจนไม่อาจรู้ได้ ว่าเศษเสี้ยวใดที่มีอำนาจกลืนกินอยู่ในนั้น
“เนฟิลิมมากมายถือกำเนิดมา แต่ก็ยังไม่ใช่เนฟิลิมที่พ่อต้องการ จนหลายปีก่อนลูกเกิด เนฟิลิมผู้มีดวงตาที่มีอำนาจกลืนกินจึงเริ่มสำแดงอำนาจนั้น
“และพ่อจึงได้รู้ขีดจำกัดของอำนาจกลืนกิน อำนาจอันใหญ่หลวงที่สุดของพ่อ สิ่งใดก็ตามที่ถูกกลืนกินจะแปรเป็นอำนาจของเนฟิลิมผู้ใช้พลัง ทว่าประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่อาจรับกระบวนการแปรพลังนั้นได้ ความเจ็บปวดมหาศาลในการแทรกซึมพลังที่ได้ไปทุกอณูร่างกายฆ่าเนฟิลิมตนนั้นในทันทีทันใด
“เป็นการสูญเสียอันน่าเศร้า แต่พ่อก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น พ่อพยายามรวบรวมอำนาจความมืดที่ฟุ้งกระจายเข้าเป็นกลุ่มก้อน โอบอุ้มและเก็บเศษเสี้ยวที่มีอำนาจกลืนกิน ซึ่งหลุดลอยจากศพของเนฟิลิมนั้นไว้ จากนั้นพ่อก็รอคอย สั่งสมอำนาจความมืดเท่าที่ทำได้ จนสร้างเป็นร่างของเอเรบอส เอเทอร์นา
“พ่อแต่งงานกับแม่ของลูก และลูกก็ถือกำเนิดขึ้นมา...พร้อมกับพรของพ่อ และอำนาจกลืนกิน นิกซ์...ชื่อของลูกแปลว่า ‘รัตติกาล’ จำได้ไหม นิกซ์ เอเทอร์นา...รัตติกาลนิรันดร”
นิกซ์ไม่รู้ว่าตนควรมีสีหน้าเช่นไร ทั้งยังไม่รู้ว่าบัดนี้สีหน้าของตนเป็นเช่นไร พ่อที่ยิ้มกับเขา...พ่อที่โอบกอดแม่...พ่อที่สั่งสอนดูแลเขามาตลอดน่ะหรือ...คืออนธการเทพ...อนธการเทพโดยสมบูรณ์
...แล้วตลอดเวลานั้น...ความสุขในตอนนั้น...มันคืออะไร...คือความสุขที่แท้จริง หรือแค่การหลอกลวง...
“คือความสุขที่พ่อต้องการมอบให้ลูก” อนธการเทพตอบสิ่งในใจเขา “ความสุขที่มีความหมาย...เช่นเดียวกับความทุกข์ ลูกมีความสุขในตอนต้นเพื่อให้รู้ว่ามันเปราะบางแสนสั้น และประสบทุกข์มหาศาลหลังจากนั้นเพื่อให้รู้ว่าโลกนี้ฟอนเฟะเพียงไร จะได้ตัดสินใจดับทุกสิ่งลงเสียที”
“ถ้าอย่างนั้น...เรื่องพวกโจร...”
“หากพ่อตั้งใจ ก็อาจปลุกเร้า ‘ความมืด’ ที่ฝังอยู่ในใจมนุษย์ตั้งแต่ต้นขึ้นมาได้ไม่ยาก”
เด็กชายไม่รู้ว่าอนธการเทพตั้งใจจะหมายความอย่างไร แต่สำหรับเขา มันกินความหมายมากมาย...มากมายจนน่ากลัว
“...แม้แต่เรื่องที่พวกมัน...ทำร้ายแม่...ก็เป็นหนึ่งในนั้นหรือฮะ”
นิกซ์นึกอยากสั่นศีรษะ สั่นศีรษะจนคอหักหลุดไปด้วยซ้ำ ทว่าร่างกายของตนกลับเกร็งแข็ง กระทั่งน้ำตาสักหยดก็ไม่รู้จะไหลลงมาได้อย่างไร
“พ่ออยากให้ลูกเห็นความทุกข์ อยากให้ลูกสัมผัสว่ามันเจ็บปวดเพียงไร” เสียงตอบนั้นอ่อนโยน ทว่าเนื้อความชวนให้โทสะพลุ่งขึ้น
“งั้นเรื่องที่พ่อเคยสอนผม...ก็แค่โกหกงั้นเหรอฮะ !” เด็กชายกราดเสียง “ให้นึกถึงความเจ็บปวดของคนอื่น...อย่าทำให้พวกเขาเจ็บปวด...แต่พ่อ...พ่อกลับ...ทำร้ายแม่เอง ! พ่อไม่รักแม่เลยเหรอ !”
ร่างของชายเบื้องหน้าดูราวกับจะยืดสูงขึ้น ทั้งๆ ที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาหลังแว่นยังคงเรียบเฉย
“เทพเจ้าไม่มีความรู้สึกอย่างมนุษย์”
“งั้นพ่อก็เห็นแม่เป็นแค่เครื่องมือ ! เห็นผมเป็นแค่เครื่องมือ ! แค่...แค่เพราะอยากให้โลกนี้จบลง ! พ่อบอกให้ผมคิดถึงความเจ็บปวดของคนอื่น...แต่พ่อกลับทำร้ายแม่ ! พ่อโกหก !”
“นั่นไม่ใช่คำโป้ปด แต่เป็นปรารถนาที่แท้จริงของพ่อ” อนธการเทพยังคงเอ่ยต่อ ไร้ความขมขื่นในน้ำเสียง “ความปรารถนาที่อาจเป็นจริงได้ด้วยการเสียสละเท่านั้น”
“การเสียสละบ้าบออะไร !”
“การเสียสละที่มนุษย์ยากจะเข้าใจ แต่มองให้ไกลกว่านี้สิ นิกซ์ หากลูกกลืนกินโลกนี้แล้ว ความทุกข์ทั้งมวลก็จะสิ้นสุดลงโดยปริยาย ลูกจะลืมความทุกข์ที่เคยประสบไปทุกอย่าง เช่นเดียวกับแม่ เช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคนที่ได้รับการปลดปล่อย...พ่อรอเวลานั้น รออย่างจดจ่อ ความหวังทั้งมวลฝากไว้ที่ลูกเท่านั้น”
เด็กชายมองชาย...หรือเทพเจ้าที่เป็นพ่อของตน ใจพร่ำภาวนาว่าไม่จริง นี่เป็นความจริงไปไม่ได้ พ่อของเขาเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่รักแม่กับเขา และตายโดยเป็นห่วงพวกเขา อนธการเทพกำลังหลอกลวง...
“หากไม่เชื่อ ลูกจะหาคำตอบของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกได้หรือ จะหาความหมายของการไร้ความเจ็บปวด และอำนาจกลืนกินในตัวลูกได้หรือ” คนเบื้องหน้าย้อนถาม “นี่ไม่ใช่ความผิดพลาด ลูกไม่ได้เกิดมาอย่างไร้ความหมายเหมือนกับเด็กที่ไม่สมบูรณ์เหล่านั้น เหมือนกับคนมากมายที่เกิดขึ้นมาอย่างไร้ความหมายเบื้องนอกนั้น สุริยเทพเคยให้ความหมายของกำเนิดและชีวิตของลูก...ไม่สิ...มนุษย์ทั้งมวลไหม
“มันแค่บอกให้เชื่อฟังมัน รับความทุกข์ทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับตน แม้จะเป็นคนดีไม่เคยทำร้ายใคร แล้วมันถึงจะตอบแทนมนุษย์ด้วยชีวิตอันสุขนิรันดร์หลังจากนั้นใช่ไหม...
“...แต่ ‘ชีวิตที่มีความสุขนิรันดร์’ มีอยู่จริงหรือ เทพองค์นั้นต่างหากที่หลอกลวง สัญญาของมันว่างเปล่า พ่อจึงต้องเสนอทางแก้ที่แท้จริง ทางที่จะดับทุกสิ่งลง พ่อไม่ปฏิเสธว่าหากมีชีวิตอยู่ต่อไป ลูกกับแม่อาจจะมีทั้งสุขและทุกข์ ตามแต่เคราะห์กรรมจะจัดสรรให้ ก่อนสิ้นสุดลงด้วยความตาย...เพียงเพื่อให้ ‘จิต’ ถือกำเนิดใหม่ พบสุขและทุกข์ใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
“มนุษย์ทั้งมวลเป็นเช่นนี้เพราะมี ‘จิตใจ’ พวกเขาตกอยู่ในวังวนของจิตใจที่ปรวนแปรผันผวน ครู่หนึ่งยิ้มและหัวเราะได้ เข้มแข็งได้ รู้สึกราวกับตนเข้าใจทุกสิ่งในโลก เชื่อมั่นว่าโลกนี้สดใส และจะสดใสชั่วนิรันดร์ แต่อีกครู่ก็ร้องไห้ กล่าวโทษสิ่งต่างๆ อ่อนแอเปราะบาง รู้สึกเหมือนตนเป็นคนโง่ไม่รู้สิ่งใด เชื่อว่าโลกนี้จะหมองหม่นไร้ที่สิ้นสุด อีกเดี๋ยวก็รักใคร่เอ็นดู อีกเดี๋ยวก็เกลียดชังโกรธแค้น...หาได้สงบนิ่งอย่างแท้จริงเลย
“และเพราะมนุษย์มี ‘จิตใจ’ การมีชีวิตอยู่จึงไม่ใช่เรื่องยากกว่าตายไปให้พ้นๆ เหมือนที่พี่คนหนึ่งของลูกบอกหรอก กลับกัน การตัดใจยอมรับการสิ้นสูญต่างหากที่ยากลำบากกว่า ลูกไม่เห็นหรือ มนุษย์ซึ่งรู้ดีกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวงว่าชีวิตของตนหาได้จีรัง กลับทำทุกสิ่งเพื่อเอาชีวิตรอดและรักษาจิตใจตนเองทั้งสิ้น...
“ต่อให้ต้องโป้ปดหลอกลวง แย่งชิง ฆ่าฟันผู้อื่นก็ยอมทำ ถึงตัวไม่อาจอยู่ชั่วดินฟ้า ก็ยังอยากมีอยากได้ อยากสร้างชื่อไว้หลังตัวตาย มีสัญชาตญาณสืบทอดเผ่าพันธุ์ สนองตัณหา ไม่อย่างนั้น พวกมันจะยังแย่งชิง เสพกิน บำรุงร่างกายที่เต็มไปด้วยสิ่งโสโครกของตัว จะยังสมสู่กันอย่างไร้สติ ทั้งที่โลกนี้ไม่น่าอภิรมย์ต่อเด็กที่จะเกิดมาเช่นลูกทำไม จะบังคับข่มเหงผู้หญิงอย่างแม่ของลูก กับพี่สาวอัสลานที่ลูกรักคนนั้น จะมีความคิดวิปริตบิดเบี้ยวกับเด็กอย่างลูกทำไมกัน...
“เรื่องเหล่านั้นจะเป็นไปไม่ได้เลย หากในใจของมนุษย์ไม่มีความมืดอยู่แต่ต้น มิเช่นนั้น ต่อให้พ่อพยายามใช้ความมืดล่อลวงมนุษย์เพียงไร มันก็จะไม่น่ามืดตามัว ทำร้ายผู้อื่นเพื่อสนองกิเลสของตนดอก
“แล้วการฆ่าตัวตายยากไหม ยากกว่ามีชีวิตอยู่ไม่จริงหรือ ที่มนุษย์จำนวนมากไม่ฆ่าตัวตาย เป็นเพราะจิตของพวกเขาเอาบ่วงมาผูกรั้งตนเองไว้ต่างหาก พวกเขาหาเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนกับที่ลูกยึดติดกับความคิดว่าต้องตามหาแม่...ซึ่งตัวเองยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ไม่ก็อ้างว่ากลัวคนที่อยู่เบื้องหลังจะเสียใจ ...แต่ที่แท้ มนุษย์กลัวความตายเพราะไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไรไม่ใช่หรือ เพราะโลกจะดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้หลังจากพวกเขาตายไปไม่ใช่หรือ
“...แต่หากสิ้นโลกนี้...ก็เท่ากับไร้ที่ที่จิตใจของมนุษย์สามารถถือกำเนิดขึ้นมาอีกไม่ใช่หรือ...
“ทุกชีวิตย่อมเกิดมาเพื่อตาย ดังนั้นการที่ลูกกลืนกินทุกชีวิตไปพร้อมกับโลกจึงมิได้เป็นการพรากสิ่งใดไปจากพวกเขาเลย แต่เป็นการนำพาพวกเขาไปในครรลองที่ควรเป็นไปแต่แรกแล้วต่างหาก”
นิกซ์ไม่ตอบ แต่ก็ตั้งคำถามเช่นกัน ...นั่นเป็นความจริงไม่ใช่หรือ พวกเราเกิดมาทำไม ในเมื่อสักวันก็ต้องตาย รู้ทั้งรู้ว่าสักวันต้องตายเหมือนกันก็ยังแบ่งแยก ทำร้ายทำลายกัน กอบโกยแต่ความสุขของตัวเอง...
...ทำไมต้องเกิดเป็นคนโซลาริส เป็นอัสลาน เป็นเนฟิลิม...
...แล้วเรา...ทำไมเราคนเดียวถึงเกิดมาเป็นโรคไร้ความเจ็บปวด เป็นเนฟิลิมที่ไร้ความเจ็บปวดผิดกับคนอื่น...
“คำตอบอยู่ตรงนี้แล้วไม่ใช่หรือ” อนธการเทพกอดเด็กชายในอ้อมกอดที่ไร้ความอบอุ่นอีกครั้ง “อยู่กับพ่อนี่อย่างไร อยู่กับสิ่งที่พ่อเคยสอนลูก...”
...ร่างกายของลูกเจ็บปวดไม่ได้ แต่ใจก็ยังรู้สึก...ใช่ไหม เมื่อรู้สึกแล้วก็ขอให้นึกถึงคนอื่นๆ ที่เจ็บปวดได้มากกว่า อย่าทำให้ใครต้องรู้สึกอย่างนั้น อย่ามองข้ามหรือละเลยความเจ็บปวดของคนหรือสัตว์อื่นเลยนะ...
...พ่ออยากให้ลูกคิดถึงความเจ็บปวดของผู้อื่น มากกว่าคนที่สามารถเจ็บปวดทางกาย แต่ก็ยังทำร้ายคนอื่นแบบนั้น...
...พ่ออยากให้ลูกคิดถึงความเจ็บปวดของผู้อื่น มากกว่าคนที่สามารถเจ็บปวดทางกาย แต่ก็ยังทำร้ายคนอื่นแบบนั้น...
...พ่ออยากให้ลูกคิดถึงความเจ็บปวดของผู้อื่น มากกว่าคนที่สามารถเจ็บปวดทางกาย แต่ก็ยังทำร้ายคนอื่นแบบนั้น...
“...ไม่...ไม่ใช่...” นิกซ์พยายามสั่นศีรษะ พยายามดันตนเองออกจากอ้อมกอดของ ‘พ่อ’ อย่างไร้ผล ขณะนึกถึงคำที่ใครอีกคนเคยบอกเขา
...พ่อแม่ที่คิดได้กระทั่งฆ่าลูกของตัว...สมควรจะรัก...จะเคารพต่อไปอีกรึไง ! ...
“แล้วใครกัน...ที่กำหนดว่าสิ่งใดดี สิ่งใดเลว เหตุใดการฆ่าจึงเป็นความเลว สุริยเทพต่างหากที่นำเรื่องพวกนี้มาอ้าง ปลุกเร้าให้มนุษย์เกิดความหวงแหนในชีวิต ทั้งๆ ที่พวกมันก็ทำลายชีวิตของผู้อื่นที่ไม่เห็นด้วย ลูกเป็นเนฟิลิมที่สมบูรณ์แบบที่สุด เป็นครึ่งหนึ่งของพ่อ มองให้ทะลุข้ออ้างตื้นๆ ของพวกมันสิ”
“แต่คุณราดาบอกว่า...ยังมีคนที่พยายามใช้ชีวิตอย่างสุดความสามารถ ทั้งๆ ที่ทุกข์ทรมานกว่าพวกเราอยู่ ทุกคนมีทางเลือกของเขา เราไม่อาจไปตัดสินแทนเขา” เด็กชายพูดแข็งขัด...ทั้งที่ไม่รู้ว่านั่นเป็นความจริงมากกว่าเพียงไร
“อะไรกัน ยังเชื่อคำพูดของพี่ชายผู้มองโลกคับแคบในมุมของตัวคนนั้นอยู่อีกหรือ ใช้ชีวิตสุดความสามารถแล้วเป็นอย่างไร ไขว่คว้าความสุขและแบกรับความทุกข์ไปทำไม ในเมื่อสักวันสิ่งเหล่านี้ก็ต้องสิ้นสูญไปพร้อมกับชีวิต ดอกไม้ที่บานชั่วครู่ชั่วคราวงามตาก็จริง แต่ไม่ช้ามันก็จะแห้งเหี่ยวผุพัง เลือนหายไปจากโลกและความทรงจำ อย่างนี้จะทอดมองความงามของมันไปทำไม ยึดติดกับความงามของมันไปทำไม
“...ทุกคนควรมีทางเลือก แต่ลูกเลือกที่จะเกิดมาในโลกนี้หรือ เลือกที่จะเป็นอย่างนี้หรือ ความตายที่มาเยือนเคยถามทางเลือกของผู้ตายไหม ลูกจะปล่อยให้คนที่โง่เขลา สมัครใจอดอาหารจนตายทำตามความต้องการของเขา ทั้งๆ ที่เขาเลือกความทุกข์ทรมานยาวนานขึ้นน่ะหรือ
“ไม่มีสวรรค์ที่สว่างเรืองรองหรอก นิกซ์ ความมืดอันว่างเปล่าเท่านั้นเองที่เป็นทางออกสุดท้ายของโลกใบนี้”
เด็กชายเริ่มสับสน แต่กระนั้นก็ยังพยายามยึดบางสิ่งไว้ในใจ อนธการเทพอาจหลอกเขา...หรือต่อให้เป็นพ่อของเขาจริง พ่อที่ปล่อยให้แม่ถูกทำร้ายอย่างเลือดเย็นเพื่อเป้าหมายของตัว...จะยังควรเคารพรักตามที่ราดาพูดอีกหรือ
“พ่อไม่ต้องการความรักจากลูก และถึงจะมีแต่ความชิงชังเคียดแค้นให้ก็ไม่เป็นไร ที่พ่อต้องการก็คือจุดสิ้นสุดของโลกใบนี้...ไม่ว่าลูกจะกลืนกินมันด้วยความรู้สึกอย่างไรก็ตาม”
โทสะของนิกซ์ลุกพล่าน...ทั้งๆ ที่เจ้าตัวพยายามระงับไว้อย่างยากเย็น มิใช่ระงับโทสะโดยตรงดอก แต่ระงับความคิดที่ตามมา...ความคิดที่ว่าโลกนี้ช่างบัดซบไร้ความหมาย ไม่สมควรถูกกลืนกินไปให้จบลงพร้อมกับความทรมานเดือดพลุ่งในใจ ให้ตัวเขาเองไม่ต้องรับรู้ทุกอย่างอีกหรือ
...ในโลกนี้ยังมีแม่อยู่ไม่ใช่หรือ... นิกซ์ไม่อยากให้แม่ตาย แต่อยากตามหาแม่ให้เจอ อยากกลับมาอยู่ด้วยกัน แล้วก็สร้างความสุขขึ้นใหม่ร่วมกันอีกครั้ง...
...ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าความสุขและความดีงามอยู่ไม่ใช่หรือ หลวงพ่อนิโคลัสกับพี่แอนเธียยังพยายามช่วยเหลือเด็กที่ถูกทำร้ายหรือไม่มีที่พึ่ง ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ให้พวกเขาได้มีความสุข...
“ความสุขที่บางเบาไม่จีรัง กับความดีงามที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้นมาเอง...พ่อจะสรุปทางเลือกให้ลูก ดีไหม” อนธการเทพยังคงรัดเขาในอ้อมกอดที่ปราศจากความรัก “ลูกคงรู้แล้ว ว่าไม่มีทางทำลายดวงตาที่พ่อมอบให้ได้...ด้วยความตั้งใจของตัวเอง นอกเสียจากดูดกลืนอาณาบริเวณที่ครอบคลุมตัวลูกเข้าไปเท่านั้น แน่นอน...อาณาบริเวณที่ใหญ่เท่ากับโลกทั้งใบ
“แต่ลูกยังตายได้...หากจะฆ่าตัวตาย หรือถูกฆ่าโดยที่ดวงตาไม่ทันรู้เห็นและป้องกัน หรือไม่อย่างนั้นก็ใช้ชีวิตไปจนสิ้นอายุขัยด้วยเหตุใดก็ตาม เมื่อถึงตอนนั้น พ่อจะนำดวงตานี้กลับไป และสร้างเนฟิลิมที่สมบูรณ์แบบคนใหม่ขึ้น เนฟิลิมคนนั้นจะทำสิ่งที่ลูกไม่อาจทำได้ และลูกต่างหาก จะกลับกลายเป็นสิ่งผิดพลาด ไร้ประโยชน์ โง่เขลา ไร้ความหมาย... สุดท้ายโลกและมนุษย์ก็ต้องดับสิ้นอยู่ดี ไม่ว่าจะอีกกี่สิบกี่ร้อยปีข้างหน้า จะดิ้นรนด้วยทิฐิโง่เขลาไปทำไมกัน” อนธการเทพหัวเราะน้อยๆ ...เสียดแทงราวกับเยาะหยัน
นิกซ์ก็ไม่รู้ว่าตนจะแย้งได้อย่างไร หรือแย้งไปทำไม อีกฝ่ายเป็นถึงเทพ ย่อมมีเหตุผลมาโน้มน้าวให้เขาโอนอ่อนตามอีกมากมายนัก มากกว่าราดา ด้วยเหตุนี้ เด็กชายจึงได้แต่บอกตนเองว่าจะเชื่ออนธการเทพไม่ได้แทน
...เราไม่จำเป็นต้องฟังหรืออ่านเรื่องทุกเรื่องในโลกหรอก... เขานึกถึงแอนเธีย ตอนเธอขยำหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวคนอัสลานจำนวนมากถูกยิงตายในการปะทะเมื่อเร็วๆ นี้ทิ้งลงถังขยะ ...ถ้าฟังมาแล้วได้แต่วิตก แก้ไขไม่ได้ ก็อย่าฟังเลยจะสบายใจกว่า...
เด็กชายจึงพยายามคิดง่ายๆ ตามนั้น เขาไม่อยากกลืนกินโลก ถ้ารับรู้คำของอนธการเทพมากขึ้นก็จะไม่สบายใจ ไม่แน่ใจกับการตัดสินใจของตน ดังนั้น จึงคิดจะไม่รับรู้ต่อไปอีก
และหากจะไม่รู้ ก็ต้องไม่ฟัง
เขาคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ใส่ใจกับเสียงของอีกฝ่าย จะพยายามนึกถึงแต่สิ่งที่ตนอยากเชื่อ...พ่อที่เขารักไม่ใช่อนธการเทพผู้เย็นชา...พ่อที่แท้จริงรักและอยากให้แม่กับเขาปลอดภัย...เขาไม่ได้ช่วยเหลือทุกๆ คนในคณะออกมาเพื่อกลืนกินให้ตายไป...ราดาก็ไม่ได้รักษาชีวิตของเขาไว้เพื่อให้เขากลืนกินโลกทั้งใบ...
...ทุกคนมีชีวิตอยู่อย่างเมล็ดพืช... เด็กชายท่องคำเหล่านั้นไว้ต่างมนตรา ...กระทั่งเมล็ดพืชในที่ไร้แดดไร้ดินยังงอกได้เมื่อได้รับน้ำ แม้ไม่อาจเติบโตเป็นไม้ใหญ่ ไม่อาจมีอายุยืนนาน แต่มันก็ยังสู้สุดกำลังที่จะเอาชีวิตรอด เมล็ดพืชไม่รู้ดอกว่าโลกรอบตัวมันเป็นเช่นไร โหดร้ายเพียงไร มันไม่รู้ดอกว่าจะไม่มีน้ำให้มันดื่มกินในภายหน้า ไม่มีดินให้มันดูดซึมธาตุอาหาร ไม่มีแดดให้มันสังเคราะห์แสง ไม่มีที่ให้มันเติบโต มันรู้แต่ว่าบัดนี้มันมีชีวิตอยู่ รากชอนไชลงพื้นเบื้องล่างราวกับเท้ายืนหยัด ใบเลี้ยงทั้งสองแผ่รับแสงอย่างหาญกล้า ราวกับกางสองแขนออกสู่โลกเบื้องนอก กู่ร้องคำรามว่าบัดนี้ข้ามีชีวิต...ข้าปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ให้ถึงที่สุด...
“ผมมีชีวิต ! ผมอยากมีชีวิตอยู่ให้ถึงที่สุด !” นิกซ์ตะโกนออกไป “ผมจะตามหาแม่ ! จะสร้างความสุขให้แม่ขึ้นใหม่ ! จะไม่มีวันกลืนกินโลกนี้ตามที่ท่านต้องการเด็ดขาด ! ไม่ว่าท่านจะเป็นพ่อจริงๆ หรือไม่ก็ตาม !”
เด็กชายยกสองมือขึ้นจับที่ข้อมือซึ่งยึดไหล่ตนไว้ กัดฟัน พยายามดันมันออกไป ขณะสบตากับนัยน์ตาประหลาดใจ...ซึ่งเพียงครู่เดียวก็แปรเป็นโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากชายตรงหน้า
อาจเป็นเรื่องดีแล้ว...ที่น้ำตาหลั่งไหลลงมาในตอนนั้น เขาจะได้ไม่ต้องเห็นดวงตาคู่นั้นชัดเจนจนเกินไป...ราวกับจะแผดเผาประทับบนแก้วตาทั้งสอง
กระนั้น เสียงของอนธการเทพก็ยังเสียดเข้ามา
“ถ้าอย่างนั้น...ก็พยายามมีชีวิตอยู่ให้ถึงที่สุด ในกล่องมืดที่แสงไม่มีวันเยี่ยมกรายเข้ามาอีกแห่งนี้เถอะ อยู่พบกับความสิ้นหวัง...ความเจ็บปวด...จนกว่าลูกจะร่ำร้องว่า ‘พอที’ แต่พวกมันก็ยังถาโถมเข้ามา
“ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเอง นิกซ์ ว่าลูกจะตาสว่างเมื่อใด”
เสียงแผ่วต่ำค่อยๆ เลือนหาย...เช่นเดียวกับทางเดินสีขาวรอบกาย ทิ้งเด็กชายไว้ในความมืดอันเงียบงัน กระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจ และเสียงหัวใจรัวเร็วของตน
นิกซ์ทรุดฮวบลงคุกเข่า ร่างสั่นเทิ้มจนต้องกอดสองไหล่ไว้แน่น และไม่ช้าก็ขดคุดคู้ ประหนึ่งเมล็ดพืชกระจ้อยร่อยที่ไม่เห็นแสงสว่าง ไม่อาจหาดินฝังราก และกังขาว่าตนจะงอกขึ้นมาเพื่อสิ่งใด
* * * * *
ความคิดเห็น