ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ ๑/๕ - เงาสะท้อนของดานาเอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 271
      1
      28 ก.ค. 52

    ๕. ภาพสะท้อนของดานาเอ


    ความทรงจำแรกของข้าคือการตื่นขึ้นในถ้ำแห่งหนึ่ง...นอกเหนือไปแล้วเป็นความทรงจำหลังจากนั้น หาได้มีความทรงจำก่อนหน้าไม่

    บนเตียงหินปูผ้ากำมะหยี่ผืนหนานุ่ม บนกายข้ามีผ้าห่มคลุมให้อบอุ่น ทว่าเมื่อตื่นขึ้น...ข้ากลับเหน็บหนาวจับจิตที่ไม่พบใครเลย

    เมื่อแรกตื่น มีสิ่งหนึ่งวางอยู่ข้างกายข้า...สวยงามแต่เยียบเย็น

    ...กริช....

    บางสิ่งบอกข้าว่านั่นคือชื่อของมัน กริชทองสุกปลั่ง ด้ามฝังพลอยแดงสลับน้ำเงินเข้มดูสูงค่า ข้าหยิบมันขึ้นดูอย่างงุนงง แล้วจึงชักโลหะเนื้อวาวจากฝัก

    ภาพสะท้อนของข้าปรากฏเลือนราง…เป็นสีขาวสลัวเหมือนภูตพราย ไม่คุ้นเคย…ไม่เหมือน…

    ไม่เหมือนเพราะบางสิ่งที่ปกคลุมใบหน้าช่วงล่างของตนอยู่ ข้าไม่คุ้นกับสัมผัสนี้แม้แต่น้อย พอวางกริชลงแล้วลองปลดผ้าคลุมหน้าจึงค่อยหายใจคล่องขึ้น แต่แล้วมือก็สัมผัสบางสิ่งที่แปลกประหลาดบนแก้มข้างหนึ่ง

    ผิวเนื้อบริเวณนั้นยุบลงเป็นแถบ...หยาบแข็งกว่าที่อื่น...เป็นเส้นสายวกวน ข้าไม่ทราบว่านั่นคือสิ่งใด แผลหรือ...ข้าบาดเจ็บที่ใดกัน ยกกริชขึ้นส่องดูภาพสะท้อนของตนก็เห็นเพียงสีน้ำตาลมัวบนผิวเนื้อบริเวณนั้น ไม่อาจเห็นชัดกว่านี้ ที่ข้าพันผ้าคลุมหน้าเป็นเพราะแผลนี้หรือ

    ข้าเก็บกริชเข้าฝัก ลุกจากเตียงและมองรอบกาย พบว่าภายในถ้ำมีโต๊ะหิน บนโต๊ะมีเหยือกนมกับน้ำจืด และชามใส่ผลไม้นานาชนิด ไม่รู้ใครวางไว้...และวางไว้ให้ข้าหรือไม่ ตอนนี้ไม่หิว จึงได้สำรวจต่อไป

    ข้าออกไปจากถ้ำ เพียงเพื่อพบเนินทรายยาวสุดสายตา และแสงตะวันแรงร้อน

    ...ทะเลทราย...

    บางสิ่งบอกว่าข้าคุ้นชินกับภาพนี้มาแม้ก่อนความทรงจำแรก ข้าหันมองรอบกายก่อนจะพบเงาสีเขียวอยู่ลิบๆ ที่ปลายฟ้า เงานั้นเองที่เรียกความสนใจให้ข้าก้าวเลียบเงาของแนวผา มุ่งหน้าไปทางมัน

    ...โอเอซิส...

    ข้ารู้จัก นี่คือแหล่งน้ำกลางทะเลทราย ใต้ร่มเงาของต้นปาล์มและอินทผลัม ผืนน้ำใสสะท้อนทุกสิ่งราวกับกระจก ข้าก้มลงมองเห็นเงาสะท้อนของตน ใต้ผ้าขาวที่ห่อหุ้ม เปิดเผยเพียงดวงตาราวกับคนแปลกหน้า

    ข้าเคยแต่งกายเช่นนี้หรือ ไยจึงต้องปกปิดหน้าตา ความสงสัยทำให้ข้าคุกเข่าลงริมน้ำ ชะโงกมองเงาสะท้อนให้ชัดเจน

    แต่ครั้นเห็นเงาเต็มตา...ข้าก็รีบพันผ้ารอบใบหน้ากลับเข้าที่ด้วยความกริ่งเกรง

    รอยสีน้ำตาลนั้นไม่ใช่แผล...แต่ข้าก็รู้สึกว่ามันน่ารังเกียจยิ่งกว่า ข้ารู้...แม้จะไม่รู้ว่าอย่างไร...ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ ตรานี้เป็นตราประทับ มีความหมายว่า ‘ต้องห้าม’

    ...ใบหน้าที่มีตราต้องห้าม...

    ...ใบหน้าที่อัปลักษณ์นี่หรือคือข้า...

    ...ข้าทำสิ่งใดลงไป...

    โอเอซิสมอบเพียงภาพอันน่าสะพรึงกลัวโดยไร้คำตอบ ข้าจึงผละจากมัน แลเลยไปเห็นเงาตะคุ่มของบางสิ่ง ให้ต้องนิ่งนึกอยู่นานจึงทราบคำเรียก

    ...เมือง...

    เมืองนี้ยังไม่สมบูรณ์ เมืองที่สมบูรณ์ต้องมี...

    ...ผู้คน...

    แล้วผู้คนไปที่ใดกันหมด

    ข้าสาวเท้าเข้าไปใกล้เมืองที่เห็น ผู้คนอยู่นั่นเอง พวกเขานอนอยู่บนผืนทราย บ้างก็ซบพิงผนังอาคาร นอกจากผู้คนแล้วยังมีสัตว์ อูฐ...แกะ...แพะ พวกมันนอนหมอบ บางตัวจมทรายไปแล้วบางส่วน แต่ยังพอเห็นเค้าโครงอยู่

    แต่ทำไมทุกสิ่งจึงได้หลับใหลกันหมดเช่นนี้ เวลากลางวัน พวกเขาต้องทำงานและพูดคุยกันมิใช่หรือ

    ข้าเดินไปยังร่างที่นอนตะแคงอยู่ใกล้ที่สุด ร่างนั้นเล็กเหมือนเด็ก ในมือกำไม้เท้าที่ใช้ต้อนสัตว์ไว้ไม่ปล่อย

    ไม่ว่าจะร้องเรียกเท่าไร เขาก็ไม่ตื่น ข้าจึงแตะแขนของเขาแล้วเขย่า

    แต่แล้ว...ข้าพลันชักมือออกอย่างตื่นตระหนก

    ทั้งๆ ที่อากาศรอบกายร้อนระอุ ร่างนั้นกลับเย็นเยียบ

    ...และให้สัมผัสเหนียวหนืดอย่างประหลาด...

    บริเวณแขนที่ข้าแตะต้องปรากฏเป็นรอยแดงตามแนวนิ้วมือ ครั้นข้ายกมือขึ้นก็เห็นรอยแดงติดมือของตน...พร้อมกับกลิ่นคาวเลือด

    ข้ากรีดร้อง และสิ้นสติลงตรงนั้นเอง

    * * * * *

    ความทรงจำที่สองของข้าคือการตื่นขึ้นมาในถ้ำแห่งเดิม...บนเตียงหินเดิม และมีกริชเดิมอยู่ข้างกาย

    ทุกสิ่งเหมือนเดิม กระทั่งรอยแดงที่ติดมือข้ายังอันตรธานไป

    ข้าลองออกไปข้างนอกอีกครั้ง ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทประดับดวงดาว ข้าเดินไปที่โอเอซิสในอากาศเย็นเยือก แล้วปลดผ้าคลุมหน้าออกมองเงาสะท้อน

    ...ใบหน้าของข้ายังเป็นเช่นเดิม...

    เมืองที่ข้าเห็นลิบๆ ก็ยังอยู่เช่นเดิม ร่างที่นอนระเกะระกะก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง มีเพียงทรายที่ทับท่วมสูงขึ้นบ้างเท่านั้นเอง

    ...กลัว...

    ข้าระลึกถึงถ้อยคำนั้น...เมื่อตระหนักได้ว่าตนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีชีวิตอยู่ในบริเวณนี้

    ข้าต้องไปจากที่นี่

    ข้าหันหลังให้กับเมือง วิ่งไปตามผืนทรายกว้างขวาง วิ่งไปไม่มีหยุด แต่ทะเลทรายก็ดูเหมือนจะทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด ข้าวิ่งจนเหนื่อยอ่อน ล้มลง และผล็อยหลับไปเมื่อแสงเรื่อของรุ่งอรุณปรากฏที่เส้นขอบฟ้า

    * * * * *

    ความทรงจำที่สามของข้าคือการตื่นมาในถ้ำเดิม...

    ความหิวบังคับให้ข้าดื่มนมและกินผลไม้บนโต๊ะ แล้วข้าก็พบว่า...ไม่ว่าจะรินนมออกมาจากเหยือกเท่าใด มันก็มิเคยหมด ไม่ว่าจะหยิบผลไม้ออกจากชามสักกี่ผล ผลไม้ก็มิเคยพร่องลงไป

    สิ่งเหล่านี้เองที่หล่อเลี้ยงกายาของข้าในยามหิว ทว่าทิ้งวิญญาณของข้าให้ยิ่งหิวโหย

    ข้าออกไปที่โอเอซิส กองศพที่เมืองนั้นยังอยู่ ทว่าพวกมันดูเหมือนจะถูกลมพัดกลบไปมากแล้ว

    ข้าตัดสินใจจะลองหาทางผ่านไปอีกด้านหนึ่งของเมือง แล้วออกไปจากที่นี่

    แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางเข้าไปในเมืองได้เลย เมื่อก้าวไปใกล้ถึงแนวอาคาร ข้าจะปะทะกับกำแพงที่มองไม่เห็น ให้เจ็บแปลบราวกับมีกระแสร้อนแล่นทั่วร่างจนต้องทรุดลง ไม่มีทางข่มความเจ็บปวดนานพอจะฝ่าไปได้

    นับจากความทรงจำที่สาม...ข้าก็วนเวียนอยู่แต่แถวถ้ำใต้ผา โอเอซิส และหน้าผาซึ่งขึ้นไปมองโดยรอบได้กว้างไกลกว่าเดิม แต่ไม่อาจก้าวเท้าล่วงออกไปเช่นเดียวกัน

    * * * * *

    เมื่อแต่ละวันที่เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยนสำหรับข้าผ่านไป ข้าก็ค่อยๆ พบความเปลี่ยนแปลงของเมืองที่ข้าไม่อาจเข้าไปถึง

    ซากศพในเมืองอันตรธานไป หากไม่ถูกกลบฝัง ก็คงถูกลมพัดจนป่นเป็นธุลีไปสิ้น เมืองกลับกลายเป็นซากปรักหักพังผุกร่อน และมีผู้มาเยือน

    กองคาราวานของพ่อค้า และกลุ่มคนผู้มาพร้อมฝูงปศุสัตว์ พวกเขาตั้งกระโจมพักแรม และมาตักน้ำที่โอเอซิส

    ข้าพยายามสื่อสารกับพวกเขา ทว่าทุกครั้งที่ก้าวไปต่อหน้าใครสักคน สายตาของคนผู้นั้นก็ยังว่างเปล่าราวกับไม่เห็นข้า ข้าเข้าใจถ้อยคำและภาษาของคนเหล่านั้นถ่องแท้ แต่แม้นข้าจะร้องเรียกสักเท่าใด พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยิน เมื่อข้าพยายามสัมผัสพวกเขา ก็พบว่ากระแสร้อนนั้นแล่นวาบทั่วร่างก่อนถูกต้องตัว...เหมือนเมื่อข้าพยายามเข้าไปในเมือง

    สุดท้าย ข้าจึงได้แต่อยู่ในบริเวณที่ข้าสามารถอยู่ได้ เฝ้ามองพวกเขาผ่านมาและจากไป จดจำลำนำและบทเพลงของพวกเขามาร้องคลายเหงาได้บ้างเท่านั้น

    * * * * *

    ข้าเคยคิดจบความทรมานของตนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

    ข้าทดลองทุกวิถีทางที่ทำได้ ทั้งกระโดดลงจากผา ทั้งใช้กริชกรีดข้อมือให้เลือดหลั่งไหล หรือแทงเข้าไปในหัวใจของตน ทุกความพยายามมีเพียงความเจ็บปวดแสนสาหัส และการตื่นขึ้นมาบนเตียงหินทั้งๆ ที่ไร้รอยแผล...เหมือนทุกครั้งที่ข้าสิ้นสติไป

    ต่อมา ข้าสังเกตพบว่าสัตว์ต่างๆ มองเห็นข้า และสัมผัสข้าได้ ข้าจึงลองให้งูพิษกัด ให้แมงป่องต่อย ข้ารับรู้ความทรมานของพิษเหล่านั้น แต่ยังไม่อาจสัมผัสความตายเช่นเดิม ข้าเคยนำลูกแพะหลงฝูงที่พลัดมาถึงโอเอซิสมาเลี้ยง ผูกมันไว้ในถ้ำ ให้มันดื่มน้ำและกินผลไม้ของข้า มันเคยชินกับข้า ยอมให้ข้าลูบตามเนื้อตัวและหันมาเมื่อข้าร้องเรียก เจ้าแพะน้อย...เจ้าแพะน้อยเอ๋ย

    ข้ามีความสุขเหลือเกินที่มีเพื่อน...แต่ก็เพียงชั่วคราว เจ้าแพะน้อยอยู่จนแก่เฒ่า...อ่อนแอไม่อาจลุกเดิน...ก่อนจะสิ้นชีวิตในที่สุด ทิ้งให้ข้าร่ำไห้อยู่เป็นนาน เหลือตนเองเดียวดายเพียงลำพังอีกครั้ง ข้าดีใจที่มีมันอยู่ใกล้...ดีใจที่ได้กอดสัมผัสความอบอุ่นของมัน แต่เมื่อเสียมันไป...ข้ากลับเจ็บปวดยิ่งกว่า บางสิ่งในใจข้าร่ำร้องว่าพอ...พอเถิด หากรักและผูกพันแล้วใจแทบสลายเมื่อต้องเสียไป ก็สู้อย่ารักและผูกพันกับสิ่งที่มีชีวิตอันไม่จีรังอีกเลย

    สุดท้าย ข้าก็พบว่า...เพื่อนเพียงลำพังของข้าคือกริชที่ข้านำติดตัวไปได้ทุกที่ แม้นไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดทำร้ายข้า...นอกจากตัวข้าเองในยามสิ้นหวังถึงที่สุด มันได้อาบเลือดของข้า รับรู้ความทรมาน และอยู่เคียงข้างข้าเสมอมา

    * * * * *

    ข้าเคยคิดฝันมากมาย...ว่าจะดีเพียงไรหนอหากใครสักคนเห็นข้าและพูดคุยกับข้าได้ หากมีใครสักคนที่เป็นนิรันดร์เช่นข้ามาพบข้า ข้าปรารถนาจะได้พบคนคนนั้นเหลือเกิน

    แล้ววันหนึ่ง ข้าก็ตื่นขึ้นเพราะเสียงเรียกแผ่วเบา

    “…ตื่นเถอะ…”

    ข้าลืมตาขึ้นเห็นเงาร่างตะคุ่มชะโงกลงมอง รีบชักกริชชี้ไปทางเขาเพื่อป้องกันตัวทันทีตามสัญชาตญาณ

    “เจ้าเป็นใคร!”

    ไร้คำตอบจากคนที่ข้าไม่เห็นกระทั่งใบหน้า แต่เสียงพูดเมื่อครู่ก็บ่งบอกให้ข้าทราบว่าเขาเป็นชาย ชายผู้นั้นคลุมผ้าสีดำทั้งร่าง มีเครื่องประดับเด่นชัดเพียงสร้อยสีทองร้อยจี้ขนาดใหญ่ สลักเป็นลวดลายประหลาดแต่คุ้นตา

    “อย่ากลัวเลย ข้ามาช่วยเจ้า” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน “ขอโทษ...ที่ปล่อยให้เจ้าทุกข์ทรมานมานานเหลือเกิน”

    “ช่วย...ท่านเป็นใคร ไยจึงมาช่วยข้า” เสียงที่แทบไม่ได้พูดกับผู้ใดแหบแห้ง ข้าถามอย่างงุนงง กระนั้นก็กลั้นความยินดีไม่อยู่เมื่อได้พบคนที่เห็นและพูดคุยกับข้าได้

    “ข้าเป็นคนที่เจ้ารู้จัก แต่หากจำไม่ได้ในตอนนี้...ก็ไม่เป็นไรดอก” เขายื่นมือข้างหนึ่งมาเบื้องหน้าข้า “มากับข้า ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่...แล้วจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง เร็วเข้า เดี๋ยว...ผู้ที่ขังเจ้าไว้...จะรู้ตัวเสียก่อน”

    ข้ามองมือใหญ่ซึ่งมีสีคล้ำกว่าอย่างลังเล

    “ข้าสัมผัสท่านได้หรือ”

    “ได้สิ” เขาตอบอย่างอ่อนโยน “เชื่อใจข้าเถอะ”

    ข้าตัดสินใจยื่นมือออกไป และจับมือของเขา

    ไม่มีความเจ็บปวดแม้แต่น้อย มีเพียงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่ว เหมือนได้รับการปลอบโยน...คุ้มครองให้ปลอดภัย ข้าคลับคล้ายเหมือนเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ก็จำไม่ได้เลยว่าเมื่อใด

    เขาพาข้าออกจากถ้ำ มุ่งสู่โอเอซิสในทะเลทราย ก่อนจะไปต่อยังเมือง

    “ข้าออกจากเมืองไม่ได้” ข้าแย้งอย่างหวาดหวั่น

    “หากมากับข้า...เจ้าจะออกไปได้” เขารับรองให้ใจชื้นขึ้น แต่เพียงเราเดินไปทางเมืองด้วยกันได้ไม่นาน...ข้าก็รู้สึกได้ว่าเขากลับร้อนรน

    พระองค์ รู้แล้ว...เราต้องรีบ!”

    เขาวิ่งเร็วขึ้นทุกที กระทั่งข้าแทบตามไม่ทันหากเขาไม่จับมือไว้แน่น ฟ้ายามราตรีที่เคยใสกระจ่างกลับมืดมัว ลมตีทรายคลุ้งเป็นสัญญาณของพายุ

    พายุพัดแรง เม็ดทรายที่ปะทะร่างเหมือนจะกัดกร่อนข้าให้เป็นเช่นศพเหล่านั้น มือของเราคลายจากกันในความมืดมัว กระนั้นข้ายังได้ยินเสียงของเขา...ดังแว่วมาเป็นครั้งสุดท้าย...เอ่ยถ้อยคำที่ข้าไม่อาจเข้าใจความหมาย

    “สิมูน--!!...ข้าจะกลับมา...ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้าให้ได้!!”

    * * * * *

    เมื่อข้าตื่นขึ้นในถ้ำ ฝนซึ่งตกเพียงสองสามครั้งต่อปี หรือกระทั่งสองสามปีต่อครั้งกำลังโปรยปรายในทะเลทราย ข้าออกไปรับสายฝนนั้นจนชุ่มโชกกาย ใช้สัมผัสของหยดน้ำที่กระทบร่างตอกย้ำว่าตนเองไม่ได้ฝันไป

    กระนั้น...เหตุการณ์ครั้งก่อนหน้าดูเหมือนจะเป็นเพียงความฝัน กระทั่งข้ายังไม่อาจบอกได้ว่าข้าพบชายผู้นั้นจริงๆ หรือไม่ และหากเป็นความจริง เกิดอะไรขึ้นกับเขาในพายุทราย

    ข้ารู้เพียงว่าสัมผัสจากเขา และถ้อยคำของเขาทำให้ข้าเริ่มรอคอย...รอว่าเมื่อใดเขาจะมาช่วยข้าไปจากที่คุมขังนี้

    ข้ารอ...วันแล้ว...วันเล่า หมุนซ้อนย้อนเวียน...หมุนซ้ำย้ำเดิม ผู้คนกลุ่มเก่าทยอยเดินทางออกจากเมืองแห่งสายลม แทนที่ด้วยกลุ่มใหม่ และกลุ่มที่ใหม่กว่านั้น แต่ยังไม่มีแม้เงาร่างของเขา

    ข้ารอ...รอจนความหวังกลับกลายเป็นความเคืองแค้นที่เขาไม่ได้ทำตามสัญญา เหมือนกับลืมเลือนข้าไปเสียแล้ว

    รอ...จนข้าคิดว่าหากพบกันอีกข้าจะสังหารเขา...และจะสังหารใครก็ตามที่มองเห็นและสัมผัสข้าได้ เพราะสักวันหนึ่ง เขาคนนั้นคงจะทิ้งข้าไว้ตามลำพังอีกเช่นกัน

    * * * * *

    แล้วข้าก็ได้พบชายอีกคนหนึ่ง ชายผิวสีอ่อนประหลาดนั้นสบตากับข้า ได้ยินเสียงของข้า และพยายามพูดคุยกับข้า

    ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะสังหารเขา...ข้ากลับปล่อยเขาไว้ ด้วยคิดว่าเขาคงเลิกสนใจข้าและจากไปเอง

    ทว่าเขาไม่ยอมจากไป เขามาพบข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ยนาม ‘สิมูน’ ที่ข้าไม่ได้ยินมานานแล้ว มอบความหวังว่าข้าจะได้พบชายผู้รู้จักและเคยมาหาข้าอีกครั้ง

    และแม้เขาจะไม่อาจนำชายผู้นั้นมาได้ ข้าก็กลับฟังเรื่องที่เขาเล่า...ถ้อยคำเรียงร้อยเป็นเรื่องราวซึ่งเขาเรียกว่าตำนาน ฟังอย่างเพลิดเพลินแม้จะร้าวลึกในอก

    หรือข้าจะเป็นเช่นดานาเอ ผู้ถูกกักขังไว้ในวังสำริด เฝ้ารอจะได้พบใครสักคน และเมื่อพบแล้วก็หวังว่าชายที่นางพบผู้นั้นจะพานางออกไปสู่อิสรภาพ

    ...แต่เขาก็กลับทิ้งนางไว้กับความทุกข์ทรมานยิ่งกว่า และที่คุมขังที่แออัดคับแคบยิ่งกว่า...

    ...เพียงเพื่อให้ชายอีกคนมาพบ โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะทอดทิ้งนางอีกหรือไม่...

    * * * * *

    ข้าเหลือบมองไปนอกปากถ้ำ เห็นฟ้าเป็นสีแดงฉาน ได้เวลาที่เขานัดไว้แล้ว

    ...แต่ข้าควรไปพบเขาหรือ...

    เขาเป็นใคร...ข้ายังไม่รู้จัก เขาบอกข้าไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนที่เคยมาหาข้าอยู่ที่ไหน ดีแต่เล่าเรื่องของดวงดาวไกลแสน เรื่องที่แม้จะน่าพิศวงเพลิดเพลิน ก็ไม่อาจเป็นประโยชน์อันใดต่อข้าเลย

    แล้วเขาต้องการอะไรจากข้า...ข้าก็ยังไม่รู้

    ...ข้าเชื่อใจเขาไม่ได้...

    ...และไม่ควรจะไปพบเขาอีก

    * * * * *

    ตอนนี้ถือเป็นความเบาของคนเขียนเล็กน้อย เพราะไม่มีโน้ตท้ายตอนเลย (ขอบใจจริงๆ นะ หนูสิมูน ^^a ) เป็นตอนแรกที่เป็นมุมมองของสิมูน และสะท้อนเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอคร่าวๆ ครับ

    สิมูนจะยอมเปิดใจให้พ่อม่อนของเราหรือไม่ และทั้งสองคนจะพบกันอีกยังไง ติดตามได้ตอนหน้าครับ :)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×