ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #26 : บทส่งท้าย - ข้ามกาลเวลา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 541
      2
      22 ต.ค. 52

    บทส่งท้าย

    ข้ามกาลเวลา


    “...พวกเขาจะกลับมาพบกันอีก...ในเมืองแห่งสายลม”

    มือเหี่ยวย่นด้วยความชราปิดหนังสือลง วางมันบนตักขณะที่เจ้าของมือทอดสายตาไปไกล เหนือผืนทะเลสาบนิ่งสนิทซึ่งมนุษย์ขุดขึ้น สะท้อนภาพแมกไม้เขียวขจีอันรายล้อมริมทะเลสาบ ราวภาพวาดสีน้ำแสนงามในวันฟ้าครามใส

    “จบแล้วหรือ” หญิงชราบนรถเข็นถามชายชราบนม้านั่ง ได้รับคำตอบสั้นๆ

    “ใช่” ชายชราตอบ แล้วหันไปทางหญิงนั้น เริ่มกังวลเมื่อเห็นทางน้ำตาที่ยังค้างอยู่บนแก้ม “จบเศร้าไปหรือ”

    อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

    “เปล่าหรอก เพียงแต่...ทำไมถึงร้องไห้ก็ไม่รู้” หญิงชรายกมือขึ้นปาดดวงตา “เขียนดีนะ ถึงจะจบอย่างนั้น...แต่...ไม่สิ มันไม่จบ มันเป็นความจริง ไม่น่าจะสวยงาม...แต่เพราะอย่างนี้ถึงได้สวยงาม บางที...อดคิดไม่ได้นะ เราสองคนเกิดมาเจอกัน รักกัน แต่งงานกันมากี่ครั้งแล้ว และตอนนั้น...เรามีความสุขมากไหมนะ”

    เธอชะงักไป แล้วก็ยิ้มเฝื่อนๆ ให้ชายชรา

    “ยายชักพูดเลอะเลือน ตาคงเบื่อแย่เลย”

    “ไม่หรอก ตาเข้าใจ เพราะโลกนี้ไม่สวยงาม...ไม่สมหวังไปเสียทุกอย่าง เวลานี้จึงได้สวยงาม จึงควรมีความสุข อย่างนั้นกระมัง”

    ใช่...ทั้งสองเข้าใจ เส้นทางความรักของพวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็ไม่ได้มีเพียงขวากหนามและคราบน้ำตา หากลองได้ผ่านช่วงชีวิตหนุ่มสาวกับอารมณ์รุนแรง ค่อยๆ แปรจากรักใคร่เป็นซื่อสัตย์ภักดี สร้างชีวิตใหม่ให้เกิดขึ้นและเติบโตขึ้นมา จนจากลูกนกกลายเป็นนกที่โผบินแยกไปจากรัง ล่วงจากรุ่งอรุณ เข้าสู่สนธยาของชีวิต...คงเข้าใจ

    เพราะความรักถูกจำกัดด้วยชีวิตที่ไม่จีรัง เวลาแสนสั้นที่ได้อยู่ด้วยกันนี้จึงมีค่านัก

    “ใครแต่งหรือ เรื่องนี้” หญิงชราถาม หลังจากความเงียบที่มีเพียงใบไม้แสกสากดำเนินไปแสนนาน

    “เอนลิล” ชายชราพลิกปกหนังสือดู

    “ชื่อเหมือนวายุเทพในเรื่องเลยนี่นา”

    “เขาคงอยากให้รู้สึกเหมือน...วายุเทพมาเขียนเล่าด้วยตนเองกระมัง” ชายชราสันนิษฐานพลางพลิกหนังสือไปมา “ไม่มีประวัติผู้เขียนนอกจากนี้เลย แต่ถ้ายายชอบเรื่องของเขา ตาจะไปหามาอ่านให้ฟังอีกนะ”

    หญิงชราพยักหน้ารับ

    “จ้ะ ขอบคุณนะตา ว่าแต่...ลมเริ่มเย็นแล้ว กลับกันก่อนดีไหม เดี๋ยวตาเป็นหวัดขึ้นมานะ”

    “ฮื่อ” ชายชราพยักหน้า แล้วก็จัดผ้าคลุมซึ่งห่มร่างของภรรยาบนรถเข็นให้เรียบร้อย ก่อนจะค่อยๆ เข็นรถพาเธอออกห่างจากม้านั่งริมสระน้ำ สู่ถนนสายเล็กอันขนาบข้างด้วยร่มไม้ ที่เป็นไม้ผลัดใบทิ้งใบกรอบแห้งสีเหลืองทองไปจนถึงน้ำตาล คลุมพื้นดินดารดาษ ประหนึ่งเม็ดทรายสีสวยในทะเลทราย

    สวนสาธารณะยามบ่ายนี้ดูว่างเปล่า ร้างเงาผู้คนอย่างประหลาด แต่ใช่ว่าชายชราจะไม่ชอบ ในเวลาที่ไม่ต้องกังวลเรื่องงานการและลูกหลานอีกต่อไป เขากับภรรยาย่อมต้องการพักผ่อนอย่างเงียบสงบด้วยกันเท่านั้นเอง

    ใช่...สวนวันนี้ร้างคนอย่างสิ้นเชิงจริงๆ หากไม่นับชายที่เดินสวนมาบนทางเบื้องหน้า นัยน์ตาของชายชราฝ้าฟางแล้ว แต่ก็พอเห็นว่าชายนั้นดูเหมือนคนต่างชาติ ผิวของเขาเป็นสีทองแดง น่าจะมีสายเลือดทางตะวันออกกลาง หรือชนชาติอื่นแตกต่างจากเขากับภรรยา อย่างไรก็ดี ชายนั้นไม่ได้ดูคุกคาม ชายชราจึงเพียงค้อมศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงทักทาย ก่อนจะเข็นรถของภรรยาผ่านไป

    “ยินดีด้วยนะ” เขาได้ยินคำกระซิบแผ่วเบา...รางเลือนดุจลมพัดข้างหู

    ชายชราหยุดกึก หันกลับไปทันที แต่กลับไม่เห็นชายซึ่งควรจะเดินอยู่บนทางเส้นเดียวกันเลย มีเพียงใบไม้กลุ่มหนึ่งที่ลอยวนในลมหมุนสายเล็ก ประหนึ่งกำลังเริงระบำ

    “มีอะไรหรือตา”

    “ม...ไม่มีอะไรหรอกยาย” ชายชราตัดสินใจพูด ไม่อยากให้ภรรยาเป็นกังวลไปด้วย เขาคิดว่าตนอาจตาฝาดไปเอง

    ไม่เช่นนั้น...นั่นคงเป็นเพียงภูตพรายที่ไม่ได้ประสงค์ร้ายอันใดเลย มิเช่นนั้นจะกล่าวคำยินดีทำไม

    “ก็แค่...ลมที่พัดมาเท่านั้นเอง”

    ใช่... แค่สายลมที่พัดผ่านมา...และผ่านไป...

    เทพวายุผู้คงอยู่ผ่านกาลเวลา หลังจารจารึกเรื่องของตนให้คนผู้อื่นรับรู้ทิ้งคราบของมนุษย์ และโบยบินสู่ท้องฟ้าหมู่เมฆ ท่องไปอย่างเสรีในโลกที่เทพเจ้าโบราณถูกลืมเลือน...หรือมิเช่นนั้นก็จดจำในฐานะตัวละครปรัมปรา

    เขาพอใจแล้ว...ที่ได้พบคนสองคน แม้นคนเหล่านั้นจะไม่เหมือนเดิม...ไม่อาจจดจำตนได้เลยแม้แต่น้อย

    ไม่ว่าจะเป็นสายลม...หรือเม็ดทราย ทั้งสองก็ได้พบกันอีกครั้ง นี่อาจเป็นการพบกันครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่พัน...ไม่มีใครล่วงรู้ การพบกันครั้งนี้ใกล้จบสิ้นแล้ว และครั้งหน้าอาจจบลงเพียงไม่กี่สิบนาที...ไม่กี่ปี...หรือยาวนานชั่วชีวิตก่อนลาจาก แต่พวกเขาก็จะหวนกลับมาพบกันอีกครั้ง พบกับความสุขที่สุดในชีวิต และความทุกข์ที่ทุกข์ที่สุดในชีวิต...ทว่าไม่มีใครวัดได้ว่าความสุขใดสุขที่สุด และทุกข์ใดทุกข์ที่สุดในบรรดาชีวิตเหล่านั้น ผู้ประสบย่อมรู้สึกว่าทุกข์สุขที่ตนประสบในชั่วขณะหนึ่งเป็นสิ่งที่เข้มข้นลึกซึ้งที่สุดเสมอไป...เนื่องเพราะพวกเขาลืมเลือนความสุขและทุกข์ก่อนหน้านี้เสียหมดแล้ว

    แต่เพราะลืมเลือนไปเสียแล้ว...เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว...ความทุกข์ที่ประสบจึงได้ทำให้ค่าของความสุขชัดเจนขึ้น...และความสุขที่ได้พบไม่ว่าก่อนหรือหลังความทุกข์จึงได้ติดตรึงใจควรแก่การหวนระลึก...จนกว่าจะลืมเลือนสิ้นอีกครั้ง

    ตำนานของเม็ดทรายทั้งสอง...และเม็ดทรายอีกนับล้านล้านยังคงดำเนินต่อไป...พัดพาในสายธาร...ข้ามกระแสแห่งกาลเวลา

    * * * * *

    แรกสุด ขอขอบคุณผู้อ่านทุกๆ คนที่ติดตามมาตลอด และทุกคอมเมนต์ที่มีให้นะครับ ทั้งพี่หมอซิด คุณ bekung คุณ kotoba และคุณเม็ดบ๊วย ผมดีใจมากที่ได้เห็นเสียงตอบรับของผู้อ่าน ได้พบผู้ที่ชื่นชอบตำนานและเล่าสู่กันฟัง

    เรื่องนี้ ผมเขียนฉบับแรกสุดเมื่อเรียนมัธยมปลาย ในชื่อ ความทรงจำแห่งสายลม แต่เมื่อนำกลับมาอ่านมาแก้ไข ก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนแยกเป็นอีกเรื่อง ตัวละครเปลี่ยนแปลงไป มีหลายครั้งที่เขียนตามความรู้สึกที่กระทบใจในเวลานั้น สอดแทรกคำถามที่ตนเองอยากรู้คำตอบ สิ่งที่ตนเองเชื่อ และเรื่องที่อยากเล่า แต่เหนือสิ่งอื่นใด หากเรื่องนี้มอบความสนุกเพลิดเพลินให้ผู้อ่าน และสร้างสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเม็ดทรายไว้ในใจ ผมก็ดีใจมากครับ

    สุดท้าย ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขกับ "เวลา" นี้ และหากมีความเห็นติชมใดๆ เพื่อการพัฒนาเรื่องให้สมบูรณ์ขึ้น ก็ขอความกรุณาด้วยครับ

    อนิธิน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×