ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #23 : บทที่ ๓/๓ - ออร์เฟอุสกับยูริดิเค

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 312
      1
      15 ต.ค. 52

    ๓. ออร์เฟอุสกับยูริดิเค


    ในคืนวิวาห์ของข้ากับสิมูน ข้าเล่าถึงคู่วิวาห์อีกคู่หนึ่ง

    “ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคีตธรผู้ยิ่งใหญ่นามออร์เฟอุส เขาเป็นบุตรของคัลลิโอเป หนึ่งในคณะเทพกัญญาแห่งศิลปการดนตรี ส่วนบิดาของเขานั้น บ้างว่าเป็นกษัตริย์มนุษย์แห่งดินแดนนามว่าธราเค บ้างว่าเป็นเทพแห่งดุริยางค์อพอลลอน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาได้ร่ำเรียนการดีดพิณเล็กจากองค์เทพเจ้า และเรียนการขับร้องประพันธ์ถ้อยคำจากมารดา ออร์เฟอุสเติบโตขึ้นเป็นชายรูปงาม ทั้งยังบรรเลงพิณและขับขานบทเพลงได้ไพเราะจับใจ กล่าวกันว่าเพียงเขาร้องเพลงคลอพิณในป่า นกยังบินลงมาฟัง ปลายังโผล่หัวเหนือผิวน้ำ กวางลืมวิ่งหนีเสือ และแม้เสือเองก็นิ่งฟังตะลึงงัน ลืมไปว่ามันกำลังเตรียมขย้ำกวางเบื้องหน้า พฤกษากับก้อนหินเริงรำตามท่วงทำนอง กระทั่งแม่น้ำยังเปลี่ยนเส้นทางเพื่อฟังการสังคีตของเขา

    “หญิงเดียวที่เขามอบใจให้คือนางไม้นามยูริดิเค ทั้งสองได้สมรสกันด้วยความยินดี ออร์เฟอุสบรรเลงเพลงวิวาห์ให้แก่ทั้งสอง ส่วนนางก็เริงรำในชุดเจ้าสาวทั่วท้องทุ่ง ทว่า...เวลาแห่งความสุขของนั้นแสนสั้นนัก บ้างเล่าว่าความงามของยูริดิเคต้องตาชายอีกคนหนึ่ง ชายผู้นั้นไล่ตามนาง ขณะวิ่งหนี นางเหยียบลงบนงูตัวหนึ่งซึ่งแว้งตัวกลับมาฉกข้อเท้าของนางโดยเร็วด้วยความตกใจ แต่บ้างก็ว่านางบังเอิญเหยียบงูในท้องทุ่งเองขณะเดินเล่น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด นางก็สิ้นชีวิตด้วยพิษงูนั้น ดนตรีของออร์เฟอุสไม่อาจขับพิษร้ายออกจากร่างของนาง หรือยื้อลมหายใจของนางไว้ได้

    “ออร์เฟอุสโศกเศร้าเป็นที่สุด เขาบรรเลงเพลงโศกอาลัยนางอยู่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งฟ้าต้องหลั่งน้ำตา กระทั่งมหาเทพเซอุสได้สดับเสียงเพลงยังเห็นใจรักของคีตธรหนุ่มนัก ทว่าปรภพมิได้อยู่ในบังคับของเซอุส มหาเทพแห่งท้องฟ้าและโลกมนุษย์จึงทำได้เพียงแนะนำให้เขาลงไปขอคนรักคืนจากอาเดสด้วยตนเอง และอวยพรให้เขาโชคดีเท่านั้น

    “ออร์เฟอุสเดินทางสู่ปรภพผ่านอุโมงค์ใหญ่ เขาใช้เสียงเพลงของตนกรุยทางไปเบื้องหน้า กระทั่งสุนัขสามหัวเคอร์เบโรสผู้ดุร้ายยังสงบนิ่ง ยอมให้เขาผ่านไปแต่โดยดี เหล่าวิญญาณต้องโทษในตรุทาร์ทาโรสลืมความทุกข์ทรมานของตน ซิสิโฟสนั่งพักบนก้อนหิน ทันทาโลสลืมความหิวกระหาย เบื้องหน้าอาเดสจ้าวแห่งปรภพ และเพอร์เซโฟเนผู้เป็นราชินี ออร์เฟอุสขับลำนำอันไพเราะโหยไห้จับใจทั้งสอง...

    “คารวะเทพไท้แดนอนธการ
    อันบุตรทุกนงคราญเดินทางสู่
    ทุกสิ่งสรรค์อันงามงดในโลกรู้
    ทุกผู้อยู่ในอาณัติท่านมิช้า

    ท่านคือเจ้าหนี้ที่เรามิอาจเลี่ยง
    ยืมได้เพียงชั่วชีวิตสั้นนักหนา
    ก่อนส่งคืนเป็นของท่านตราบกัลปา
    แต่ข้ามาเพื่อวอนสิ่งล่วงเร็วไป

    บุปผางามปลิดก้านก่อนแย้มผลิ
    ข้ามิอาจทานทนทุกข์นี้สุดไหว
    ท่านย่อมรู้อำนาจรักเหนือเทพไท
    แม้นท่านไซร้มีตำนานเล่าขานกัน

    มวลมาลีกระซิบซาบเล่าขานถึง
    วันซึ่งท่านสบกัญญาแห่งวสันต์
    ไฟรักรุมสุมหทัยในฉับพลัน
    ท่านหุนหันจู่โอบนางขึ้นรถทรง

    อำนาจรักดูเถิดช่างล้นแสน
    มาตรแม้นเทพปรภพยังใหลหลง
    ห่างชายาเพียงครึ่งปีมิวายพะวง
    ยังหวังคงเคียงข้างนางนิรันดร์

    ข้าวอนท่านต่อด้ายอันสะบั้นขาด
    โปรดประสาทชีพแก่นางผู้อาสัญ
    มิใช่มอบสิทธิ์แก่ข้าชั่วกัปกัลป์
    เพียงเพิ่มคืนวันซึ่งข้าอาจยืมนาง

    เมื่อเวลาผันผ่านไม่นานช้า
    ตามธาราครรลองทุกสิ่งสร้าง
    ท่านพระยมจักได้คืนซึ่งชีพนาง
    อย่าเมินหมางผู้มีรักโปรดเมตตา

    “แม้นข้าใช้ถ้อยคำเดียวกัน...ซึ่งสืบทอดต่อมาในฐานะบทเพลงที่กล่าวกันว่าออร์เฟอุสประพันธ์ขึ้นในครานั้น...ก็มิอาจถ่ายทอดความงามไพเราะของท่วงทำนองของเขาได้ ครั้นเพลงจบ อาเดสจ้าวแห่งปรภพผู้เฉยชามีน้ำตาอาบแก้ม ทั้งมหาเทพแห่งโลกเบื้องล่างและชายาเห็นพ้องต้องกันว่าออร์เฟอุสสมควรได้ยูริดิเคคืนไป จึงได้เรียกวิญญาณของนางมาพบเขา

    “ทว่า...อาเดสยังกำชับเงื่อนไข เขาอาจนำนางกลับสู่โลกมนุษย์ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามหันกลับไปมองนางเป็นอันขาดก่อนขึ้นถึงพื้นโลก ออร์เฟอุสเดินนำยูริดิเคไปอย่างเงียบงันบนเส้นทางยาว ผ่านทวารทั้งหลายแห่งปรภพไปจนถึงอุโมงค์คดเคี้ยวที่ตนลงมา คีตธรหนุ่มแลเห็นแสงรำไรแห่งอรุณที่ปากอุโมงค์ ด้วยความยินดี...เขารีบสาวเท้าออกไปอาบแสงแห่งชีวิตนั้น ผินหน้ากลับไปหมายจะมองคนรักอย่างยินดี มือที่ว่างจากพิณเอื้อมหามือของนาง

    “ทว่า...นั่นกลับเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นนาง...ในยามที่ตนมีชีวิตอยู่” ข้ารีบเสริมเมื่อเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของสิมูน “ยูริดิเคยังมิได้ล่วงปากอุโมงค์ออกมา ออร์เฟอุสทำผิดสัญญาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นางพลันหายวับไปราวกับเงา ทิ้งไว้เพียงถ้อยคำ ‘ลาก่อน’ อันเบาบางดุจสายลม”

    ภรรยาของข้ากอดข้าแน่นขึ้น...ราวกับเกรงกลัวว่าข้าจะหายไปดุจเดียวกัน

    “ตำนานจบลงเพียงเท่านั้นหรือ”

    “หามิได้” ข้าสั่นศีรษะ “ออร์เฟอุสยังคงมีชีวิตต่อไป...อย่างไร้ชีวิต

    “เขาสิ้นความสนใจในทุกสิ่ง มิอาจบรรเลงเพลงที่ไพเราะงดงามได้สมใจตนอีก คีตธรหนุ่มปล่อยตนเองให้จมในความโศกเศร้าและเมรัย หมายให้ตนลืมเลือน เขาคบค้าเป็นเพื่อนดื่มเที่ยวเล่นเสเพลกับเหล่าสาวกหญิงแห่งเทพเมรัย กล่าวกันว่าพวกนางมีจิตปฏิพัทธ์ในตัวเขา แต่เมื่อทราบว่าไม่อาจมีวันได้หัวใจของเขา พวกนางจึงกราดเกรี้ยวและฉีกร่างของเขาเป็นชิ้นๆ ใต้อำนาจสุรา ผู้เล่าตำนานบางคนจบเรื่องนี้อย่างมีความหวังขึ้นว่าออร์เฟอุสได้อยู่กับยูริดิเคผู้เป็นที่รักสมใจในปรภพหลังมรณกรรมนั้น แต่...ไม่รู้สินะ” ข้าถอนใจเมื่อนึกถึงภาพทุ่งอัสโฟเดลและเหล่าดวงวิญญาณไร้ชีวิตชีวา เว้นช่วงนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง

    ออร์เฟอุสรู้ล่วงหน้าหรือไม่...ว่าแดนแห่งวิญญาณเป็นเช่นนั้น ต่อให้ลงไปอยู่ที่นั่นกับคนรัก เขากับยูริดิเคก็ย่อมไร้ความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน ไร้ความรู้สึกโหยหาหรือผูกพันที่เรียกได้ว่าเป็นความรัก จึงได้ตัดสินใจนำนางกลับมาสู่โลกแห่งแสงตะวันและชีวิตอีกครั้ง

    ...แต่เขาจะยังรู้ล่วงหน้าหลังจากนี้ไหม...ว่าการตายหรือชีวิตในปรภพมิใช่จุดจบของทุกสิ่ง...

    “ถึงมิได้อยู่ร่วมกันในทุ่งเอลิวเซีย” สุดท้ายข้าก็เอ่ยช้าๆ “ทั้งสองก็น่าจะมีโอกาสกลับมาถือกำเนิดใหม่ในโลกมนุษย์ พบกัน รักกัน และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกครั้ง...ตราบชั่วนิรันดร์ในความเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นกระมัง ข้าคิดว่า...นั่นคือสิ่งที่ควรเป็นไป

    “มีบางคนกล่าวว่าออร์เฟอุสเป็นคนขลาด แทนที่จะเลือกดับชีวิตตนเอง กลับเยาะเย้ยเทพเจ้าและกฎแห่งชะตากรรมโดยการพยายามในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อเด็กกว่านี้ข้าคิดว่าเขาเป็นคนกล้าหาญ ตอนนี้ก็ยังคิดว่าเป็นคนกล้าอยู่ แต่...ขาดการยอมรับสิ่งที่ตนไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลง”

    “ไม่ใช่ว่าเขาพยายามอุดรูรั่วของหม้อน้ำ สร้างหนทางใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือ” สิมูนตั้งคำถาม “ถึงแม้จะ...ไม่สำเร็จก็ตามที”

    “อย่างนั้นหรือ” ข้ารับลอยๆ “แสดงว่าท่าน...เห็นว่าความตายเป็นสิ่งที่เอาชนะได้สินะ”

    หญิงสาวกลับมองข้าอย่างสงสัย แล้วก็สั่นศีรษะ

    “ข้าไม่รู้เหมือนกัน แต่มนุษย์ที่เป็นอมตะก็มีอยู่ไม่ใช่หรือ ดูอย่างซิ-อุด-ซูรา กับภรรยาของเขา...”

    “แต่ความเป็นอมตะคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรใฝ่หาจริงหรือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน...” ข้าพยายามรวบรวมความคิดที่ฟุ้งกระจายของตนให้เป็นระเบียบ “ข้าเชื่อว่าความพยายามเป็นสิ่งดี การมองหาทางเลือกอื่นๆ ที่อาจซ่อนอยู่หรือไม่เคยมีมาก่อนก็เป็นเรื่องดี แต่ก็คงมีจุดที่...เราต้องยอมรับสิ่งที่เป็นไป หลังจากพยายามทำเท่าที่ทำได้แล้ว”

    ข้าเชยคางของสิมูนขึ้น สบกับแววตาที่ยังคงงุนงงและหวาดหวั่นของนาง

    “เราเป็นอมตะไม่ได้ และบางที...”

    ลมเย็นเยียบวูบหนึ่งพัดเข้ามา ประตูกระโจมซึ่งข้ามั่นใจว่ามัดเชือกปิดไว้เป็นอย่างดีแล้วเผยอแวบ ตะเกียงที่ไร้ครอบไฟดับแสง

    อาจเป็นชั่วพริบตาเดียว แต่ข้ามั่นใจว่าตนเห็น...เห็นร่างสูงใหญ่สีดำที่ยืนรออยู่เบื้องหน้าประตูนั้น

    “มาแล้วหรือ...” ข้าพึมพำแผ่วเบา แม้นทำใจมานานก็ยังรู้สึกกริ่งเกรงเช่นกัน

    ...เทพเจ้าเอย...ไม่สิ...ตัวข้าเอง...ขอได้โปรดให้ข้ามีความกล้าหาญพอจะช่วยให้สิมูนยอมรับชะตากรรมนี้ได้ด้วยเถิด...

    * * * * *

    ธรรมเนียมการแต่งงานของชาวบัดวีหรือเบดูอิน ผมสืบหาจากหลายเว็บไซท์ รวมทั้งถามน้อง PaladiousAsmy ผู้มีความรู้ในเรื่องนี้ อาจมีความแตกต่างบ้างเพราะบันทึกที่ได้มักเป็นพิธีแต่งงานในสมัยอิสลามแล้ว ขณะที่เรื่องนี้เป็นช่วงก่อนศาสนาอิสลาม อาจคลาดเคลื่อนกันบ้าง

    เว็บไซต์นี้มีรูปชุดเจ้าสาวเบดูอินในอียิปต์ รวมทั้งลายเขียนมือด้วยฮินนาหรือเฮ็นนาครับ

    http://www.zawaj.com/weddingways/bedouin_color.html

    เนื้อเพลงที่อามอนแต่งต่อ มาจากคำแปลเพลง Sen no Kaze ni Natte หรือ A Thousand Winds เช่นเดียวกับท่อนก่อนหน้า ส่วนตำนานของออร์เฟอุสกับยูริดิเคหรือยูริดีซเป็นตำนานกรีกที่ผมอ่านเป็นเรื่องแรกๆ เช่นเดียวกับเรื่องของเพอร์เซอุสกับอันโดรเมดา ในหนังสือการ์ตูนสอนดาราศาสตร์ในชุดที่ซีเอ็ดเคยทำ และกลอนที่อามอนท่องต่างคำอ้อนวอนของออร์เฟอุส แปลจากกลอนที่ลงในหนังสือ Mythology ของ Edith Hamilton โดยใส่สัมผัสครับ

    ตอนหน้า (รวมบทส่งท้าย) จะเป็นตอนจบของเรื่องนี้แล้ว ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามมาตลอด และหากมีคอมเมนต์ติชมใดๆ เพื่อการแก้ไขก็ขอความกรุณาด้วยครับ m[_ _]m
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×