ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ ๑/๙ - อาร์ดัท-ลิลิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 229
      1
      18 ส.ค. 52

    ๙.อาร์ดัท-ลิลิ


    ชายที่ช่วยข้า...หรืออย่างน้อยข้าก็หวังว่าเขามาเพื่อช่วย...ก้าวหนักๆ เข้ามาในกระโจม ข้าเงยมองเท่าที่มือและกริชที่ตรึงลิ้นอยู่จะอำนวย พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเอนลิลจริงๆ ...ตามเสียงที่ตนจำได้

    ทว่าสีหน้าของเขาถมึงทึงจนน่าขนลุก เป็นสีหน้าที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน และทำให้กลัวจับใจ...ว่าเขาเห็นจะมาฆ่าข้ามากกว่าช่วยออกไปใช่หรือไม่

    “เจ้าเป็นใคร! กล้าดีอย่างไรจึงบุกรุกเข้ามาถึงนี่!” หัวหน้าเผ่าตวาด ไม่ช้าก็มีเสียงนักรบคนอื่นๆ ในกระโจมชักดาบออกมา

    “ข้าเป็นใคร...ไม่สำคัญเท่ากับ ‘นั่น’ เป็นใครหรอก”

    เอนลิลชี้นิ้วตรงมา ทีแรกข้าคิดว่าเขาชี้ตน แต่ปลายนิ้วนั้นเลยไปเหนือศีรษะข้า...ผ่านไปถึงใครอีกคนด้านหลัง ลูกชายหัวหน้าเผ่าลดกริชลงจากลิ้น ข้าจึงสามารถหันกลับไป พบว่าคนที่เอนลิลชี้คือหญิงผู้นั้น ลูกสะใภ้ของหัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นต้นเหตุให้ข้ามาอยู่ที่นี่

    “พูดอะไรของเจ้า!” สามีของนางถามเสียงแข็ง

    เอนลิลไม่ตอบ เพียงเขาสะบัดมือวูบหนึ่ง หญิงผู้ถูกชี้ก็กรีดร้องและทรุดฮวบลงทันที ลูกชายหัวหน้าเผ่าผละจากข้า ร้องเรียกภรรยาพร้อมกับตรงเข้าไปประคองนาง ขณะที่นักรบคนอื่นๆ ปราดเข้าหาเอนลิล ทว่าไม่อาจประชิดตัวเขา กระทั่งคมดาบที่ฟาดใส่เขาก็กลับเบนไปราวกับปะทะกำแพงเวทมนตร์ที่มองไม่เห็น

    สถานการณ์เปลี่ยนไป...เมื่อลูกชายหัวหน้าเผ่าร้องอย่างตกใจ แล้วก็ตะลีตะลานผละจากร่างของหญิงที่ควรเป็นภรรยาของตน

    ผ้าที่คลุมศีรษะและร่างของนางเลื่อนหลุด...เผยใบหน้าขาวซีดยาวแหลมผิด มนุษย์ ปลายมือของนางยืดยาวขึ้น ปกคลุมด้วยขนนกสีน้ำตาลสลับลาย ราวกับปลายปีกของเหยี่ยวหรือนกฮูก

    “อาร์ดัท-ลิลิ” เพียงเอนลิลเอ่ยสั้นๆ ข้าก็เบิกตาโพลงเพราะจำชื่อนั้นได้ดี แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าอมนุษย์เช่นนี้มีจริง

    อาร์ดัท-ลิลิเป็นภูตที่ชาวอัสซีเรียนเล่าขานถึง พวกมันมีรูปร่างเป็นหญิงสาวที่มีปีกนกและขนนกปกคลุมร่างกาย คล้ายกับพวกฮาร์ปีในตำนานของชาวเอลลิเนส ทว่าวิธีจู่โจมของปีศาจหญิงทั้งสองนี้แตกต่างกัน ฮาร์ปีโฉบลงฉวยคว้าอาหารและทำให้พวกมันเน่าบูดจนไม่อาจบริโภค ส่วนอาร์ดัท-ลิลิมีเรื่องเล่าไปสองทาง บ้างว่าพวกมันหลอกล่อสมสู่กับบุรุษเพื่อสูบกินพลังชีวิต บ้างก็ว่าลักขโมยเด็กไปกินเป็นภักษาหาร

    ข้าไม่ทราบว่าที่แท้อาร์ดัท-ลิลิตรงหน้ามีจุดประสงค์ใด แต่บัดนี้มันดูน่าเวทนามากกว่าคุกคาม ราวกับถูกอำนาจของเอนลิลกดให้ได้แต่หมอบคุดคู้กับพื้น ส่งเสียงร้องหวีดแหลมโหยหวนขณะที่คนรอบกายผงะถอยไปจากมัน เด็กทั้งสองส่งเสียงร้องไห้จ้า

    “หากข้ามาช้ากว่านี้สักหน่อย หลานๆ กับลูกชายท่านคงได้ตายตามลูกสะใภ้จริงๆ ของท่านที่ถูกมันกินไปแล้ว” เอนลิลพูดต่อ “ไปเสีย! เจ้าปีศาจ! ไม่ใช่วิสัยของเจ้าที่จะข้องแวะใกล้ชิดมนุษย์!”

    “...แล้วเจ้าล่ะ...” ปีศาจหญิงกรีดเสียง “...เจ้ากับหญิงคนนั้น...ที่เจ้าทำกับนาง...มันต่างจากข้าสักเท่าไรกัน!”

    “ไปเสีย!” เอนลิลสำทับคำเดิม อาร์ดัท-ลิลิกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของมันจะหดเล็กลง กลายเป็นเพียงนกฮูกธรรมดาที่บินโผเผไปยังปากกระโจมและผลุบออกไป

    จากนั้น คนสำทับก็กระชากไหล่ข้าให้ลุกขึ้นยืน แล้วลากถูลู่ถูกังออกไปบ้าง เขาทิ้งท้ายกับเหล่าชาวบัดวีที่นิ่งอึ้งอยู่เพียงว่า

    “นั่นไม่ใช่ลูกสะใภ้ของท่าน ชายคนนี้จึงไม่มีความผิด ข้าขอตัวเขาไปเป็นค่าตอบแทนที่ไล่ปีศาจให้ก็แล้วกัน”

    * * * * *

    มือของเอนลิลบีบแขนข้าแน่นราวกับโซ่ตรวน ยังผลให้ได้แต่ซวนเซตามเขาไปเป็นทางยาว จนสุดท้ายเขาก็ยอมปล่อยมือเมื่อพ้นจากหมู่กระโจมของชาวบัดวีมาพอสมควรแล้ว

    “นี่ท่าน—”

    “เจ้าก็ไปจากที่นี่เสีย” แค่เริ่มพูด เขาก็แทรกทันควันจนข้านิ่งงันไปครู่หนึ่ง

    “ทำไม”

    “ถ้ายังรักชีวิตอยู่ จงไปจากที่นี่” เอนลิลเน้นเสียงหนักๆ

    “ทำไม มีใคร...หรืออะไรจะทำร้ายข้าหรือ” ข้าตั้งคำถาม “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

    “จงลืมสิมูน ลืมว่าเจ้าเคยเหยียบย่างเข้ามาในทะเลทรายแห่งนี้” เอนลิลส่งสายตาแข็งกร้าวเหมือนต้องการเอาชีวิต จนข้าเผลอหันหลบอย่างหวาดหวั่น “ลืมฝันลมแล้งของเจ้า สำคัญที่สุดจงอย่าไปพบนางอีก แล้วเจ้าจะมีอายุยืนยาวและชีวิตสงบสุข ทั้งหมดนี้เพื่อทั้งตัวเจ้าเองและนางด้วย”

    “จะให้ข้าทำอะไร...ท่านต้องบอกเหตุผลมาก่อน!” ข้าพูดเสียงแข็งขึ้นด้วยโทสะ “ไม่ใช่จู่ๆ ก็มาสั่งเอาๆ ทั้งๆ ที่ข้าไม่รู้อะไรเลย!”

    เขาแค่นหัวเราะ

    “รู้ไปก็ไม่มีอะไรดี เจ้าจะรู้ไปทำไม”

    “ไม่รู้ก็เหมือนตาบอด แล้วข้าจะทำตามคำสั่งของท่านไปทำไม!” ข้าคิดว่าตนเองต้องชิงถามบ้าง “ท่านคือวายุเทพเอลลิลใช่ไหม ท่านเคยพบสิมูน...และพยายามช่วยนางไปจาก ‘พระองค์’ ใช่หรือเปล่า สิมูนเป็นใคร ไยจึงถูกสาปและกักขังเช่นนี้!”

    “เจ้ายอมตายเพื่อรู้ได้ไหมล่ะ” เอนลิลเพียงย้อนถาม...แต่ด้วยเสียงเคร่งขรึมจนข้าเย็นสันหลังวาบ ชะงักไปเป็นนานจึงเอ่ยต่อได้

    “ทำไม...”

    “ไม่สิ คำถามควรเป็น ‘เจ้ายอมตายเพื่อช่วยนางได้ไหม’ มากกว่า” เขาพูดต่อไป ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าไม่ต่างจากเดิม “ถ้าเจ้ารับปากว่าจะยอมตายเพื่อช่วยนาง ข้าจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง เรามาตกลงกันไหม”

    ข้านิ่งงัน...ไม่อาจมอบคำรับรอง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธออกไปได้ตรงๆ

    ตาย...เรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้ ข้าต้องตายเพื่อช่วยสิมูนอย่างนั้นหรือ ข้าไม่อยากตาย มนุษย์ธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อยากตายทั้งนั้น แต่ข้าก็ต้องการช่วยสิมูนให้ได้จริงๆ แต่ว่า...ถึงขั้นยอมช่วยจนตัวตายนี่ไม่เกินไปหน่อยหรือ

    ข้าอยากรู้ว่าฝันของตนมีความหมายอะไร เกี่ยวข้องกับนางหรือไม่ ข้าเห็นใจสิมูนจริงๆ แต่นางเป็นใคร ข้ารู้จักนางจริงๆ หรือ เราพบกันแค่ไม่ถึงเดือน ข้าไม่ใช่วีรบุรุษที่จะเที่ยวสละชีวิตเพื่อใครๆ ไปทั่ว แต่...นั่นหมายความว่าข้าใจดำพอจะหนีไปคนเดียว ทิ้งนางไว้เพียงลำพังเป็นร้อยเป็นพันปี ไม่รู้จะมีใครพบเห็นหรือรับรู้ตัวตนของนางอีกกระนั้นหรือ

    ข้าไม่รู้...ไม่รู้จริงๆ แล้ว

    ข้าไม่อาจให้คำตอบ แต่เมื่อเอนลิลเหลือบดูสีหน้าของข้า เขาก็หัวเราะคล้ายเยาะหยัน

    “แน่ล่ะว่าไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเจ้าขลาดเขลากว่าใครๆ หรอก แต่อย่าปฏิเสธเลยว่ามนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัว รักตัวกลัวตายเป็นที่ตั้งกันทั้งนั้น กับแค่ผู้หญิงแปลกหน้าที่พบกันไม่กี่ครั้ง ใครจะยอมสละชีวิตช่วยนาง เพราะฉะนั้นเจ้าไปเสียเถิด ไปเสีย...แล้วอย่ามาข้องแวะกับนางให้นางทรมานไปมากกว่านี้”

    “ท่านพี่—” ข้าพยายามเรียก แต่เขาก็โคลงศีรษะ

    “อย่ามานับญาติกับข้า ชาวเอลลิเนส” เขาจ้องข้าเขม็งด้วยดวงตาที่ดูราวกับจะลุกโชนเป็นไฟขึ้นทันที “ข้าตอบคำถามเจ้าได้เพียงข้อเดียว เอนลิลคือนามที่ชาวซัง กิ-กาใช้เรียกวายุเทพเอลลิล ทีนี้คงรู้แล้วว่าถ้าขืนตามมาแม้แต่ก้าวเดียว...เจ้าจะประสบสิ่งใด”

    เอนลิลกลับหลังหัน และเดินจากไปยังอูฐที่ข้าเพิ่งสังเกตว่ายืนรออยู่ไม่ไกล

    รอจนเขาควบอูฐหายไปท่ามกลางหมอกทรายคลุ้ง ข้าจึงได้แต่กลืนน้ำลายฝืดๆ ไม่มีความคิดจะท้าทายคำขู่สุดท้ายเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย

    ...ก็เขากระชากหน้ากากของอาร์ดัท-ลิลิ ปีศาจที่ข้าเชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องปรัมปราได้อย่างง่ายดายเพียงนั้น จะไม่ให้ข้าเชื่อว่าเขาเป็นเทพที่สามารถปลิดชีวิตมนุษย์ไร้อำนาจเช่นข้าง่าย ดายยิ่งกว่าได้อย่างไร

    * * * * *

    ใต้แสงอาทิตย์อัสดง และแสงดาวยามค่ำในเวลาต่อมา ข้ามองหาสิมูนระหว่างทางกลับที่พัก แต่ก็ไม่พบ

    ข้าพยายามคิดว่าไม่มีสิ่งใดทำอันตรายนางได้ และอย่างน้อยเอนลิลดูจะไม่มีเจตนาคุกคามนาง กระนั้น ก็ไม่อาจทราบว่า ‘พระองค์’ ที่ทั้งสองน่าจะยำเกรงเกี่ยวข้องด้วยอย่างไร และจะทำสิ่งใดกับนางอีก

    “เขาห้ามแล้วแท้ๆ...เจ้ายังดื้อด้านอีกหรือ”

    เสียงแหลมเล็กคล้ายผู้หญิงเอ่ยขึ้น ข้าหันขวับ เห็นนัยน์ตาลุกวาวสองดวงในความมืด...จากนกฮูกที่เกาะอยู่บนยอดหินก้อนหนึ่ง

    “อาร์ดัท-ลิลิ” ข้าเรียกอย่างระแวดระวัง

    ร่างเล็กๆ นั้นโผลงบนพื้นทราย กลับกลายเป็นร่างกึ่งมนุษย์ที่ยืดตรง ข้ารีบละสายตา ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อพบว่านอกจากขนนกที่ปกคลุมท่อนแขนและแผ่เป็นปีกที่ใต้ ไหล่แล้ว ร่างส่วนอื่นของนางเปลือยเปล่า ขาวโพลนเหมือนผิวมนุษย์

    นางหัวเราะสั้นๆ แต่ฟังเหมือนไร้อารมณ์ขันอย่างสิ้นเชิง

    “นักเดินทางจากแดนไกล ไยต้องเหนียมอาย ใช่ว่าเจ้าไม่เคยข้องแวะกับสตรี”

    “แต่ข้าไม่คิดล่วงเกินใคร...ไม่ว่าทางใด...หากมิได้สมัครใจทั้งสองฝ่าย” ข้าตั้งใจแอบเหน็บที่นางกล่าวหาจนตนเกือบลิ้นขาดในวันนี้หมาดๆ

    “ช่างเล่นลิ้นที่รอดปลอดภัยมานัก ทั้งๆ ที่ต่อให้ข้าสมัครใจ เจ้าก็ย่อมบ่ายเบี่ยงเพราะมิอยากตกเป็นเหยื่อของปีศาจมิใช่หรือ” อาร์ดัท-ลิลิก้าวเข้ามาหาข้า ครั้นข้าถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง นางก็โคลงศีรษะ “วางใจเถอะ ชายที่ดูแทบไร้พลังชีวิตอย่างเจ้า ข้าไม่คิดเล่นงานดอก ทำไปก็ไม่คุ้มค่า”

    “แล้วมายุ่งกับข้าทำไม” ข้าพยายามข่มความรู้สึกเหมือนถูกปรามาสเอาไว้

    “เพราะเจ้า...น่าเห็นใจกระมัง” อาร์ดัท-ลิลิยักไหล่ “ที่ถูก ‘พวกเห็นแก่ตัว’ อย่างนั้นดึงตัวมา แล้วก็เสือกไสไปโดยไม่รู้อะไรเลยสักนิดเดียว”

    “หมายความว่า...เจ้ารู้หรือ”

    อาร์ดัท-ลิลิพยักหน้า

    “ภูตอย่างเราสามารถอ่านความทรงจำของผู้อื่นได้...ไม่เฉพาะความทรงจำของร่างกาย แต่รวมถึงความทรงจำของวิญญาณด้วย”

    ข้าไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร ดูเหมือนนางจะรู้ จึงได้อธิบายต่อ

    “ร่างกายของมนุษย์ถือกำเนิดเพียงครั้งเดียวก็แก่ชราเสื่อมสลาย แต่วิญญาณยังคงอยู่และถือกำเนิดในร่างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าอยากรู้ไหม...ว่าวิญญาณของเจ้าเก็บความทรงจำอะไรเกี่ยวกับสิมูน ธิดาแห่งวายุเอาไว้”

    “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร” ข้าเสี่ยงถาม

    ปีศาจหญิงกลับยักไหล่

    “หากข้าบอกผ่านปากตนเอง เจ้าอาจไม่เชื่อว่าเป็นความจริง แต่ก็พอมีวิธีให้เจ้ารู้ได้ด้วยตนเอง เช่นเดียวกับให้นางรู้อดีตของตน เพียงแต่ถ้าเลือกให้ตัวเจ้าเองหรือนางรู้...เจ้าอาจต้องตายอย่างที่เอนลิ ลพูด ทางเดียวที่เจ้าไม่ต้องตายคือไปจากที่นี่ในตอนนี้ และลืมเรื่องของนางเสีย”

    “แต่สิมูนก็จะทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ต่อไป” ข้าแย้ง

    “แล้วจะสนไปทำไม” สีหน้าของอาร์ดัท-ลิลิเหมือนเยาะหยัน...ไม่ต่างจากเอนลิล “นางเป็นอะไรกับเจ้า นักเดินทางจากเอลลัส”

    ข้าเรียบเรียงคำตอบอย่างไม่เข้าใจตนเองเช่นกัน

    “ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าอยากช่วยนาง...โดยที่ข้าไม่ต้องตาย”

    ถึงเอนลิลจะยืนกรานแข็งกร้าวว่าข้าต้องตาย แต่นั่นเป็นความจริงเพียงไร เขาอาจแค่ขู่ ทว่า...อาร์ดัท-ลิลิพูดอย่างเดียวกันไม่ใช่หรือ หากทั้งเทพและปีศาจยืนยันสิ่งเดียวกัน...แล้วมนุษย์ผู้อ่อนแอและมืดบอดกว่า ทั้งสองเช่นข้าจะไปรู้ดีกว่าได้อย่างไร

    “เป็นอย่างที่เจ้าคิด เทพและปีศาจย่อมรู้ดีกว่ามนุษย์เสมอ ไม่มีทางช่วยนางโดยเจ้าไม่ตายดอก” นางปีศาจย้ำ

    ข้าไม่ตอบ แต่พยายามบอกตนเองว่า...ใครกันจะตัดสินได้ ใครกันจะรู้แน่ หากลองก็อาจทำสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดได้ไม่ใช่หรือ ข้านึกถึงสิ่งที่ตนเคยคิด...นึกถึงเหตุผลที่ควรช่วยนาง...แม้ต้องเสี่ยงต่อ ความตายก็ตาม

    อามอนเอ๋ย เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งใดคือความหมายของตัวตนของเจ้า ญาติและครอบครัวที่เจ้าละทิ้งมา...การเดินทางร่อนเร่ไร้จุดหมาย...ความฝัน เลื่อนลอยไร้ที่มา...หรือ...หญิงผู้น่าสงสารคนนั้น

    เจ้าคิดว่าตนรู้จักความอ้างว้างดีหรือ นางรู้จักสิ่งนั้นดีกว่าเจ้าเกินพอ เจ้าเห็นแววตาของนางและสัมผัสนางแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ใช่วีรบุรุษใดๆ ...แต่วีรบุรุษเหล่านั้นมองไม่เห็นนางอย่างที่เจ้าเห็น

    หากเจ้าไม่ช่วยนาง...เจ้าไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน เจ้าเป็นผู้ให้ความหวังนางเอง เป็นผู้เสนอทางเลือกที่ไม่ได้ถูกมอบไว้แต่อาจมีอยู่ให้แก่นาง แล้วจะทิ้งนางไปเสียเฉยๆ ได้อย่างไร

    นางปีศาจคงอ่านใจข้าอีกครั้ง เพราะนางพึมพำเบาๆ หลังจากนั้น

    “หม้อน้ำของเหล่าธิดาแห่งดานาโอส...อย่างนั้นหรือ เจ้านี่มีความคิดประหลาดดี” อาร์ดัท-ลิลิ ยักไหล่ก่อนจะเด็ดขนนกบนปีกของนางออกมาเส้นหนึ่ง “หากเป็นเจ้า...อาจจะอุดรูรั่วของหม้อน้ำได้กระมัง”

    ข้ามองขนนกที่นางยื่นให้อย่างประหลาดใจ

    “ขนนกนี้จะอำพรางตนให้เจ้าสามารถข้ามไปยังเขตแดนของภูตพราย โดยที่ภูตในนั้นไม่เห็นเจ้าเป็นผู้แปลกปลอม” นางเอ่ยจริงจัง “ณ ที่นั่น จงนำน้ำจากน้ำพุแห่งหนึ่ง กลับมาให้ยาบินต์-อัลฮาวาได้ดื่ม แล้วนางจะได้ความทรงจำคืนมา”

    “น้ำพุแห่งความทรงจำ...ท่านหมายถึงน้ำพุแห่งเนโมซิวเน เทพกัญญาแห่งความทรงจำน่ะหรือ!” ข้าระลึกถึงน้ำพุในตำนานของบ้านเกิดตนด้วยความประหลาดใจ น้ำพุแห่งความทรงจำอันตรงข้ามกับเลเธ แม่น้ำแห่งการลืมเลือน “เช่นนั้น...สถานที่ที่ท่านบอกก็อยู่ในปรภพน่ะสิ!”

    อาร์ดัท-ลิลิยักไหล่

    “ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด อีกภพหนึ่ง ภพแห่งภูตพราย ปรโลก สัมปรายภพ โลกบาดาล มนุษย์สรรหาสารพัดคำพูดมาเรียกโลกอันกว้างขวางของพวกเรา แต่ละชนชาติพบเห็นภาพที่แตกต่างไปในดินแดนนั้น ทว่า...สิ่งที่พวกเขาเห็นทั้งหมดคงยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของที่นั่นด้วยซ้ำ กระมัง” สีหน้าของนางเปลี่ยนไป เคร่งเครียดราวกับเพิ่งนึกบางสิ่งออก “ข้าเป็นภูตพรายของดินแดนแหลมทะเลทรายแห่งนี้ จึงไม่อาจล่วงล้ำดินแดนของภูตพรายแห่งเอลลิเนส ส่วนเจ้าเป็นชาวเอลลิเนสจึงเข้าไปได้ แต่ที่นั่นมีอันตรายมากสำหรับมนุษย์ หากต้องการไปจริงๆ เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม”

    “อันตรายที่ท่านว่าคือสิ่งใด”

    “ไหนดูซิ” นางปีศาจยกมือที่มีนิ้วเรียวยาวและเล็บแหลมขึ้นนับ “สุนัขใหญ่สามหัวที่ขนนกของข้าไม่อาจตบตา ชายแจวเรือที่รับแต่เงิน และอาหารมากมายที่ไม่อาจบริโภคได้ ไม่นับวิญญาณเร่ร่อนกับวิญญาณบาปต่างๆ นอกจากนั้น แต่ชาวเอลลิเนสอย่างเจ้าน่าจะรู้วิธีรับมือกับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว”

    ข้าครุ่นคิดตามตำนานที่ได้ฟังมา หากมีเงินเป็นสินจ้างเรือของคารอนก็เห็นจะไม่มีปัญหา หากนำเสบียงอาหารติดตัวไปก็ย่อมไม่ต้องบริโภคอาหารของโลกแห่งความตายจนติด อยู่ที่นั่น ทว่าปัญหาสำคัญที่สุดซึ่งข้านึกทางแก้ไม่ออกคือ...

    "เคอร์เบโรส" สุนัขสามหัวผู้เฝ้าประตูสู่ปรภพ "เคอร์เบโรสไม่ยอมให้ผู้มีชีวิตอยู่เข้าไปได้ไม่ใช่หรือ"

    “มันสัมผัสผู้มีชีวิตได้ด้วยกลิ่นไอมนุษย์ ซึ่งขนนกของข้าไม่อาจกลบได้” อาร์ดัท-ลิลิรับ "แต่ถ้าเจ้าปลุกปล้ำกับมันแล้วชนะอย่างวีรบุรุษเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็อย่า ห่วงเลย"

    ข้าสั่นศีรษะทันควัน

    "ข้าทำได้เสียที่ไหน"

    แล้วก็เล่นพิณเป็นบทเพลงไพเราะอย่างคีตธรออร์เฟอุสผู้ลงไปขอชีวิตของนาง อันเป็นที่รักไม่ได้แน่นอน ถึงจะเคยเรียนพิณมาก่อน ข้าก็ไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น

    "อย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่เคอร์เบโรสฟังภาษามนุษย์ไม่ออก ไม่อย่างนั้นเจ้าคงพอมีโอกาสพล่ามกล่อมให้มันหลับ...เหมือนกับที่จับหัวใจ ธิดาแห่งวายุ" นางปีศาจเปรยเหมือนประชด

    "แล้วข้าจะทำอย่างไร หากท่านทราบก็ช่วยบอกด้วยเถิด" ข้าพยายามขอร้อง

    นางหัวเราะดังขึ้นอย่างขบขัน

    "ถึงจะเป็นสุนัขแห่งปรโลก เคอร์เบโรสก็...เป็นสุนัขอยู่ดีจริงไหม เจ้าคิดว่าสุนัขชอบอะไรกันล่ะ"

    ข้านึกภาพตนเองเขวี้ยงกิ่งไม้ให้สุนัขสามหัวร่างใหญ่สีดำทะมึนวิ่งไล่ คาบ...แล้วก็อ่อนใจเป็นกำลังจนโคลงศีรษะอีกครั้ง แต่แล้วก็นึกถึงสิ่งอื่นได้

    "อาหาร...หรือ"

    "น่าลองดูใช่ไหมล่ะ" อาร์ดัท-ลิลิเสริม "หลายสิ่งในโลกมนุษย์มีรสโอชานัก ทั้งเนื้อและวิญญาณ หาไม่แล้วพวกเราเหล่าภูตจะนิยมมาหาภักษาหารในนี้หรือ"

    ข้าถือว่าคำพูดของนางหมายถึงเห็นชอบ เป็นอันว่าพบหนทางผ่านภยันตรายทั้งหลายที่นางบอกมาแล้ว กระนั้นตนยังแคลงใจ

    "ท่านตั้งใจช่วยข้าจริงหรือ"

    "นี่ยังคิดว่าข้าใส่ความให้พวกเขาตัดลิ้นเจ้าในตอนนั้น และหาเรื่องให้เจ้าไปตายอยู่ในตอนนี้อีกหรือ” อาร์ดัท-ลิลิยิ้มเหมือนอ่อนใจ

    “แล้วไยท่านไม่ช่วยข้าในตอนนั้น” ข้าสบโอกาสถาม

    “ข้าพยายามแล้ว แต่คนพวกนั้นไม่ฟังข้า เช่นที่เจ้ารู้...เสียงของผู้หญิงไม่เคยมีน้ำหนักในหลายดินแดน แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทิ้งตัวตนของภรรยาลูกชายหัวหน้าเผ่าที่ไม่รู้ภาษาเอลลิ เนสเพื่อคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกอย่างเจ้าหรือ” นางให้เหตุผล “แต่ตอนนี้ วายุเทพทำลายทุกสิ่งที่ข้าพยายามรักษาไว้แล้ว บางทีข้าอาจอยาก...ล้างแค้นเขา แต่ข้าไม่ประสงค์ร้ายต่อเจ้าแน่ เจ้าต่างหากที่เลือกจะรู้วิธีช่วยสิมูนจากข้าเอง หากไม่คิดช่วยเจ้า ข้าไม่ต้องบอกอะไร แต่สู้กินเจ้าเสียตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ"

    "แล้วเหตุใดท่านจึงช่วยข้า"

    นางปีศาจเลื่อนดวงตากลมโตมามองข้านิ่งอยู่ นัยน์ตาของนางฉายความปวดร้าวชัด

    "เพราะข้าทราบ...ว่าการต้องพลัดพรากเจ็บปวดเพียงใดน่ะสิ เจ้าคิดว่าข้ากินหญิงคนนั้นแล้วปลอมร่างเป็นนางอยู่เป็นเดือนๆ เพื่อรอโอกาสกินลูกกับสามีนางหรือ ไม่เลย นางล้มป่วยตายไปเอง ข้าสวมรอยเป็นนางเพราะสงสารเด็กๆ พวกนั้นที่ต้องเป็นกำพร้าแต่เยาว์วัย แล้วชายผู้นั้นก็น่าสงสารที่ต้องเสียภรรยาไปกะทันหันเช่นกัน"

    "หมายความว่า...ท่านหวังดีต่อพวกเขาจริงๆ หรือ" ข้ามองนางอย่างระแวดระวัง ใจหนึ่งอยากเชื่อว่านางหวังดี กระนั้นอีกใจยังบอกว่าตนจะประมาทไม่ได้

    “อามอน ภูตพรายไม่จำเป็นต้องมุ่งร้ายต่อมนุษย์เสมอไป” เสียงของอาร์ดัท-ลิลิกลับอ่อนโยน แผ่วเบาเหมือนเสียงของใครอีกคนที่ข้ารู้จัก...แต่ไม่ได้ยินนานหลายปี ทำให้ข้าตะลึงงัน “เด็กน้อยผู้เอาแต่ก่อปราสาททรายที่เดโลสเอ๋ย หากข้าพบเจ้าในตอนนั้น ก็คงช่วยปลอบโยนเจ้าแทนนางแล้ว น่าเสียดาย....”

    “อย่าเลียนเสียงหรือพูดถึงแม่ข้า” ข้าพลันพูดเสียงแข็งเมื่อตั้งสติได้ “ไม่มีใครแทนที่นางได้”

    นางปีศาจเบิกตากว้างขึ้นหน่อยหนึ่ง ดูเหมือนฉงน...แต่ขณะเดียวกันก็เจือเสียใจ ข้าไม่อาจทราบได้ว่าความรู้สึกหลังของนางเป็นความจริงหรือไม่ เพราะเพียงยักไหล่ นางก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม

    "เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็ตามใจ ชายจากเอลลัส แต่เจ้าย่อมทราบดีว่าบัดนี้ข้าเป็นผู้เดียวที่ยินดีบอกหนทางช่วยเหลือสิมูน ให้แก่เจ้า จริงหรือมิใช่"

    ข้าได้แต่พยักหน้ารับ

    "ดังนั้นจงรีบไป นำอูฐของเจ้าพร้อมทั้งเสบียง ขนนกของข้า และสิ่งอื่นที่เจ้าเห็นว่าจำเป็นต่อการเดินทางสองสามวัน มาพบข้าที่นี่ในยามเที่ยงคืนของวันรุ่ง ข้าจะนำทางเจ้าสู่ปากทางเข้าปรภพ" อาร์ดัท-ลิลิกำชับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสยายปีกบินจากไป

    * * * * *

    "อามอน!" ร่างในชุดขาววิ่งเข้ามาหา ทันทีที่ข้าไปถึงบริเวณใกล้ที่เลี้ยงสัตว์ของชาวบัดวี...ซึ่งเราจากกันอย่าง ไม่ดีนักในวันนี้ "เจ้าปลอดภัยดีหรือ! ข้ากลัวว่า..."

    "ข้าไม่เป็นไร" ข้าสั่นศีรษะพร้อมกับรีบบอก "มีคนช่วยไว้จึงรอดมาได้ นอกจากนี้...ดูเหมือนข้าจะพบหนทางคืนความทรงจำให้ท่านแล้ว"

    ข้าเล่าให้นางฟัง ทั้งเรื่องที่เอนลิลเป็นผู้ช่วยข้า เรื่องที่เขาเป็นผู้เดียวกับวายุเทพเอลลิลที่เราอ่านพบ และสิ่งที่อาร์ดัท-ลิลิบอกให้ข้าทำ เว้นเรื่องที่เอนลิลตั้งคำถามว่าข้าจะยอมตายเพื่อช่วยนางหรือไม่ รวมทั้งสิ่งที่รออยู่ในปรภพ สิมูนจะได้ไม่กังวลมากไปกว่านี้

    "ข้าคงต้องเดินทางไปสองสามวัน แล้วจะนำน้ำแห่งความทรงจำกลับมาให้ท่าน"

    "แต่ว่า...ปรภพน่าจะเป็นที่ที่อันตรายมากไม่ใช่หรือ" นางยังคงติงด้วยน้ำเสียงกังวล "เป็นที่ที่มนุษย์ไม่สมควรเข้าไปไม่ใช่หรือ"

    "หากทราบวิธีแก้ไขปัญหาต่างๆ ในนั้นก็ไม่เป็นไรดอก ในตำนานของบ้านเกิดข้า มีมนุษย์ที่ลงไปในปรภพและรอดกลับมาได้หลายคน ข้าคิดว่าข้าเอาตัวรอดได้ และอาร์ดัท-ลิลิจะเป็นผู้นำทางให้ข้าด้วย หรือ...เจ้ากลัวว่านางไม่น่าไว้ใจ"

    หญิงสาวสั่นศีรษะ

    “ข้ารู้สึกแปลกๆ ที่ได้พบนาง แต่...ใช่จะรู้สึกว่านางอันตรายหรือชั่วร้าย ข้าบอกไม่ถูกเหมือนกัน ทว่า...ประเด็นไม่ใช่เรื่องนาง แต่เป็น...” สิมูนก้มหน้าลง "...เพราะเหตุใด...เจ้าจึงยอมทำเช่นนี้เพื่อข้า ทั้งๆ ที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นานด้วยซ้ำ"

    ข้าเคยถามตนเองเช่นนั้นเหมือนกัน ถามหลายครั้งหลังฟังคำพูดของเอนลิลกับอาร์ดัท-ลิลิ แม้บัดนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบกระจ่างชัดสำหรับตนเองทว่ามีสิ่งหนึ่งที่รู้ แน่...

    "ไม่เกี่ยวว่ารู้จักกันมานานหรือไม่ ข้าเห็นท่านทุกข์ทรมาน ก็ปรารถนาจะช่วย ยามนี้ข้าเพียงแต่เดินทางไปวันๆ โดยไร้จุดหมาย ไม่ได้ทำสิ่งใดที่มีประโยชน์แม้แต่น้อย"

    ลางที...การตามหาความจริงเบื้องหลังฝันซ้ำๆ นั้นอาจเป็นการหาความหมายให้ชีวิตนักพเนจรอันว่างเปล่าของตนเอง และการช่วยเหลือสิมูนก็เป็นเช่นเดียวกัน...เป็นอย่างแรงกล้ายิ่งกว่า

    "อย่าห่วงเลย ข้าจะกลับมาให้ได้ พร้อมกับความทรงจำของท่าน" ข้าสบตากับนางและพยายามยิ้ม

    นัยน์ตาสีทองกลับหวั่นไหววูบ ข้าตกใจเมื่อนางโถมเข้ามาจับมือข้างหนึ่งของข้าบีบแน่น

    "สัญญาว่าเจ้าจะกลับมา สัญญากับสิมูนได้ไหม"

    ข้านิ่งอึ้งไม่อาจเอ่ยสิ่งใด ได้แต่กระพริบตาปริบๆ เมื่อแสงสีทองทั้งสองดวงราวกับจะสะกดตรึงร่างของข้าไว้กับที่ ปลายเล็บของนางแทบจิกลงบนมือประหนึ่งกรงเล็บ

    "ข...ข้าสัญญา"

    "หากเจ้าผิดสัญญา..." หญิงสาวเอ่ยช้าๆ ก่อนจะเงียบไปเหมือนลังเล

    “'หากเจ้าผิดสัญญา...ขอความพิโรธแห่งพายุทรายอย่าละเว้นเจ้า' อย่างนั้นหรือ” ข้าต่อให้นางด้วยเสียงเรียบเฉย ประหลาดใจตนเองเช่นกันที่ไม่เกรงกลัวคำสาปแช่งของนางเลย

    สิมูนกลับก้มหน้าลงก่อนจะโคลงศีรษะช้าๆ

    "หากเจ้าผิดสัญญา...ก็มิเป็นไร ขอเพียง...เจ้าอย่าตายเพื่อข้าเลย ข้าขอเพียงเท่านี้"

    ข้ายิ่งฉงนกับถ้อยคำอันไม่คาดฝันที่สุดจากนาง...ราวกับสิมูนมีลางล่วงรู้สิ่งที่ข้าไม่ได้เอ่ย

    ...หรือ...คงมิใช่ล่วงรู้อนาคตกระมัง...ข้าพยายามกลบความไม่สบายใจที่วาบขึ้นมา หญิงสาวโคลงศีรษะอีกครั้ง นางดูสับสน

    “ข้า...นี่ข้าเป็นอะไรไป”

    “เป็นห่วงข้าใช่ไหม” ข้าพยายามตอบให้ทั้งนางและตนเองสบายใจขึ้น “ข้ายินดีที่ท่านเป็นห่วง ขอบคุณมาก”

    สิมูนไม่ตอบ มือของนางคลายจากมือข้า ขณะที่ร่างบอบบางในอาภรณ์สีขาวค่อยๆ ก้าวถอยหลัง นัยน์ตาของนางยังคงติดตรึงอยู่ที่ใบหน้าของข้า

    "ข้าจะรอ รออยู่ที่ที่เราพบกันทุกเย็น จนกระทั่งเจ้ากลับมา" สิมูนค่อยๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงราวกับกลั้นใจ ก่อนจะกลับหลังหัน "แล้วพบกันใหม่"

    * * * * *

    คืนถัดมาเป็นคืนเดือนแรม หมู่ดาวสุกสว่างบนฟ้า ปกติข้าชอบราตรีเช่นนี้มากกว่าราตรีอื่นๆ เนื่องเพราะดาวนำทางต่างๆ ปรากฏชัดเจน ข้าเหลียวกลับไปเห็นแสงไฟของเมืองแห่งสายลมอยู่เบื้องหลังเพียงริบหรี่

    อาร์ดัท-ลิลิรออยู่แล้ว ในรูปลักษณ์ของนกฮูกที่มีดวงตาทั้งสองเป็นประกายสุกใส นางส่งเสียงร้องแหลมครั้งหนึ่งราวกับจะทักข้า แล้วสยายปีกโบยบินไปท่ามกลางเนินทรายเวิ้งว้าง ให้ข้าควบอูฐติดตาม

    ...สู่ปรภพอันมีสายธารแห่งความทรงจำ...

    * * * * *

    นี่เป็นตอนสุดท้ายของบทที่ ๑ - เม็ดทราย จากนี้ไปจะเข้าสู่บทกลาง สายธาร ซึ่งมี ๙ ตอนย่อยเช่นกันครับ บทกาลเวลาจะสั้นกว่าราว ๔ ตอนย่อย แล้วจึงเข้าบทส่งท้าย

    ในที่สุดพระเอกของเราก็เริ่ม A Hero's Quest และ Descent into the Underworld ตามขนบวีรบุรุษทั่วไปเสียที ไม่นับว่าหมอนี่ไม่มีเทพเจ้าถือหาง ไม่มีวิชาต่อสู้ เวทมนตร์คาถาหรือของวิเศษ และลงไปอย่างลูกทุ่งมาก ^^a

    อาร์ดัท-ลิลิ ผมได้ต้นแบบมาจากลิลิตู ปีศาจของทางเมโสโปเตเมียซึ่งเชื่อกันว่ากลายมาเป็นลิลิธ ภรรยาคนแรกของอดัมในศาสนายูดายต่อมาถึงคริสต์ ซึ่งปฏิเสธจะยอมลงให้อดัม จึงถูกขับไล่จากสวนอีเดนและไปสมสู่กับพวกปีศาจจนเกิดลูกหลานอัปลักษณ์มากมาย พระเจ้าให้เทวทูตสังหารลูกของนางวันละร้อยตน นางจึงตามเอาชีวิตเด็กทารกเป็นการล้างแค้น นอกจากนี้ บางที่ยังโยงลิลิธกับปีศาจซัคคิวบัสที่สมสู่ดูดกลืนพลังของเพศชายในยามหลับ ด้วย แต่ที่มาของอาร์ดัท-ลิลิฉบับนี้เป็นอย่างไร ขอให้รอดูต่อไปครับ

    รายชื่อ

    อาร์ดัท-ลิลิ - Ardat-lili (ปีศาจหญิงของเมโสโปเตเมีย)
    เนโมซิวเน - Mnemosyne (เทพีแห่งความทรงจำของกรีก นอกจากนี้ยังเป็นชื่อน้ำพุแห่งความทรงจำในปรภพ)
    เลเธ - Lethe (แม่น้ำแห่งการลืมเลือนในปรภพของกรีก ซึ่งวิญญาณต้องดื่มก่อนขึ้นมาเกิดใหม่)
    คารอน - Charon (คนแจวเรือพาวิญญาณข้ามแม่น้ำไปยังปรภพในตำนานกรีก)
    เคอร์เบโรส - Kerberos/Cerberus (สุนัขสามหัวในปรภพ)
    ออร์เฟอุส - Orpheus (นักพิณที่ลงไปขอวิญญาณคนรักคืนจากปรภพ และผ่านเคอร์เบโรสได้ด้วยการเล่นพิณอันไพเราะจับใจ)

    หวังว่าจะติดตามต่อไป และขอความกรุณากับคอมเมนต์ด้วยครับ m[_ _]m
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×