ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings of Hope - ตำนานพลิกฟ้า

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 3 - ผู้มาเยือนโดยไม่คาดฝัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 161
      0
      9 ส.ค. 49

    บทที่ 3
    The Unexpected Visitor
    ผู้มาเยือนโดยไม่คาดฝัน

              “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มผมทองพูดขึ้นกับโครินซึ่งนั่งอยู่ริมโขดหินเป็นคำแรก

              “ม...ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวตอบเสียงแผ่วก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ “ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้ ถ้าหากไม่ได้คุณ ป่านนี้ฉันก็คง...”

              “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก” เขาพูดตอบแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องด้วยสีหน้่่าเคร่งขรึม “แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับปัญหาของคนอื่นด้วย”

              “ปัญหาของคนอื่น...” โครินทวนคำ “ยังไงเหรอคะ”

              “ก็ที่เจ้าเข้าไปยุ่งกับเป้าหมายของผู้หญิงคนนั้นจนแทบเอาชีวิตไม่รอดน่ะสิ”

              โครินหันหน้าไปทางลำธารตามสายตาของเขา ซึ่งมองไปที่หมาป่าสีเงินที่พยายามจะลุกขึ้นยืนกลางลำธารตื้น ทว่าขาที่เป็นแผลฉกรรจ์ของมันไม่อาจรับน้ำหนักไหว เด็กสาวผละจากชายหนุ่มวิ่งลุยน้ำตรงไปดูอาการของมันอีกครั้ง ตอนนี้พอจะรู้เลาๆ แล้วว่าแผลไฟไหม้ที่ขาของมันเกิดจากสาเหตุใด

              “ไม่เป็นไรมากใช่มั้ย” เธอพูดกับมันอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้เธอใหม่เอง”

              “นี่เจ้ายังคิดจะทำอะไรกับมันอีก” ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้ง

              เด็กสาวไม่ตอบไม่ทีแรก หากมองสำรวจตามเนื้อตัวของหมาป่าตัวนั้นอย่างละเอียด ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บที่อื่นอีก แต่อาการขาของมันฟ้องชัดว่าเห็นทีในช่วงนี้มันคงเดินไม่ได้ไปอีกพักใหญ่ทีเดียว คงมีทางเดียวเท่านั้น...

              “ฉันจะพาเค้ากลับไปรักษาที่บ้าน” เธอตอบโดยไม่หันไปมองหน้าผู้ถาม

              “ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าทำแบบนั้น ตัวเองก็อาจเป็นอันตรายไปด้วยอีกครั้งน่ะเหรอ”

              โครินหันขวับไป

              “ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง...ยังไงๆ ฉันก็ต้องช่วยเค้า! ฉันจะนิ่งเฉยทนให้เค้าต้องลำบากไม่ได้หรอก!!”

              ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอา

              “โลกนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” เขาพูดเรียบๆ “ถึงจะเป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าไร้อำนาจ...ก็ได้แต่ตกเป็นเหยื่อของ พวกมีอำนาจอยู่ในมือเท่านั้นแหละ”

              เด็กสาวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับไปว่า

              “แล้วคุณเป็นพวกไหนล่ะ อย่างแรกหรืออย่างหลัง”

              คราวนี้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายต้องอึ้งบ้าง

              “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” เขาพูดตอบช้าๆ “ก็แค่คนที่ไม่อยากเห็นใครตายต่อหน้า แต่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวมากไปกว่านี้ ก็เท่านั้น”

              อารมณ์โกรธวูบที่พลุ่งขึ้นมาทำให้เด็กสาวตะโกนอย่างเหลืออด

              “ถ้างั้นคุณก็ไปซะสิจะได้ไม่ต้องยุ่งมากกว่านี้!”

              “ไม่ต้องบอกข้าก็จะไปอยู่แล้ว” เขาพูดตอบเรียบๆ ก่อนจะกลับหลังหันเดินไปอีกทางหนึ่ง

              ทว่าไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเดินไปได้ถึงสิบก้าว เสียงน้ำกระเซ็นที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำให้ต้องเหลียวกลับมาทางลำธารในทันทีตามสัญชาตญาณ และภาพที่เห็นก็ทำให้เขาขำไม่ออก...

              เด็กสาวตัวเล็กนิดเดียวที่สูงไม่ถึงไหล่ของเขาด้วยซ้ำพยายามที่จะดึงร่างของหมาป่าสีเงินตัวเขื่องขึ้นอุ้ม แต่กลับลื่นล้มตกน้ำเสียเอง หากเธอก็ยังลุกขึ้นพยายามอุ้มมันให้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าจะจบด้วยการที่ตนเองลื่นตกน้ำทุกครั้ง

              หลังจากมองดูความพยายามนับสิบกว่าครั้งของเธออยู่เงียบๆ พักหนึ่งเขาถอนหายใจก่อนจะเรียก

              “นี่…”

              เด็กสาวหันหน้ามามองเขาพลางหอบน้อยๆ ผมสีน้ำตาลสั้นที่เปียกลู่แนบไปกับผิวแก้มแดงเรื่อจากความเย็น หยดน้ำยังพราวเต็มใบหน้าและเสื้อผ้าที่เปียกโชก

              “บ้านเจ้าอยู่ไกลไหม...ข้าจะไปส่งให้”



              “ทำไมโครินถึงได้ช้าจังเลยนะพ่อ” ซาระอดพูดด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ในขณะที่มองฟ้าครึ้มเหนือหุบเขา มีเมฆฝนสีคล้ำลอยอยู่เป็นกลุ่มๆ “ไม่รู้ว่าไปติดฝนที่ไหนเข้าหรือเปล่า...”

              หมอฮวนเองก็กำลังรอคอยอยู่อย่างกระวนกระวายเช่นเดียวกัน แต่เขาก็ทำเพียงพูดตอบเรียบๆ เท่านั้น

              "ยังไงเราก็คงทำได้แต่รอแหละแม่”

              ในขณะเดียวกัน ที่หน้าหมู่บ้านปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดึงดูดสายตาของชาวบ้านแทบทั้งหมดในบริเวณนั้นไว้ในทันที เขามีผมสีน้ำเงิน และดวงตาสีแดงฉานเป็นประกายจ้าราวกับจะสะกด ทุกคนที่มองอักขระโบราณรูป A บนหน้าผากของเขาให้รู้สึกเย็นสันหลังวาบ

              “ใช่อัศวินอาร์โคเซียหรือเปล่า” พวกชาวบ้านหันไปซุบซิบถามกันเอง

              “ไม่น่าจะใช่นะ ไม่เห็นมีตราของศาสนจักรเลยนี่”

              “ถ้าอย่างนั้นเขามาทำไมกันล่ะ”

              สุดท้าย ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ก็เข้ามาหาชายผู้นั้น

              “เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรกับ...” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ชายผู้มีดวงตาสีแดงกลับคว้าแขนของเขาบิดอย่างแรง เสียงกร็อบดังขึ้นก่อนที่ร่างของชายวัยกลางคนจะถูกเหวี่ยงลงกับ พื้น เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด มือข้างหนึ่งกุมท่อนแขนที่หักเป็นมุม ท่อนกระดูกแทงทะลุเนื้อเลือดไหลโชก 

              ชาวบ้านคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่นั้นหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกลับคว้าจอบขึ้น

              “แกทำอะไรพ่อฉัน!” เขาวิ่งปราดเข้าไปหาชายลึกลับพร้อมกับเงื้อจอบขึ้นเตรียมฟันลงไ ปสุดแรงเกิด ทว่าผู้ถูกจู่โจมกลับไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน เพียงแต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นแบตรงไปที่ชายหนุ่ม

              แสงสีม่วงดำสว่างจ้าต่อสายตาของทุกๆ คน 

              เสี้ยววินาทีต่อมา เสียงตุบก็ดังขึ้นเบาๆ ร่างของชายหนุ่มลงไปนอนหงายอ้าปากค้าง ตาเหลือกถลนฉายแววความตกใจถึงขีดสุด จอบที่ใช้เป็นอาวุธกองอยู่ข้างกาย มันยังไม่ได้ฝากรอยแผลแม้เพียงเสี้ยวเล็กๆ บนร่างของอีกฝ่ายหนึ่งเลย

              อาร์เซนิคซ์เหลียวมองชาวบ้านรอบๆ ซึ่งหน้าซีดเผือดตกตะลึงจนพูดไม่ออก มีเพียงเสียงใครบางคนพึมพำเบาๆ เท่านั้น

              “ปีศาจชัดๆ…”

              “มีใครหน้าไหนอยากลองอีกไหม” ผู้ที่เพิ่งคร่าชีวิตชายหนุ่มพูดพร้อมแสยะยิ้ม

              ชาวบ้านหลายคนถอยห่างออกไปจากชายทั้งสอง ทิ้งศพของชายหนุ่ม และพ่อที่ถูกหักแขนให้นอนร้องโอดโอยอยู่กับพื้นโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือ ในขณะที่ชาวบ้านสองสามคนซึ่งเห็นเหตุการณ์ในที่นั้นรีบไปตามหัวหน้าหมู่บ้าน

              หัวหน้าหมู่บ้านรีบรุดเข้ามาหาทั้งสองในไม่ช้า ก่อนจะหยุดยืนรักษาระยะห่างไว้พอสมควร

              “เจ้าอยากลองบ้างรึ” อาร์เซนิคซ์เอ่ยทัก “จะให้ฆ่าแบบไหนดีล่ะ...คาถาดับชีพ ควักหัวใจ ตัดคอ หรือจะแยกส่วนเป็นชิ้นๆ ดี”

              “สิ่งที่ท่านต้องการคืออะไร” หัวหน้าหมู่บ้านถามพลางสะกดความกลัวไม่ให้แสดงทางน้ำเสียง

              คำตอบที่ได้รับจากชายหนุ่มคือเสียงหัวเราะ

              “ถ้าข้าตอบว่าชีวิตของพวกเจ้าทั้งหมดล่ะ” เขายกมือที่เปื้อนเลือดขึ้นมองด้วยแววตากระหายอยาก

              “ ‘ปีศาจ’ ที่ทรงพลังอย่างท่าน คงไม่มาถึงหมู่บ้านที่ห่างไกลอย่างนี้โดยไม่มีสาเหตุสำคัญหรอก” อีกฝ่ายกลั้นใจตอบ

              อาร์เซนิคซ์หัวเราะขึ้นอีกครั้ง

              “เจ้าแน่มาก ข้าจะบอกให้ก็ได้...” ชายหนุ่มสบตากับชายชราซึ่งรีบก้มหน้าหลบหลังจากผ่านไปเพียงครู่เดียว เพราะดวงตาสีแดงคู่นั้นทั้งโหดเหี้ยม และเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ “ข้ามาตามหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านนี้ที่มีผลึกสีฟ้าอยู่กับตัว”

              หัวหน้าหมู่บ้านนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กผู้หญิงที่มีผลึกสีฟ้า อย่างที่เขานึกไว้ไม่มีผิด เด็กเผ่าซอลมาน่าที่หมอฮวนเก็บมาเลี้ยงนำหายนะมาสู่พวกเขาจนได้ในที่สุด

              “ถ้าหาก...พบเด็กที่ว่านั่นแล้ว ท่านจะไม่ทำอันตรายหมู่บ้านของเราใช่ไหม”

              “นั่นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าหลังจากนั้น”

              หัวหน้าหมู่บ้านคิดทบทวนอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะหันไปทางหนึ่ง

              “เชิญตามมาทางนี้” หัวหน้าหมู่บ้านพูดพร้อมกับก้าวเดิน อาร์เซนิคซ์เหลียวกลับไปมองทางเข้าหมู่บ้านแวบหนึ่งก่อนจะตามเขาไปในทิศทางที่ตรงไปยังบ้านของหมอฮวน



              “ฝนยังไม่หยุดตกเลย” โครินพูดลอยๆ หลังเงยหน้าขึ้นจากขาของหมาป่าสีเงินที่เธอเพิ่งทำแผลเสร็จ มองออกไปนอกปากถ้ำ ท้องฟ้ายามเย็นมืดครึ้มด้วยเมฆฝนหนา เสียงฝนตกกระทบกับใบไม้ยังไม่มีวี่แววจะซาลงเลยแม้แต่น้อยจนเด็กสาวเริ่มนึกถึงทางบ้านขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้พ่อกับแม่จะเป็นห่วงเธอแค่ไหนกันนะ

              ชายหนุ่มลึกลับซึ่งช่วยชีวิตเธอเอาไว้นั่งอยู่ที่ข้างกองไฟกลางถ้ำนั้น ผ้าคลุมสีดำกับชุดเกราะของเขาที่เปียกน้ำแขวนตากอยู่อีกด้านหนึ่ง เขาแทบไม่ได้พูดอะไรกับโครินเลยสักคำตั้งแต่ทั้งสองกับหมาป่าสีเงินเข้ามาหลบฝนในถ้ำนี้ หลังจากที่ใช้เวทมนตร์ก่อกองไฟขึ้น เขาก็ถอดชุดเกราะกับผ้าคลุมที่เปียกทั้งจากน้ำในลำธาร และน้ำฝนออกแขวนตาก แล้วก็นั่งนิ่งเงียบครุ่นคิดอะไรอยู่ตามลำพังด้วยท่าทางที่ทำให้เด็กสาวไม่กล้าไปกวนนัก ในขณะนั้นเธอจึงได้ใส่ยาทำแผลใหม่ให้กับหมาป่าสีเงินอีกครั้งหนึ่ง

              โครินนั่งกอดเข่ากันความหนาวพลางทอดสายตาเลื่อนลอยมองใบหน้าของ ชายหนุ่มที่ต้องแสงไฟ ดูเขาจะมีอายุมากกว่าพี่ชายของเธอหลายปีอยู่ ภายในดวงตาสีฟ้าสว่างของเขาแฝงแววเศร้าสร้อยอย่างที่เด็กสาวเองก็บอกไม่ถูก

              เธออดนึกสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครกันนะ เขาต้องไม่ใช่ชาวฮอลลัมแน่ ทั้งสีตา สีผมและการแต่งกายของเขาบ่งบอกอย่างชัดเจน แต่เธอก็ไม่กล้าถามว่าเขามาจากไหน และมาที่นี่เพราะเหตุใดอีกเช่นกัน

              จู่ๆ ชายหนุ่มก็หันหน้ามาสบตาโคริน เธอจึงรีบเสมองไปทางอื่นในทันที สายตาของเธอบังเอิญไปสะดุดเข้ากับผ้าคลุมสีดำที่แขวนอยู่ สีดำ...หรือ เธอนึกถึงข่าวลือเรื่องปีศาจดำที่ได้ยินในหมู่บ้านขึ้นมา เงาร่างสวมผ้าคลุมสีดำลึกลับ...ปีศาจดำที่หลบซ่อนอยู่บนเทือกเข า คอยดักฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม...

              เป็นไปไม่ได้หรอก...เด็กสาวบอกกับตนเอง ดูเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆ เท่านั้นเอง มิหนำซ้ำเขายังช่วยชีวิตเธอไว้ด้วย คนที่ดูอ่อนโยน (ถึงการกระทำจะเหมือนกับเห็นแก่ตัวก็เถอะ) อย่างนี้จะเป็นปีศาจดำที่โหดร้าย...ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นได้อย่า งไรกัน

              โครินแทบสะดุ้งเมื่อได้ยินเขาพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ

              “หน้าตาข้ามีอะไรเหรอ”

              “อ๊ะ...ป...เปล่าค่ะ” เธอตอบพร้อมกับก้มหน้าลง “ขอโทษนะคะ ฉันนี่...เสียมารยาทจริงๆ เลย”

              ทั้งสองเงียบกันไปพักหนึ่งจนเด็กสาวอดคิดไม่ได้ว่าน่าอึดอัด

              “จริงสิ เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย” เธอพูดขึ้น “ฉันชื่อโครินค่ะ แล้วคุณล่ะ”

              “จะรู้ไปทำไม” เขาย้อนถาม

              โครินรู้สึกเสียหน้าขึ้นมานิดๆ

              “ก็...อย่างน้อย เราน่าจะทำความรู้จักกันไว้บ้างนี่คะ”

              “ไม่จำเป็นต้องทำความรู้จักกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างข้าหรอก” ชายหนุ่มพูดห้วนๆ “พอส่งเจ้ากลับบ้านเสร็จ ข้าก็จะไปตามทางของข้าแล้ว ยังไงก็คงไม่ได้พบกันอีก”

              เด็กสาวนิ่งเงียบ ก้มหน้าลงมองหมาป่าสีเงินซึ่งเหลือบตามองเธออยู่ครู่หนึ่ง เธอลูบหัวของมันเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ ก่อนที่มันจะก้มหัวลงหลับตานอน สมุนไพรที่เธอให้คงออกฤทธิ์ระงับประสาทแล้ว เธอได้ตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเธอจะต้องปกป้องมัน ให้ถึงที่สุด อย่างน้อยก็จนกว่าขาของมันจะหายดีพอกลับไปดำรงชีวิตตามเดิมได้ แม้ในตอนนี้ตัวเธอเองจะยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงได้ถูกผู้หญิงสวมหน้ากากคนนั้นตามล่า

              อควาเวล....กรีนเซเฟอร์...

              โครินเผลอเลื่อนมือขึ้นกุมหน้าผากเมื่อนึกถึงถ้อยคำประหลาดที่ผู้หญิงคนนั้นพูด กรีนเซเฟอร์...อควาเวล...คำที่เหมือนจะไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่กลับคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก

              “อควาเวล...” เธอเผลอเอ่ยคำนั้นออกไป

              “หือม์” ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาหาเธออีกครั้ง “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ”

              “คำที่ผู้หญิงคนนั้นพูดค่ะ ก่อนที่เขาจะจากไป...เขาบอกฉันว่าจะต้องชิง ‘อควาเวล’ กับ ‘กรีนเซเฟอร์’ มาให้ได้ ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่าเขาหมายถึงอะไร...แปลกจัง”

              สีหน้าของชายหนุ่มบ่งบอกความแปลกใจอย่างชัดเจน

              “นี่เจ้า...คงไม่ได้...”

              ผลึกสีฟ้าที่ห้อยคอเด็กสาวอยู่เกิดสะท้อนแสงไฟเป็นประกายเข้าตา เขายื่นมือออกไปคว้ามันโดยไม่รู้ตัว สัมผัสของความเย็นราวสายน้ำนี่...ไม่ผิดแน่

              ...สิ่งที่เขาตามหาอยู่...

              “ปล่อยนะ!!” โครินปัดมือเขาออกไปโดยแรงอย่างตกใจ เมื่อนั้นเองชายหนุ่มจึงได้สติ

              “ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เขาตอบก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงเคร่งขรึม “ผลึกนั่น...เจ้าได้มันมาจากไหน”

              “สร้อยเส้นนี้น่ะเหรอ” เด็กสาวหยิบผลึกสีฟ้าที่ร้อยติดอยู่ขึ้นมาดูอย่างงงๆ “พ่อบอกว่ามันเป็นเครื่องรางประจำตัวฉันน่ะค่ะ ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็สวมมันติดตัวมาตลอด แต่ฉันไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน”

              “หมายความว่า...เจ้าไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันมีพลังแฝงอยู่”

              “พลัง...อะไรเหรอคะ”

              ชายหนุ่มถอนหายใจ

              “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ‘อควาเวล’ อยู่กับเจ้าได้ยังไง” เขาพูดเรียบๆ “แต่ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ครอบครองมันอยู่ เจ้าก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับมัน...หากว่าเจ้าอยากรู้ ”

              แต่แรกเด็กสาวก้มหน้าลงมองหมาป่าสีเงินซึ่งดูเหมือนจะหลับสนิทไปแล้ว ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

              “เล่าเรื่องที่คุณรู้ให้ฉันฟังเถอะค่ะ บางทีฉันอาจจะเข้าใจมากขึ้นก็ได้ว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้ตามล่าเค้า...กับฉัน”

              ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มเรื่อง

              “เคยฟังเรื่องของอมาเนเซเรีย นครสาบสูญไหม” โครินกำลังจะตอบไปว่าไม่เคย แต่เขากลับพูดต่อเสียเองเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ “ครั้งหนึ่งในยุคทอง...คืออาณาจักรที่เจริญด้วยวิทยาการทางเวทมนตร์ถึงขีดสุด ชาวอมาเนเซเรียได้เจียระไนแก้วผลึกเป็นพลอยมนตราเจ็ดเม็ด แต่ละเม็ดมีความสามารถควบคุมพลังธาตุต่างๆ แต่อยู่มาวันหนึ่ง หายนะที่ไม่คาดฝันก็ได้บังเกิดขึ้นกับอมาเนเซเรีย อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองล่มสลาย พลอยเวทมนตร์ทั้งเจ็ดเม็ดถูกผู้รอดชีวิตนำติดตัว อพยพไปคนละทิศทาง จนสุดท้าย ก็ตกอยู่ตามที่ต่างๆ ในทวีปเรอาล ไม่มีใครที่รู้แน่ชัดว่าพลอยทั้งเจ็ดเม็ดนั้นอยู่ที่ใดกันแน่”

              เขาหันมาสบตากับโครินก่อนจะพูดต่อ

              “แต่ ‘อควาเวล’ ...พลอยที่มีพลังควบคุมสายน้ำ...ก็อยู่กับเจ้า”

              เด็กสาวแตะแก้วผลึกลูกเล็กที่เย็นเฉียบอย่างไม่อยากจะเชื่อ...เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนบ่ายวันนี้

              “ถ้าอย่างนั้น...ที่น้ำในลำธารพุ่งขึ้นตอนที่ผู้หญิงคนนั้นใช้เวทมนตร์ไฟใส่ฉันก็...”

              “เป็นพลังของ ‘อควาเวล’ ” ชายหนุ่มตอบ “เจ้ายังควบคุมพลังของมันไม่ได้ก็จริง แต่เมื่อผู้ครอบครองจะได้รับอันตรายจากไฟ มันจะสำแดงพลังออกปกป้องเสมอ”

              เขาหันไปทางหมาป่าสีเงินซึ่งกำลังหลับสนิท “ส่วน ‘กรีนเซเฟอร์’ ก็คือพลอยสีเขียวที่มีพลังควบคุมกระแสลม ฟังจากคำพูดของผู้หญิงคนนั้นแล้ว...ดูเหมือนว่ามันน่าจะอยู่กับหมาป่าตัวนี้ หรือไม่อย่างนั้นหมาป่านี่ก็รู้ว่าพลอยเม็ดนั้นอยู่ที่ไหน”

              “แล้วทำไมคุณถึงรู้เรื่องพวกนี้ดีจังล่ะ” โครินถามขึ้นอย่างสงสัย

              “เพราะข้าก็เป็นคนหนึ่งที่ตามหาพลอยเวทมนตร์ทั้งเจ็ดเม็ดอยู่เช่นกัน”

              “คุณต้องการพวกมันไปทำไมล่ะคะ”

              “นอกจากพลอยทั้งเจ็ดเม็ดแล้ว ชาวอมาเนเซเรียยังประดิษฐ์สิ่งวิเศษขึ้นมาอีกสิ่งหนึ่ง...” สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปชั่วแวบ “มันเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น...ที่หากใช้ร่วมกับพลอยทั้งเจ็ดแล้ว จะสามารถทำให้ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของข้าเป็นจริงขึ้นมาได้...”

              ชายหนุ่มพูดได้เท่านี้ก็เงียบไป ท่าทางครุ่นคิดของเขาทำให้โครินไม่กล้าพูดอะไรอีก เด็กสาวเหลียวมองไปทางปากถ้ำเห็นเพียงความมืดมิดของยามค่ำคืน เธอไม่ทันสังเกตเลยว่าทั้งสองพูดคุยกันเป็นเวลานานเท่าไรแล้ว หรือเสียงฝนตกเงียบไปตั้งแต่เมื่อใดกัน

              สายลมที่พัดเข้ามาจากปากถ้ำทำให้แสงจากกองไฟริบหรี่ลงครู่หนึ่ง ที่มาพร้อมกับสายลมนั้นคือความรู้สึกเย็นเยือกที่ทำให้โครินนึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาอย่างประหลาด


              ลำธารอันไหลเอื่อยในราวป่ายามค่ำซึ่งเงียบสงบใต้แสงจันทร์สีนวลที่ส่องกระทบเคยเป็นที่ชุมนุมของฝูงสัตว์น้อยใหญ่ที่ออกหากินในยามราตรี ทว่าในคืนนี้ป่าทั้งป่ากลับเงียบสงัด ไม่มีแม้เสียงจักจั่นร้อง ราวกับว่าพวกมันล้วนแต่มีสัญชาตญาณรับรู้บางสิ่งบางอย่างเหนือสัมผัสของมนุษย์ สัมผัสแห่งไอความตายที่กรายเข้ามาใกล้ดุจสายหมอกที่ไม่อาจมองเห็น


              ลำธารอันไหลเอื่อยในราวป่ายามค่ำซึ่งเงียบสงบใต้แสงจันทร์สีนวลที่ส่องกระทบเคยเป็นที่ชุมนุมของฝูงสัตว์น้อยใหญ่ที่ออกหากินในยามราตรี ทว่าในคืนนี้ป่าทั้งป่ากลับเงียบสงัด ไม่มีแม้เสียงจักจั่นร้อง ราวกับว่าพวกมันล้วนแต่มีสัญชาตญาณรับรู้บางสิ่งบางอย่างเหนือสัมผัสของมนุษย์ สัมผัสแห่งไอความตายที่กรายเข้ามาใกล้ดุจสายหมอกที่ไม่อาจมองเห็น

              บนผิวน้ำที่เคยสงบนิ่งปรากฏร่างร่างหนึ่งผุดขึ้นมาช้าๆ เริ่มจากส่วนหัวและร่างกายที่ปกคลุมด้วยผ้าสีดำสนิทจนถึงปลายเท้า

              ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวจันทร์แรมบนฟ้าซึ่งส่องแสงสีแดงสลัวเหนือหมู่ไม้ ก่อนจะยิ้มรับอย่างอำมหิต

    - To be Continued -

    บทที่ 4 - หายนะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×