ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wings of Hope - ตำนานพลิกฟ้า

    ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 14 - ชายแดน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 101
      0
      6 พ.ย. 47

    บทที่ 14

    The Borderline

    ชายแดน




    ด่านผ่านแดนฮอลลัม - ฟานฟาร่าในยามสายวันนี้ดูจะครึกครื้นกว่าวันก่อนๆ เมื่อมีกองอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาพักแรมในระหว่างสืบเรื่องปีศาจ แต่ก็ยังไม่เปิดเส้นทางให้ประชาชนทั่วไปได้สัญจรผ่านตามปกติเช่นเดิม



    และนั่นก็เป็นปัญหาสำหรับสามชีวิตที่ต้องการจะข้ามเขตแดนฮอลลัมไปยังฟานฟาร่าโดยเร็ว ซึ่งกำลังซุ่มดูด่านเบื้องล่างอยู่จากเนินเขาที่ใกล้พอสมควรโดยอาศัยสุมทุมพุ่มไม้ต่างที่กำบัง...



    \"เราจะ...\" โครินตั้งท่าจะเอ่ยถาม แต่กลับถูกเอรอนยกมือเป็นเชิงบอกให้เงียบไว้เสียก่อน เขาส่งสายตาเคร่งเครียดไปยังเบื้องหน้าทั้งสอง...ซึ่งเป็นที่ตั้งของด่านผ่านแดน...และมีกลุ่มคนในชุดเกราะสีเงินเดินกันอยู่ขวักไขว่ ธงสีขาวประดับตราสีทองซึ่งปลิวไสวจากที่ปักอยู่ข้างรถม้าบอกได้ชัดว่านี่คือกองอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งอาร์โคเซีย



    ...ทำให้ปัญหายิ่งหนักหนาเข้าไปอีก...



    ที่จริงเอรอนคาดการณ์ไว้แล้วว่าเรื่องปีศาจที่เกิดขึ้นต้องทำให้ด่านผ่านแดนถูกสั่งปิดไม่มีกำหนดแน่นอน แต่เขาก็ไม่ได้กังวลนัก เพราะกับด่านทางใต้ที่ปกติเป็นจุดผ่านของขบวนสินค้ามีทหารเฝ้าอยู่เพียงไม่มากนัก คงจะไม่เกินกำลังหากเขาจะพาโครินลอบออกไปจากด่านโดยไม่ให้พวกทหารรู้ตัว



    แต่เขาลืมคิดถึงเรื่องกองอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเรียกตัวมาปราบพวกปีศาจเสียสนิท...



    และจาก \'ประสบการณ์\' ที่เคยผ่านมา...ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่ากองกำลังเพื่อศาสนากลุ่มนี้เป็นพวกที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นที่สุด



    \"ฉันว่าถ้าอธิบายกับเค้าดีๆ เค้าก็น่าจะให้เราผ่านไปนะคะ\" เด็กสาวเอ่ยขึ้นเบาๆ



    \"ไม่ได้หรอก\" เอรอนตอบห้วนๆ แต่ด้วยเสียงที่ถูกบังคับให้เบาลงเช่นกัน \"มีแต่จะถูกจับเข้าเท่านั้นแหละ อัศวินศักดิ์สิทธิ์นี่เป็นพวกที่จุ้นจ้านที่สุดที่ข้าเคยเจอมาแล้ว\"



    \"ถ้าเคยมีเรื่องกับพวกอัศวินศักด์สิทธิ์ก็แสดงว่าคุณไม่ใช่คนดีน่ะสิ\" โครินตั้งท่าจะโวยวาย แต่ถูกเอรอนขัดขึ้นเสียก่อน



    \"จะดีหรือไม่ดีจะมาสนทำไมตอนนี้เล่า ที่สำคัญคือเราจะผ่านด่านตรงนี้ไปได้ยังไงต่างหาก\"



    \"ก็ลองพูดกับเค้า...\" เด็กสาวยังยืนยันความคิดเดิม



    \"ข้าก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ผล\" ชายหนุ่มตัดบททันควัน \"หรือเจ้าอยากจะถูกพวกนั้นกล่าวหาเป็นคนนอกรีตแล้วจับไปสอบสวนเข้าล่ะ\"



    \"แล้วจะทำยังไง...แหกด่านเข้าไปเหรอคะ?\" โครินอดไม่ได้ที่จะประชด



    \"ถ้าอยู่ตัวคนเดียวข้าคงทำไปแล้ว\" คำตอบกับสีหน้าของเอรอนทำเอาเด็กสาวตกใจพอดูที่เขาคิดจะเอาจริง \"แต่พวกอัศวินที่เห็นน่าจะมีประมาณสามสิบคนเป็นอย่างต่ำ ถ้าต้องพ่วงเจ้ากับ...\" เขาปรายตามองวูลฟ์อย่างไม่สบอารมณ์ \"...ไอ้หมาป่าตัวนี้ด้วย ข้าก็ดูแลไม่ไหวเหมือนกัน\"



    โครินได้แต่อึ้งไป เพราะนั่นเป็นความจริงที่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอกับวูลฟ์เป็นภาระของชายหนุ่มมากทีเดียว



    \"แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะ?\" น้ำเสียงของเด็กสาวที่ถามอีกครั้งจึงอ่อนลง



    \"ถ้าจะมีอีกทางหนึ่งคือใช้มนต์ย้ายร่างข้ามด่านออกไป\" เอรอนพูดต่อก่อนจะหันมาทางโคริน \"เจ้าเคยไปที่ฟานฟาร่ามั้ยล่ะ? แค่ผ่านชายแดนออกไปก็ได้\"



    คำตอบของอีกฝ่ายคือการส่ายหน้า เท่าที่จำได้เธอไม่เคยมาถึงด่านผ่านแดนเลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะออกจากฮอลลัมเลย



    \"ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ได้\" ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงเรียบๆ แม้จะรู้สึกกังวลอยู่ในใจ



    \"งั้นหนทางสุดท้ายพวกเราคงต้อง...\"



    ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ...เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง และไม่ใช่เบาๆ เสียด้วย



    \"อ้าว! คุณสองคน กำลังทำอะ...\" สัญชาตญาณทำให้เอรอนหันขวับไปตะครุบปากร่างนั้น คว้าแขนไพล่หลังกดลงกับพื้นก่อนจะชักดาบมาจ่อข้างคอโดยฉับพลัน ขณะที่โครินยกสองมือขึ้นปิดปากแน่น ตกใจจนร้องไม่ออก



    ขลุกขลักกันไปชั่วครู่ทั้งสองจึงมีโอกาสได้มองมองร่างที่ถูกกดไว้กับพื้นให้เต็มตา และเอรอนก็ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่านั่นคือคนที่พวกเขารู้จัก (ถึงจะไม่อยากนับว่ารู้จักก็เถอะ)



    ...ไม่ใช่ใครที่ไหน พิออน (อีกแล้ว) นั่นเอง...



    \"คุณเอรอน...นี่คุณพิออนนี่คะ!\" เด็กสาวรีบร้องขึ้นเมื่อหายตกใจ เอรอนได้แต่หันไปส่งสัญญาณมือบอกให้เธอเงียบไว้



    \"อูย...ทักทายรุนแรงกันอีกแล้วนะครับ\" พิออนบ่นเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย



    \"มีอะไรกับพวกเราอีก?\" เอรอนถามห้วนๆ ท่าทางไม่ได้บอกว่ายินดีเลยสักนิดที่พบนักบวชหนุ่ม



    \"บังเอิญผม...\"



    \"หลงทางมาอีกแล้วสินะ\" เอรอนดักคอ ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะแห้งๆ



    \"แต่ไงๆ ก็อุตส่าห์หลงผิดหลงถูกมาจนถึงด่านได้ล่ะครับ ในที่สุดผมจะได้ออกจากฮอลลัมซะที เอ...\" นักบวชหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า \"อยู่ไหนน้า...? อยู่ไหน?\"



    ไม่นานเขาก็หยิบกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งที่ดูยับยู่ยี่ขึ้นมา



    \"ดูเก่าลงไปเยอะ แต่ยังดีที่ตัวอักษรยังไม่เลือนแฮะ\" เขาหันมาทางทั้งสอง \"พวกคุณสองคนก็มีบัตรผ่านแดนเหมือนกันใช่มั้ยครับ?\"



    โครินสั่นศีรษะขณะที่เอรอนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพยักพเยิดไปทางด่านที่มีพวกอัศวินเดินตรวจตรากันอยู่เต็ม



    \"ถึงมีพวกนั้นก็คงจะยอมให้เราผ่านไปหรอก เห็นไม่ใช่รึว่าด่านถูกปิดแล้ว\"



    \"อ้าว! ไม่มีงั้นเหรอครับ? แย่จัง\" พิออนยังพูดต่อไปโดยไม่สนท่าทางของผู้ฟังเอาเสียเลย ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบกระดาษอีกแผ่นขึ้นมา \"อันนี้ของเพื่อนผมทิ้งไว้ จะยืมไปใช้ก่อนก็ได้นะครับ\"



    นักบวชหนุ่มยื่นกระดาษแผ่นนั้นส่งให้เอรอน แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับ โครินจึงเป็นฝ่ายรับมันไปดูแทน



    บนกระดาษแผ่นนั้นประทับตราสัญลักษณ์ของอาร์โคเซียเห็นเด่นชัด แม้จะจางลงเล็กน้อยเพราะความเก่า มีชื่อ และรายละเอียดของคนคนหนึ่งกรอกอยู่ด้วยหมึกเป็นลายมือตัวบางออกตวัด



    \"นาย...ลีก้า เลโอนัส สัญชาติอาร์โคเซีย สถานะนักบวช...นี่มันของนักบวชนี่คะ\"



    \"อ่า...คุณโครินคงจะใช้บัตรเพื่อนผมไม่ได้ล่ะ\" พิออนปรายตาไปทางเอรอนที่ทำตาขวางๆ เหมือนกับจะบอกว่าเป็นตายอย่างไรเขาก็ไม่มีวันคิดจะใช้บัตรของนักบวชหนุ่มเด็ดขาด



    \"แล้วเป็นนักบวช...ข้าก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน\" เขาพูดห้วนๆ



    นักบวชหนุ่มหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะหันมามองเอรอนตรงๆ ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มเย็นๆ ที่ดูกวนโทโสผู้มองอย่างไรก็ไม่รู้



    \"แต่ผมว่าผมมีวิธีให้พวกเราสามคนผ่านด่านไปด้วยกันได้นะครับ คุณเอรอนสนใจจะร่วมมือกันมั้ยล่ะ?\" พิออนเสนอ



    \"แล้วทำไมพวกเราถึงต้องร่วมมือกันด้วยล่ะ?\" เอรอนย้อนถาม \"จะไปตัวคนเดียวก็ไปได้นี่...มีบัตรผ่านแดนของตัวเองแล้วไม่ใช่รึ? ทำไมต้องมายุ่งกับพวกเราให้ลำบาก?\"



    \"ก็นักบวชมีหน้าที่ช่วยเหลือ...\"



    \"ถ้าจะอ้างหน้าที่ของนักบวชน่ะไม่ต้องมาพูดหรอก ในโลกนี้คงไม่มีคนที่โง่พอจะช่วยเหลือคนที่ตัวเองไม่รู้จักไปซะทั่วถึงสองคนหรอก\" เอรอนอ้างเหตุผลของตน ซึ่งโครินฟังแล้วเหมือนจะเสียดสีตัวเธอเองอย่างประหลาด \"แล้วข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่คิดจะทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเลย\"



    พิออนแค่นหัวเราะ



    \"ยังไม่เลิกสงสัยผมอีกเหรอครับ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิดถึงแต่เรื่องผลประโยชน์เหมือนกับคุณนะ\" เอรอนขมวดคิ้วทันควันเมื่อรู้ตัวว่าถูกย้อน \"แต่ผมคงว่าอะไรไม่ได้หรอก...เพราะดูเหมือนคุณจะถูกเลี้ยงมาแบบนั้นนี่นา\"



    นักบวชหนุ่มยังคงสีหน้าไว้เป็นปกติ แม้ดวงตาหลังแว่นจะเหลือบไปเห็นมือของเอรอนที่เลื่อนขึ้นมาจับด้ามดาบก็ตาม



    \"แต่ถ้าจะถามว่าผมต้องการอะไรตอบแทนจากงานนี้หรือเปล่าน่ะ...มีครับ\" เขาพูดต่อพร้อมกับดันแว่นด้วยท่าทางใจเย็น \"เพราะหลังจากผ่านด่านนี้แล้ว ผมจะขอเดินทางไปกับพวกคุณจนถึงมาจิเซียเลย\"



    คิดเหรอว่าข้าจะยอม?...แม้ไม่ได้ถามออกมาด้วยวาจา สายตาของเอรอนที่จ้องคนพูดเขม็งก็บอกความหมายเช่นนั้นดี



    \"จะไปกับพวกเราทำไม?\" ชายหนุ่มถาม \"มีเป้าหมายอะไรยังงั้นรึ?\"



    \"ก็ไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษหรอกครับ เพียงแต่ผมอยากเดินทางไปกับพวกคุณดูเท่านั้นเอง\" พิออนพูดยิ้มๆ \"ในเมื่อผมหลงทางมาเจอพวกคุณตั้งสามครั้ง...ก็แสดงว่าองค์อาร์โคสย่อมมีพระประสงค์ให้พวกเราเดินทางไปด้วยกัน\"



    \"ข้าว่าเจ้าสะกดรอยตามพวกเรามามากกว่า\" อีกฝ่ายไม่วายแย้ง



    \"ถ้าสะกดรอยตามมา...ก็ไม่เห็นจำเป็นที่ผมจะต้องเปิดเผยตัวกับพวกคุณเลยนี่นา ที่ผ่านมาผมเคยทำอะไรที่มีเจตนาร้ายให้พวกคุณเห็นหรือเปล่าล่ะครับ?\" พิออนเว้นระยะครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นมานับนิ้ว แล้วเดินไปรอบๆ ในขณะที่พูด \"หนึ่ง...ช่วยรักษาแผลให้คุณวูลฟ์ สอง...ช่วยพาคุณโครินลงจากผา อ้อ สาม...ช่วยเอา \'ของ\' ไปให้คุณเอรอนด้วย...ข้อนี้สำคัญล่ะ ทันเวลาด้วยสินะครับคุณเอรอน?\"



    และเมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็แกล้งเฉียดเข้ามากระซิบเบาๆ พอให้เอรอนได้ยินคนเดียว \"ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิด \'โศกนาฏกรรม\' ขึ้นมาอีกก็ได้...\"



    มือของเอรอนยื่นออกมาคว้าแขนอีกฝ่ายบีบแน่นในทันใด หากสีหน้าของพิออนยังเรียบเฉย ดวงตาของเขาเพียงเปล่งประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง



    \"คุณเอรอน!!\" โครินเริ่มขึ้นเสียงเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี



    \"ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้มากแค่ไหน แต่ขืนพูดอะไรมากกว่านี้ข้าฆ่าเจ้าแน่\" เอรอนเข่นเสียงตอบเบาพอกัน หากความเข้มในน้ำเสียงบอกว่าเขาเอาจริงแน่นอน



    นักบวชหนุ่มยอมหุบปากสนิท...แต่ด้วยรูปปากที่ดูแล้วเหมือนจะยิ้มท้าทายเสียมากกว่า



    ผ่านไปพักหนึ่งเอรอนจึงยอมปล่อยมือให้พิออนเดินต่อไป...โดยที่เด็กสาวอีกคนได้แต่ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก



    \"เห็นมั้ย...ผมไม่เคยส่อเจตนาจะทำร้ายพวกคุณเลยนะ\" นักบวชหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงปกติของเขาที่แฝงความร่าเริงนิดๆ \"คิดซะว่าพวกเราร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจะไม่ดีกว่าเหรอครับ?\" ประโยคต่อมาของเขาคล้ายกับคำพูดที่เอรอนพูดกับโคริน ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองไม่น่าจะเคยได้ยินมาก่อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ



    \"นักบวชตัวคนเดียวดูมีพิรุธ แล้วนักดาบพเนจรเดินทางมากับคุณหนูชาวฮอลลัมกับหมาป่าอีกหนึ่งตัว ก็มีพิรุธพอกัน ถ้าถูกจับกันทั้งสองฝ่ายก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดีนี่ครับ\" พิออนว่าพลางแกล้งปรายตามองเอรอน \"ว่ายังไงล่ะครับ?\"



    \"แล้วจะให้พวกเราสามคนกับอีกหนึ่งตัวผ่านด่านที่มีอัศวินศักดิ์สิทธิ์เฝ้ากันอยู่เต็มได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าปลอมตัวเป็นนักบวชด้วย? แล้วโครินกับหมาป่านี่ล่ะ?\" เอรอนส่งคำถามให้นักบวชหนุ่มเป็นชุด



    \"ผมย่อมมีวิธีของผม...นั่นคือ...\" พิออนเว้นระยะไปพักหนึ่งขณะดูสีหน้าคู่สนทนาทั้งสองที่ตั้งใจฟังเต็มที่ ก่อนจะยกนิ้วชึ้ขึ้นมาจ่อกับริมฝีปากแล้วเฉลยยิ้มๆ



    \"ค ว า ม ลั บ ค รั บ...\"



    \"ไอ้...\" เอรอนขยับปากจะด่าพร้อมกับขยับเท้าก้าวไปทำท่าจะคว้าตัวอีกฝ่าย แต่พิออนพูดต่อเสียก่อน



    \"ขืนบอกไปแล้วคุณไม่ตกลงผมเสียเวลาอธิบายเปล่าน่ะสิ ถ้าอยากรู้ก็ตอบตกลงมาก่อนสิครับ\"



    \"ไม่\" ชายหนุ่มตอบห้วนๆ ก่อนจะหันกลับไปอีกทาง แต่ก็ต้องชะงักกึกกับคำต่อไปของนักบวชหนุ่ม



    \"แล้วพวกคุณมีทางอื่นที่ดีกว่านี้หรือครับ?\"



    แม้น้ำเสียงนั้นจะฟังร่าเริงเป็นปกติ...หากมันก็ทำให้เอรอนอดคิดไม่ได้ว่ากำลังถูกบังคับอยู่กลายๆ



    แต่เมื่อทบทวนให้ดีแล้ว พวกเขาคงไม่มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่าจริงๆ กระมัง หากเขาจะลอบพาโครินกับหมาป่าสีเงินออกจากด่านไปโดยไม่ทำให้พวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์ตั้งสามสิบกว่าคนจับได้คงเป็นไปได้ยาก



    พิออนถึงจะดูมีพิรุธ แต่จากการกระทำที่ผ่านมาก็บ่งบอกว่า...ถึงแม้นักบวชหนุ่มจะมีประสงค์ร้ายแอบแฝง แต่ก็คงไม่คิดจะเผยธาตุแท้กับทั้งสามในตอนนี้



    ถือเสียว่าทำเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าไปก่อนก็คงไม่เสียหาย...ถึงจะไม่อยากทำเท่าไรก็เถอะ



    \"คิดให้เร็วๆ หน่อยก็ดีนะครับ เพราะผมกำลังรีบล่ะ\" นักบวชหนุ่มพูดด้วยเสียงใจเย็น \"ถ้าไม่รีบคิดเดี๋ยวผมจะไปคนเดียวล่ะนะ\"



    เอรอนได้แต่นึกแช่งชักเจ้าของสีหน้ากับน้ำเสียงกวนประสาทในใจก่อนจะกลั้นเสียงตอบ



    \"ก็ได้\" ชายหนุ่มตอบเรียบๆ \"แต่ถ้าเจ้าทำอะไรตุกติกขึ้นมาล่ะก็...ตายแน่!\"



    นักบวชหนุ่มเพียงแต่ยิ้มรับพร้อมกับยักไหล่



    \"ของแบบนี้มันต้องเล่นวิชามารกันหน่อยล่ะครับ\" พิออนตอบพร้อมกับตวัดมือ...ทำให้เสียงเป๊าะดังขึ้นพร้อมกับที่ปากกาขนนกด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นในมือข้างนั้น นักบวชหนุ่มหยิบบัตรผ่านแดนของ \'ลีก้า เลโอนัส\' ขึ้นมาขีดเขียนอะไรลงไปพักหนึ่งก่อนจะส่งให้เอรอน



    ชายหนุ่มรับบัตรใบนั้นมามองเพียงครู่เดียวก่อนจะส่งไปให้โครินที่รับมาอย่างงงๆ แต่แล้วก็เข้าใจเมื่ออีกฝ่ายกระซิบว่า



    \"อ่านทีซิ\"



    \"ค...ค่ะ\" เด็กสาวก้มลงทำตามทันที \"นาย...เดียก้า แบ็ดฮัส สถานะ...องครักษ์นักบวช...เหรอ?\"



    \"อย่างนี้จะได้เข้ากับคุณเอรอนหน่อย\" พิออนว่า เอรอนฟังแล้วทำตาขวางๆ เหมือนกับจะถามว่า...ฉันไปเป็นองครักษ์ของแกตั้งแต่เมื่อไหร่ หากนักบวชหนุ่มไม่สนและหยิบบัตรของตนขึ้นมาเขียนอะไรลงไปเช่นกัน



    เอรอนดูแล้วก็นึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมา...แต่ไม่คิดจะถาม



    \"เอ่อ...คุณพิออนคะ แล้วฉัน...\" เด็กสาวได้แต่มองพิออนด้วยสายตาปริบๆ ทั้งสองคนมีบัตรผ่านแดนแล้ว แต่เธอล่ะ?



    \"ส่วนของคุณโครินไม่จำเป็นหรอกครับ\" นักบวชหนุ่มพูดต่อ \"เพราะนี่เป็นการเดินทางผ่านด่านครั้งแรกของคุณ...แล้วจะเป็นกรณีฉุกเฉินด้วย พวกเราสองคน...จะพาคุณที่ป่วยหนักด้วยโรคอะไรบางอย่างไปรักษาที่ฟานฟาร่า\"



    \"แต่พวกเราจะไปมาจิเซียกันไม่ใช่เหรอคะ?\"



    \"ยายโง่...ขืนบอกว่าไปมาจิเซียแล้วพวกนั้นสงสัยเราขึ้นมาก็ถูกตามจับได้ง่ายๆ น่ะสิ\" เอรอนขัดด้วยเสียงห้วนๆ ทำเอาโครินสีหน้าเจื่อนลง



    \"อืม...ถึงจะผิดศีลข้อมุสา แต่พวกเราคงจำเป็นต้องล่อให้พวกนั้นเข้าใจผิดน่ะครับ\" พิออนอธิบาย \"ตรงนี้คงต้องขอให้คุณโครินแสดงเป็นคนป่วยหน่อยนะครับ\"



    \"ค...ค่ะ\" โครินรับคำ



    \"แล้วเจ้า...หมาป่านี่ล่ะ?\" เอรอนถามขึ้นพร้อมกับพยักพเยิดไปทางหมาป่าสีเงิน...ซึ่งจ้องตอบเขาเขม็งด้วยดวงตาสีทองสุกสว่าง \"อย่าบอกนะว่าเป็นหมาบ้านที่ตามเจ้านายมาด้วยความจงรักภักดี\"



    \"นั่นก็เป็นปัญหานิดหน่อยล่ะครับ\" พิออนพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแปลกกว่าเดิม \"ถ้าตัด \'หมาป่า\' ออกไป แล้วเปลี่ยนเป็น \'คน\' ได้ก็จะดีไม่ใช่น้อย จริงมั้ยครับคุณวูลฟ์?\"



    นักบวชหนุ่มหันไปมองหมาป่าสีเงินด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกให้รู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็น \'อะไร\' หรือ \'ใคร\'



    \"ร่างที่ใช้อยู่นี่ทำให้คุณรอดมาได้ถึงตอนนี้...แต่เห็นที่คราวนี้คุณคงต้องเผย \'ร่างจริง\' แล้วล่ะครับ\"



    เจ้าหมาป่าหรี่ตาอย่างระแวดระวัง...ก่อนที่มันจะเผยอปากช้าๆ โครินถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดภาษาเรอาเลี่ยนจากปากของมัน



    \"มองออกด้วยรึ?\"



    พิออนยิ้มน้อยๆ



    \"คนมองออกคงจะเป็นคุณเอรอนครับ อย่างผมเรียกว่า \'รู้\' จะดีกว่า\"



    เอรอนยังนิ่งเฉยไม่มีทีท่าจะประหลาดใจ ถูกแล้ว...เขาคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหมาป่าสีเงินต้องไม่ใช่หมาป่าธรรมดาแน่ๆ



    \"วูลฟ์...พูดได้งั้นเหรอ!?\" โครินเสียอีกที่เป็นคนเดียวที่อุทานเบาๆ



    \"คงไม่ใช่ทำได้แค่พูดด้วยล่ะมั้ง\" เอรอนพูดเรียบๆ



    วูลฟ์ดูเหมือนจะไม่สนใจทั้งสอง ยังคงจ้องพิออนเขม็ง



    นักบวชหนุ่มยังคงยิ้มแย้มตอนล้วงมือเข้าไปในย่ามของตนแล้วหยิบผ้าสองสามพับออกมา



    \"นี่ชุดพื้นเมืองของฮอลลัมครับ ผมได้มาจากหมู่บ้านก่อนหน้านี้ คิดว่าคุณวูลฟ์น่าจะใส่ได้นะ โฟลท!\"



    ว่าแล้วพิออนก็พูดอะไรสั้นๆ ก่อนจะปล่อยมือที่รองผ้าพับนั้นไว้ ปล่อยให้มันลอยข้ามไปหลังพุ่มไม้สูงด้วยเวทมนตร์ แล้วหันกลับมาทางวูลฟ์



    หมาป่าสีเงินพ่นลมหายใจพรืดก่อนจะเดินหายลับไปที่หลังพุ่มไม้ เสียงสวบสาบดังขึ้นเบาๆ ผ่านไปพักใหญ่ก่อนที่ร่างหนึ่งจะเดินกลับมาหาทั้งสามจากทางนั้น



    ทว่านั่นไม่ใช่หมาป่าสีเงิน...กลับเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงผิวขาวเผือดในชุดพื้นเมืองแบบฮอลลัมที่ได้จากพิออน หากผมสั้นสีเงินและดวงตาสีทองที่เป็นประกายคมกล้า กับใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นที่สันจมูกกับข้างแก้มละสองรอยก็ชวนให้นึกถึงหมาป่าที่เรียกว่า \'วูลฟ์\' อย่างประหลาด



    \"วูลฟ์...งั้นเหรอ?!\" โครินอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ



    การพยักหน้ารับเรียบๆ คือคำตอบของเด็กหนุ่มคนนั้น



    \"ทำไมวูลฟ์ถึงกลายเป็นคนไปได้?!\" เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะถาม



    \"สมิง...งั้นสินะ\" เอรอนพูดเรียบๆ



    \"ถ้าจะอธิบายว่าอะไรเป็นมายังไงก็กลัวจะยืดยาวนะครับ เอาเป็นว่าพวกเรารีบผ่านด่านตรงนี้ไปก่อนดีกว่า\" พิออนตัดบท \"ทีนี้เราก็ได้ญาติที่จะไปกับคุณโครินแล้วล่ะครับ\"



    \"ญาติ...ยังไงเหรอคะ?\" โครินตั้งคำถาม



    \"คุณสองคนต้องเล่นละครเป็นสามีภรรยากันครับ\"



    วูลฟ์ขมวดคิ้วนิ่งขณะที่โครินอุทานออกมา



    \"อะไรนะ!?\" เธอหันไปมองเด็กหนุ่มที่ทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ \"สามีภรรยา...ฉันกับ...เค้า...เนี่ยนะ?!\"



    \"ญาติน่ะ...เป็นอะไรอย่างอื่นไม่ได้หรือไง?\" วูลฟ์บ่นขึ้น



    \"น...นั่นสิคะ เป็นพี่ชายกับน้องสาวก็ได้\" โครินรีบเสริม



    \"ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ดูหน้าตาคุณสองคนไม่มีเค้าพี่น้องร่วมสายเลือดกันเลยน่ะสิครับ\"



    เด็กสาวแหงนหน้ามองเด็กหนุ่มที่สูงร่วมร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรแล้วต้องจนด้วยเหตุผล เพราะทั้งสีผม สีตารวมทั้งเค้าหน้าของทั้งสองไม่ได้มีส่วนไหนที่ละม้ายคล้ายกันเลยสักนิด



    \"ถ้างั้นก็เป็นเพื่อน...ลูกพี่ลูกน้อง...หรือญาติห่างๆ ก็ได้\"



    \"แต่พ่อแม่ที่ไหนจะปล่อยให้ลูกสาวคนเดียวเดินทางมากับญาติผู้ชายได้ล่ะครับ...นอกจากว่าจะเป็นสามีภรรยากัน?\" พิออนให้เหตุผล



    โครินจำต้องนิ่งอึ้ง



    \"มันก็จริง...\" เธออุบอิบ



    \"เอาเถอะ ถ้าจะให้แสดงละครล่ะก็...ได้\" วูลฟ์กอดอกตอบด้วยเสียงเฉยชา \"แต่เฉพาะผ่านด่านนี้เท่านั้นนะ\"



    พิออนพยักหน้ารับ



    \"ในเมื่อนักแสดงครบแล้ว...ก็มาซ้อมบทกันเถอะครับ\"



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    \"นั่น...ดูนั่นสิครับ!\" ซาอิรีบร้องบอกอย่างดีใจพร้อมกับวิ่งตรงไปตามทางเกวียนสู่โค้งไหล่เขาด้านหน้า ความรีบร้อนทำให้เด็กหนุ่มเผลอสะดุดรากไม้ที่ขึ้นขวางทางเข้า แต่ยังดีที่ตั้งหลักทันจึงเพียงแค่เซไปสองสามก้าวเท่านั้น



    \"เป็นอะไรหรือเปล่าซาอิ!\" เสียงของเรมี่...หนึ่งในสองเพื่อนร่วมทางร้องถามขึ้น ซาอิหันกลับไปมองทั้งสองที่เดินตามมาด้านหลัง ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่าตนไม่เป็นอะไร เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยๆ แก้เก้อ



    เพียงครู่เดียวเรมี่กับมาริเอลล่าก็ตามมาถึง และมองลงไปยังภาพหมู่บ้านเล็กๆ ที่เห็นอยู่ลิบๆ ในหุบเขาเบื้องล่าง ใกล้กับแอ่งทะเลสาบที่สะท้อนแสงแดดยามสายเป็นประกายระยับเช่นกัน



    \"ถึงหมู่บ้านของนายแล้วเหรอ...เร็วจัง\" เรมี่ถามยิ้มๆ



    \"ยังไม่ใช่หรอกครับ\" ซาอิตอบก่อนจะหัวเราะน้อยๆ \"นี่หมู่บ้านคาโยครับ หมู่บ้านเทเซ็นที่ผมอยู่ยังลึกเข้าไปอีก แต่ถ้ามาถึงนี่แล้ว อีกครึ่งวันก็ถึงบ้านผมแล้วล่ะครับ\"



    อีกครึ่งวัน...แต่เพียงแค่มาถึงนี่...เพียงได้เห็นภาพที่คุ้นเคย ใจของเขาก็เต้นแรงเหมือนแทบจะโลดลิ่วไปให้ถึงบ้านก่อนร่างเสียอีก



    \"จากนี้ผมจะแยกไปเองแล้วล่ะครับ ขอบคุณมากจริงๆ ครับที่ช่วยพาผมมาถึงที่นี่\" เด็กหนุ่มทำท่าจะโค้งคำนับ แต่เรมี่รีบร้องห้ามทันควัน



    \"ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก ว่าแต่จากนี่นายไปเองได้จริงๆ งั้นเหรอ\" ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง แม้จะเห็นว่าดินแดนแถบนี้ดูเงียบสงบและปลอดภัยดี หากท่าทาง (บวกความซุ่มซ่าม) ของซาอิทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะไปเกิดอุบัติเหตุขึ้นที่ไหนหรือเปล่า



    \"ครับ ผมเคยมาเก็บสมุนไพรกับน้องแถวนี้น่ะครับ เลยรู้จักทางแถวนี้อยู่บ้าง\" ซาอิตอบ \"ขอบคุณมากครับ คุณเรมี่ คุณมาริเอลล่า ผมจะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ\"



    \"ฉันว่าฉันบอกมาตลอดทางแล้วนะว่าไม่ต้องเรียก \'คุณ\' กันก็ได้\" เรมี่พูดแต่ก็ยังยิ้มรับ \"ถ้างั้นก็เดินทางโดยสวัสดิภาพล่ะ แล้วกลับไปเรียนที่มาจิเซียให้ทันด้วยนะ\"



    \"ครับ...ขอบคุณมากจริงๆ ครับ ลาก่อนนะครับ\" ซาอิโบกมือลา \"หวังว่าเราคงได้พบกันใหม่นะครับ\"



    \"อืม\" เรมี่พยักหน้ารับพร้อมกับยิ้ม



    เด็กหนุ่มค้อมศีรษะลงน้อยๆ เป็นเชิงขอบคุณและบอกลาก่อนจะกี่งเดินกึ่งวิ่งจากไปจากร่าเริง



    ทั้งสองมองตามเด็กหนุ่มที่เดินออกห่างไปทุกทีจนลับสายตา ก่อนที่เรมี่จะยักไหล่น้อยๆ แล้วหันไปทางมาริเอลล่า



    \"ทีนี้เราก็ไปกันบ้างเถอะแมรี่\"



    เด็กสาวพยักหน้ารับน้อยๆ แทนคำพูด ก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับหลังหันเดินนำไป



    หากย้อนทางเดิมไปได้สองสามก้าว มาริเอลล่าก็ต้องหันขวับกลับไปด้านหลัง...เมื่อสัมผัสถึงความรู้สึกที่ผิดปกติและไม่สู้ดี...แม้จะเลือนลางและเบาบางจนแทบจับไม่ได้



    \"มีอะไรเหรอแมรี่?\" เรมี่เหลียวกลับมาถามเมื่อเห็นว่าเด็กสาวหยุดเดินกะทันหัน



    ไม่มีคำตอบ...มาริเอลล่ายังคงยืนนิ่งราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขา



    เสียงอันแหลมบาดหูราวกับกรีดกระจกเป็นทางยาวด้วยมีด...หลายครั้ง...หลายครา ติดๆ กัน ที่เริ่มทวีความอื้ออึงขึ้นในสองหูทำให้ดวงตาสีไพลินของเด็กสาวเบิกกว้างขึ้น



    ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหาร่างเล็กๆ แล้วแตะไหล่ของเธอเบาๆ เมื่อนั้นเองเด็กสาวจึงสะดุ้งน้อยๆ เหมือนกับเพิ่งรู้สึกตัวแล้วหันขวับมา



    \"เป็นอะไรไปหรือเปล่า?...ไม่สบายเหรอ?\" เรมี่ถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง



    \"ม...ไม่มีอะไรหรอก\" มาริเอลล่าส่ายหน้าก่อนจะตอบเบาๆ \"ไปต่อเถอะ\"



    \"ถ้าไม่ไหวหรือเป็นอะไรขึ้นมาก็บอกนะ\" ชายหนุ่มยังไม่คลายความกังวล



    เด็กสาวพยายามยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น หากรอยยิ้มนั้นก็ฝืดเฝือเต็มที



    \"ฉัน...ไม่เป็นไรจริงๆ นะเรมี่ ไม่ต้องห่วงหรอก\" เธอตอบก่อนจะออกเดินต่อไป ทำให้เรมี่ต้องเดินต่อบ้าง หากคราวนี้เขาชะลอฝีเท้าลงมาเดินคู่กับเด็กสาวพร้อมกับชำเลืองมองเธออย่างห่วงใย เหมือนจะคอยช่วยเหลือหากเกิดอะไรขึ้น



    มาริเอลล่าพยายามสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากเบื้องหลังจางหายไป



    ผู้มีสายเลือดเอลฟ์จะรับรู้ได้ถึงสัมผัสของวิญญาณ...โดยเฉพาะวิญญาณที่ตายด้วยความเคียดแค้นอย่างรุนแรง และยิ่งวิญญาณมากดวง...หรือเคืองแค้นรุนแรงเพียงใด ก็ยังส่งผลต่อประสาทที่เฉียบคมหากอ่อนไหวของผู้รับรู้ด้วย



    และในที่นี้...สัมผัสของวิญญาณมากมายที่ตายด้วยความทรมานก็กำลังก่นด่าสาปแช่งบางสิ่งไม่หยุดหย่อน...ชวนในนึกถึงคลื่นวิญญาณอันเคียดแค้นในอดีตที่เธอเคยสัมผัสยามอยู่ในลานสังหาร...



    แม้ว่าสิ่งที่วิญญาณเหล่านี้เคียดแค้นจะไม่ใช่ตัวเธอเองก็ตาม...



    \"นั่งพักก่อนมั้ยแมรี่?\" เรมี่เอ่ยถามด้วยเสียงเป็นห่วง \"หน้าซีดมากนะ ไม่สบายหรือเปล่า?\"



    เด็กสาวสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างหนักแน่น



    \"ไม่ต้องหรอก ไปต่อดีกว่า\"



    ชายหนุ่มทำท่าจะค้าน แต่แล้วก็เงียบไว้ ทั้งสองจึงได้แต่เดินกันไปเงียบๆ เป็นพักใหญ่



    เสียงที่ดังก้องอยู่ในสมองค่อยๆ เลือนหายลงเป็นลำดับตามระยะทางที่ผ่านไป แต่ก็เป็นนานทีเดียวกว่ามาริเอลล่าจะรู้สึกได้ว่าพวกมันเงียบสนิทไปแล้ว



    \"เรมี่...\" เธอพูดขึ้นอีกครั้ง \"มีปีศาจมาทำลายหมู่บ้านในนี้จริงๆ นะ\"



    สีหน้าของเรมี่เปลี่ยนไปในทันที ไม่ต้องมีคำถามเขาก็เข้าใจได้ว่าเด็กสาวรู้ได้อย่างไร



    \"แล้วซาอิ...จะเป็นอะไรหรือเปล่าล่ะแบบนี้\"



    คำตอบจากอีกฝ่ายคือการสั่นศีรษะ ก่อนจะพูดให้เหตุผล



    \"ปีศาจตนนั้นไปจากที่นี่นานแล้วล่ะ เพราะฉันไม่รู้สึกถึงไอปีศาจเลย แต่ว่า...\" น้ำเสียงของมาริเอลล่าแผ่วเบาลงราวกับครั่นคร้ามต่อสิ่งที่กำลังพูดถึง



    \"...\'วิญญาณ\' ของพวกชาวบ้านที่ถูกฆ่า...ยัง...\" คำพูดของเด็กสาวสะดุดลง หากเพียงเท่านี้ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจโดยไม่ซักถามอะไรต่อ



    \"ถ้าอย่างนั้นก็คงได้แต่ภาวนาให้หมู่บ้านนั้นไม่ใช่หมู่บ้านของซาอิแหละนะ\" เรมี่ได้แต่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ซาอิเดินไปตามทางเกวียนเล็กๆ มาได้พักหนึ่งแล้ว ทั้งภาพและกลิ่นไออันคุ้นเคยทำให้เขารู้สึกสบายใจจนต้องฮัมเพลงแบบโครินเบาๆ



    ในใจของเด็กหนุ่มอดคิดเรื่อยเปื่อยไม่ได้ว่าตอนนี้น้องสาวของเขากำลังทำอะไรอยู่นะ ยามสายที่แดดดีอย่างนี้ เธอคงกำลังนำสมุนไพรออกมาตาก หรือไม่ก็ช่วยแม่ซักผ้าอยู่กระมัง เธอจะทำหน้าอย่างไรนะที่ได้พบเขาโดยไม่ได้นึกฝันมาก่อนแบบนี้...



    เสียงฝีเท้าที่ได้ยินทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองทางเบื้องหน้า มีชายสองคนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเดินสวนมาทางเขาอยู่ไกลๆ



    ซาอิโบกมือทักทาย แต่เมื่อทั้งสองเห็นเขา สีหน้าก็เปลี่ยนก่อนจะกลับหลังหันเดินไปทางอื่นทันที



    เด็กหนุ่มนึกแปลกใจขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก เขายังเดินต่อไปจนพบชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง...ซึ่งมีท่าทางตกใจไม่แพ้กับสองคนที่เพิ่งผ่านไป



    ความที่เห็นเป็นคนรู้จักทำให้ซาอิร้องทักออกไป



    \"ลุงเฮียว! สวัสดีครับ!\"



    สีหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนเป็นซีดเผือดไปในทันที ยืนตะลึงนิ่งอยู่เช่นนั้น



    \"เป็นอะไรไปครับลุง? จำผมได้มั้ย? ผมซาอิ...ลูกของหมอฮวนที่อยู่เทเซ็นไงครับ\" เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้ แต่อีกฝ่ายกลับก้าวถอยหลังไปอย่างตื่นๆ \"ผมเพิ่งกลับมาจากสอบที่มาจิเซียน่ะครับ\"



    ลุงเฮียวกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ก่อนจะถามขึ้น



    \"ซ...ซาอิ นี่เธอยังมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ!?\"



    \"ก็ใช่น่ะสิครับ ทำไมลุงถึงถามอะไรแปลกๆ อย่างนี้ล่ะ\" คำพูดของเขาทำให้ซาอิฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา \"หรือว่า...หมู่บ้านที่ถูกปีศาจทำลาย...\"



    เด็กหนุ่มหยุดคำพูดค้างไว้เพียงเท่านั้น...ราวกับกลัวว่าสิ่งที่ไม่อยากพูดออกไปจะเป็นความจริง



    ชายวัยกลางคนไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่ผงกศีรษะน้อยๆ แล้วก้มหน้านิ่ง



    อารามร้อนรนทำให้เด็กหนุ่มถึงกับคว้าไหล่อีกฝ่ายขึ้นมาเขย่า



    \"ล...แล้วพ่อแม่ผมล่ะ?! โครินล่ะ?! ทุกคนปลอดภัยใช่มั้ย?! ใช่มั้ย!?! ตอบผมมาสิ!!\"



    ลุงเฮียวส่ายหน้า



    \"ได้ยินว่าไม่มีใครรอดชีวิต...นอกจาก...\" เพียงเท่านี้ซาอิก็ปล่อยมือจากไหล่ของเขาออกวิ่งไปในทันที \"ด...เดี๋ยวสิซาอิ! เธอจะไปไหน!?\"



    เด็กหนุ่มไม่ตอบ...ไม่แม้แต่จะสนใจ สิ่งเดียวที่เขาทำก็มีเพียงวิ่งเท่านั้น...ถึงสะดุดล้มลงอยู่หลายครั้งก็ยังลุกขึ้นวิ่งต่อไป...



    จนถึงทางโค้งไหล่เขาอีกแห่ง ซึ่งเผยภาพหมู่บ้านให้เขาได้เห็น...



    แต่สิ่งที่เห็นไม่ใช่หมู่บ้านของเขาอีกต่อไปแล้ว...



    ภาพซากอาคารบ้านเรือนที่ไหม้เกรียมอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนกับจะบอกชัดว่า...ใครก็ตามที่อยู่ในสถานที่นั้น...ในเวลานั้น...ไม่มีทางจะรอดชีวิตมาได้เลย



    หากเสียงในใจของเด็กหนุ่มยังคงร่ำร้อง...ภาวนาให้มันมิใช่ความจริง



    ไม่...ไม่จริง...เขาอาจจะตาฝาดไปก็ได้



    หรือบางที...ทุกคนอาจจะยังมีชีวิตอยู่...อาจจะหนีทันก็ได้



    เขาต้องรีบไปดูให้แน่ชัด...



    ความร้อนใจทำให้ซาอิไถลตัวลงไปตามไหล่เขาเพื่อตัดทางลงไปด้านล่างให้ได้เร็วกว่าเดิม



    ความที่ต้องการจะไปถึงหมู่บ้านให้เร็วที่สุด...ทำให้เขาไม่สนกระทั่งอาการบาดเจ็บของตนเองอีกแล้ว



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ห้องกว้างรูปวงกลมนั้นสว่างเพียงสลัวด้วยแสงไฟจากกระถางเพลิงที่ตั้งอยู่ริมผนังรายรอบ ซึ่งขับให้ผนังห้องที่มีรอยสลักภาพวาดบนฝาผนังเป็นลวดลายแปลกตาดูเป็นสีทองเรือง...และส่องให้เห็นร่างใหญ่กำยำสูงราวสามเมตรในชุดเกราะหนักโลหะสีแดงเข้มที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้อง เงาไหวระริกบนใบหน้าสีทองแดงกร้าวแกร่งฉายแววเครียดขรึม และสะท้อนประกายอยู่ในดวงตาที่มีสีดุจเดียวกับเปลวเพลิง



    สองมือของร่างนั้นกระชับทวนยาวไว้มั่น...นิ่งอยู่นานราวกับรวบรวมสมาธิ ก่อนจะตวัดฟันเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว



    เปลวไฟจากกระถางเพลิงอันหนึ่งเอียงวูบตามแรงอากาศที่ปะทะ...ชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่กระถางเพลิงข้างๆ จะไหวตาม วนกันไปตามกระถางเพลิงที่ตั้งเรียงกันจนครบวงก่อนจะไหวระริกตามปกติเช่นเดิม



    คราที่สองที่ทวนตวัดอีกรอบ...รวดเร็วจนมิอาจเห็นตอนสัมผัสกับเปลวไฟทันได้ หากส่วนยอดของเปลวเพลิงนั้นก็แยกตัวออกลอยสูงขึ้น และการตวัดฟันครั้งต่อๆ ไปก็ยิ่งแยกแสงไฟเหล่านั้นให้ย่อยลงเป็นเสี้ยวเล็กกว่าเดิม จนที่สุดกลายเป็นละอองแสงเล็กๆ ราวกับหิ่งห้อยที่ลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปสู่เพดานก่อนจะดับวูบลง...ทิ้งไว้เพียงความมืดมิดและเงียบสงัด



    หากผ่านไปเพียงครู่เดียว...เสียงหนึ่งจากด้านนอกก็เรียกขึ้น



    \"ท่านกีก้าเฟลมขอรับ\"



    ชั่วแวบที่ทวนยาวสะบัดวาบอีกครั้ง กระถางเพลิงที่ตั้งรายรอบก็พลันสว่างไสวขึ้นอีก ก่อนที่เจ้าของทวนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทรงอำนาจ ทั้งที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม



    \"มีเหตุอันใด?\"



    ร่างในชุดเกราะของนักรบผู้อ่อนวัยกว่าเข้ามายืนตรงหน้าก่อนจะคำนับอย่างนอบน้อม แล้วพูดต่อไป



    \"ทางด่านแจ้งมาว่า...มีมนุษย์คนหนึ่งต้องการพบท่านขอรับ\"



    สีหน้าของกีก้าเฟลมผู้ฟังเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น



    \"มนุษย์...งั้นหรือ?\"



    \"ขอรับ ได้ยินว่าเป็นมนุษย์ผู้หญิง อายุราวๆ ยี่สิบปีขอรับ นายด่านอาลูอินไม่วางใจให้นางเข้ามา แต่จะพูดอย่างไรนางก็ยังไม่ยอมไป ยืนยันว่ามีเรื่องสำคัญต้องการพบท่านให้ได้ขอรับ\"



    ยี่สิบปี...นักรบผู้มากวัยกว่าอดมิได้ที่จะหวนถึงอดีตที่ผ่านเลยไปกับช่วงเวลานั้น...กับเหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นและเขาคงไม่มีวันลืมเลือนไปได้



    ...หรือนางจะเป็น...



    ทวนที่ถือติดมือถูกตวัดเก็บไว้ด้านหลัง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะหันกลับเดินออกไปจากห้องวงกลมที่รายรอบด้วยกระถางเพลิงสู่ด้านนอก



    \"ถ้าเช่นนั้น...ข้าจะไปดูเสียหน่อย\"



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    \"รองแอสทราลครับ\" เสียงเรียกทำให้อัศวินหนุ่มที่กำลังยืนเท้าคางรับลมอยู่บนหอสังเกตการณ์หันหน้ากลับไปทันที



    \"มีอะไรเหรอ?\"



    ทหารชายแดนคนนั้นทำความเคารพก่อนจะพูดต่อไป



    \"มีคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าจะขอเดินทางข้ามแดนไปฟานฟาร่าน่ะครับ\"



    \"ก็ไหนว่าด่านปิดอยู่ไม่ใช่หรือไง?\" แอสทราลย้อนถาม



    \"ครับ แต่พวกเขาบอกว่ามีเหตุจำเป็นเร่งด่วนมาก นายด่านวาร์คัสไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี...เลยอยากจะขอความเห็นจากท่านที่เป็นผู้รักษาการณ์กองอัศวินศักดิ์สิทธิ์น่ะครับ\"



    \"โอเค งั้นฉันจะไปดูหน่อยละกัน\" แอสทราลว่าก่อนจะลงไปจากหอสังเกตการณ์



    ที่ลานข้างล่างนั้น ที่แอสทราลเห็นคือคนสี่คนที่ถูกบรรดาอัศวินกับทหารชายแดนยืนล้อมอยู่ห่างๆ โดยมีนายด่านวาร์คัสที่ยืนเงียบอยู่ใกล้ๆ



    หนึ่งคือนักบวชอาร์โคเซียที่สวมผ้าคลุมสีขาวคุ้นตาเหมือนนักบวชทั่วไป แม้แว่นตาที่กรอบใสข้างขุ่นข้างจะดูแปลกตาไปบ้าง



    สอง...คือชายหนุ่มผมสีทองยาวรวบมัดเป็นหางม้าข้างหลัง และสวมผ้าคลุมสีดำที่ชายขาดวิ่นดูมอซออย่างไรก็ไม่รู้ ฝักดาบที่คาดอยู่กับเข็มขัดข้างเอวบอกให้รู้ว่าเขาเป็นนักดาบ



    คนที่สามคือเด็กหนุ่มร่างผอมที่ดูจะตัวสูงที่สุด แต่ก็อายุน้อยกว่านักบวชกับนักดาบสองคนนั้น เขาสวมชุดพื้นเมืองแบบชาวฮอลลัม มีผ้าโพกผมมิดชิด แถมชายผ้ายังย้อยลงมาบังช่วงบนของใบหน้าไว้บางส่วน มือของเขาโอบไหล่เด็กสาวร่างบอบบางคนหนึ่งไว้ด้วยท่าทางหวงแหน บอกความสัมพันธ์ที่น่าจะลึกซึ้งเกินธรรมดา



    ชุดกระโปรงสีเขียวที่เด็กสาวสวมอยู่ไม่มีผ้าพันเอวเหมือนการแต่งตัวทั่วไปของผู้หญิงแถบนี้ ส่วนกลางลำตัวของร่างเธอนูนขึ้นมาน้อยๆ ดูเหมือนจะตั้งครรภ์ได้ราวห้าหกเดือนกระมัง



    ภาพที่เห็นทำให้แอสทราลเดาว่าเจ้าหนุ่มที่ประคองอยู่คงเป็นสามีเธอล่ะมั้งแบบนี้



    แต่ก็ไม่แปลก...ธรรมดาในชนบทอย่างนี้นิยมแต่งงานกันไวอยู่แล้วนี่นะ



    \"ตลกดีแฮะ...นักบวช นักดาบ กับสามีภรรยาชาวฮอลลัมมาด้วยกันได้ยังไงเนี่ย\" แอสทราลพึมพำกับตนเองเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปหานักบวชหนุ่มที่ยืนนำหน้าดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มแล้วเอ่ยถาม



    \"พวกหลวงพี่มีธุระอะไรงั้นเหรอครับ\"



    \"คือ...ผมเป็นนักบวชที่มาเผยแพร่ศาสนาที่ไซยูน่ะครับ ผมมีคนไข้ที่ต้องรีบพาไปรักษาที่เน็คเทียร์ครับ\"



    \"อ้อ...\" แอสทราลพยักหน้ารับเรียบๆ เป็นธรรมดาของนักบวชที่มาเผยแพร่ศาสนาในเขตแดนที่ห่างไกลที่มักจะมีวิชาการแพทย์ติดตัว และเน็คเทียร์เองก็เป็นแคว้นย่อยในฟานฟาร่าที่ได้ชื่อว่าเจริญในด้านวิทยาการบำบัดรักษาโรคมากที่สุด \"หมายถึงคุณหนูคนนี้สินะ\" อัศวินหนุ่มเดาพลางพยักพเยิดไปทางผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มจากท่าทางอิดโรยของเธอ



    \"ใช่ครับ เธอมีอาการครรภ์ผิดปกติที่เรียกว่า...น่ะครับ\" นักบวชหนุ่มบรรยายชื่ออาการที่ฟังแปลกหู \"ถ้าปล่อยทิ้งไว้จนถึงกำหนดคลอดโดยไม่รักษาล่ะก็อาจจะเกิดการตกเลือดจนเสียชีวิตทั้งแม่ลูกได้ พวกเราก็เลยรีบเสี่ยงออกเดินทาง ถึงจะได้ยินว่าเกิดเรื่องปีศาจขึ้นก็เถอะ\"



    เอรอนลอบปรายตามองพิออนด้วยสีหน้าเรียบเฉย...แต่ในใจอดไม่ได้ที่จะคิดว่า เจ้าหมอนี่แต่งบทกับแสดงละครเก่งพิลึกจนน่าจะไปยึดอาชีพนักแสดงมากกว่านักบวช



    สีหน้าของแอสทราลเริ่มบอกความเห็นใจขึ้นมาแล้ว แต่เขาก็ยังถามต่อไป



    \"แล้วหมอนั่น...\" แอสทราลพยักพเยิดไปทางเอรอนเป็นเชิงถาม



    \"องครักษ์ของผมครับ ตามผมมาตั้งแต่ตอนออกจากอาร์โคเซีย เขาเป็นคนดีนะครับ ถึงจะชอบทำหน้าตาเครียดๆ แบบนี้ก็เถอะ\"



    พิออนเลยรีบยื่นบัตรผ่านแดนทั้งสองใบส่งให้



    \"พิอัน สดันพลา กับ...เดียก้า แบ็ดฮัส...ชื่อแปลกๆ แฮะ แต่ประทับตราบัตรถูกต้อง\" แอสทราลเงยหน้าขึ้นมองโครินกับวูลฟ์อีกครั้ง \"แล้วสองคนนั้นล่ะชื่ออะไร? ไม่มีบัตรเหรอ?\"



    \"วาจินโป กับวายูมีครับ\" พิออนบอกชื่อที่ตั้งให้ทั้งสองเสร็จสรรพตั้งแต่ตอนวางบท \"ทั้งสองคนยังไม่เคยทำบัตรผ่านแดนเลยน่ะครับ จะเป็นปัญหาหรือเปล่า?\"



    แอสทราลหันไปทางนายด่านวาร์คัสก่อนจะถาม



    \"ถ้าให้พวกเค้ากรอกบัตรแล้วรีบประทับตราในตอนนี้เลยจะเป็นปัญหามั้ยครับ?\"



    \"จริงๆ ตามหลักการก็ไม่อนุญาตหรอกนะครับ\" นายด่านตอบแบ่งรับแบ่งสู้ \"แต่ถ้าเห็นเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ คงอนุโลมให้ได้\"



    \"อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยทำบัตรผ่านแดนให้ทั้งสองคนนี้ทีเถอะครับ ถ้ามีอะไรผมจะรับผิดชอบเอง\" อัศวินหนุ่มพูดต่อ



    นายด่านวาร์คัสจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปบอกให้ทหารชายแดนนำบัตรมาให้ทั้งสองกรอกก่อนจะส่งให้เขาประทับตราเสียตรงนั้น



    โครินรับบัตรผ่านแดนใบใหม่เอี่ยม กับปากกาขนนกด้ามหนึ่งจากนายทหารมากรอกรายละเอียดตามที่พิออนเคยซักซ้อมไว้ลงไป...ตั้งแต่ชื่อ อายุ และสถานะ ก่อนจะส่งปากกาต่อให้วูลฟ์ ซึ่งรีบตวัดตัวอักษรลงไปอย่างรวดเร็ว



    \"แล้วคุณหนูจะเดินไปตลอดทางไหวหรือ? ไกลออกนา\" ขณะที่นายด่านวาร์คัสนำบัตรทั้งสองใบกลับเข้าไปประทับตราในห้องทำงานของตน แอสทราลอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ \"ให้ผมจัดรถม้าไปส่งถึงเน็คเทียร์เลยจะดีกว่ามั้ย?\"



    \"ขอบคุณสำหรับน้ำใจครับ แต่ผมเกรงว่าจะทำให้พวกคุณต้องลำบากน่ะสิครับ\" พิออนตอบแทน



    \"ไม่ลำบากหรอก แถมคนขับรถไปส่งอีกคนนึงก็ยังได้นะ พวกเราคงต้องอยู่สืบเรื่องปีศาจที่นี่อีกพักใหญ่เลยล่ะ เอารถเสบียงไปใช้ก่อนซักคันนึงไม่เป็นไรหรอกน่า\"



    \"ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องขอรบกวนหน่อยล่ะครับ\" คราวนี้นักบวชหนุ่มกลับไม่ปฏิเสธ \"แต่เรื่องคนขับรถคงไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะเดียก้าองครักษ์ผมขับรถม้าเป็น\"



    เอรอนลอบขมวดคิ้วเมื่อถูกยัดเยียดหน้าที่ \'คนขับรถ\' เข้ามาอีกหนึ่ง



    \"อืม ถ้าอย่างนั้นก็ได้\" ว่าแล้วแอสทราลก็หันไปออกคำสั่งให้จัดเสบียงกับรถม้าให้อีกคันหนึ่ง



    ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีบัตรผ่านแดนใหม่สองใบ กับรถม้าก็เสร็จอย่างรวดเร็ว ขณะที่พิออนสนทนากับแอสทราลที่ชวนคุยในเรื่องทั่วๆ ไป ประมาณว่ามาอยู่ฮอลลัมตั้งแต่เมื่อใด ความเป็นอยู่เป็นอย่างไร



    ท่าทางของนักบวชหนุ่มที่แสดงออกเป็นคนช่างจำนรรจา ร่าเริง เปิดเผย ดูเหมือนจะไม่มีลับลมคมนัยใดๆ โดยแท้



    สุดท้ายพิออนก็พูดขอบคุณแอสทราลอย่างนอบน้อมอีกครั้งก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้า ตามมาด้วยวูลฟ์กับโคริน ซึ่งเด็กสาวไม่ได้พูดอะไรแต่โค้งคำนับแอสทราลอย่างจริงใจ ก่อนที่วูลฟ์จะประคองเธอขึ้นไปบนรถ ปิดท้ายขบวนด้วยเอรอน



    แต่ขณะที่เอรอนเดินผ่านหน้าแอสทราลไปนั้น...



    \"เออ นายเดียก้า\"



    คนถูกเรียกหยุดกึกทันที หัวใจของโครินที่มองลอดผ้าใบกั้นท้ายรถม้าต่างประตูออกไปเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ เอรอนคงไม่ได้ทำอะไรเป็นพิรุธให้พวกเขาสงสัยขึ้นมาใช่ไหมนะ?



    \"ผ้าคลุมนายมอซอพิลึกเลยว่ะ เข้าเมืองแล้วไปหาซื้อชุดใหม่เปลี่ยนซะนะ\"



    \"อืม\" เอรอนตอบรับเรียบๆ ก่อนจะเดินต่อไป



    เพียงไม่นานรถม้าคันเล็กก็เคลื่อนออกจากด่านผ่านแดนฮอลลัม - ฟานฟาร่าไปอย่างเรียบร้อย โดยมีเอรอนเป็นคนขับ



    โครินมองภาพกำแพงไม้ซุงที่เคลื่อนห่างออกไปด้านหลังก่อนจะเอนพิงผนังด้านหลังแล้วถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก เธอดึงผ้าพันเอวที่ถูกม้วนใส่ไว้ใต้ชายเสื้อเพื่อหลอกตาเป็นครรภ์ปลอมออกมา



    \"คุณหัวหน้ากองคนนั้นเค้าใจดีจังนะคะ นอกจากจะปล่อยพวกเรามาแล้วยังให้รถม้ามาอีก\" เธอพูดขึ้น



    \"ไม่...คนคนนั้นไม่น่าจะใช่ผู้กอง\" วูลฟ์ที่นั่งอยู่อีกฟากตั้งข้อสังเกต \"ถ้าเป็นผู้กอง เราคงจะผ่านมาได้ยากกว่านี้\"



    \"ก็ถูกแหละครับ\" พิออนรับ \"เพราะเขาเป็นรองผู้กองน่ะสิครับ\"



    \"คุณพิออนรู้จักเค้าด้วยเหรอคะ?\" โครินถามพิออนที่นั่งอยู่ข้างๆ วูลฟ์อย่างแปลกใจ



    \"ก็...แค่...ได้ยินชื่อน่ะครับ กองพันกริฟฟินน่ะดังมากในอาร์โคเซียเชียวล่ะ โดยเฉพาะผู้กองดราฟท์ ฮัลลิ่งเวย์ มีแต่สาวๆ เห็นเขาเป็นเทพบุตรกันทั้งนั้น\" นักบวชหนุ่มหัวเราะน้อยๆ \"ผมเองก็อยากจะขอลายเซ็นผู้กองฮัลลิ่งเวย์อยู่เหมือนกัน น่าเสียดาย...\"



    \"แต่ถ้าเจอผู้กองเข้าเราก็คงไม่ได้ผ่านมาแล้วล่ะมั้ง\" เอรอนพูดมาจากด้านหน้ารถ



    \"อืม...นั่นสินะครับ\" พิออนรับ



    \"ทำไมล่ะคะ? ผู้กองคนนี้เค้าเป็นคนไม่ดีเหรอคะ?\" เด็กสาวซักต่อ



    \"ไม่ใช่ครับ\" พิออนพูดกลั้วหัวเราะ \"เขาเป็นคนดี...ดีมากเชียวล่ะ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือ \'หน้าที่\' น่ะสิครับ\"



    \"อัศวินศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากเป็นพวก \'กัดไม่ปล่อย\' ทั้งนั้น\" เอรอนพูดเสียงห้วนๆ \"ไม่นึกว่าจะมีคนแหกคอกแบบนี้อยู่เหมือนกัน\"



    \"ดูคุณเอรอนพูดเข้าสิ เค้าอุตส่าห์ให้เราผ่านมานะคะ\" โครินแย้งด้วยเสียงไม่สบอารมณ์ \"ไม่ขอบคุณเค้าแล้วยังมาว่าเค้าแบบนี้อีก\"



    คำตอบของอีกฝ่ายคือการทำเสียงในลำคอเหมือนจะเยาะ



    \"ถ้าเขารู้ว่าตัวจริงพวกเราเป็นอะไรกันบ้างก็อย่าหวังเลยว่าจะผ่านมาได้\" ชายหนุ่มพูดขึ้น \"เราสองคนเกี่ยวข้องกับปีศาจที่ทำลายหมู่บ้านนั่น เจ้าหมาป่านี่เป็นสมิง แถมพ่วงนักบวชนอกรีตเข้ามาอีกคนเสียด้วย\"



    พิออนหัวเราะน้อยๆ



    \"เอ๋? ทำไมถึงคิดว่าผมเป็นนักบวชนอกรีตล่ะครับ?\"



    \"ถ้าเป็นนักบวชดีๆ ก็คงไม่ต้องปลอมแปลงชื่อเวลาเดินทางผ่านด่านหรอกมั้ง\" เอรอนตอบกลับ



    \"แหม...รู้ด้วยเหรอครับ ฉลาดนี่\" นักบวชหนุ่มชมเหมือนจะประชด



    พูดเหมือนกับนึกว่าข้าโง่จนมองไม่ออก...เอรอนเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ



    \"คุณพิออนเนี่ยนะคะ...นักบวชนอกรีต?\" โครินถามด้วยเสียงสงสัย \"ทำไมถึงกลายเป็นคนนอกรีตได้ล่ะคะ?\"



    \"เหอะๆ ก็..มีเรื่องนิดหน่อยนะครับ แต่ก็ตั้งหลายปีมาแล้วแหละ\" พิออนยิ้มแห้งๆ \"เรื่องยาวพอดู ไว้วันหลังค่อยเล่าดีกว่ามั้งครับ\"



    \"ใครจะไปอยากฟัง\" เอรอนกลับแย้ง



    โครินทำหน้าไม่พอใจกับคำพูดแบบไม่สนจิตใจผู้ฟังของเขา แต่ก็ไม่รู้จะแย้งอย่างไรดี เธอเลยหันกลับมามองพิออน แต่เขาก็ยังยิ้มและยักไหล่น้อยๆ เหมือนกับจะบอกแทนคำพูดว่าช่างเถอะ แล้วเงียบไปเสียเฉยๆ



    มองดูวูลฟ์ก็เห็นนั่งหลับตานิ่งไม่พูดจา ดูแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะหลับไปแล้วหรือเปล่า เธอเลยไม่กล้าถามขึ้น ได้แต่เก็บเรื่องความสงสัยเกี่ยวกับตัวเด็กหนุ่มซึ่งเคยเป็น \'หมาป่าสีเงิน\' เอาไว้ก่อน



    เด็กสาวมองลอดออกไปยังทางเกวียนเล็กๆ ที่เลือนหายไปเบื้องหลังผ่านรอยแยกของผ้าใบหลังรถ...พร้อมกับที่ห้วงคำนึงเริ่มลอยเลื่อนไปหาพี่ชายที่เธอคิดว่าอยู่ห่างออกไปแสนไกล ได้แต่ปลอบใจว่าเธอกำลังเดินทางเข้าไปใกล้เขาทุกทีแล้ว...อีกไม่นานทั้งสองก็จะได้พบกันในที่สุด



    หากในความเป็นจริง...พี่ชายที่เธอคิดถึงนั้นอยู่ใกล้กว่าที่คิด และเธอกำลังจะเดินทางออกห่างจากเขาไปอีกต่างหาก...



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    \"ข้าก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร ในนี้มีแต่ของใช้ส่วนตัวทั้งนั้น\" หญิงสาวที่ยืนหน้ามุ่ยเท้าสะเอวอยู่เบื้องหน้าชายร่างยักษ์ผู้สวมชุดเกราะขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายค้นย่ามสัมภาระที่เธอนำติดตัวมาอย่างเอาเป็นเอาตายจนแทบเรียกได้ว่าถ้าเลาะตะเข็บกระเป๋าแยกส่วนเพื่อหาช่องลับได้คงทำไปแล้ว



    ข้าวของของเธอทั้งเสื้อผ้า ถุงน้ำดื่ม ห่อขนมปังที่นำมาเป็นเสบียงระหว่างทาง หรือแม้กระทั่งของใช้ส่วนตัวมากๆ ถูกรื้อออกมากองไว้บนม้านั่งหิน (ซึ่งสูงเท่ากับโต๊ะอาหารของมนุษย์ได้) ให้มองเห็นชัดๆ...อย่างไม่มีความเกรงใจเอาเสียเลย



    ในที่สุดเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกจริงๆ ย่ามผ้าสีสดประดับลูกปัดแบบของเผ่าซอลมาน่าจึงได้ถูกวางแผละลงบนม้านั่งข้างของชิ้นอื่นๆ หากมือใหญ่หนายังหยิบเอากริชที่สั้นกว่ากระทั่งฝ่ามือตนขึ้นมาดู



    \"แล้วมีดเล่มนี้ล่ะ?\" นักรบยักษ์ว่าพร้อมกับปรายตามองหญิงสาวที่สูงแค่เอวของตนอย่างเหยียดๆ



    \"ก็แค่มีไว้ป้องกันตัวเท่านั้น\" หญิงสาวตอบ



    \"ป้องกันตัวหรือจะมาทำร้ายใครกันแน่?\" อีกฝ่ายยังคงพูดเหมือนกับจะกล่าวหา



    \"มีดเล่มเท่าเข็มนี่คงทำได้หรอกนะ\" ร่างเล็กกว่าประชด \"ถ้าข้าคิดจะพกมีดนิดเดียวมาทำร้ายยักษ์ได้ล่ะก็คงโง่เต็มที\"



    \"เพราะอย่างนั้นถึงต้องมีอาวุธอะไรอื่นๆ ซ่อนอยู่น่ะสิ\"



    หญิงสาวสั่นศีรษะอย่างอ่อนใจ



    \"ที่ค้นไปก็เห็นแล้วนี่ว่าไม่มี\"



    \"อาจจะซ่อนไว้กับตัวก็ได้\"



    ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หญิงสาวก็คงจะหัวเราะออกมาดังๆ แล้วกระมัง



    จะไม่ให้ขำได้อย่างไร ในเมื่อนักรบยักษ์ร่างกำยำสวมชุดเกราะหนักเต็มยศ แถมคาดดาบเล่มใหญ่ไว้ข้างกาย ระแวงว่ามนุษย์ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะพกอาวุธอะไรร้ายแรงมาในย่ามใบกระจิดริด หรือใต้ชุดกระโปรงเปิดไหล่รัดรูปที่ถ้าซ่อนอะไรไว้ก็ต้องเห็นเป็นรูปรอยชัดแบบนี้นี่นะ?



    แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ นักรบอีกตนหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้เสียก่อน



    \"ท่านอาลูอิน ท่านกีก้าเฟลมมาแล้วขอรับ\"



    ทั้งนักรบเผ่ายักษ์กับหญิงสาวหันขวับไปทางร่างสูงสง่าในชุดเกราะกับผ้าคลุมสีแดงสดที่เดินเข้ามาหาในทันใด อาลูอินวางกริชเล่มเล็กลงบนม้านั่งหิน ก่อนจะไขว้มือขึ้นพาดอกคำนับตามธรรมเนียมของเผ่ายักษ์ ขณะที่หญิงสาวยอบกายลง



    กีก้าเฟลมทอดสายตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์...ตั้งแต่เส้นผมสีม่วงอ่อนยาวสลวยประบ่า ดวงตาสีฟ้า และผิวที่คล้ำเป็นสีแทนผิดกับผิวสีทองแดงเช่นชาวเผ่ายักษ์



    ...เห็นทีจะไม่ใช่ผู้ที่เขาคิดเสียแล้วกระมัง...



    \"ท่านกีก้าเฟลมรู้จักนางมนุษย์นี่หรือเปล่าขอรับ?\" อาลูอินถามขึ้น



    \"ไม่รู้จัก\" นักรบผู้มากวัยกว่าปฏิเสธ ก่อนจะก้มลงสบตากับหญิงสาว \"แต่ได้ยินว่านางมิธุระกับข้าสินะ\"



    \"ใช่ค่ะ\" หญิงสาวตอบรับ



    \"เจ้าเป็นใคร? มีธุระอะไรกัน?\" กีก้าเฟลมเอ่ยถาม



    \"เป็นธุระที่บอกกล่าวกับบุตรแห่งดรีลซีน ดิ อิฟรีทไนท์ได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น\"



    ผู้นำนักรบแห่งเพลิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปชั่วแวบ ก่อนจะหันไปทางอาลูอิน



    \"เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าจะพูดกับนางเอง\"



    นักรบผู้อ่อนวัยกว่าพยักหน้ารับ ก่อนจะทำความเคารพเช่นเดิมแล้วเลี่ยงไปอยู่ห่างๆ ในระยะที่จะไม่ได้ยินการสนทนาของทั้งสอง



    หญิงสาวชำเลืองมองด้านหลังให้แน่ใจไม่มีผู้อื่นใดจะได้ยินแล้วจึงพูดต่อไป



    \"ข้าชื่อเอสเทลล่า นำสารจากนายเหนือมาหาท่าน...กีก้าเฟลม ดิ อิฟรีทไนท์ เกี่ยวกับอุดมการณ์แห่งดรีลซีนบิดาท่าน\"



    \"แล้วผู้ใดคือนายของเจ้า?\"



    \"ท่านที่เผ่ายักษ์เคยขนานนามว่า \'ผู้เป็นหนึ่งในทุกเผ่าพันธุ์\' \"



    คิ้วหนาของอัศวินผู้รับใช้จ้าวแห่งเพลิงขมวดเข้าหากัน



    \"ท่านผู้นั้นมิใช่ตายไปแล้วหรอกหรือ?\"



    \"หากปณิธานของท่านก็ยังคงอยู่กับพวกเรา เช่นเดียวกับปณิธานของดรีลซีนที่ได้รับการสืบทอดต่อมายังท่าน\"



    \"แล้วปณิธานใดของท่านเอลโนอิลที่นำท่านมาถึงนี่?\"



    \"ท่านเคยฟังตำนานเรื่องคทาชุบชีวิตมิใช่หรือคะ\" เอสเทลล่ากลับย้อนถาม



    กีก้าเฟลมนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง...แต่ด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่า เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายแล้ว



    \"หมายความว่าเจ้าต้องการ \'คริมซั่นเฟลมส์\' สินะ\" เขาพูดตรงๆ



    หญิงสาวพยักหน้ารับ



    \"ค่ะ เพื่อการชุบชีวิตท่านเอลโนอิล และเพื่อฐานะของเผ่ายักษ์...ท่านย่อมต้องการให้ท่านเอลโนอิลคืนชีพขึ้นมาเพื่อสานต่ออุดมการณ์มิใช่หรือคะ\"



    นักรบแห่งเพลิงผู้ยิ่งใหญ่ยังคงนิ่งเงียบ เอสเทลล่าจึงพูดต่อไป



    \"บรรดาปีศาจรวมทั้งชาวเผ่าพันธุ์อื่นที่จงรักภักดีต่อเอลโนอิลจะลุกฮือขึ้นต่อต้านจอมมารอาร์เซนิคซ์ทันทีที่รู้ว่าเอลโนอิลคืนชีพขึ้นมาเป็นผู้นำของพวกเราอีกครั้ง แน่นอนว่าหากได้ความร่วมมือกับเผ่ายักษ์...ทั้งการชุบชีวิต และการโค่นล้มจอมมารตนปัจจุบันย่อมสำเร็จได้แน่ ฐานะของเผ่ายักษ์หลังจากนั้นก็ย่อมจะดีกว่าที่เป็นเพียงผู้รักษาหน้าด่านระหว่างมนุษย์กับปีศาจแบบนี้ ข้อนี้ท่านคงไม่ปฏิเสธ\"



    \"แต่หากสิ่งที่เจ้าต้องการคือ \'คริมซั่นเฟลมส์\' แล้ว ข้าคงต้องขอปฏิเสธ\" กีก้าเฟลมเอ่ยขึ้นช้าๆ \" \'คริมซั่นเฟลมส์\' เป็นสมบัติของเผ่ายักษ์ทั้งมวล มิใช่สิทธิ์ของข้าผู้เดียวที่จะไปตัดสินว่าควรเปลี่ยนไปในมือผู้ใด และข้าก็แน่ใจว่าชาวยักษ์ทั้งหลายย่อมไม่ยอมรับข้อเสนอนี้เช่นกัน\"



    \"ถึงแม้ว่า...ผลจากการร่วมมือนี้จะให้ผลประโยชน์กับพวกท่านมากหรือคะ\" หญิงสาวย้อน \"ความเป็นอยู่ที่ดีกว่า ฐานะที่เป็นที่ยอมรับมากกว่า ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์กว่า ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นผลดีต่อตัวพวกท่านทั้งนั้น\"



    \"อนาคต...ใครเล่าจะรู้แน่\" นักรบแห่งเพลิงแย้ง \"พวกเราเองพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่านี้\"



    เอสเทลล่าทำท่าจะพูดค้าน แต่กีก้าเฟลมกลับพูดต่อขึ้นมาอีกเสียก่อน



    \"และพวกเจ้าเองที่เป็นผู้รับใช้ \'ท่านผู้เป็นหนึ่งในทุกเผ่าพันธุ์\' โดยตรงก็น่าจะรู้ดีมีใช่หรือ...ว่าท่านผู้นั้น มุ่งหวังผลที่สิ่งที่มีอยู่จะสร้างได้กับปัจจุบัน มากกว่าสิ่งที่มิได้มีอยู่ในมือกับอนาคตที่ยังไม่แน่นอนเช่นนี้ กลับไปเสียเถิด\"



    หญิงสาวพยายามซ่อนสีหน้าเอาไว้



    \"หากท่านปฏิเสธหนักแน่นว่าจะไม่ยอมร่วมมือเช่นนี้...ข้าเองก็คงจะพูดอะไรไม่ได้สินะ\"



    เอสเทลล่ายักไหล่ก่อนจะหันไปทางม้านั่งหิน คว้าย่ามขึ้นมาเก็บข้าวของที่ถูกค้นออกมาเมื่อครู่ก่อนใส่กลับไปจนหมด จึงหันกลับมามองนักรบอาวุโสแห่งเผ่ายักษ์อีกครั้ง



    \"ถ้าอย่างนั้นข้าขอลาก่อนล่ะค่ะ ขอโทษด้วยที่มารบกวน\" หญิงสาวพูดก่อนจะยอบกายลงคำนับอีกรอบ แล้วทำท่าจะเดินจากไป



    แต่กีก้าเฟลมที่เหลือบมองฟ้าซึ่งเริ่มสาดสีแดงใกล้สนธยากลับพูดขึ้นอีกครั้ง



    \"นี่คิดจะออกเดินทางทั้งๆ ที่ฟ้าใกล้มืดแบบนี้แล้วหรือ?\"



    \"ช่วยไม่ได้นี่คะ\" เอสเทลล่าเอ่ยด้วยเสียงจนใจ \"ถึงอย่างไรถ้ารู้ว่าไม่เป็นที่ต้อนรับของเจ้าบ้าน...ข้าก็คงได้แต่บากหน้ากลับไปแบบนี้เท่านั้น\"



    ผู้ฟังยินคำตอบที่เหมือนจะตัดพ้อก่อนจะถอนใจ



    \"ถึงจะมอบ \'คริมซั่นเฟลมส์\' ให้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ข้าพอจะมอบให้ได้คงมีที่พักในคืนนี้ก่อนจะเจ้าจะออกเดินทางกลับในวันพรุ่ง...หากว่าเจ้าไม่รังเกียจ\"



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    \"สภาพศพทุกศพถูกเผาจนไหม้เกรียม แต่ไม่ได้ถูกไฟคลอกตายทุกศพ มีหลายศพที่ถูกแยกส่วน...และมีแผลคล้ายรอยกรงเล็บในจุดสำคัญที่น่าจะถึงตายได้ครับ คาดว่าแผลพวกนี้น่าจะเกิดก่อนจะถูกไฟคลอกด้วย\" แอลทีสรุปพร้อมกับถอดถุงมือที่ใช้ใส่ชันสูตรศพออก พลางกวาดมองศพหงิกงอดำเป็นตอตะโกที่ถูกนำมาวางเรียงเป็นแถวยาวตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย



    ดราฟท์พยักหน้ารับเรียบๆ ขณะที่สมองกำลังครุ่นคิด



    จากสภาพหมู่บ้านและศพที่พบชี้ชัดว่าผู้ลงมือต้องสามารถใช้คาถาไฟได้ และมีอาวุธคือกรงเล็บ...ตรงกับลักษณะของปีศาจดำหนึ่งข้อ



    แต่ถ้าเป็นฝีมือของปีศาจดำเหมือนกับศพถูกควักหัวใจที่พบตามลำธารจริงๆ แล้ว...ทำไมถึงได้ทำลายหมู่บ้านเทเซ็นจนราบคาบเพียงหมู่บ้านเดียวแบบนี้เล่า? หากว่าแรงจูงใจเป็นเพียงการฆ่าเพื่อความสนุก ทำไมที่หมู่บ้านอื่นๆ จึงมีชาวบ้านที่ออกไปหาของป่าถูกฆ่าตายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น?



    หรือจะมีจุดประสงค์อื่น...หรือตัวการอื่นแฝงอยู่เบื้องหลัง



    อย่างเช่น...เด็กที่ชาวหมู่บ้านยูมิพูดกันว่า...



    \'เด็กซอลมาน่าที่คนเทเซ็นเก็บมาเลี้ยงเมื่อหลายปีก่อนนั่นแหละต้นเหตุ...\'



    \'มันเรียกปีศาจดำออกมา...เมื่อวันก่อนก็เพิ่งมาที่นี่\'




    ไม่หรอกกระมัง...อัศวินหนุ่มแย้งในใจ ถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นจะมีตัวตนจริงอย่างที่พวกชาวบ้านอ้าง...และถึงจะมีสายเลือดของเผ่าซอลมาน่าจริง เขาไม่คิดว่าเป็นไปได้ที่เด็กสาวตัวคนเดียวจะ...



    \"ปล่อยผม--!! ให้ผมเข้าไป---!!!\"



    เสียงตะโกนโหวกเหวกจากด้านนอกทำให้ดราฟท์กับ Lt. หันขวับไปทางประตูหมู่บ้านในทันที อัศวินศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าประตูไว้กำลังกันเด็กหนู่มคนหนึ่งที่ทำท่าจะฝ่าเข้ามาพร้อมกับร้องตะโกนเหมือนคนบ้า



    \"ที่นี่บ้านผม!! ผมอยากรู้ว่าทุกคนปลอดภัยหรือเปล่า!!\"



    \"ให้เขาเข้ามา\" เพียงผู้กองดราฟท์สั่งเท่านั้น อัศวินทั้งสองคนก็ลดดาบลงโดยดี ปล่อยให้เด็กหนุ่มถลาวิ่งเข้าไป...กลางลานหมู่บ้านที่มีเพียงศพกองเรียงราย...ศพที่ถูกไฟคลอกจนไหม้เกรียมไม่อาจบอกได้ว่าใครเป็นใคร



    แม้สภาพของหมู่บ้านที่เห็นแต่ไกลจะทำให้ซาอิตะลึงงันเพียงใด...ก็ไม่อาจเทียบได้กับภาพตรงหน้าแม้แต่น้อย



    หากจะมีความหวังแม้เพียงน้อยนิดหลงเหลืออยู่ในใจของเด็กหนุ่ม...ความหวังนั้นก็ได้สูญสลายไปกับภาพที่เห็นเสียแล้ว เขาถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้น ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองซากแห่งความสูญสลายเขม็ง แม้สีหน้าของเขาจะเหมือนกับอยากเบือนหน้าไป...แต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมทำตาม ไม่ยอมแม้แต่จะหลับตาลง ภาพของบ้านอันอบอุ่น...ครอบครัวอันแสนสุข คำพูดก่อนออกเดินทางของพ่อ...แม่...กับโคริน คำพูดที่เขาไม่คิดว่าจะเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินยังย้อนกลับมาในความทรงจำเหมือนกับจะหลอกหลอนเขายิ่งกว่าเดิม



    \'ตั้งใจเรียนนะลูก\'



    \'ดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ\'



    \'พยายามเข้านะคะพี่ซาอิ!!\'




    พ่อ...แม่...โคริน...เพียงความคิดที่ว่าทั้งสามอยู่ในกองร่างไหม้เกรียมเหล่านี้ด้วยช่างโหดร้ายเกินจะรับ



    \"ไม่จริง...นี่ต้องไม่ใช่...\" ซาอิได้แต่ก้มหน้าพึมพำแผ่วๆ ขณะที่สองมือยันกายอันสั่นเทาไว้ น้ำตาหยดลงบนพื้นดินปนเขม่าเป็นสาย



    \"ผมเสียใจด้วย...\" ดราฟท์พูดขึ้นด้านหลังเขา อัศวินหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรดีนอกจากนี้ จะปลอบใจเขาว่าอย่างไรได้เล่า...\'อย่างน้อยคุณก็ยังมีชีวิตอยู่\' หรือ นั่นมีแต่จะยิ่งตอกย้ำ...



    \"เพื่ออะไร...?\" เด็กหนุ่มยังคงพูดต่อไปเหมือนกับไม่ได้ยินคำของอีกฝ่าย \"นี่เราทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร!? พ่อ...แม่...โคริน...ทำไมถึงเป็นแบบนี้--!!? ทำไม---!!??\"



    โคริน...



    ชื่อที่เหมือนกับเคยได้ยินสะดุดหูดราฟท์ขึ้นมาทันที ทำให้เขารีบถามซาอิต่อ



    \"เดี๋ยวก่อน...คุณรู้จักกับซัน โครินอย่างนั้นเหรอ!!?\"



    เด็กหนุ่มหันขวับไปมองดราฟท์อย่างแปลกใจ



    \"คุณรู้ชื่อน้องสาวของผมได้ยังไง!?\"



    แอลทีตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดราฟท์ก็ยกมือห้ามไว้ก่อนจะเอ่ยต่อไปอย่างใจเย็น



    \"ซัน โคริน...ยังมีชีวิตอยู่\"



    \"อะไรนะ!?\" ซาอิอุทาน \"โคริน...โครินยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เหรอ!? เธออยู่ไหน!? พาผมไปพบเธอหน่อยสิ!!\"



    พร้อมกันนั้นเด็กหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นเขย่าไหล่ดราฟท์ในทันที แต่แอลทีปราดเข้ามาแยกเขาออกจากอัศวินหนุ่มเสียก่อน



    \"สงบสติอารมณ์ไว้ก่อน...แล้วเราไปพูดที่ด่านผ่านแดนกัน\" ดราฟท์ตัดบทก่อนจะกลับหลังหันเดินตรงไปที่ประตูหมู่บ้าน มีแอลทีตามหลังผู้กองของตนไปโดยไม่พูดอะไร ทำให้ซาอิต้องเดินตามทั้งสองไปโดยปริยาย



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    ดินแดนแห่งเผ่ายักษ์...ผาโมอาเรซึ่งตั้งตระหง่านฉาบสีเพลิงได้ต้อนรับผู้มาเยือนที่อาจจะเรียกได้ว่าดึงดูดความสนใจของบรรดาผู้อยู่อาศัยเป็นที่สุด...อย่างน้อยก็ในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา



    บรรดาชาวเผ่ายักษ์ทั้งหลายตามรายทางต่างวางมือจากงานหรืออะไรก็ตามที่กำลังกระทำอยู่ แล้วหันไปจ้องมองขบวนของร่างหกร่างที่เดินมาตามพื้นดินลูกรังสีแดงช้าๆ



    ผู้ที่เดินนำหน้ามานั้นคือกีก้าเฟลม ดิ อิฟริทไนท์ ผู้นำสูงสุดแห่งกลุ่มนักรบเพลิง ตามมาด้วยนักรบเพลิงระดับรองอีกสองตนที่เดินนำและอีกสองที่ปิดท้ายขบวนพร้อมกับขวานปลายหอกยาวในมือ ล้อมร่างของหญิงสาวชาวมนุษย์ที่มีผิวคล้ำ ผมสีม่วงอ่อนปล่อยสยายลงประบ่า สวมชุดกระโปรงเปิดไหล่สีดำสะพายย่ามสีสด ซึ่งก้าวไปข้างหน้าช้าๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองผาสีแดงที่โอบล้อมลานอันสว่างไสว...จากคบเพลิงที่ปักอยู่เป็นระยะๆ ตามริมอาคารต่างๆ ซึ่งยิ่งเพิ่มความแดงเจิดจ้าให้กับฟ้ายามอาทิตย์อัสดง



    เธอไม่มีทีท่าจะสนใจสายตาของชาวเผ่ายักษ์ที่มองมาด้วยความประหลาดใจ สงสัย หรือถ้าเป็นยักษ์ที่ดูมีอายุบางตนจะบ่งบอกความรังเกียจอย่างเปิดเผย ตลอดเวลาที่ขบวนของทั้งหกเดินผ่านไปยังบันไดหินแบบหยาบๆ ที่ลดเลี้ยวขึ้นไปบนภูผาซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านที่พำนักของเหล่าผู้มีอำนาจในผา และบนยอดสุดยังเป็นที่ตั้งของวิหารอัคคี...สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่ายักษ์



    หากวิหารนั้นก็มีสภาพที่ไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งปลูกสร้าง...เนื่องจากมีเพียงประตูสลักลวดลายแปลกตาบานใหญ่เท่านั้นที่ถูกเจาะเข้าไปในโพรงภูเขาไฟซึ่งดับแล้ว ปล่องภูเขาไฟที่อยู่เหนือศีรษะยังมีควันจากไฟศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพของเผ่ายักษ์พวยพุ่งออกมาไม่ขาดสาย



    สมกับฉายา...\'เปลวเพลิงนิรันดร์\' ที่จักไม่มีวันดับชั่วกาลปาวสาน



    เอสเทลล่าเพียงแหงนหน้าเหลือบมองประตูวิหารเบื้องบนแค่แวบเดียวด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงความผิดหวังแต่อย่างใด ริมฝีปากที่เคลือบสีชมพูอ่อนตัดกับผิวคล้ำเหยียดยิ้มน้อยๆ ก่อนที่หญิงสาวจะกระซิบกับตนเองเบาๆ



    \"คืนเดียว...มีเวลาถมเถกว่าที่คิดอีกตั้งเยอะ\"



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    To be continued...

    บทที่ 15 - คณะเดินทางอันยุ่งเหยิง - ช่วงแรก




    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



    Character\'s Depth



    แอสทราล อัลเกลมิล (Astral Algelmil)

    ธาตุ: แสง

    เชื้อสาย: มนุษย์

    ถิ่นกำเนิด: อาร์โคเซีย

    อายุ: 21 ปี

    วันเกิด: HE. 612 วันอิฟรีทที่ 2 เดือนเฮลิออส

    ส่วนสูง: 179 ซม.

    สีผม - สีตา: ดำ - ดำ

    สีที่ชอบ : ส้ม

    อาวุธ : ดาบอาร์ค ครูเซเดอร์ (Ark Crusader)

    เวทมนตร์ที่ถนัด: รู้เวทศักดิ์สิทธิ์พื้นฐาน แต่ไม่ค่อยใช้

    ประวัติโดยสังเขป: รองผู้กองของกองพันกริฟฟินซึ่งเป็นทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาและเพื่อนของดราฟท์ พ่อของแอสทราลซึ่งเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์เสียชีวิตในหน้าที่ตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นเด็ก และแอสทราลก็ภูมิใจในตัวพ่อของตนมากจนหวังอยากเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์เพื่อเจริญรอยตามท่าน แอสทราลรู้จักกับดราฟท์มาตั้งแต่เป็นเด็ก จนดูเหมือนจะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ดราฟท์ผู้เงียบขรึมยอมเปิดใจให้ เพราะเขาเป็นคนที่ปฏิบัติต่อดราฟท์ไม่เหมือนใคร

    เบื้องหลังการออกแบบ: อีกหนึ่งหนุ่มอารมณ์ดีที่เขียนแล้วชวนสบายใจครับ โดยเฉพาะฉากที่ออกคู่กับดราฟท์ คนเขียนเอามาอ่านซ้ำซักกี่รอบก็ต้องมีอมยิ้มไม่ก็หัวเราะเองทุกที (แต่ทั้งสองคนก็ไม่ใช่ชาวสีม่วงจริงๆ หรอกนะ แค่ล้อเล่นกันเท่านั้นเอง ^^;;; ) ถ้าพูดถึงสถานะแล้ว ต้นแบบของแอสทราลคืออาร์นกริมใน Valkyrie Profile คู่กับดราฟท์ที่ได้แบบมาจากลอว์เฟอร์ในเกมเดียวกัน แอสทราลให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายของดราฟท์เหมือนกัน แต่ทางด้านนิสัยคงออกไปทางคาเชลที่ออกสบายๆ ไม่เคร่งเครียดมากกว่า

    ส่วนทางหน้าตาได้แบบจากภาพแอสทราลที่ท่าน Gundam A เคยวาดให้ครับ ชุดก็เป็นเกราะอัศวินศักดิ์สิทธิ์คล้ายๆ ดราฟท์ แต่จะต่างกันตรงที่แอสทราลไม่สวมผ้าคลุมยาวประจำตำแหน่ง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวเวลาสู้ครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×