ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #6 : ภาคที่ 1 - เอลาซัล / บทที่ 4 - แอมเบอร์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 155
      0
      9 ส.ค. 49

    PART I: ELAZUL
    Chapter IV: Amber

    ภาคที่ 1: เอลาซัล
    บทที่ 4: แอมเบอร์


    เรื่องความรู้สึกที่เอลาซัลมีต่อแบล็คเพิร์ลนั้นปิดเป็นความลับไม่อยู่เลย...เช่นเดียวกับข่าวลืออื่นๆ ที่แพร่กระจายไปทั่วราชสำนักจูมิในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังก่อเรื่องอื้อฉาวกับผู้หญิงที่ชื่อว่า 'แอมเบอร์' เข้าเสียอีก

    ราชสำนักจูมิที่มีท่านหญิงไดอาน่าเป็นผู้สำเร็จราชการนั้นประกอบด้วยสมาชิกหลายประเภท ทั้งเหล่าขุนนาง หญิงงามเมือง และพวกประจบสอพลอที่อาศัยลิ้นเป็นใบเบิกทางผ่านบรรดาสมาชิกวุฒิสภาที่หูเบาทั้งหลาย

    และหญิงในสังคมชั้นสูงที่โด่งดังที่สุดก็คงไม่มีใครเกินธิดาของตระกูลบุษราคัมผู้เลื่องลือ ซึ่งนับเป็นญาติห่างๆ กับตระกูลของท่านหญิงไดอาน่า

    หญิงสาวมีนามว่า 'แอมเบอร์' ซึ่งแปลว่าอำพัน ตั้งตามผลึกชีวิตที่มีสีคล้ำไม่สูงค่าสมกับสายเลือด แต่ผลึกชีวิตที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ตระกูลของเธอไม่พอใจเท่านั้น...

    คุณหญิงแอมเบอร์ปฏิเสธการรับใครเป็นอัศวินของตนมาตลอด โดยอ้างว่าตนเองต้องการความเป็นอิสระ และอาศัยความสัมพันธ์กับท่านหญิงไดอาน่าช่วยให้ได้ดังหวัง เธอคบหากับอัศวินระดับสูงและสมาชิกสภามากหน้าหลายตาตั้งแต่บรรลุนิติภาวะ (มีเสียงลือบอกว่าก่อนหน้านั้นด้วย) และใช้ชีวิตเป็นภรรยาลับของชาวจูมิชั้นสูงควบคู่ไปกับการควงชู้รักหนุ่มๆ หน้าตาดีไปพร้อมกันคราวละคน (บางคราวก็สับรางได้สองคนอย่างลงตัว) ขนาดท่านหญิงแบล็คเพิร์ลยังดูถูก...แต่ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะอ่อนใจกับพฤติกรรมของเธอ

    คุณหญิงแอมเบอร์เป็นหญิงร่างเล็กดูอ่อนกว่าอายุจริง (เทียบกับมนุษย์ก็ประมาณยี่สิบแปดปี) เรือนผมสีน้ำผึ้งหนายาวสยาย ใบหน้างามยวนใจประดับด้วยดวงตากลมโตสีทอง และลักยิ้มที่ยิ่งชวนให้สะดุดตาเมื่อยามแย้มเยื้อนอย่างอ่อนหวาน สีที่เธอโปรดปรานที่สุดคือสีทองกับแดงสด (ซึ่งอเล็กซ์เรียกว่า 'สีอันตราย' หลังจากที่ได้รู้จักกับเธอ) แม้จะมีชื่อเสียในด้านอื้อฉาว แต่ใครๆ ที่ได้รู้จักก็ชอบพอเธอเพราะความที่มีบุคลิกสบายๆ และอารมณ์ดีอยู่เสมอ

    หญิงสาวสะดุดตากับอัศวินข้างวรกายขององค์หญิงฟลอริน่าแต่แรกพบ เธอตั้งฉายาให้อเล็กซ์ว่า 'จิ้งจอกหนุ่ม' แต่ก็ไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มร่างบางหน้าสวยคนนี้เท่าใดนัก แต่หลังจากได้พูดคุยกันเธอก็นึกชอบใจความฉลาด ฝีปากเชือดเฉือน กับอุปนิสัยร่าเริงของอเล็กซ์ที่เหมือนกับเธอขึ้นมา หญิงสาวคิดจะ 'จับ' เด็กหนุ่มอยู่พักหนึ่ง ทว่าอเล็กซ์กลับหลบเลี่ยงลูกไม้ของเธอได้อย่างรู้เท่าทัน และเธอก็เริ่มตีตัวออกห่างเมื่อรู้จักอเล็กซ์มากขึ้นจนเริ่มจะเดาอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขาได้

    และเรื่องราวก็เริ่มขึ้นในวันหนึ่งเมื่อใกล้สิ้นเดือนกันยายน

    คุณหญิงแอมเบอร์เห็นเอลาซัลอยู่บ้างเป็นครั้งคราวจากในงานประลองและเมื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นราชองครักษ์ แต่นอกจาก 'ตาสีฟ้าสวย' แล้ว เธอก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มมากไปกว่านั้น คิดว่าเขาเป็นเพียงผู้ชายหน้าตาดีที่น่าเบื่อทั่วๆ ไป คนหนึ่งเท่านั้น เธอชอบผู้ชายที่ช่างพูด (ถึงแม้จะแค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่) ช่างเอาใจป้อนคำหวาน ความเงียบขรึมของเอลาซัลจึงไม่ตรงกับรสนิยมเธอเสียเลย นอกจากนี้เอลาซัลยังไม่ชอบมางานเลี้ยงสังสรรค์ หรืองานเต้นรำในราชวัง แม้ว่าราชองครักษ์จะมีสิทธิ์เข้าร่วมงานเหล่านี้เป็นพิเศษก็ตาม เขาไม่ชอบงานเลี้ยงที่เป็นพิธีการ มีแต่การสวมหน้ากากเข้าหากัน พูดคำยกยอสรรเสริญที่สอพลอ หรือจับกลุ่มซุบซิบนินทา ชายหนุ่มเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เพียงสองครั้งเท่านั้นตั้งแต่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ในกลางฤดูร้อน

    แต่ในคืนนั้นองค์หญิงฟลอริน่าทรงขอให้เขามาปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองพระองค์ แทนอเล็กซ์ที่ยุ่งอยู่กับงานเอกสารบางอย่าง

    เอลาซัลจำใจมางานในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มที่เหล่าราชองครักษ์ใช้สวมในงานเลี้ยงพิธีการ เขาคอยอยู่ข้างวรกายองค์หญิงฟลอริน่าตลอดเวลา ในใจเริ่มรู้สึกอึดอัดและได้แต่ภาวนาให้อเล็กซ์มาถึงเสียที

    หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที หญิงสาวผู้สวมชุดราตรีไหมสีแดงสดประดับชายกำมะหยี่ดูงามสง่าก็เข้ามาถวายบังคมองค์หญิงฟลอริน่า ทูลถามเรื่องพระอาการตามมารยาทและถามถึงอเล็กซ์ องค์หญิงฟลอริน่าตรัสตอบว่าอเล็กซ์จะมาถึงในไม่ช้า และแนะนำให้เธอรู้จักกับเอลาซัล

    เอลาซัลโค้งคำนับตามพิธีก่อนจะพึมพำทักทาย แอมเบอร์ที่เห็นว่าเอลาซัลในชุดเครื่องแบบดูหล่อไม่เบาจึงได้ตัดสินใจจะเกี้ยวเขาฆ่าเวลารออเล็กซ์ เธอพยายามจะชวนอัศวินหนุ่มคุยอยู่นาน แต่เมื่อไม่สำเร็จเธอก็เลยผละจากไปเมื่อนึกเซ็งขึ้นมา

    พอมาเจอท่านหญิงไดอาน่าซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง แอมเบอร์จึงได้เปรยขึ้น

    "ตาองครักษ์ที่มาแทนอเล็กซ์นั่นจืดชืดชะมัด!"

    "แต่ฉันว่าฉันชอบเขามากว่านายอเล็กซ์ไร้มารยาทของเธอนะจ๊ะ" ไดอาน่าตอบ "แต่อย่าไปเสียเวลากับเขาเลย เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาชอบแบล็คเพิร์ลอยู่น่ะ"

    "ฉันไม่สนซะอย่าง" แอมเบอร์เอ่ยยิ้มๆ "แบล็คเพิร์ลเล่นแวบหายไปตั้งนานแล้วนี่"

    ไดอาน่าจับตามองเธออย่างระแวดระวัง

    "อย่าบอกว่าเธอคิดจะล้ำเส้นแบล็คเพิร์ลนะ แอมเบอร์"

    "ก็ใช่ว่าทั้งสองคนนั่นจะคบกันอยู่นี่นา" แอมเบอร์ว่าพลางยักไหล่ "ได้ยินมาว่าเด็กนั่นรักเค้าข้างเดียวด้วยซ้ำ"

    "เธอไม่มีวันรู้หรอกว่าแบล็คเพิร์ลคิดอะไรอยู่น่ะ" ไดอาน่าพยายามเตือน แต่ดูเหมือนมาถึงขั้นนี้แล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมฟังเลย

    "โถ...เป็นแผลใจซะด้วย...น่าสงสาร" หญิงสาวพึมพำขณะที่ใช้มือลูบผมยาวสลวย "ท่าจะต้องมีใครไปปลอบใจซะหน่อยล่ะมั้ง"

    "ฉันว่าเธอไม่มีทางชอบเขาจริงๆ หรอก" ไดอาน่าพูดอีกครั้ง "ทำแบบนี้กับเขามันน่าสงสารออก"

    แอมเบอร์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    "นี่เธอเริ่มเห็นใจคนอื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ ไดอาน่า"

    "ฉันแค่ไม่อยากให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียในราชสำนักขึ้นมาต่างหาก" ไดอาน่าพูดอย่างหนักแน่น "ข่าวคาวสำหรับเธอน่ะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้ามีเรื่องรักสามเส้ากับพ่อหนุ่มนี่..." เธอพยักพเยิดไปทางเอลาซัล "แล้วก็แบล็คเพิร์ลด้วยคงกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะ"

    "อย่างนี้ยิ่งน่าฉกเค้ามาจากแบล็คเพิร์ลเข้าไปอีก" ดวงตาสีทองของแอมเบอร์ฉายประกายซุกซนขณะที่เอ่ย

    ไดอาน่าไม่มีโอกาสพูดอะไรตอบ เพราะอเล็กซ์เข้ามาในโถงจัดงานในตอนนั้นพอดี แอมเบอร์จึงหันไปทางเขาเสียก่อน

    หลังจากที่เข้าไปถวายบังคมองค์หญิงฟลอริน่ากับทักทายเอลาซัลแล้ว อเล็กซ์ก็เดินไปรอบๆ ห้องโถงพักหนึ่ง พูดทักทายและหยอกล้อบรรดาแขกในงานทั้งชายหญิงแบบไม่เกรงใจใคร ก่อนจะแวะเวียนมาที่โต๊ะสุดท้าย ซึ่งก็คือโต๊ะที่ไดอาน่ากับแอมเบอร์นั่งอยู่

    พอเด็กหนุ่มโค้งคำนับ ไดอาน่าก็เพียงแต่ผงกศีรษะรับเรียบๆ สีหน้าไม่ได้บอกว่ายินดีที่ได้พบเขาเลยสักนิด แต่หญิงสาวอีกคนกลับยืนขึ้นแล้วตรงมาควงแขนเขาในทันที

    "อเล็กซ์" เธอกระซิบ "คืนนี้ฉันเพิ่งได้เจอเพื่อนเธอจังๆ ล่ะ เธอจะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะคบกับเค้าน่ะ"

    อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    "เอลาซัลน่ะเหรอ ไม่ไหวหรอก แอมเบอร์"

    "ทำไมล่ะ"

    "พูดตรงๆ ก็คือ..." อเล็กซ์ว่าพลางหยักยิ้ม "คนแบบคุณกับคนแบบเอลาซัลเข้ากันไม่ได้แน่ๆ"

    "แต่เธอนิสัยเหมือนฉัน เธอยังเข้ากับเค้าได้เลยนี่" แอมเบอร์แย้ง

    "เราสองคนไม่ได้เข้ากันดีเหมือนกับที่คุณคิดหรอก"

    แอมเบอร์ไม่ได้พูดอะไรกับเด็กหนุ่มอีก เธอเดินเข้าไปหาองค์หญิงฟลอริน่ากับเอลาซัล คว้ามือของชายหนุ่มขึ้นมาก่อนจะขอเต้นรำกับเขาเสียดื้อๆ

    เอลาซัลตอบตกลงแม้จะดูไม่เต็มใจนัก อเล็กซ์ก้าวเข้ามายืนข้างบัลลังก์ขององค์หญิงฟลอริน่าพลางใช้สายตามองตามทั้งสองคน

    "แอมเบอร์เกิดถูกใจเอลาซัลขึ้นมาซะแล้ว" เขากระซิบกับองค์หญิง

    ดูองค์หญิงฟลอริน่าจะประหลาดพระทัยเล็กน้อย

    "แต่เราไม่คิดว่าทั้งสองคนนั้นจะเข้ากันได้เลยนะ"

    "ผมก็ว่างั้น" อเล็กซ์รับ "แต่เจอพวกมารยาร้อยเล่มเกวียนอย่างแอมเบอร์เข้าก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่าน่ะสิ"

    องค์หญิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสริมขึ้น

    "แต่เอลาซัลชอบแบล็คเพิร์ลอยู่ไม่ใช่เหรอจ๊ะ"

    "อืม..." อเล็กซ์พูดอย่างลังเล "คงงั้นมั้ง แต่แอมเบอร์ก็พวกเกาะแน่นสลัดไม่หลุดเหมือนกันแหละ นอกเสียจากว่า..." เด็กหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "เอลาซัลจะได้ยินที่คนอื่นๆ ลือเรื่องหล่อนเข้าแล้วตีตัวออกห่างเอง"

    "แค่นั้นจะทำให้เอลาซัลปฏิเสธเขาหรือ"

    "องค์หญิงยังไม่รู้จักเอลาซัลดีพอหรอก" อเล็กซ์เอ่ยอย่างครุ่นคิด "เขาเป็นคนซื่อ เกลียดผู้หญิงแบบแอมเบอร์เข้ากระดูกดำเชียวล่ะ"

    ดวงเนตรขององค์หญิงฟลอริน่าเป็นประกายเหมือนจะหยอกเย้า

    "ก็เราจะไปรู้จักเขาดีกว่าคนที่แวะค้างอ้างแรมกับเขาอยู่ตั้งสามเดือนได้ยังไงล่ะจ๊ะ"

    อเล็กซ์หัวเราะน้อยๆ

    "พูดเล่นแบบนี้ไม่สมกับเป็นองค์หญิงเลยนะ"

    "แต่แบล็คเพิร์ลก็..." องค์หญิงฟลอริน่าตรัสต่อหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง "มีเรื่องอื้อฉาวอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ"

    "ก็ใช่ แต่แบล็คเพิร์ลดูไม่เหมือนกับที่เขาลือกันนี่" อเล็กซ์ตอบ "ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เอลาซัลก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อยู่แล้ว เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ"

    ฟลอริน่าทอดพระเนตรอเล็กซ์พร้อมกับแย้มสรวลน้อยๆ

    "ดูเธอจะเป็นห่วงเอลาซัลจริงนะ แล้วเธอจะเตือนเขาเรื่องแอมเบอร์ไหมล่ะ"

    "ถ้าจำเป็น...ผมจะเตือน" อเล็กซ์ตอบสั้นๆ


    ในทีแรกดูเหมือนว่าแผนการของแอมเบอร์จะไม่เป็นผล แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะเอาคำพูดวิเคราะห์เอลาซัลของอเล็กซ์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยเริ่มจากการทำความสนิทสนมในระดับเพื่อนเสียก่อน แต่เอลาซัลก็ยังพยายามหลบเลี่ยงอยู่ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้ว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร หรือว่าไม่ชอบเธอเป็นพิเศษกันแน่...

    หญิงสาวเลยปรับกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง คราวนี้แสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจเอลาซัลเป็นพิเศษ แต่แวะมาเยี่ยมองค์หญิงฟลอริน่าหรือเดินเล่นไปมากับอเล็กซ์ (ซึ่งไม่ยอมปริปากอะไรแม้จะรู้แผนการของเธออยู่ในใจ) แทน ทำให้มีโอกาสพบเอลาซัลมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งเดือน เขาก็ดูจะหายเกร็งและคุยกับเธอเมื่อมีองค์หญิงฟลอริน่าหรืออเล็กซ์ด้วยได้อย่างสบายใจขึ้น

    พอได้รู้จักเอลาซัลดีขึ้น แอมเบอร์ก็เริ่มชอบเขาขึ้นมาจริงๆ (แม้ตัวเธอเองจะพยายามปฏิเสธ) เธอซาบซึ้งที่เขาเป็นห่วงองค์หญิงฟลอริน่าอย่างจริงใจ ประทับใจกับมิตรภาพของเขากับอเล็กซ์ และพบว่าเขาฉลาดกว่าที่เธอเคยคิด หญิงสาวนำเรื่องที่คนอื่นๆ ลือเกี่ยวกับเขามาวิเคราะห์จนรู้ว่าการที่เขาหลีกเลี่ยงการรับผู้พิทักษ์ ความที่มีชาวจูมิหญิงในวัยเดียวกันน้อย ไปจนถึงความเข้มงวดในการรับผู้พิทักษ์หญิงที่อายุน้อยกว่าทำให้เขาไม่เคยคบหาผู้หญิงจูมิคนไหนมาก่อน ไม่ว่าจะอย่างลึกซึ้งหรือเป็นเพื่อนกันธรรมดาก็ตาม

    "แต่ว่า..." ไดอาน่าซึ่งรู้เรื่องของเอลาซัลแทบทั้งหมดเสริมว่า "เขาเคยออกไปอยู่ในโลกภายนอกตั้งสิบปีนะ ฉันว่าเขาคงจะคบหาพวกมนุษย์ผู้หญิงบ้างแหละ"

    แต่ความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักของมนุษย์กับจูมิเป็นเรื่องที่ยากจะเป็นไปได้เพราะความแตกต่างของช่วงอายุขัย และในกรณีของเอลาซัลก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะดูเขาจะมองผู้หญิงไม่ออกเอาเสียเลย แอมเบอร์จึงได้เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงหลงรักแบล็คเพิร์ลได้ง่ายดายเพียงนั้น

    ด้านอเล็กซ์ก็พยายามตะล่อมถามเอลาซัลว่าคิดอย่างไรกับแอมเบอร์ ถึงเอลาซัลจะไม่ยอมตอบ คนอื่นๆ ก็เห็นได้ว่าเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังบ่อยกว่าเดิม และพูดคุยกับแอมเบอร์มากขึ้น จนอเล็กซ์สงสัยว่าทำไมเขาถึงลืมเลือนแบล็คเพิร์ลได้รวดเร็วเพียงนี้

    แต่จริงๆ แล้วเอลาซัลไม่ได้คิดลึกซึ้งกับแอมเบอร์เลย แม้เขาจะยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ ฉลาดเฉลียวและอารมณ์ดีน่าคบ ทำให้เขารู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ผิดกับแบล็คเพิร์ล ทว่าเขาก็พอจะเดาออกว่าจริงๆ แล้ว แอมเบอร์เป็นผู้หญิงแบบไหน และชายหนุ่มก็พยายามคงระดับความสัมพันธ์ไว้แค่เพื่อนเท่านั้น

    แอมเบอร์เป็นนักแสดงระดับมืออาชีพ และเอลาซัลเองก็ไม่มีประสบการณ์พอที่จะมองออกว่าเธอชอบเขาจริงๆ หรือเป็นเพียงการล้อเล่นกัน

    หากอเล็กซ์กลับไม่วางใจอย่างนั้น...


    วันหนึ่งเด็กหนุ่มปะแอมเบอร์เข้าโดยบังเอิญ ในขณะที่เธอเดินเล่นอยู่ใน "ตรอกคู่รัก" ด้านหลังของพระราชวังซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะที่นัดพบ

    "แอบนัดชู้ของเธอไว้รึไงฮึ" เขาถามด้วยเสียงถากถาง

    แอมเบอร์กลับหันมาส่งยิ้มให้เขา

    "ถ้าพียงแต่เธอบอกรักฉันนะอเล็กซ์...ฉันจะไม่เปลี่ยนใจไปหาผู้ชายคนไหนอีกเลย"

    อเล็กซ์หัวเราะสั้นๆ

    "ถ้าคิดจะเก็บเอลาซัลไว้เป็นตัวสำรองล่ะก็ อย่าไปยุ่งกับเขาเลยจะดีกว่า"

    รอยยิ้มของหญิงสาวยิ่งดูหยาดเยิ้มกว่าเดิม

    "ลองบอกเหตุผลมาสิ เพราะฉันก็ชอบเขามากเหมือนกันนะ"

    "ผมเคยบอกคุณเป็นสิบรอบแล้วนี่" อเล็กซ์ตอบ "อย่าได้คิดจะคบกับคนแบบเอลาซัลเลยถ้าคุณไม่อยากเจ็บตัว"

    แอมเบอร์แกล้งเลิกคิ้วขึ้น

    "หมายความว่ายังไงจ๊ะ"

    แทนคำตอบ อเล็กซ์กลับถกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนเรียวที่มีแผลช้ำเป็นรอยเขียว

    "ถ้าทำให้เอลาซัลโกรธขึ้นมาก็จะโดนแบบนี้" เขาบอกแอมเบอร์ "อาจจะยิ่งกว่านี้อีก...เพราะเวลาโกรธมากๆ เขาจะไม่ยั้งมือเลย"

    ดูท่าแอมเบอร์จะยังไม่เข้าใจ

    "แค่กับเธอเท่านั้นมั้ง" หญิงสาวตอบแบ่งรับแบ่งสู้ "แต่เธอเป็นผู้ชายด้วยกันนี่ เจ็บตัวแค่นี้จะเป็นไรไป ฉันไม่คิดว่าคนอย่างเค้าจะทำร้ายผู้หญิงได้ลงคอหรอก"

    "ถ้าทำโดยเจตนาล่ะก็ไม่มีแน่" อเล็กซ์ตอบ "แต่เวลาลืมตัวขึ้นมา เขาก็พูดทำร้ายจิตใจคุณได้เหมือนกัน แล้วคุณก็ไม่ใช่คนที่รับเรื่องแบบนั้นได้ พอๆ กับที่เอลาซัลรับผู้หญิงที่เที่ยวยั่วผู้ชายอื่นทั้งต่อหน้าทั้งลับหลังไม่ได้นั่นแหละ"

    แอมเบอร์อึ้งไปพักใหญ่ แต่แล้วเธอกลับยักไหล่

    "ต้องดูเอลาซัลด้วยสิจ๊ะ พ่อหนุ่มหน้าหวาน" หญิงสาวพูดเรียบๆ กับอเล็กซ์ "ปล่อยให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเองบ้าง ไม่ใช่มาเจ้ากี้เจ้าการแทนเขาแบบนี้ เดี๋ยวใครๆ ก็ได้เข้าใจผิดหรอกว่าเธอ 'หึง' เขาขึ้นมา"


    มาถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ผ่านไปเดือนครึ่งตั้งแต่เธอได้พบกับเอลาซัลครั้งแรก จู่ๆ ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็มาถึงจุดจบโดยที่แอมเบอร์ไม่ได้ตั้งใจเลย

    ดึกคืนนั้น เอลาซัลเดินลาดตระเวนไปในพระราชวังมาถึงห้องเล็กห้องน้อยด้านหลัง ซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามาบ่อยนักในยามราตรี เขาบังเอิญเห็นแอมเบอร์เดินลับหัวมุมเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ท่าทางของเธอดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี ทำให้เอลาซัลรู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแน่ เขาจึงเดินไปเคาะประตูอย่างลังเล

    เสียงของหญิงสาวบอกให้เขาเข้ามาได้

    ในห้องเล็กๆ ที่บุผนังสีกลีบกุหลาบประดับประดาด้วยเครื่องเรือนทรงโบราณงามประณีต ประกอบด้วยโต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวเล็ก เก้าอี้นวมคลุมผ้าปักสีทอง กับโคมไฟที่ส่องแสงอาบห้องเป็นสีส้มอ่อนๆ หน้าต่างบานกว้างประดับม่านลูกไม้สีขาวเปิดรับลมเย็นยามดึก 

    แอมเบอร์ถือแก้วไวน์นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โรสวู้ด จ้องมองแจกันกระเบื้องบนโต๊ะที่ปักดอกกุหลาบแดงเต็ม

    หญิงสาวส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขาก่อนจะพึมพำทักทาย เอลาซัลจับตามองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ ดูท่าทางเธอเหมือนจะไม่สบาย เขาไม่เคยเห็นเธอเศร้าถึงขนาดนี้มาก่อน และปกติแล้วแอมเบอร์เป็นคนที่ร่าเริงมากทีเดียว

    "เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" ชายหนุ่มถาม

    เธอฝืนยิ้มให้เขา

    "ก็คนที่ฉันคบอยู่น่ะสิ เขา...ขอเลิกกับฉัน" หญิงสาวจิบไวน์ในแก้วซึ่งเหลืออยู่ไม่มากนัก

    เอลาซัลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะปลอบใจเธอได้อย่างไร เขานึกสงสารเธอ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังแปลกใจน้อยๆ ที่คนกร้านชีวิตอย่างแอมเบอร์จะรู้สึกเสียใจกับเรื่องแบบนี้ได้

    แต่เรื่องของหัวใจ...ใครๆ ก็อ่อนแอได้อย่างคาดไม่ถึงมิใช่หรือ

    "ผม...เสียใจด้วย" เอลาซัลพูดเบาๆ

    หญิงสาวกลับหัวเราะน้อยๆ

    "ทำไมต้องมาเสียใจด้วยล่ะ"

    ใบหน้าของชายหนุ่มเริ่มแดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดีได้แต่บ่นพึมพำเป็นเชิงขอโทษ แอมเบอร์กวาดสายตามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง...พร้อมกับความคิดที่ว่าความไร้เดียงสาของเขาช่างน่าดึงดูดเหลือเกิน

    หญิงสาวยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว

    "ร้อนจังนะ" เธอเอ่ย "หนึ่งชั่วโมงกินไปตั้งสามแก้ว...ก็น่าอยู่หรอก"

    หญิงสาวลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่างซึ่งยังเปิดกว้าง มองออกไปเห็นผืนฟ้าสีน้ำเงินขมุกขะมัว

    "ไม่เป็นไรหรอก" เธอเอ่ยเหมือนจะปลอบใจตนเอง "ปล่อยไว้ซักพัก ฉันก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาอีกแล้ว"

    เอลาซัลก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน พยายามคิดหาเรื่องพูดให้เธอสบายใจขึ้น ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตว่าชุดราตรีหรูหราสีทองคลุมด้วยตาข่ายลูกปัดบุษราคัมของเธอเผยไหล่เปลือยเปล่า และผ้าลูกไม้สีกุหลาบผืนบางที่คล้องแขนกับคลุมหลังอยู่นั้นไม่อาจกันลมหนาวจากนอกหน้าต่างได้เลย

    "เดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก" ชายหนุ่มเตือนก่อนจะตรงเข้ามาปิดหน้าต่าง

    แอมเบอร์รู้สึกตื้นตันเหลือเกินที่เขาอุตส่าห์เป็นห่วง เธอมองร่างสูงของเอลาซัลพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ฤทธิ์ไวน์ทำให้รู้สึกมึนงงจนลืมคิดก่อนที่จะเดินเข้าไป วางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของชายหนุ่ม

    เอลาซัลตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาเธอช้าๆ คิดว่าเธอคงจะล้อเล่นตามประสาเพื่อน แต่เมื่อปะกับดวงตาสีทองบนใบหน้างามยวนใจของแอมเบอร์แล้ว ก็พบว่าสีหน้าของเธอฉายแววเคลิบเคลิ้มออกมาชัด

    ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะยกแขนขึ้นมาโอบรอบไหล่ และเอนศีรษะพิงอกของชายหนุ่ม

    เอลาซัลยิ่งตะลึงงัน ใบหน้าแดงก่ำ กายร้อนผ่าว ใจก็เต็นรัว เขาไม่อยากจะผลักเธอออกไป เพราะดูท่าทางแอมเบอร์จะเสียใจจริงๆ แต่เขาก็ไม่อยากจะกอดเธอเช่นกัน เพราะรู้สึกว่าไม่สมควร ในใจได้แต่พร่ำบอกกับตนเองว่าทั้งสองเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น

    "ขอโทษนะ..." หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว "ฉัน..."

    เธอไม่ยอมต่อประโยคให้จบ

    ผ่านไปพักหนึ่งเอลาซัลก็ต้านแรงห้ามไม่ไหวอีก แขนของชายหนุ่มเลื่อนขึ้นมาโอบร่างเล็กบางเอาไว้

    หญิงสาวสะอื้นแผ่วๆ ความสงสัยที่ว่าแอมเบอร์จะแกล้งล้อเขาเล่นเลือนหายไปจากความคิด เขายิ่งกอดร่างนั้นแน่นกว่าเดิม

    "ช่างมันเถอะ" เขาเอ่ยเบาๆ

    จริงๆ แล้วแอมเบอร์เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลย แม้เธอจะรู้สึกว่าผู้หญิงที่กำลังเป็นทุกข์จะทำให้เอลาซัลใจอ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เธอไม่เคยคิดจะใช้วิธีนี้หลอกเขาจริงๆ ชู้รักที่ร้างลากันไปสำคัญมากกับเธอก็จริง แต่ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เคยตีจากเธอ และอีกไม่นานเธอก็จะลืมเขาไปเอง แต่เอลาซัลไม่รู้ จึงได้คิดว่าเรื่องนี้คงจะหนักหนาสาหัสมากสำหรับเธอ

    แอมเบอร์เพิ่งได้สติว่าแอลกอฮอล์ในเลือดพาเธอเตลิดไปไกลกว่าที่คิด หลังจากผ่านไปพักหนึ่งเธอก็พูดเพียงสั้นๆ

    "ขอบคุณนะ"

    หญิงสาวคลายมือจากไหล่ของเขา ก้าวไปที่โซฟา ในใจเธอกำลังสับสน ความคิดหนึ่งแลบวาบขึ้นมาว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะยั่วเอลาซัล...อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะว่าเธอกำลังกลัวว่าจะเกิดเรื่องให้ต้องเสียใจในภายหลัง เธอก็เลยตัดสินใจจะให้เขาเป็นฝ่ายเลือกเองว่าจะทำอะไร แล้วนั่งลงบนโซฟาสีทอง ก้มหน้านิ่ง

    เอลาซัลตามมานั่งลงข้างๆ มองใบหน้าที่ก้มลงด้วยความเป็นห่วง ในที่สุดหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขา

    "ขอบคุณมากนะ" เธอย้ำเบาๆ

    เอลาซัลเบือนหน้าไปพร้อมกับพึมพำคำพูดในลำคอฟังไม่ได้ศัพท์ ภาพความทรงจำของหญิงสาวในอ้อมแขนยังตราตรึงในสายตา ชายหนุ่มนึกสงสัยขึ้นมาว่าเขาควรจะลุกออกไปเดี๋ยวนี้ดีไหม...ก่อนที่จะสายเกินไป แต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมทำตามเลย

    ครู่ต่อมา แอมเบอร์ก็จับมือเขาขึ้นมา

    "คุณเป็นคนดีจริงๆ นะ เอลาซัล" หญิงสาวเอ่ยขึ้นโดยไม่ทันคิด แต่นั่นก็เป็นคำพูดที่จริงใจ ทำให้เอลาซัลยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก

    แอมเบอร์เห็นท่าทางเขินของเขาแล้วช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ในขณะนั้นเองที่เธอคิดว่าการคบกับเขาก็คงไม่เสียหายอะไร เธอไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่อเล็กซ์บอกเลย และเชื่อว่านี่เป็นเพียงด้านที่เอลาซัลจะแสดงกับคนที่เขารักจริงๆ เท่านั้น

    แต่ว่าตามจริงแล้ว เธอก็ไม่สนหรอกว่าทั้งสองจะรักกันจริงหรือไม่ เพราะเธอเชื่อว่าเธอมีอำนาจทำให้ชายคนไหนก็ตามหลงรักเธอได้ทั้งนั้น ถึงจะล้มเหลวกับคนนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีผู้ชายอื่นๆ อยู่อีกมากมาย

    ความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในนิสัยทำให้เธอไม่สนแล้วว่าจะเกิดอะไรตามมา

    หญิงสาวยกมือของเขาขึ้นประทับกับริมฝีปาก

    กริยานั้นทำให้เอลาซัลรู้ชัดว่าขืนเขาอยู่ต่อจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขากำลังจะลืมทุกสิ่งนอกจากปัจจุบันไปเสียแล้วเมื่อแอมเบอร์เขยิบเข้ามาใกล้ โอบแขนรอบคอของเขาอีกครั้งก่อนจะเอนศีรษะลงพิงไหล่อีกฝ่าย

    แอมเบอร์รู้สึกได้ว่ามือของชายหนุ่มลูบไล้เส้นผมยาวสยายของเธอ ก่อนที่วงแขนของเขาจะรัดเธอแน่นขึ้น เธอเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้เขา...

    แล้วจู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจนทั้งสองสะดุ้งเฮือก

    ประตูเปิดผางเข้ามาในทันใด พร้อมกับอเล็กซ์ที่จ้องมองเอลาซัลซึ่งนั่งกอดแอมเบอร์ด้วยสายตาตำหนิอย่างชัดแจ้ง แล้วก็พูดขึ้นห้วนๆ โดยไม่เอ่ยปากขอโทษเลยสักคำ

    "นึกแล้วว่าต้องอยู่นี่"

    เอลาซัลหน้าแดงก่ำ แต่ก็ดูเหมือนจะโกรธอยู่ด้วย แอมเบอร์หันไปสบตากับแววตาท้าทายของอเล็กซ์ซึ่งยังยิ้มเย้ยหยัน และข้อสงสัยเรื่องอเล็กซ์ที่รบกวนจิตใจเธอมานานก็กระจ่างขึ้นในทันใดนั้น...

    หญิงสาวนึกขันจนยิ้มออกมาบ้าง

    เธอปล่อยมือจากบ่าของเอลาซัลก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยช้าๆ

    "หาฉันหรือเอลาซัลอยู่ล่ะจ๊ะ อเล็กซ์"

    อเล็กซ์ชี้ไปทางเอลาซัล แอมเบอร์จึงพูดว่า

    "ถ้างั้น ฉันขอตัวก่อนล่ะ"

    หญิงสาวปรายตาไปทางเอลาซัล แต่กลับพบชายหนุ่มนั่งก้มหน้า วางมือลงบนเข่าด้วยท่าทางเคร่งขรึม หลังจากนั้นเธอจึงได้ออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงด้านหลัง

    เธอเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาขณะที่เดินไปตามทางเดินเพียงลำพัง แต่หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว เธอก็เข้าใจว่าอเล็กซ์สอดมือเข้ามายุ่งด้วยสาเหตุที่ซับซ้อนกว่าที่เธอคิด

    เหตุการณ์ที่จบลงแบบนี้อาจจะดีที่สุดแล้ว...เพราะเธอก็ไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ในระยะยาวกับเอลาซัล (หากอเล็กซ์ไม่เข้ามาขวาง) จะให้ผลอย่างไร

    บางที...ไดอาน่าอาจจะพูดถูกมาตั้งแต่ต้นกระมัง


    "นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่" เอลาซัลถามอเล็กซ์เป็นคำแรก

    อเล็กซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    "ผมสะกดรอยตามคุณมาน่ะสิ ไม่เห็นต้องถามเลย"

    "เออๆ ขอบใจ" เอลาซัลตอบหน้าตาย "แต่หัดเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นที่มันสร้างสรรค์กว่านี้เถอะ"

    "ฟังนะ เอลาซัล" อเล็กซ์เอ่ยขึ้นโดยไม่สนกับคำพูดของอีกฝ่ายหนึ่ง "ผมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับแอมเบอร์ แต่ยัยนั่นคิดจะหลอกจับคุณมาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว"

    "ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย" ชายหนุ่มตอบเสียงแข็ง

    "ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ล่ะ!" อเล็กซ์เริ่มขึ้นเสียงบ้าง "คุณก็รู้นี่ว่าเขาลือเรื่องยัยนั่นไปให้ทั่ว หรีอถ้าเสี้ยนอยากผู้หญิงแบบนี้มากนักก็เอาเงินไปฟาดอีตั..."

    สีหน้าของเอลาซัลยิ่งแดงก่ำกว่าเดิม

    "ขอย้ำอีกครั้งเผื่อแกจะไม่ได้ยิน" เขาถึงกับกระชากเสียงใส่ก่อนที่อีกฝ่ายหนึ่งจะพูดจบ "มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก! แล้วแกพูดถึงเพื่อนของแกลับหลังแบบนั้นน่ะเหรอ!"

    อเล็กซ์กลับยักไหล่เรียบๆ พร้อมกับมองเขาด้วยหางตา

    "ผมชอบแอมเบอร์มาก แล้วผมก็ไม่ถือที่เขาทำตัวแบบนั้นด้วย" เขาแย้งอย่างใจเย็น "แต่ผมยอมไม่ได้จริงๆที่เขาคิดจะหลอกจับคุณแบบนี้"

    เด็กหนุ่มกอดอกก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงถากถาง

    "แปลกจังที่คุณลืมแบล็คเพิร์ลแล้วหันมาซบอกแอมเบอร์ได้เร็วขนาดนี้ จริงๆ แล้วมันคงไม่ใช่ความรัก...แต่เป็นความใคร่สินะ"

    เอลาซัลผุดลุกขึ้นคว้าแขนอเล็กซ์บีบอย่างแรง

    "หุบปากซะ!" ชายหนุ่มตะคอก

    แต่เด็กหนุ่มก็ยังมองเขาด้วยสายตาเรียบๆ ก่อนที่รอยยิ้มน้อยๆ จะปรากฏขึ้นริมมุมปาก

    "ให้ตายเหอะ แกล้งยั่วโมโหคุณนี่มันสนุกจริงๆ...แต่เจ็บตัวเป็นบ้าเลยแฮะเอลาซัล"

    เอลาซัลจ้องมองเขาอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยแขนของอเล็กซ์

    "ไอ้เวรนี่..." เขาบ่นพึมพำพร้อมกับเสมองไปทางอื่น "ลงท้ายแกก็ไม่เคยห่วงใครนอกจากตัวเองเท่านั้น"

    อเล็กซ์ชูนิ้วขึ้นค้าน

    "อ๊ะๆ ผิดไปแล้ว ผมเป็นห่วงแค่ตัวเองกับ 'คนสำคัญ' อีกคนต่างหาก"

    "องค์หญิงฟลอริน่าสินะ" เอลาซัลตอบอย่างระอา

    "ถูกต้อง!" เด็กหนุ่มตอบด้วยเสียงร่าเริงก่อนจะเอนพิงกำแพง กอดอกอีกครั้งแล้วจ้องมองเอลาซัลด้วยสายตาจริงจัง "แอมเบอร์ก็แค่อยากลองว่าเขาจะแย่งคุณไปจากแบล็คเพิร์ลได้หรือเปล่าเท่านั้นแหละ"

    "อะไรนะ" เอลาซัลถามพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่อยากเชื่อ "เพราะว่า..." ชายหนุ่มอึ้งไปก่อนจะนั่งลงบนโซฟา ก้มหน้าเอามือกุมขมับ "ฉันน่าจะรู้นะ" เขาพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง "ทำไมนายถึงไม่ยอมบอกฉันแต่แรกเล่า"

    อเล็กซ์มองทีท่าสำนึกผิดของเขาแล้วก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆ

    "อืม...จริงๆ แล้วเค้าอาจจะไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้" เด็กหนุ่มแก้คำพูด "แต่ผมได้ยินคนในงานเลี้ยงเมื่อคืนพูดกันแบบนี้"

    หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เอลาซัลก็พูดขึ้นอีก

    "ฉันไม่สนหรอกว่าเค้า...จะทำอะไร...แต่ว่า..." ชายหนุ่มกำมือทุบลงบนเข่าอย่างโกรธเคือง "พวกราชสำนักนั่น...คิดว่าฉันเป็น..."

    เขาไม่ยอมพูดต่อจนจบ อเล็กซ์จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ

    "อย่าไปใส่ใจเลยน่า เอลาซัล คุณไม่ต้องไปอายหรอก คุณเป็นคนซื่อแล้วก็จริงใจดีออก...แต่บางทีมันก็มากเกินไปจนคนอื่นเขามองออกหมดนั่นแหละ"

    "ออกไปซะ" เอลาซัลพูดเสียงแข็ง และอเล็กซ์ก็ทำตามหลังจากผ่านไปพักใหญ่

    ชายหนุ่มเอนพิงโซฟา ใช้แขนหนุนคอพร้อมกับเงยหน้ามองเพดานสีกุหลาบด้วยสายตาเลื่อนลอยอยู่เป็นเวลานาน เพียงลำพัง...


    เช้าวันต่อมา เอลาซัลไม่ยอมพูดกับอเล็กซ์ แถมยังพยายามหลบหน้าเด็กหนุ่มทุกโอกาสอยู่ถึงสามวัน จนกระทั่งองค์หญิงฟลอริน่าต้องยื่นหัตถ์เข้ามาไกล่เกลี่ยให้สองหนุ่มปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นผ่านไป และมิตรภาพของทั้งสองก็ (เกือบ) กลับมาแน่นแฟ้นเหมือนเมื่อก่อน

    แอมเบอร์คืนดีกับคนรักได้ และกลับมาร่าเริงเช่นเดิม แต่เอลาซัลกลับหลบหน้าและไม่ยอมพูดกับเธออีก เธอเสียใจมากเพราะว่าเธอก็ชอบเอลาซัลในฐานะเพื่อนอยู่เหมือนกัน และพยายามจะฝากคำขอโทษไปทางอเล็กซ์ แต่เอลาซัลกลับตัดบทอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่พูดกับเธออีกแล้ว เขาคิดว่าทุกอย่างที่แอมเบอร์พูดและทำในห้องนั้นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น

    ตั้งแต่นั้นมา ชายหนุ่มไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงในราชสำนักอีกเลย


    ตอนบ่ายของวันฟ้าใสต้นเดือนพฤศจิกายน เอสเมอรัลด้านั่งอ่านวิเคราะห์คัมภีร์โบราณเล่มหนาหนักที่เขียนขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่สามในหอสมุดแทนองค์หญิงฟลอริน่าซึ่งอ่อนเพลียจากการรักษาผู้ป่วยหลายคนจนทรงพระประชวร และไม่สามารถเสด็จมาที่หอสมุดได้

    เอสเมอรัลด้าขมวดคิ้ว ก้มลงจ้องมองตัวอักษรตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด ความเก่าแก่ของอักขระและไวยากรณ์ที่ค่อนข้างผิดแปลกจากปัจจุบันทำให้เธอจดจ่อจนไม่สังเกตเลยว่ามีใครเข้าออกหอสมุด...ซึ่งตามปรกติก็มีข้อบังคับให้เงียบอยู่แล้ว วันนั้นเธออาจจะอ่านหนังสือต่อไปจนถึงเย็นเลยก็ได้...ถ้าหากไม่เกิดความรู้สึกประหลาดที่ผลึกชีวิตขึ้นมาเสียก่อน

    เด็กสาวเงยหน้าขึ้นเหลียวมองไปรอบๆ และเธอก็เกือบจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อแล้วหากไม่ได้เห็นร่างที่นั่งห่อไหล่อยู่หน้าโต๊ะใกล้ๆ

    เป็นเด็กหนุ่มที่ดูจะอายุมากกว่าเอสเมอรัลด้านิดหน่อย ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะซูบผอมมากจนแทบเดาอายุไม่ออก...หากไม่ได้เห็นผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะ

    ใครๆ ก็รู้เรื่องของสโนว์ เด็กหนุ่มจูมิที่ต้องคำสาปของพรายหิมะตั้งแต่ยังเป็นทารก

    จากจุดที่เอสเมอรัลด้านั่งอยู่ เธอมองเห็นใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายใด้เพียงลางๆ โครงหน้าของเขาดูคมสัน แต่สีผิวกลับซีดเผือดเป็นสัญลักษณ์ของ 'คำสาป' ...หรือที่พ่อแม่ของเด็กหนุ่มยืนกรานจะเรียกว่า 'อาการป่วย' แทนที่จะเรียกว่าคำสาปเหมือนกับคนอื่นๆ

    สโนว์เกิดมาพร้อมกับผลึกชีวิตที่เป็นทับทิมดำ เนื่องจากเขาเป็นลูกของพี่ชายรูเบ็นส์ซึ่งเกิดในตระกูลทับทิม เมื่อแรกเกิดพ่อกับแม่ของเขาดีใจมาก เพราะว่าทับทิมดำเป็นพลอยที่มีค่าสูง และในตระกูลก็ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับทับทิมดำถึงสองพันปีมาแล้ว แต่ทั้งสองก็ดีใจอยู่ได้ไม่นานนัก...

    ทับทิมดำดูเหมือนจะให้ทั้งคุณและโทษ เพราะร่างกายของทารกน้อยมักจะเจ็บป่วยเป็นไข้ตัวร้อนโดยไม่มีสาเหตุอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามีความผิดปกติที่ผลึกชีวิต แต่แพทย์ชาวจูมิกลับไม่รู้สาเหตุ และน้ำตาเยียวยาก็ให้ผลได้เพียงในระยะสั้นเท่านั้น

    ต่อมาเมื่อได้ยินคำร่ำลือถึงจูมิคนหนึ่งที่มีผลึกชีวิตใสเย็นราวกับน้ำแข็งอาศัยอยู่ในทุ่งหิมะฟี้ก พ่อแม่ของสโนว์จึงได้พาลูกที่ป่วยหนักไปตามหาจูมิผลึกน้ำแข็ง ด้วยหวังว่าจะสามารถหลั่งน้ำตาเยียวยาผลึกทับทิมดำที่ร้อนรุ่มได้

    แต่เมื่อมาถึงอุทยานแก้วผลึกกลางทุ่งหิมะฟี้กที่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขา พวกเขากลับพบว่า...สิ่งที่ตามหาอยู่ไม่ใช่ชาวจูมิเช่นเดียวกัน แต่เป็นพรายหิมะนามว่า คริสตัลเล

    หากคริสตัลเลก็หาทางออกได้หลังจากที่ดูอาการของทารกน้อยอยู่ครู่หนึ่ง

    "จากนี้ไป...ห้ามไม่ให้เรียกเด็กคนนี้ว่า 'แบล็ครูบี้' อีก จงเรียกเขาว่า 'สโนว์'" ประกายแสงที่ดูเย็นตาสว่างขึ้นรอบร่างเด็กน้อยในขณะที่พรายสาวเอ่ยขึ้น พ่อแม่ของทารกน้อยได้แต่จ้องมองอย่างพรั่นพรึงเมื่อทับทิมดำสีเข้มค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นผลึกที่ใสราวกับน้ำแข็ง ผมสีแดงเข้มของเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน ดวงตาสีทองกลับกลายเป็นสีเทากระจ่าง...ดุจสีของผืนฟ้าเหนือทุ่งหิมะ

    จากนั้นมาเด็กน้อยซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น 'สโนว์' ต้องเผชิญกับไข้หวัดหลายครั้งหลายหน หากเขาก็รอดชีวิตมาได้ แม้ร่ายกายที่อ่อนแอจะเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่ตลอดเวลาก็ตาม

    แต่ทว่าอุปนิสัยปรวนแปรและเจ้าอารมณ์จากผลึกชีวิตเดิมที่ยังหลงเหลือให้เห็น บวกกับความที่พ่อแม่คอยตามใจด้วยความรักและความเป็นห่วงทำให้สโนว์ยิ่งเข้ากับเด็กวัยเดียวกันยากขึ้น

    เอสเมอรัลด้าก็เคยพบเขาอยู่ไม่กี่ครั้ง และเธอก็มัวแต่สนใจเรื่องอื่นจนไม่ทันทักทายเวลาเจอกัน

    เด็กสาวนึกสงสัยว่าทำไมกระแสคลื่นถึงได้มาจากทางเขา แต่ความรู้สึกนั้นก็เลือนลางจนเธอไม่นึกสนใจและคิดจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ

    หากเสียงเสียงหนึ่งไม่ดังขึ้นเสียก่อน...

    "เลิกจ้องฉันซะทีได้มั้ย"

    เอสเมอรัลด้าเพิ่งรู้ตัวว่าเธอเผลอจ้องมองเด็กหนุ่มตลอดเวลาที่นึกถึงเรื่องที่เคยได้ฟังมา...ซึ่งเป็นนิสัยที่เคยทำให้ใครๆ หลายคนไม่พอใจอยู่ เธอจึงตอบเรียบๆ

    "ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"

    "ตั้งใจสิ" เด็กหนุ่มตอบเสียงหนัก เอสเมรัลด้าเพิ่งมีโอกาสเห็นหน้าเขาชัดๆ และสังเกตว่าเขามีตาสีเทาลึกล้ำ ผิดกับดวงเนตรขององค์หญิงฟลอริน่า หรือคนที่มีตาสีเทาอื่นๆ ซึ่งมักจะมีสีเขียวหรือสีน้ำเงินแฝงอยู่จางๆ ยิ่งทำให้เธอสนใจมองจนลืมตอบ แถมยังชะโงกเข้าไปดูให้ชัดๆ จนอีกฝ่ายถึงกับถอยกลับไป

    "เธอนี่หยาบคายจริงๆ" ดวงตาของเด็กหนุ่มบอกความไม่เป็นมิตรชัดแจ้งขณะที่พูด

    เอสเมรัลด้าเอนหลังกลับไปพิงเก้าอี้ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผม

    "นายก็เหมือนกันนั่นแหละ" เธอโต้กลับ

    ดูเหมือนคำตอบนั้นจะทำให้เขาโกรธขึ้นมา

    "ถึงฉันจะเป็น 'จูมิต้องสาป' แต่เธอไม่มีสิทธิ์จะจ้องฉันแบบนี้นะ!" เด็กหนุ่มถึงกับระเบิดอารมณ์ใส่

    "นายเริ่มก่อนต่างหาก" เด็กสาวแย้งอย่างใจเย็น พร้อมกับจับตาดูปฏิกริยาของสโนว์อย่างเรียบๆ "ผลึกของนายเรียกฉันก่อนนะ"

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนสีในทันที

    "ป...เปล่าซักหน่อย เธอโกหก!"

    "ฉันไม่เคยโกหกใครทั้งนั้น" เอสเมอรัลด้าตัดบท เธอนึกเบื่อบทสนทนาที่ไม่มีผลดีอะไรแล้วก็อยากจะกลับไปอ่านหนังสือต่อเต็มทีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมเลิกราหรือเปล่า

    ทว่าจู่ๆ เขาก็รีบพูดขึ้น

    "ข...ขอโทษนะที่ฉันพูดจาแบบนั้น"

    "ช่างมันเถอะ" เอสเมอรัลด้าตอบก่อนจะหันกลับไปอ่านหนังสือต่อ และแทบจะลืมเขาไปแล้วหากเด็กหนุ่มไม่พูดขึ้นอีก

    "เธออ่านอะไรอยู่เหรอ ใช่งานขององค์หญิงฟลอริน่าหรือเปล่า"

    การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันใดทำให้เอสเมอรัลด้านึกแปลกใจหน่อยๆ

    "ใช่" เธอตอบ "นายรู้ได้ไง"

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง

    "ฉ...ฉันเคยเห็นเธออยู่กับองค์หญิง แล้วคุณอารูเบ็นส์ก็เคยเล่าเรื่องงานวิจัยให้ฉันฟังน่ะ"

    "อ้อ..." เด็กสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัด

    แต่ในที่สุด เธอก็เรียกให้สโนว์เข้ามาหา

    "ช่วยหน่อยนะ" เธอบอก "หนังสือเล่มนี้หนักจนฉันยกไม่ขึ้นน่ะ"

    เด็กหนุ่มทำตามแต่โดยดี สีหน้าของเขาบ่งบอกความรู้สึกที่ไม่ว่าเด็กสาวธรรมดาๆ คนไหนก็คงมองออก แต่เอสเมอรัลด้ากลับเป็นคนที่ขลุกอยู่กับหนังสือจนแทบไม่สนเรื่องใกล้ตัว ตรงข้ามกับสโนว์ที่อ่อนไหวและนึกถึงตนเองก่อนเสมอ

    เขานั่งลงข้างเอสเมอรัลด้าอย่างเก้ๆ กังๆ เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกที่พูดกับเขาแบบสบายๆ ไม่มีพิธีรีตองเหมือนกับลูกสาวของเพื่อนพ่อแม่ในงานเลี้ยงสังสรรค์ที่เขาเกลียดแต่ต้องจำใจเข้าร่วม

    เด็กหนุ่มเคยเห็นคุณหนูตระกูลมรกตหลายครั้งในอดีต และเอสเมอรัลด้าก็สะดุดตาเขามานานแล้วแม้เธอดูจะไม่เคยสนใจเขาเลย

    เขารู้สึกแปลกใจที่พบเธอในหอสมุดบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยคิดจะทักทายเธอก่อน จนกระทั่งการถูกจ้องมองทำให้เขาเผลอพูดคำรุนแรงออกมา แต่เมื่อได้คุยกันดีๆ แล้ว เขาก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น

    "ฉันอ่านอักขระรูนได้บ้างนะ" ปุบปับเด็กหนุ่มก็พูดขึ้น "เหมือนกับองค์หญิงฟลอริน่านะ"

    เอสเมอรัลด้าขมวดคิ้วอย่างสงสัย

    "จริงเหรอ ฉันนึกว่ามีแต่องค์หญิงที่แปลรูนได้เสียอีก"

    "ฉันหัดอ่านเอง...จากหนังสือที่พระบิดาขององค์หญิงเขียนน่ะ" สโนว์อธิบาย "ก็ฝึกมาได้...ห้าปีแล้ว"

    เอสเมอรัลด้าดูท่าจะทึ่งอยู่

    "แหม...ฉันน่าจะทำอย่างนั้นบ้างแฮะ" เด็กสาวเปรยขึ้น "จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระองค์หญิงได้มากกว่านี้หน่อย นายน่าจะบอกองค์หญิงนะ"

    "เธอบอกดีกว่ามั้ง" เด็กหนุ่มแย้งด้วยสีหน้าที่กลับแดงขึ้นมาอีก "ฉ...ฉันไม่รู้ว่าจะบอก...เอ่อ...กราบทูลองค์หญิงยังไงดี" เขาพูดซื่อๆ

    "ไม่เห็นจะเป็นไรเลย พูดธรรมดาๆ ก็ได้ ขอให้สุภาพหน่อยก็พอ" เอสเมอรัลด้าบอกเขา "ฉันว่าองค์หญิงต้องดีพระทัยมากแน่ๆ เลย"

    ใบหน้าของเขาค่อยสดชื่นขึ้นบ้าง

    "หวังว่า...นะ" เด็กหนุ่มพูดเรียบๆ "ฉันไม่คิดว่าตัวเองรู้อะไรมาก แต่คงจะช่วยอะไรองค์หญิงได้บ้าง" หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็พูดด้วยเสียงหงุดหงิด "เพราะวันๆ ฉันไม่มีอะไรจะทำเลย"

    "นายไม่ออกไปข้างนอกบ้างเหรอ" เอสเมอรัลด้าถาม

    "พ่อแม่ฉันไม่ค่อยยอมให้ฉันไปไหนมาไหนหรอก เพราะไอ้โรคบ้าๆ นี่แหละ" เด็กหนุ่มพูดเสียงขื่นๆ "ฉันคงต้องอยู่แบบคนป่วยไปตลอดชีวิตล่ะมั้ง" ดูเขาจะกลับมาอารมณ์เสียอีกครั้ง

    "ฉันว่าดูนายจะเรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่นมากเกินไปล่ะมั้ง" เอสเมอรัลด้าพูดไปตามความรู้สึก

    ใบหน้าของเด็กหนุ่มยิ่งแดงก่ำ

    "ม...หมายความว่ายังไงน่ะ ฉันไม่เคยเจอใครที่หยาบคายเท่าเธอมาก่อนเลย!"

    หากสีหน้าของเด็กสาวยังเรียบเฉยเหมือนเดิม

    "ฉันเป็นคนตรงแบบนี้แหละ ถ้าหากรับความจริงไม่ได้ก็ไม่ต้องฟังฉันได้นี่" เธอเอ่ยอย่างเยือกเย็น

    "ก็ได้!"

    เด็กหนุ่มเกือบจะลุกไปแล้ว แต่พอนึกถึงเรื่องที่อยากให้เอสเมอรัลด้าช่วยทูลองค์หญิงฟลอริน่าว่าเขาอ่านรูนออก เขาก็หันกลับมา ทำให้เอสเมอรัลด้านึกขำเสียจนแทนที่สโนว์จะเห็นหน้าบึ้งตึงอย่างที่คาดไว้ กลับเป็นใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีเขียวเป็นประกาย เด็กหนุ่มก็เลยนั่งลงที่เดิมทั้งที่ใบหน้ายังแดงก่ำ

    แล้วก็ลืมความโกรธไปจนหมดในชั่วสามนาทีที่เขาอธิบายประวัติศาสตร์และการใช้รูนให้เด็กสาวฟังอย่างกระตือรือร้น

    การสนทนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเอสเมอรัลด้าบอกสโนว์ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทจ้องมองเขาเลย

    "ฉันก็แค่..." เธออธิบาย "ลืมตัวไปเวลานึกถึงเรื่องของนายขึ้นมา บางทีฉันก็เป็นอย่างนี้บ่อยๆ น่ะ" เด็กสาวเสริม "พอนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาแล้ว ฉันจะลืมไปซะสนิทเลยว่ากำลังทำอะไร หรืออยู่กับใคร"

    สโนว์ก็เลยบอกว่าเขารู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะจ้องมองเขา แล้วก็ขอโทษอีกครั้งที่เขาระเบิดอารมณ์ใส่เธอ

    "ฉันเป็นคนอารมณ์ร้อน...เพราะผลึกชีวิตเก่าของฉัน" เขาอธิบาย "แล้วฉันก็ชินซะแล้วล่ะที่คนอื่นเห็นว่าฉันประหลาดไม่ก็น่าสมเพชเพราะเรื่องที่เกิดกับฉันในอดีต ฉันก็เลยคิดว่าเธอเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน"

    "ฉันไม่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเป็นเรื่องไม่ดีเลยนะ" เอสเมอรัลด้าบอก "จริงๆ แล้วเป็นเรื่องน่าสนออก แต่ฉันก็เสียใจนะที่ผลออกมาเป็นอย่างนี้"

    สโนว์มองเด็กสาวอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดต่อไป

    "พ่อแม่ฉันบอกว่าคริสตัลเลตั้งใจทำอย่างนั้นเพราะอยากจะทำร้ายฉัน...ก็เหมือนกับพรายตนอื่นๆ นั่นแหละ" เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น "แต่ถ้าหากทับทิมดำทำให้ฉันป่วยหนักเกือบตายจริงๆ แล้วล่ะก็ คริสตัลเลก็ช่วยชีวิตฉันไว้จริงๆ ไม่ใช่เหรอ...ถึงแม้จะทำให้ผลึกชีวิตของฉันเสื่อมค่าก็เถอะ"

    "ก็ถูกนะ" เอสเมอรัลด้ารับ "บางที...เหตุผลที่แท้จริงที่เขาทำแบบนี้อาจจะเป็นเพื่อช่วยชีวิตนายก็ได้"

    "ใช่สิ แล้วคนอื่นๆ ก็มัวแต่คิดว่านี่เป็นคำสาป...จนมองข้ามไปว่าผลึกทับทิมดำอาจจะทำให้ฉันตายก็ได้" สโนว์เปรยก่อนจะยิ้มน้อยๆ ในทันใด เอสเมอรัลด้าคิดว่ารอยยิ้มนั้นทำให้เขาดูสดชื่นขึ้นมากทีเดียว "ถึงฉันจะไม่อยากเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่ตลอดเวลาก็เถอะ แต่ถ้าให้เลือกระหว่างเป็นหวัดบ่อยๆ แบบนี้กับไม่สบายหนักจนถึงตายล่ะก็ ฉันว่าฉันคงจะเลือกแบบนี้มากกว่า"

    "ดีจังที่นายมองโลกในแง่ดีขึ้นแบบนี้" เอสเมอรัลด้าว่า ทีแรกสโนว์คิดว่าเธอประชดเขา แต่ครู่ต่อมาจึงเข้าใจว่าเอสเมอรัลด้าเป็นคนพูดอะไรที่คิดออกมาตรงๆ แบบนี้นี่เอง เขาก็เลยเลิกสงสัยแล้วยิ้มให้เธออีกครั้ง

    "ฉันฝันอยากจะไปที่ทุ่งหิมะฟี้กซักครั้ง" เด็กหนุ่มบอก "ฉันอยากไปหาคริสตัลเล แล้วก็ถามความจริงว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น"

    "ฉันว่าเขาทำเพื่อช่วยชีวิตเธอจริงๆ นั่นแหละ" เอสเมอรัลด้าพูดขึ้น "เขาคงเห็นว่าถ้าไม่ทำอย่างนั้นเธออาจจะตายก็ได้"

    "ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน" สโนว์เอ่ยด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม "แต่ฉันอยากจะไปดูให้รู้ว่าคริสตัลเลหน้าตาเป็นยังไง แล้วทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น พอถึงตอนนั้นแล้ว ฉันจะได้กลับมาบอกทุกคนได้ว่าคริสตัลเลไม่ได้สาปฉัน แต่ตั้งใจจะช่วยชีวิตฉันจริงๆ"

    ดวงตาของเอสเมอรัลด้าเป็นประกายด้วยความชื่นชม

    "เป็นความคิดที่ดีจริงๆ นะ" เธอลงความเห็น


    Author's Comment: แอมเบอร์เป็นหนึ่งในสามตัวละครจูมิที่ฉันสร้างขึ้นเพื่อเสริมเรื่องของสังคมจูมิค่ะ แต่สามตัวละครนี้ก็จะไม่มีบทบาทสำคัญกับเนื้อเรื่องหลัก หรือปรากฏตัวหลังจากภาคที่ 2 ไปค่ะ
    ขอขอบคุณ Jordan S. ที่กรุณาส่งข้อมูลของตัวละครจูมิที่ถูกตัดออกจาก Legend of Mana เวอร์ชั่นอเมริกามาให้นะคะ สโนว์มีชื่อเดิมคือ 'สโนว์ไวท์' ซึ่งเราต้องเปลี่ยนเพราะเขาเป็นผู้ชาย อายุ 17 ปี รายละเอียดที่ได้มามีดังนี้ค่ะ
    สโนว์เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่มีผลึกชีวิตเป็นผลึกน้ำแข็ง (Ice Crystal) และเป็นเพื่อนเก่าแก่ของกลาเชียร่า (หรือคริสตัลเลในเวอร์ชั่นอเมริกา) ส่วนข้อมูลที่เหลือเป็นความลับ จะใส่เมื่อจบเนื้อเรื่องของสโนว์ในภาค 2 ที่เขียนใหม่ แต่เรื่องของทับทิมดำกับการสับเปลี่ยนผลึกเป็นเรื่องที่ผู้เขียนแต่งเองค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×