ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #34 : ภาคที่ 5 - เพิร์ลทั้งสอง / บทที่ 3 - ป่าแห่งเสียงกระซิบ / ครึ่งแรก (เพิร์ล)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 134
      0
      20 พ.ค. 49

    PART V: TWO PEARLS
    Chapter 3: The Murmuring Forest - Part 1 (Pearl)

    ภาคที่ 5: เพิร์ลทั้งสอง
    บทที่ 3: ป่าแห่งเสียงกระซิบ - ครึ่งแรก (เพิร์ล)


    พายุลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นจากทางใต้ในค่ำวันนั้น ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นเหนือมาด้วยปีกแห่งความชื้น ส่งสายฝนอุ่นให้โปรยปรายท่ามกลางอากาศสดใส และร่างม่านหมอกบางๆ คลุมทั่วผืนดิน แสงสีส้มส่องสว่างจากหน้าต่างห้องของซานดร้า เผยให้เห็นเงาร่างของเธอเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวาย ลมพายุเขตร้อนสาดปะทะบานหน้าต่าง ทว่าซานดร้าไม่สนใจ ความสนใจทั้งหมดของเธอจดจ่ออยู่กับม้วนคัมภีร์กระดาษในมือเท่านั้น

    ฟลอริน่านั่งอยู่บนเก้าอี้ มองซานดร้าอย่างกริ่งเกรงขณะที่จูมิแห่งอเล็กซานไดรท์พึมพำกับตนเองเหมือนจะท่องคำพูดประกอบความคิด

    "นี่ไงล่ะข้อพิสูจน์ ไม่ผิดแน่ ดูสิ" เธออ่านออกมาดังๆ เหมือนจะพูดกับฟลอริน่า แต่ที่จริงแล้วกำลังทวนความคิดของตนเองขณะตรวจดูหลักฐานต่างหาก "นักวิจัยของคริสตี้เขียนไว้ว่า

    'ประตูทางเข้าวิหารถูกปิดตาย โครงสร้างอาคารส่วนหนึ่งทรุดจมดินไปแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นด้วยแผ่นดินไหว กาลเวลา หรืออำนาจที่ยังพิสูจน์ไม่ได้อื่นๆ แต่ตามความเห็นของผมแล้ว ประตูบานนี้ไม่ได้ปิดตายไปเพราะกาลเวลา หากแต่ถูกผนึกด้วยเวทมนตร์

    'วัตถุชิ้นเดียวหน้าประตูคือรูปปั้นที่พังไปแล้วครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นรูปจำลองเทวดา เพราะว่ามีร่างกายเป็นมนุษย์และมีปีก ท่อนล่างครึ่งหนึ่งหายไป ส่วนแขนก็หักไปแล้ว แต่ส่วนหัวและลำตัวยังอยู่ดี แม้จะทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา ปีกเหลืออยู่ข้างเดียวเท่านั้น อีกข้างดูท่าจะสาบสูญไปแล้ว

    'สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดเกี่ยวกับรูปปั้นเทวดานี้คือส่วนลำตัว ตรงกลางทรวงอกไล่จากลำคอลงมาเป็นระยะเศษหนึ่งส่วนสี่ของรูปปั้นมีรอยกลวงลึกเป็นรูปวงกลม ดูเหมือนจะถูกเจาะขึ้นอย่างจงใจ เพราะรอยตัดนั้นเรียบลื่นเหมือนกับเคยใช้บรรจุวัตถุชิ้นหนึ่งในอดีต แต่ในปัจจุบันวัตถุชิ้นนั้นสูญหายไปเสียแล้ว

    'เถาวัลย์กับต้นไม้ที่ขึ้นหนาแน่นเลื้อยเกาะรูปปั้นกับซากกำแพงโบราณที่เหลืออยู่ไว้หมด แต่ผมยังเห็นจารึกอักขระอยู่บนนั้นได้ลางๆ ซึ่งผมพยายามคัดลอกมาอย่างสุดความสามารถ' "

    มาถึงตอนนี้ซานดร้าก็หยุดชะงักสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะอ่านข้อเขียนต่อไป

    "ฮาจอรร์ เอทลีอา, ไฮลเลย์ ทิวาร์"

    แล้วจึงแปลว่า

    "ดาบแห่งชะตากรรม มุกแห่งเทพยดา"

    "ยังไม่ตรงทีเดียวหรอกอเล็กซ์" ฟลอริน่าขัดขึ้นในตอนนี้ "ขึ้นอยู่กับว่าจะตีความยังไง คำคำนี้น่ะแปลได้ทั้ง 'ความสง่างาม' กับ 'ไข่มุก' วลีที่สองอาจจะแปลว่า 'ความสง่างามแห่งเทพยดา' ก็ได้"

    "ก็เป็นไปได้" ซานดร้าตอบ "ฉันรู้แต่ว่าชื่อนี้มีใช้ซ้ำๆ อยู่ในคัมภีร์กับหนังสือของพ่อเท่านั้น แต่ช่างเถอะ ฟลอริน่า เท่านี้ก็ยืนยันข้อสงสัยของฉันได้แล้ว อักขระนี่พูดถึงดาบ แล้วก็..."

    แต่แล้วหญิงสาวก็หยุดพูด มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด แสงตะเกียงที่ไหววูบวาบส่องเงาร่างของเธอให้สว่างขึ้น ฟลอริน่ามองอีกฝ่ายด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง เธอรู้สึกกังวลและหวาดหวั่นกับกริยาและแววตาแปลกๆ ของซานดร้าอย่างบอกไม่ถูก

    "แล้วตอนนี้เธอคิดจะทำอะไรกันล่ะ อเล็กซ์" หญิงสาวถาม

    ซานดร้าเหลือบมองข้ามไหล่มายังฟลอริน่า

    "ฉันจะเอาดาบมาแล้วก็ออกเดินทางไปที่วิหาร เครื่องย้ายห้วงมิติในหอคอยที่เอลาซัลเล่าให้ฟังจะช่วยให้การเดินทางของฉันสะดวกขึ้นเยอะ ฉันต้องรีบไปที่หอคอยเดี๋ยวนี้เลย"

    "แล้วเอลาซัลจะไปด้วยมั้ย" ฟลอริน่าถาม

    "ไม่จำเป็น" ซานดร้าตอบสั้นๆ "ขอแค่ดาบก็พอแล้ว"

    "แล้ว..." ฟลอริน่าถามทั้งๆ ที่ใจหล่นวูบ "เธอจะ...ขอดาบจากเขามั้ย"

    ซานดร้าหันมามองฟลอริน่าพร้อมกับหยักยิ้มบางๆ ที่ริมฝีปาก

    "เห็นทีคงต้องรบกวนเธอช่วยปิดเรื่องนี้ไว้หน่อยล่ะที่รัก จะให้เอลาซัลรู้จุดประสงค์ที่ฉันเดินทางไปครั้งนี้ไม่ได้ซักพัก"

    ฟลอริน่าทรุดกายลงบนเก้าอี้ คู้ร่างพร้อมกับเลื่อนสายตาลง

    "เธอคิดจะทำอะไรที่เขาไม่พอใจใช่มั้ยอเล็กซ์"

    ซานดร้าสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายก่อนจะพูดด้วยเสียงสบายๆ

    "เปล่า! ฉันก็แค่ไม่อยากให้เค้าไปด้วยเท่านั้น บอกเค้าว่าฉันจะไปรับม้วนคัมภีร์ใหม่นะ เธอจะช่วยฉันใช่มั้ย นะฟลอริน่า"

    และเธอก็จ้องเขม็งมาทางจูมิแห่งฟลูออไรท์ ฟลอริน่าเงยหน้าขึ้นเห็นรอยยิ้มของซานดร้า แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ว่านั่นคือคำเตือน หญิงสาวรู้ว่าเธอไม่ต้องกลัวว่าซานดร้าจะทำอันตรายเธอ ทว่าในขณะเดียวกัน จูมิแห่งอเล็กซานไดรท์ก็กำลังใช้อำนาจจิตที่มีเหนือกว่าควบคุมฟลอริน่าที่มีใจอ่อนแอกว่า เธอรู้ว่าฟลอริน่าจะยินยอมทำตามเสมอไป

    หัวใจของฟลอริน่ายิ่งร่วงวูบ

    คนขี้ขลาด...เธอคิด เรามันขี้ขลาดอยู่เสมอ...

    หญิงสาวรู้สึกได้ว่าอเล็กซานดร้ากำลังรอคำตอบอยู่ และหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเธอก็เอ่ยขึ้นเพียงแผ่ว

    "ได้สิ"


    * เอลาซัลมุ่งหน้าไปยังอพาร์ทเมนท์ของตนในยามค่ำอันขมุกขะมัวไร้แสงดาว แม้เขาจะทิ้งผ้าคลุมไว้ที่ห้องจึงไม่มีอะไรปกคลุมศีรษะ ชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจเรื่องฝนที่กำลังตกอยู่เท่าใดนัก เขาก้าวฝ่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยหมอกไปอย่างเลื่อนลอยด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ชายหนุ่มยังคงก้าวขึ้นบันไดเล็กๆ ไปยังอพาร์ทเมนท์ของตน ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตู หยิบกุญแจห้องออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วสอดมันเข้าไปในรูกุญแจ

    แต่แล้วการเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลง และประสาทของเขาก็เครียดเขม็งขึ้นครู่หนึ่ง ทว่าปฏิกริยานั้นก็เกิดขึ้นเพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น ยากที่สายตาของผู้ที่ไม่ได้ฝึกประสาทมาจะจับได้ ครู่ต่อมาชายหนุ่มก็ง่วนอยู่กับการไขกุญแจอีกครั้ง

    ทว่าชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา เอลาซัลก็หมุนตัวกลับในทันใด เขาปราดลงไปยังเงามัวใต้ขั้นบันได ก่อนจะกระชากร่างที่หลบอยู่ในความมืดออกมาใต้แสงตะเกียงที่แขวนอยู่เหนือประตูห้องของตน

    "แกเป็นใคร" เขาถามเสียงเข้ม "ทำไมถึงมาหลบอยู่แถวนี้ แกสะกดรอยตามฉันมาเรอะ"

    เสียงอุทานอย่างเจ็บปวดดังขึ้นเบาๆ ตามมาด้วยเสียงกระซิบละล่ำละลัก

    "เอลาซัล! เราเอง!"

    เอลาซัลคลายมือที่บีบแขนของร่างนั้นทันที ความประหลาดใจฉายชัดบนสีหน้า เขามองสำรวจอีกฝ่ายให้ละเอียดขึ้น คนที่เขาจับได้นั้นดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมบาง ปีกหมวกย้อยลงมาบังดวงตา เอลาซัลดึงเขาเข้ามาใกล้แสงไฟ แต่คราวนี้เบามือลง ชายหนุ่มสังเกตเห็นดวงหน้าหน้าเรียวกับปอยผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิง และดวงตาสีเทาที่มองมาทางเขาใต้แสงสลัว

    "องค์หญิง" เขารีบพูด "ขอโทษครับ แต่องค์หญิงทำเอาผมตกใจหมด ผมรู้สึกได้ว่ามีคนตามผมมา แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นคนดีหรือร้าย"

    "เราขอโทษ" หญิงสาวเอ่ย "เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอตกใจเลย แต่เราหาเธอไม่เจอ เราก็เลยมารออยู่ที่นี่เผื่อว่าเธอจะกลับมา"

    เอลาซัลเพิ่งสังเกตเห็นอีกฝ่ายใช้มือถูแขน จึงรู้สึกผิดขึ้นมา

    "ผมเผลอทำร้ายองค์หญิง" เขาพูดเบาๆ ก่อนจะวางมือลงบนแขนที่มีรอยช้ำอย่างอ่อนโยนแล้วนวดเบาๆ "ทำอะไรไม่ยั้งคิดอีกแล้ว"

    แม้ชายหนุ่มจะรู้สึกโล่งอกที่พบว่านั่นคือฟลอริน่า แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะออกมาเดินตามลำพังยามค่ำมืดแบบนี้

    ฟลอริน่าเพียงแต่โบกมือปฏิเสธพร้อมกับยิ้มเฝื่อนๆ

    "เอลาซัล" เธอกระซิบ "ฟังเรานะ รีบเข้าไปในห้องกันเดี๋ยวนี้เลย"

    เอลาซัลมองหญิงสาวอย่างพิจารณา

    "มีอะไรงั้นเหรอครับ" เขาถามสั้นๆ

    "เดี๋ยวเราจะบอกเธอเอง" เธอตอบ "ขอร้องล่ะเอลาซัล เรากลัวว่าเราจะมาช้าไปแล้ว บอกเราซิว่าเธอเก็บดาบอักขระไว้ในห้องหรือเปล่า"

    เอลาซัลนิ่งอึ้งไป คำตอบแล่นเข้ามาในใจของเขาในทันที

    "เรื่องของอเล็กซ์ใช่มั้ยครับ"

    ฟลอริน่าไม่ยอมตอบด้วยวาจา แต่สายตากลับบอกให้เขาเร่งรีบ เพียงเท่านั้นก็บอกคำตอบที่เอลาซัลต้องการได้แล้ว เอลาซัลรีบขึ้นบันไดไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วจึงปลดกลอนประตูห้องของเขา

    ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในห้อง ตามมาด้วยฟลอริน่า ห้องนั่งเล่นนั้นว่างเปล่าและเงียบสนิท เอลาซัลวิ่งเข้าไปในห้องนอน ส่วนฟลอริน่ารออยู่ด้านนอก และเมื่อเขากลับออกมา สีหน้าก็สลดลง

    "ดาบหายไปแล้ว" เขาบอก "เค้าเอาไป...ใช่มั้ย"

    ฟลอริน่าก้มหน้าลงก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง

    "ถ้าอย่างนั้นเราก็มาช้าเกินไปจริงๆ เราอยากให้เธอช่วยหยุดเค้านะเอลาซัล แต่เรากลัวเกินกว่าจะทำอะไรได้ตอนที่เค้ายังอยู่ ดูเหมือนว่าเค้าจะตรงมาที่ห้องของเธอหลังจากเราสองคนคุยกันเสร็จเลย"

    เอลาซัลนั่งลงข้างๆ ฟลอริน่าก่อนจะกุมมือเธอไว้ แม้สถานการณ์จะไม่สู้ดี และเขาอยากขอคำอธิบายมากกว่านี้ ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกได้ถึงความกังวลของฟลอริน่า จึงอยากจะเข้าใจและช่วยปลอบโยน

    "ไม่ต้องห่วงหรอกครับ" เขาบอก "ไม่ว่าอเล็กซ์จะทำอะไรผิด ผมจะหยุดยั้งเค้าเอง แต่องค์หญิงช่วยเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟังเดี๋ยวนี้เลยครับ นี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ เค้าถึงได้ต้องการดาบขึ้นมา แล้วทำไมถึงต้องปิดบังกันด้วย"

    สายตาของชายหนุ่มมองสำรวจใบหน้าของจูมิแห่งฟลูออไรท์อย่างสังเกต พยายามค้นหาคำตอบทั้งที่นึกกลัวว่าสังหรณ์เรื่องที่เขากลัวมากที่สุดจะเป็นความจริง

    ฟลอริน่าเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาเศร้าสร้อย เอลาซัลไม่เคยรู้รายละเอียดมาก่อนเลย แต่เธอรู้ว่าเขาคงเดาความจริงออกแล้ว

    "เราขอโทษที่เรื่องกลายเป็นอย่างนี้นะเอลาซัล แต่ต้องมีคนหยุดอเล็กซ์ให้ได้ แล้วไม่ต้องห่วงหรอก..." นิ้วมืออุ่นๆ ของหญิงสาวประคองมือของชายหนุ่มไว้ "เราไม่ปล่อยให้เค้าชนะแน่ เราจะช่วยเธอตามไปหยุดอเล็กซ์...ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย...ก่อนที่เค้าจะทำเรื่องเลวร้ายที่จะทำให้เค้าต้องเสียใจไปชั่วชีวิต" *


    Author's Comment: ภาษาที่ใช้ในอักขระรูนจริงๆ แล้วมาจากภาษานอร์สเก่าค่ะ (ฉันหาภาษาเคลติกในเน็ทไม่ค่อยเจอ) แต่ฉันเปลี่ยนคำพูดเล็กน้อย แล้วยังใช้คำที่มีสองความหมายอีก ฉันแค่อยากจะให้มันฟังดูเป็นภาษาที่โบราณน่ะค่ะ แต่ฉันคิดว่าน่าจะเข้ากับเรื่องดี ในเมื่อเพลงธีมของเกมก็ร้องเป็นภาษาสวีดิชด้วย

    Translator's Comment: เป็นตอนที่...สั้นจริงๆ ล่ะครับ ผมเลยแปลออกมาได้เร็ว (เพียงวันเดียวเสร็จ) ท่ามกลางบรรดางานที่รอการสะสางอยู่ เวอร์ชั่นของซานดร้าจะมีฉากเพิ่มยาวกว่านี้ครับ

    ปล. จากตอนนี้เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ซะแล้วสิ รูปปั้นกับมุกเทพยดา หรือจะหมายความว่า...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×