ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #3 : ภาคที่ 1 - เอลาซัล / บทที่ 1 - นครแห่งความพินาศอันแพรวพราว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 202
      0
      19 พ.ค. 49

    PART I: ELAZUL
    Chapter I: Sparkling City of Ruin

    ภาคที่ 1: เอลาซัล
    บทที่ 1: นครแห่งความพินาศอันแพรวพราว


    ประกายอันระยิบระยับของเมืองนี้ช่างงดงามเหลือเกิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านครอัญมณีจะเป็นภาพอันตระการตาเพียงใดสำหรับคนในโลกภายนอกที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามาในนครแห่งนี้ รัตนชาติสุกใสหลากสีสันที่ถูกฝังลงในบาทวิถีกับผนังอาคารทอแสงสุกสกาวชั่วนิจนิรันดร์ ส่งให้นครอัญมณีแพรวพราวดุจภาพลวงตาอยู่ตลอดเวลา

    ทว่าสำหรับอัศวินหนุ่ม แสงสว่างเหล่านี้กลับยิ่งเจิดจ้าบาดตา เพราะพวกมันคือสิ่งที่เขาพยายามหลีกหนีไปให้ไกล

    อีกไม่กี่เพลาก็จะรุ่งสาง แสงอาทิตย์ยามเช้าจะช่วยข่มรัศมีอันเรืองรองลงเล็กน้อย ทว่าความเหน็บหนาวในช่วงเช้ามืดยังตามเกาะกินใจเขาราวกับวิญญาณพยาบาทตามหลอกหลอน

    ชายหนุ่มหยุดพักเอนกายพิงผนังอันวาวระยับชั่วครู่ เหงื่อจากความเหน็ดเหนื่อยไหลท่วมกาย

    เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าอะไรกันที่ดลใจให้เขาเดินดุ่มไปตามท้องถนน ในยามราตรีที่ทุกสิ่งนิ่งสนิทและเย็นยะเยือกเช่นนี้

    เพื่อค้นหา 'ความมืด' กระมัง

    'ความมืด' ที่ไม่เคยมีอยู่แท้จริงในนครอันเจิดจ้าชั่วนิรันดรแห่งนี้

    เขาเคยพยายามหนีไปครั้งหนึ่ง เมื่อสิบปีที่แล้วชายหนุ่มเดินทางพเนจรร่อนเร่ไปเพียงลำพัง ก่อนจะบาดเจ็บซมซานกลับเมืองหลายปีถัดจากนั้นด้วยสภาพที่ไม่ต่างอะไรจากสุนัขจรจัด ตามร่างมีบาดแผลมากมายจากฝีมือของนักล่าพลอยซึ่งยังทิ้งรอยไว้จนบัดนี้

    แต่นับว่าเขายังโชคดี เพราะมีชาวจูมิน้อยนักที่ก้าวพ้นประตูเมืองไปแล้วได้กลับมาอีก ตามประกาศิตที่ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลผู้ปกครองนครประกาศกร้าวว่าจะไม่มีการส่งคนไปตามหาพวกที่ออกไปสู่โลกภายนอกเด็ดขาด

    เงามืดที่วาบผ่านหางตาของอัศวินหนุ่มปลุกเขาจากห้วงภวังค์ เขายังเอนหลังพิงกำแพงฝังพลอยอยู่ตามเดิม ดวงตาแทบปิดด้วยความเหนื่อยอ่อน ทว่าความเคลื่อนไหวของสิ่งที่บังแสงให้มืดลงครู่หนึ่งจับความสนใจของเขาไว้

    ไม่มีสิ่งใดจะแฝงเร้นอยู่ในเมืองที่มีแสงแพรวพราวเช่นนี้ได้นานก่อนจะถูกเปิดโปงด้วยแสงจ้าที่สาดส่องมาจากทุกทิศทาง แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจก็คือเขากลับไม่รู้สึกเลยว่ามีผู้อื่นในอาณาบริเวณนี้ ผลึกชีวิตของเขาน่าจะเปล่งแสงตอบรับเมื่อมีชาวจูมิอีกคนอยู่ใกล้เช่นนี้

    เอลาซัลไม่นึกสงสัยเลยว่าคนผู้นั้นจะเป็นอะไรอื่นนอกจากชาวจูมิด้วยกัน ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือเผ่าพันธุ์อื่นใดที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในนคร และไม่มีผู้ใดอาจล่วงล้ำอาณาเขตเวทมนตร์อันแข็งแกร่งที่คุ้มครองเมืองอยู่ได้

    เพราะอย่างนี้เขาจึงไม่หวาดระแวงแต่อย่างใด มีเพียงความสงสัยและรำคาญเล็กน้อยว่าคนผู้นั้นเป็นใคร และเหตุใดจึงแฝงกายในเงามืดเหมือนกับมีประสงค์ร้ายเท่านั้น

    ชายหนุ่มชักดาบออกเตรียมระวังก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นด้วยเสียงดังฟังชัด

    "ออกมาสิ มีธุระอะไรก็ว่ามา"

    ร่างร่างหนึ่งก้าวออกจากเงามืดมาอยู่ใต้แสงจ้า ที่เอลาซัลเห็นคือเด็กหนุ่มรุ่นราวเดียวกัน หรือไม่ก็อ่อนกว่าตนเล็กน้อย เนื่องจากชาวเผ่าจูมิยากจะชี้ชัดได้ว่ามีอายุเท่าใด เพราะพวกเขามีชีวิตยืนยาวได้ถึงหลายร้อยปี และแทบจะหาความแตกต่างของผู้ที่มีอายุห่างกันราวสิบหรือยี่สิบปีไม่ได้เลย

    เขาเพ่งพินิจเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างเงียบๆ และได้รับสายตาแบบเดียวกันกลับมาจากอีกฝ่าย แต่ในดวงตาคมกริบที่กวาดมองราวกับจะเก็บทุกรายละเอียดนั้นยังเป็นประกายคล้ายจะแย้มยิ้ม ดวงตาของเด็กหนุ่มสะท้อนแสงเพชรที่ประดับข้างผนังแวบหนึ่งจนเอลาซัลเห็นได้ว่านัยน์ตาของเขาเป็นสีเขียวใส หัวโพกผ้าสีม่วงคล้ายโจรสลัด เผยให้เห็นเพียงปอยผมตรงสีเกาลัดที่ปรกหน้าผากและย้อยลงเหนือดวงตา เขาสวมเสื้อยืดสีเขียวตัวหลวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีม่วงเข้ม ท่อนล่างสวมกางเกงขายาวสีกลืนไปกับความมืด กับรองเท้าบู๊ทหนังยาวถึงเข่า การแต่งกายของเขาเหมือนกับมนุษย์ในโลกภายนอกที่เอลาซัลจำได้จากประสบการณ์ และนั่นก็ทำให้เขานึกสนใจเด็กหนุ่มที่ดูประหลาดคนนี้ยิ่งขึ้นไปอีก

    "ผมชื่ออเล็กซ์ครับ" เด็กหนุ่มขานรับคำถามของเอลาซัล "ผมมาตามหาคุณ เพราะว่า..."

    เด็กหนุ่มทำท่าเหมือนกับลังเลว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่ เอลาซัลไม่รอให้เขาพูดจบหากถามกลับไป

    "แกเป็นชาวจูมิประเภทไหน ทำไมฉันถึงจับผลึกแกไม่ได้" สายตาของเขาเลื่อนไปที่เสื้อของอีกฝ่าย ยังสังเกตเห็นประกายแสงเลือนลางที่ส่องมาจากบริเวณอก

    ถ้าเช่นนั้นเขาก็เป็นเผ่าจูมิจริงๆ สินะ เอลาซัลค่อยโล่งอก เขาเคยนึกหวาดกลัวว่าจะมีคนจากโลกภายนอกลอบเข้ามาได้หากว่าอำนาจของอาณาเขตอ่อนกำลังลงหลังจากที่เขาหนีออกไปในวันนั้น ประสบการณ์ในโลกภายนอกสอนเขาว่าภัยที่คุกคามชาวเผ่าจูมินั้นหาใช่ภาพลวงตาที่เลือนลางแต่อย่างใด หากเป็นภยันตรายใหญ่หลวง ประกาศิตปิดนครของท่านหญิงแบล็คเพิร์ลที่ดูเหมือนเผด็จการกลับกลายเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เผ่าจูมิอยู่รอดต่อไปได้

    การที่ได้รู้ว่าพวกเขาทุกคนจะปลอดภัยอยู่ในกำแพงเมืองอันห้อมล้อมด้วยสิ่งก่อสร้างสวยงามซึ่งเป็นทั้งที่คุมขังและสรวงสวรรค์ในขณะเดียวกัน ให้รู้สึกทั้งเจ็บปวดใจ และโล่งใจอย่างประหลาด ทว่าเขาก็ยังไม่แน่ใจว่า 'คุก' แห่งนี้จะช่วยให้พวกเขาอยู่รอดต่อไปอีกนานเท่าใด เพราะสิ่งที่ทำให้เอลาซัลตกใจเป็นที่สุดเมื่อกลับมาคือจำนวนประชากรจูมิที่ลดลง เมื่อสิบปีก่อนที่เขาเดินไปตามถนนสายต่างๆ ในยามวิกาล เขาต้องเลือกไปตามตรอกซอกซอย หรือหลบหามุมสงบบนระเบียงของย่านเมืองชั้นสูง เพื่อจะหลบเลี่ยงผู้คนที่ออกมาเดินเล่นยามราตรีเช่นเดียวกัน แต่ทุกค่ำคืนในช่วงนี้ดูเหมือนจะมีเขาเพียงผู้เดียวที่เดินอยู่ตามลำพัง

    การเปลี่ยนแปลงในช่วงที่เขาหายไปเพียงสิบปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่แสนสั้นสำหรับเผ่าจูมิ จะทำให้จำนวนชาวจูมิลดลงได้มากเพียงนี้ทำให้เขารู้สึกสะท้อนใจและอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

    เสียงของเด็กหนุ่มที่บอกว่าตนชื่ออเล็กซ์ดึงสติของเอลาซัลกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

    "ผลึกของผม..." เด็กหนุ่มแหวกคอเสื้อออกเล็กน้อย "ตอนกลางวันเป็นสีเขียว แต่ตอนกลางคืนจะเป็นสีม่วงแบบนี้...แถมพลังยังลดลงอีกด้วย ก็ไม่แปลกหรอกที่คุณจะจับไม่ได้"

    ส่วนยอดของผลึกที่ปรากฏต่อสายตามีสีทึบมืดสลัว ราวกับปฏิเสธจะเปล่งประกายใต้แสงอันแพรวพราวจับตาของเมือง หรือไม่ก็กำลังดูดกลืนแสงเหล่านั้นเข้าไปแทน

    เอลาซัลจ้องมองผลึกชีวิตของอเล็กซ์อย่างพินิจพิจารณา เป็นอันว่าเด็กหนุ่มคือชาวจูมิจริงแท้ หากการแต่งกายของอีกฝ่ายทำให้เขายังไม่หายระแวงเสียทีเดียว

    "แกบอกว่าตามหาฉันอยู่ใช่มั้ย เพราะอะไร แล้วใครส่งแกมา เสื้อผ้าของแกดูไม่เหมือนเผ่าจูมิเลย" ตอนท้ายคำถามแฝงความสงสัย

    "ไม่มีใครส่งผมมาหรอก ผม..." เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งไปอีกครั้ง ถึงแม้ที่มุมปากของเขาคล้ายจะแฝงรอยยิ้มน้อยๆ "ผมออกจากเมืองไปนานมากจริงๆ เพิ่งจะกลับเข้ามาเร็วๆ นี้เอง ผมถามพวกคนในแถบเมืองชั้นล่างว่านักรบที่มีฝีมือแถวนี้มีใครบ้าง พวกเขาบอกชื่อคุณ แล้วก็บอกว่าคุณเพิ่งจะกลับจากโลกภายนอกเหมือนกัน ผมก็เลยมาขอร้องให้คุณช่วย...ฝึกผมเป็นอัศวินครับ"

    เอลาซัลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มที่มีประสบการณ์คล้ายกัน และเขาก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้ออกจากเมือง

    เพื่อแสดงความกล้าหาญอย่าง 'เขา' กระมัง

    ในบางครั้งจะมีอัศวินจูมิที่ออกไปจากเมืองก่อนจะได้ทำพิธีผูกสัมพันธ์กับผู้พิทักษ์ ทว่าเผ่าจูมิไม่มีกำลังคนเพียงพอที่จะออกไปตามหาและช่วยเหลือพวกเหล่านั้นจากสถานการณ์อันตรายใดๆ ที่อาจพบในโลกภายนอกได้เลย ผู้ที่รอดกลับมาอย่างแข็งแกร่งขึ้นจากประสบการณ์จะได้รับการยอมรับกลับสู่สังคมเมืองโดยไม่มีข้อแม้ ส่วนผู้ที่ไม่เคยกลับมาจะไม่ถูกกล่าวถึงอีก...

    "แปลกนะที่พวกเขาบอกชื่อฉันกับนาย ฉันเองยังไม่เคยรู้ว่ามีคนรู้จักฉันมากถึงขนาดนี้" เอลาซัลเพียงแต่เอ่ยเรียบๆ ก่อนจะถามต่อไป "แล้วนายเคยเรียนวิธีต่อสู้แบบไหนมาบ้างล่ะ"

    "ผมเคยอยู่กองโจรครับ" เด็กหนุ่มตอบด้วยเสียงร่าเริงโดยไม่มีความละอายเจืออยู่เลย "แล้วผมก็เอาตัวรอดเก่งนะ ผมเรียนวิชาดาบจากพวกนั้นมาบ้าง แต่ผมคิดว่ายังไม่ดีพอที่จะเป็นอัศวินที่นี่ คุณถล่มตัวเกินไปหรือเปล่าเอลาซัล พวกชาวบ้านพูดกันว่าคุณเป็นนักดาบที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดแล้ว แถมยังเคยออกไปนอกเมืองด้วย ผมก็เลยถามว่าคุณหน้าตาเป็นยังไง แล้วก็ตามหาคุณอยู่ซะหลายวันเลย"

    คำตอบนั้นแสดงวาทศิลป์ของเจ้าตัวดีพอชม ทว่ากริยาปรายตามองกับมุมปากที่หยักยิ้มเหมือนมีเลศนัยกลับทำให้เอลาซัลรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด

    แต่ชายหนุ่มก็ยอมเก็บดาบเข้าฝักแต่โดยดี ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องกลัวเด็กหนุ่มร่างบางนามอเล็กซ์คนนี้ และก็ไม่มีสาเหตุที่เขาจะระแวงว่าเด็กหนุ่มมีความแค้นกับเขา หรือหมายปองชีวิตเขา นอกจากนี้หากเด็กหนุ่มมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงจริงๆ ก็คงดีกว่าหากจะเก็บเขาไว้จับตามองอย่างใกล้ชิด

    "ฉันคงต้องคิดดูก่อน" เอลาซัลแกล้งพูดเหมือนจะตัดกำลังใจ "ว่าถ้าฝึกนายแล้วจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า...หรือว่าเสียเวลาเปล่า"

    เสียงหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลของชายหนุ่มทำให้อเล็กซ์สะดุ้งวูบหนึ่ง แต่เขายังกัดฟันพูดตอบ

    "อย่างน้อยก็คิดซะว่าทำเพื่อเมืองของคุณเถอะครับ เพราะที่นี่ก็ต้องการนักรบเป็นอย่างมากไม่ใช่เหรอ"

    รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเอลาซัลเมื่อได้ยินคำตอบอันหาญกล้านั้น

    "นี่นายอยากขอเป็นอัศวินของผู้พิทักษ์คนไหนงั้นเหรอ"

    การได้เป็นอัศวินหรือผู้พิทักษ์เป็นสิ่งแสดงถึงการกลายเป็นผู้ใหญ่ และชาวจูมิที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าวก็จะมีฐานะและสิทธิพิเศษสูงขึ้น เอลาซัลเองก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินเมื่อนานมาแล้ว หากเขาปฏิเสธที่จะจับคู่กับผู้พิทักษ์คนใด แม้ว่าการที่อัศวินและผู้พิทักษ์ทำพิธีผูกสัมพันธ์กันจะทำให้ทั้งคู่มีฐานะสูงส่งยิ่งกว่าเดิม

    เพราะว่าฐานะที่สูงส่งย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงและการสูญเสียอิสระ นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณของการถลำลึกเข้าไปในการแบ่งชนชั้นศักดินาอันเข้มงวดของเผ่าจูมิซึ่งชายหนุ่มพยายามหลีกหนีมาตลอด

    อเล็กซ์ดูจะประหลาดใจกับคำถามนั้น

    "ผมไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้นหรอกครับ" เขาสารภาพ "ผมก็แค่...อยากเป็นอัศวินเท่านั้นเอง"

    "ถ้าอย่างนั้นฉันจะทดสอบฝีมือนายดูว่าใช้ได้หรือเปล่า" เอลาซัลตัดบทก่อนจะกลับหลังหัน "ตามฉันมา"


    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่แสนสดชื่นกลางฤดูใบไม้ผลิ วันที่กลิ่นหอมกรุ่นอบอวลในอณูอากาศและไม้ดอกผลิบานอย่างเริงร่าหลังตื่นจากนิทราในเหมันต์ เอลาซัลรู้สึกราวกับมีคลื่นพลังรุนแรงที่ดึงดูดให้เขาวนเวียนไปที่กำแพงเมืองอยู่เสมอ เช่นเดียวกับที่สายลมประจำทุกฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านเยือนชักชวนให้เขานึกอยากออกไปจากนครแห่งนี้ นครอัญมณีที่มีเพียงศิลาเยียบเย็นทอประกายเดิมๆ ล้อมรอบด้วยกำแพงเวทมนตร์ล่องหนที่ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลสร้างขึ้นเพื่อป้องกันภยันตรายและอำนาจแห่งดินแดนเบื้องนอก

    สองปีแล้วที่เขาได้แต่ขลุกตัวอยู่ในนครแห่งนี้ สักวันหนึ่งเขาต้องออกไปแน่ สักวันหนึ่งเร็วๆ นี้

    มาจนถึงตอนนี้ อเล็กซ์มาขอฝึกวิชากับเอลาซัลนานหลายเดือนอยู่ ฝีมือดาบของเด็กหนุ่มก้าวหน้าไปมากทีเดียว เอลาซัลแอบชื่นชมพรสวรรค์ของอเล็กซ์อยู่ในใจ แต่ก็ไม่ค่อยเอ่ยปากชมลูกศิษย์ตนมากนัก มีเพียงการพูดติชี้ข้อเสียให้แก้ไขในบางจุดเท่านั้น เขารู้ว่าอเล็กซ์ไม่ได้ต้องการคำชม แต่ต้องการเพียงคำสอน และเด็กหนุ่มก็เรียนรู้สิ่งที่เอลาซัลสอนให้ด้วยความเต็มใจอย่างรวดเร็ว

    ร่างที่ผอมเพรียวของเด็กหนุ่มซึ่งว่องไวอยู่เป็นทุนเดิมบัดนี้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจากการฝีกซ้อม แม้ว่าในช่วงแรกๆ จะแสนเหน็ดเหนื่อยเพียงไร เด็กหนุ่มก็จะกัดฟันฝืนทนต่อไป ตลอดช่วงเย็นไปจนถึงค่ำคืนอันยาวนาน จนในบางครั้งเอลาซัลที่เป็นคู่มือพลอยเหงื่อที่ไหลท่วมตัวด้วยความเหนื่อยอ่อน

    ขณะกำลังเดินเล่นอยู่เพียงลำพังหลังเที่ยงคืนของวันหนึ่ง เอลาซัลก็พบอเล็กซ์นอนหงายอยู่กลางลานซ้อม เงยหน้ามองเพดานด้วยสายตาเลื่อนลอย เขารีบปราดเข้ามาหาเด็กหนุ่มในทันใดด้วยนึกกังวลว่าอเล็กซ์อาจจะได้รับบาดเจ็บ

    แต่แล้วอเล็กซ์ก็หันมายิ้มน้อยๆ ให้เขา

    "ผมขยับตัวไม่ได้ล่ะ เอลาซัล" เด็กหนุ่มเอ่ย "กล้ามเนื้อเป็นตะคริวไปหมดแล้ว"

    "ฉันเห็นน่า" เอลาซัลตอบพลางคุกเข่าลงข้างๆ แล้วมองเขาด้วยสีหน้าที่แฝงรอยยิ้มเช่นกัน

    "ตะกี้ผมผล็อยหลับไป...แล้วก็ฝันด้วยล่ะ" อเล็กซ์พูดต่อพร้อมกับทอดสายตามองเพดานอีกครั้งหนึ่ง "ฝันประหลาดที่สุดในชีวิตเลย คุณอยากรู้มั้ยว่าผมฝันเห็นอะไร"

    "ไม่รู้สิ"

    "ผมฝันว่าผมอยู่ในหอคอย...สูงมากเชียวล่ะ" เด็กหนุ่มเล่าด้วยเสียงเคลิ้มฝันไม่สนกับคำตอบของเอลาซัล "ผมชะโงกมองลงไปนอกหน้าต่างเห็นแต่หุบเขาเป็นเงาคดเคี้ยวอยู่ใต้แสงจันทร์ แล้วในหอคอยก็มีกระจกสะท้อนแสงสว่างระยิบระยับเต็มไปหมด พ่อผมจับมือผมเอาไว้ แล้วก็บอกว่านี้คือหอคอยเลย์เรส...เป็นหอคอยต้องห้าม ไม่มีใครเข้าไปได้ทั้งนั้นนอกจากผู้ที่ได้รับเลือก..."

    "มีหอคอยอย่างนั้นอยู่จริงนะ" เอลาซัลเปรยขึ้นในทันใดนั้น

    "แล้วเทวดาถือดาบที่มีคมเป็นเปลวไฟสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้น แล้วก็บอกว่า---อะไรนะ!"

    "เทวดาบอกว่า 'อะไรนะ' เหรอ" เอลาซัลทวนคำเรียบๆ "เทวดาอะไรประหลาดจัง"

    "ไม่ใช่ คือผมจะถามว่าอะไรนะ...หอคอยอย่างนั้นมีจริงๆ งั้นเหรอ" ประกายเคลิ้มฝันลบเลือนไปขณะที่ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจ้องมองใบหน้าของเอลาซัลอย่างกระหายอยากรู้

    "มีสิ"

    "ถ้าอย่างนั้น...นี่ก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ" ความตื่นเต้นทำให้อเล็กซ์พยายามลุกขึ้น แต่กล้ามเนื้อที่เมื่อยล้ายังรับน้ำหนักไม่ไหวทำให้เขาล้มลงในทันที

    เด็กหนุ่มได้แต่นอนหงายถอนหายใจเฮือก แล้วส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับเอลาซัล

    "สมควรแล้วล่ะ...อยากหักโหมเองนี่" อเล็กซ์พูดเหมือนกับจะตำหนิตนเอง "แต่ว่านะเอลาซัล พ่อผมอาจจะเคยไปที่นั่นมาก่อนก็ได้ สงสัยพ่อคงจะเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังตอนที่ผมยังเด็กมาก ผมเลยเก็บมาฝัน แต่เทวดานั่น...ผมฝันเห็นเองจริงๆ ไม่เคยมีใครเล่าให้ผมฟังเลย สงสัยคงเป็นเพราะ..."

    คำพูดของเด็กหนุ่มขาดหายไปเท่านั้น ทำให้เอลาซัลไม่รู้ว่าอเล็กซ์ตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป แต่ก็พอจะเดาได้

    "ฉันก็ไม่แปลกใจอะไรหรอก" ชายหนุ่มลงความเห็น

    เขาไม่เคยใส่ใจอะไรมากนักกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของอเล็กซ์ ถึงแม้จะรู้สึกว่า 'ความฝัน' นั้นเป็นเรื่องที่ทั้งน่าสนใจและแปลกประหลาดอยู่ทีเดียว

    แต่ในวันกลางฤดูใบไม้ผลิวันนั้น เอลาซัลกลับนึกชื่นชมความทรหดอดทนของผู้เป็นลูกศิษย์ขึ้นมา

    โดยเฉพาะเขาเมื่อรู้ว่าอเล็กซ์เป็น...


    "อเล็กซ์" เอลาซัลเอ่ยขึ้นในวันหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองซ้อมดาบกันในสวนกลางแจ้งเหนือเขตตะวันออกของเมืองซึ่งเป็นที่ที่เอลาซัลชอบมากที่สุด เพราะสวนแห่งนี้ได้รับแสงแดดมากกว่าเขตอื่นๆ ทำให้ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่ใดในเมือง "ฉันมีเรื่องอยากจะถามนาย"

    อเล็กซ์หยุดค้างในขณะที่กำลังฝึกซ้อมท่าใหม่ที่เอลาซัลเพิ่งสอนให้ก่อนจะขานรับ

    "อะไรเหรอครับ"

    "นายอยากจะไปนอกเมืองกับฉันมั้ย" ชายหนุ่มถามสั้นๆ

    อเล็กซ์ฟังแล้วอึ้งไป หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งราวกับกำลังลังเล เขาก็ตอบว่า

    "แต่ผมเพิ่งกลับมาเมื่อไม่นานนี้เอง ยังไม่ได้เป็นอัศวินเลยด้วยซ้ำ"

    "ฉันจะให้นายไปสอบอัศวินในเดือนนี้แหละ" เอลาซัลบอก "ต้องไปร้องขอคำสมัครกับรูเบ็นส์ แล้วก็รับการทดสอบ...ยากอยู่เหมือนกัน แล้วสภาอัศวินยังตรวจผลเข้มงวดมากด้วย แต่ฉันมั่นใจว่านายต้องผ่านได้แน่ๆ"

    "แล้วแบล็คเพิร์ลจะทดสอบผมด้วยหรือเปล่า" อเล็กซ์ถาม

    เอลาซัลแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามนั้น

    "ก็...คงไม่มั้ง ถึงไม่ต้องทดสอบอัศวินเข้าใหม่ ท่านก็มีงานเต็มมืออยู่แล้วนี่"

    "ผมอยากเจอแบล็คเพิร์ลจังเลย ใครๆ ก็บอกกันว่าเธอสวยเหลือเกิน" อเล็กซ์ว่าพลางยิ้มแฝงเลศนัย "ได้ยินเขาพูดกันว่าเธออายุมากกว่าพันปีแล้ว เป็นชาวจูมิที่แก่ที่สุดในนครอัญมณีด้วยซ้ำ แต่เธอกลับไม่ดูแก่ถึงขนาดนั้นเลย ผมอยากจะเห็นผู้หญิงแบบนั้นด้วยตาตัวเองจัง"

    "ฉันก็ได้ยินมาอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ฉันยังไม่เคยพบท่านเลย" เอลาซัลตอบเรียบๆ เขาไม่เคยนึกสนใจแบล็คเพิร์ลเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเคยได้ยินคำร่ำลือใดๆ เกี่ยวกับท่านหญิงมาก็ตาม

    "แล้ว..." จู่ๆ อเล็กซ์ก็หยุดชะงัก แต่แล้วก็พูดต่อไปอย่างรวดเร็ว "ผมอยากจะลงประลองชิงตำแหน่งอัศวินขององค์หญิงฟลอริน่าด้วย คุณว่าผมจะทำได้หรือเปล่าล่ะ"

    ท่านหญิงแบล็คเพิร์ลเพิ่งประกาศว่าจะมีการประลองในช่วงกลางฤดูร้อนนี้ ในโอกาสที่ท่านหญิงจะสละตำแหน่งอัศวินผู้ปกป้ององค์หญิงฟลอริน่าผู้ดำรงตำแหน่ง 'คลาริอุส' ให้กับอัศวินรุ่นหลังที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดเป็นการชั่วคราว ดูเหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้อัศวินหน้าใหม่ได้แสดงฝีมือเสียมากกว่า เพราะทุกคนรู้ดีว่าท่านหญิงแบล็คเพิร์ลคงจะว่างเว้นจากตำแหน่งนี้ไปเพียงไม่นานนัก

    ในตอนนี้การประลองในงานเทศกาลฤดูร้อนเป็นที่โจษจันทั่วนครอัญมณี โดยเฉพาะข่าวลือถึงสาเหตุที่แบล็คเพิร์ลประกาศสละตำแหน่งเช่นนี้กลายเป็นหัวข้อสนทนาอันดับหนึ่ง

    คำถามเรื่องการประลองชิงตำแหน่งอัศวินขององค์หญิงฟลอริน่าทำให้เอลาซัลปรายตามองอเล็กซ์อย่างสงสัย

    "นายนี่ใฝ่สูงไม่ใช่เล่น" ชายหนุ่มเปรยอย่างแปลกใจ "ก็...น่าจะได้อยู่หรอก แต่ต้องฝึกซ้อมให้มากกว่านี้"

    อเล็กซ์เงียบไปพักใหญ่ขณะที่เหวี่ยงดาบไปมาสะเปะสะปะอย่างเลื่อนลอย

    "ผมได้ยินว่าองค์หญิงกำลังจะตาย..." จู่ๆ เด็กหนุ่มก็พูดขึ้น

    "ใช่" เอลาซัลตอบสั้นๆ สายตายังคงจับจ้องมือที่ถือดาบของอเล็กซ์ "แล้วถ้าขืนนายยังแกว่งดาบแบบนี้ก็คงจะไม่ผ่านรอบแรกซะด้วยซ้ำ"

    อเล็กซ์หัวเราะน้อยๆ แต่แล้วเขาก็หยุดมือ หันมาส่งสายตาถามเอลาซัลแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมผิดวิสัย

    "แต่ถ้าองค์หญิงใช้อำนาจรักษาจนหมด ผลึกชีวิตของเธอก็จะแตกสลายไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงไม่ให้คนอื่นทำหน้าที่แทนล่ะ"

    "เพราะว่า..." นี่เป็นเรื่องที่ปวดร้าวอยู่ในใจลึกๆ สำหรับเอลาซัล

    เพราะมันเป็นความจริงที่เขารู้อยู่แก่ใจ...แต่ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้...ไม่สนใจ

    ...พยายามหลีกหนี...

    "เพราะว่าองค์หญิงเป็นผู้เดียวในวัยเหมาะสมที่มีอำนาจรักษาแรงกล้าหลงเหลืออยู่ในเผ่าของเราน่ะสิ นายก็น่าจะรู้นี่"

    "เรื่องนั้นน่ะผมรู้" อเล็กซ์ตอบด้วยเสียงคับแค้นใจ "แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องบังคับให้องค์หญิงทำแบบนั้นไปจนตัวตายด้วย"

    "เพราะไม่มีทางเลือกอื่นไงเล่า ชาวจูมิคนอื่นๆที่สามารถหลั่งน้ำตาได้ในตอนนี้ยังมีอายุน้อยเกินไป แล้วพวกที่มีอายุมากพอก็ไม่มีพลังเพียงพออีกแล้ว เมื่อองค์หญิงฟลอริน่าผู้ดำรงตำแหน่งคลาริอุสสิ้นพระชนม์ เบื้องบนถึงจะคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดไปทำหน้าที่แทน แต่ในตอนนี้พวกเขายังไม่อยากให้จูมิที่อายุน้อยต้องมารับภาระแบบนี้"

    "ถ้าองค์หญิงรู้แล้วยังยอมทำแบบนี้...ก็แสดงว่าเธอต้องมีใจประเสริฐแท้เลย" อเล็กซ์ว่า

    "คงอย่างนั้น" เอลาซัลตอบเรียบๆ เขาปรายตาไปเห็นสีหน้าของอเล็กซ์ฉายแววครุ่นคิด ซ่อนความโกรธเคืองไว้เบื้องหลัง และชายหนุ่มก็นึกประหลาดใจที่เด็กหนุ่มรู้สึกเช่นเดียวกับเขาเมื่อเพิ่งได้รู้ความจริงที่แสนเจ็บปวด ตอนที่เด็กหนุ่มออกไปจากนครอัญมณีในทีแรกคงจะยังเล็กมากทีเดียว จึงยังไม่รู้เรื่องเช่นนี้

    "แล้วนายจะไปข้างนอกกับฉันมั้ย แค่ช่วงฤดูใบไม้ผลินี้เท่านั้นแหละ" เอลาซัลย้อนกลับมาถามเรื่องเดิมอีกครั้ง "เราค่อยกลับมาในฤดูร้อนก็ได้ แล้วระหว่างทางนายก็จะมีเวลาซ้อมจนเกินพอเลย"

    "ก็ดีเหมือนกันครับ" อเล็กซ์ตอบเขาทั้งรอยยิ้ม

    เอลาซัลลอบสังเกตท่าทางของเด็กหนุ่มอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะหวนนึกถึงวันหนึ่งที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน...

    วันนั้นเขาถือวิสาสะเข้าไปในที่พักของอเล็กซ์ตอนบ่ายแก่ๆ ชาวเผ่าจูมิไม่เคยลงกลอนบ้านของตนเพราะไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น และชายหนุ่มก็คาดหมายว่าเอล็กซ์อยู่บ้าน แต่ปรากฏว่าเด็กหนุ่มไปไหนเขาไม่อาจทราบได้

    บนกองกระดาษที่เกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของอเล็กซ์ เขาสังเกตเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีชื่อ 'ซานดร้า' ตัวโตเขียนด้วยหมึกสีดำบนนั้น

    ชื่อนี้ดึงความสนใจของเขาไปในทันที เพราะมันทำให้เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาเมื่อสามปีมาแล้ว

    ชายหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้แล้วดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมา เขาไม่รู้สึกเลยว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความผิด เพราะนิสัยลับๆ ล่อๆ ของอเล็กซ์ทำให้เขานึกระแวงขึ้นมา และชื่อที่เหมือนกันนั้นก็ไม่น่าจะเป็นความบังเอิญเสียด้วย

    จดหมายฉบับนั้นเขียนด้วยภาษาของโลกภายนอก หากหลายปีที่ออกผจญภัยนั้นสอนหลายสิ่งให้กับเอลาซัลรวมทั้งภาษาด้วย เขาจึงใช้เวลาทำความเข้าใจกับตัวอักษรสั้นๆ ที่เขียนไว้เพียงไม่นานนัก


    ซานดร้าที่รัก

                 วางใจได้ อัศวินจูมิเจ้าของตาสีฟ้าแสนสวยของเธอกลับนครอัญมณีแล้วล่ะ ฉันได้พบกับเขาด้วย แน่ใจว่าน่าจะใช่คนเดียวกันนะ


                  เอ. อาร์.
                 
    ผู้รักเธอสุดหัวใจ

                 
    ปล.   หวังว่าเธอคงไม่ได้หลงเสน่ห์ตาสีฟ้าของเขาหรอกนะ ธอก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเราสองคนสมกันดีออก แต่งงานกับฉันเถอะ 


    เอลาซัลค่อยๆ วางจดหมายลงที่เดิมอย่างเงียบๆ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นประหลาดใจอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่มีพิรุธให้อเล็กซ์รู้เลยว่าเขาได้อ่านจดหมายฉบับนั้น ถึงแม้ในบางครั้งที่เด็กหนุ่มมิได้สนใจ เขาจะดูครุ่นคิดและเคลือบแคลงยิ่งขึ้น

    เขารู้ว่าเรื่องนี้มีปริศนาลึกลับที่เขาต้องคลี่คลายให้ได้ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และเพราะเหตุใดกัน

    ในขณะที่ย่างเท้าไปตามทางเดินที่ฝันพลอยส่องประกายระยับในคืนนั้น เอลาซัลก็อดตั้งคำถามผู้เป็นทั้งเพื่อนและลูกศิษย์ในใจตนเองไม่ได้

    ตกลงนายต้องการอะไรจากที่นี่กันแน่...อเล็กซ์?

    ทั้งๆ ที่นายเคยหนีออกไปจากที่นี่แบบฉัน...แต่ก็ยังกลับมาอีก

    กลับมาสู่นครอัญมณีที่คุมขังประชากรซึ่งใกล้ตายเพราะขาดอำนาจเยียวยา...ที่ทั้งมืดมิดและสว่างไสวในคราเดียวกัน

    นายคิดยังไงกับที่นี่...เมื่อกลับมาหลังจากได้เห็นโลกกว้างที่เต็มไปด้วยภยันตราย แต่ยังมีชีวิตชีวาแบบนั้น...?

    นายจะมองนครอัญมณีด้วยสายตาเดียวกับฉันหรือเปล่า...?

    นายจะคิดว่ามันเป็นเพียงเมืองแห่งความพินาศที่ส่องแสงแพรวพราวหลอกตาหรือเปล่าหนอ...?


    โครงสร้างทางสังคมของเผ่าจูมิ
    วรรณะ (Strata)
    วรรณะนี้มีติดตัวมาแต่กำเนิดและเชื้อสายตามแต่ประเภทของผลึกชีวิต แต่การเลื่อนวรรณะก็สามารถทำได้ในกรณีที่มีความดีความชอบ โดยมากชาวจูมิที่มีวรรณะสูงมักมีผลึกชีวิตที่มีค่าและแข็งแกร่งกว่าวรรณะที่ต่ำกว่า
    ชาวจูมิถูกแบ่งเป็นสี่วรรณะ เรียงจากสูงสุดลงไปสู่ต่ำสุดดังนี้

    -ชั้นคลาริอุส (Clarius)
    คลาริอุส หมายถึง 'มีค่าสูงสุด' ผู้ดำรงตำแหน่งคลาริอุสจะมีเพียงผู้พิทักษ์ที่สามารถหลั่งน้ำตาเยียวยาผลึกชีวิตของผู้อื่นได้เท่านั้น จึงถือว่าคลาริอุสเป็นประมุขในนามของนครอัญมณี ซึ่งชาวจูมิทุกคนมีหน้าที่ที่จะปกป้องคลาริอุสให้เต็มความสามารถของตน และในทางกลับกันคลาริอุสก็มีความรับผิดชอบที่จะต้องเสียสละทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตนเพื่อเผ่าจูมิทั้งมวล

    -ชั้นลูซิเดีย (Lucidia)
    ชนชั้นที่มีอำนาจรองจากคลาริอุส มีหน้าที่ในการสั่งการวุฒิสภาและบริหารงานต่างๆ ในนครอัญมณี (เทียบได้กับเชื้อพระวงศ์และขุนนางระดับสูง)

    -ชั้นฮาลฟ์ลูซิเดีย (Half Lucidia)
    รับบัญชาจากชั้นลูซิเดียอีกทีหนึ่ง (เทียบได้กับขุนนางระดับกลางหรือต่ำ)

    -ชั้นคล็อด (Clod)
    เปรียบเสมือนไพร่หรือสามัญชนที่เป็นชนชั้นถูกปกครอง

    อัศวินกับผู้พิทักษ์ (Knights and Guardians)
    ตั้งแต่สมัยสงครามพรายเป็นต้นมา ชาวจูมิมีการแบ่งบทบาทตามเพศชาย-หญิง เป็นอัศวินและผู้พิทักษ์ เพื่อแบ่งปันความรับผิดชอบในการปกป้องซึ่งกันและกัน ชายที่เป็นผู้พิทักษ์มีหน้าที่ต่อสู้เพื่อปกป้องหญิงที่เป็นผู้พิทักษ์ของตนยิ่งชีวิต ส่วนผู้พิทักษ์จะหลั่งน้ำตาเพื่อเยียวยาบาดแผลของอัศวิน และระบบนี้ก็ยังคงอยู่ถึงแม้ว่าจะเหลือผู้พิทักษ์ที่สามารถหลั่งน้ำตาได้เพียงน้อยเท่านั้น อัศวินที่เป็นหญิงคนเดียวในนครอัญมณีคือท่านหญิงแบล็คเพิร์ลซึ่งมีอายุยืนยาวที่สุดในเผ่าจูมิทั้งมวล

    ผลึกชีวิต (Jumi Cores)
    ผลึกชีวิตมีลักษณะคล้ายพลอยที่จะฝังอยู่กลางทรวงอกของชาวจูมิกึ่งหนึ่งในบริเวณที่เป็นหัวใจของมนุษย์ ชาวจูมิจะดำรงชีวิตอยู่ได้ตราบใดที่ผลึกชีวิตยังส่องแสงอยู่ และจะตายหากผลึกชีวิตดับแสงหรือถูกถอนออกจากร่าง หรือถ้าผลึกมีรอยร้าวก็จะทำให้ชาวจูมิคนนั้นอ่อนแอลง สิ่งเดียวที่สามารถรักษาผลึกที่มีรอยร้าวหรือแสงริบหรี่มีเพียงน้ำตาที่มีอำนาจเยียวยาของเผ่าจูมิด้วยกันเท่านั้น
    ตั้งแต่สมัยสงครามพรายเป็นต้นมา เผ่ามนุษย์เชื่อว่าผลึกชีวิตของจูมิมีอำนาจวิเศษแฝงอยู่ จึงออกตามล่าชาวเผ่าจูมิเพื่อแย่งชิงผลึกเหล่านั้น แม้ในปัจจุบันผลึกชีวิตของเผ่าจูมิก็กลายเป็นของสะสมของเศรษฐีผู้ชอบเพชรพลอยที่ยอมทุ่มเงินซื้อในราคาแสนแพง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×