ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #24 : ภาคที่ 4 - ซานดร้า / บทที่ 2 - รัตติกาล (ซานดร้า)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 111
      0
      20 พ.ค. 49

    * เนื้อเรื่องตั้งแต่นี้เป็นต้นไปในบางบทจะมีการแบ่งเป็น 2 แบบ คือแบบที่เพิร์ลเป็นนางเอก และแบบที่ซานดร้าเป็นนางเอกครับ โดยผมจะโน้ตชื่อของนางเอกกำกับไว้ที่ท้ายตอน และทำเครื่องหมาย * กำกับฉากที่แตกต่างกันของทั้งสองแบบ เพราะเนื้อเรื่องบางตอนจะยังเหมือนเดิมสำหรับทั้งสองแบบครับ

    PART IV: SANDRA
    Chapter 2: Nocturne (Sandra Version)

    ภาคที่ 4: ซานดร้า
    บทที่ 2: รัตติกาล (ซานดร้า)


    "Nocturne" เป็นชื่อเพลงในเกมที่ฉันจำไม่ค่อยได้น่ะค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นเพลงบรรเลงด้วยขลุ่ยนะ แต่ในที่นี้ไม่มีความหมายหรือแรงบันดาลใจอะไรสำหรับฉันเลยค่ะ


    วันอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิกำลังจะสิ้นสุดลงอย่างเชื่องช้า ลำแสงเจิดจ้าของเสี้ยวตะวันสีทองที่ยังคงเหลืออยู่ริมขอบฟ้าครู่หนึ่งดูราวกับสายใยแห่งขุมทรัพย์อันมิอาจจับต้องได้ซึ่งห้วงนภาส่งให้กระจายไปทั่วผืนธรณี ก่อนที่จะถูกอ้อมกอดของยามราตรีโอบอุ้มไว้แล้วอันตรธานไป

    อากาศนั้นนุ่มนวลอ่อนโยน ทุ่งหญ้ารอบเมืองมหาวิทยาลัยอันยิ่งใหญ่สั่นไหวราวกับกำลังกระซิบกระซาบถ้อยคำแห่งความลับ แสงสีแดงอ้อยอิ่งส่องลอดมาจากใต้ประดูห้องพักอาจารย์ที่ปีกอาคารด้านตะวันตก ซึ่งอเล็กซานดร้ากำลังนั่งตรวจตราม้วนคัมภีร์กับเอกสารที่วางกระจัดกระจายทั่วโต๊ะ

    เธอไม่ยอมเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำเมื่อมีเสียงเคาะประตูเบาๆ แต่เอ่ยสั้นๆ เพียงว่า

    "เข้ามาได้"

    ประตูถูกผลักเปิดออกก่อนที่ชายคนหนึ่งจะเข้ามา เขานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับอเล็กซานดร้า ซึ่งยังคงทำงานต่อไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นตามวิสัย หญิงสาวไม่แสดงท่าทีว่าจะสังเกตเห็นผู้มาเยือนเลย หากเธอดูจะรู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะเธอเปรยขึ้นว่า

    "กลับมาเร็วจัง แสดงว่างานเรียบร้อยดีสินะ"

    "ใช่" ชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงสงบรื่นหู "แต่ถ้าเธอไปด้วยล่ะก็ต้องดีกว่านี้แน่ซานดร้า"

    หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แต่ยังไม่ละสายตาจากงานของตน

    "อีกสองสามวันฉันสัญญาว่าจะไปแน่ รอให้ถอดความเรื่องยุ่งๆ พวกนี้ให้ได้ก่อนเถอะ" เธอใช้นิ้วตบม้วนคัมภีร์เบื้องหน้าเบาๆ

    ชายอีกคนกอดอกพลางมองหญิงสาวเหมือนจะสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด

    "ท่าจะงานหนักน่าดูนะ"

    "ก็ใช่น่ะสิ" เธอตอบ

    ชายคนนั้นยังคงจ้องมองอีกฝ่ายต่อไป ก่อนที่รอยยิ้มแห้งๆ จะปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ใต้แสงตะเกียงสีส้ม เขาดูจะเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสะดุดตาเลย ร่างของเขาผอมบาง ไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเตี้ย แววในดวงตาสีน้ำตาลซึ่งถูกแสงตะเกียงอ่อนๆ ขับให้เป็นดูมืดฉลาดเฉลียวมีอารมณ์ขัน แสงไฟระริกส่องประกายสีทองแดงจางๆ บนเรือนผมสีสนิม แต่กระทั่งแสงเงาเลือนลางก็ยังปกปิดริ้วรอยบนใบหน้าของชายผู้นั้นที่ทำให้เขาดูเหมือนอายุห้าสิบต้นๆ ไม่ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาอายุสี่สิบสอง

    "ม้วนกระดาษพวกนี้ไม่คุ้นตาเลยนะ" ชายผมแดงเปรยขึ้นหลังจากพินิจหญิงสาวกับงาน "ฉันเดาว่าคงเป็นของใหม่ เพราะดูเธอจะสนใจมันเหลือเกิน"

    "ทายถูกนี่" เธอตอบ "ลูกน้องของคริสตี้เพิ่งขุดค้นม้วนคำภีร์พวกนี้ได้แล้วส่งให้ฟลอริน่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง เค้าบอกว่าเป็นการค้นพบครั้งใหญ่เชียวแหละ เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของวิหารเพิ่มด้วย"

    "งั้นเหรอ" ชายคนนั้นรับ "ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่าเธอจะพร้อมรวบรวมข้อมูลออกไปตามหาวิหารนี่จริงๆ เมื่อไหร่ ถ้าพร้อมตอนนี้ ฉันก็พร้อมจะช่วยอยู่แล้ว"

    หญิงสาวดูจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วเธอก็ตอบอย่างรวดเร็ว

    "คิดว่าพร้อมแล้วตอนนี้ แต่ฉันยังไม่แน่ใจว่าต้องใช้ผลึกชีวิตอันไหนเป็นกุญแจเปิดประตูวิหาร ถึงจะพบที่ตั้งของวิหารในตอนนี้ก็ยังไม่มีประโยชน์ ถึงฉันจะดีใจมากเลยถ้าพบจริงๆ"

    อีกฝ่ายกลับมีทีท่าครุ่นคิดกับคำตอบนี้ ก่อนจะมองซานดร้าที่เอนกายลงเหนืองานที่ทำมาไม่มีหยุดด้วยสายตาเหมือนจะสืบค้น

    "เธอไม่แน่ใจว่าผลึกจูมิอันไหนใช้เปิดประตูวิหารได้ แต่เธอก็ยอมเสี่ยงดูนี่นะ" เขาลงความเห็นอย่างเรียบๆ พร้อมกับเกาคางของตน

    คำเปรยนี้เรียกความสนใจของหญิงสาวได้ในที่สุด และเธอก็รีบเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งแรกเหมือนกับคุ้นเคย

    "ใช่" เธอตอบ "แต่ฉันไม่คิดว่านี่เป็นการเสี่ยงเลยสักนิด ถึงคุณจะคิดอีกอย่างก็เถอะ" หญิงสาวเสริมด้วยสายตาท้าทาย

    ทว่าชายคนนั้นไม่คิดจะต่อปากต่อคำด้วย

    "เรื่องเดียวที่ฉันคิดในตอนนี้" เขาตอบนุ่มๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ที่ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว "คือคืนนี้เธอช่างสวยเหลือเกินซานดร้า"

    หญิงสาวก้มหน้าลงมองม้วนคัมภีร์อีกครั้งแต่ยังหัวเราะเฝื่อนๆ

    "สวย...ฉันกับชุดสตึๆ นี่น่ะเหรอ"

    "ไม่ว่าจะใส่อะไรเธอก็ดูสวยทั้งนั้นแหละจ้ะ...คนงามของฉัน"

    "โกหก" ซานดร้าโต้กลับอย่างหยอกเย้า "อย่าคิดว่าจะชักใบให้เรือเสียกับฉันได้ง่ายๆ อย่างนี้นะ"

    "แย่จัง นี่ฉันว่าจะถามถึงเจ้าหญิงของเธออยู่พอดีเชียว"

    หญิงสาวปรายตาขึ้นแวบหนึ่งด้วยท่าทางขบขัน แต่เธอก็ตอบได้ด้วยน้ำเสียงขรึมพอดู

    "ฟลอริน่าสบายดี ขอบคุณที่ห่วง"

    "งั้นยาของเธอก็ได้ผลสินะ"

    "เห็นจะใช่"

    "แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะบอกเค้า..." ชายคนนั้นถาม "...ว่ายาเทวดาตัวใหม่ของเธอน่ะสกัดมาจากผลึกชีวิตที่เราได้มาจากสายของพวกจูมิล่ะ"

    "ไม่มีวันซะหรอก" ซานดร้าตอบเสียงเย็น "ถ้ารู้เค้าคงไม่ยอมกินยานี้แน่ ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ เค้าก็แค่ชมว่ายาของฉันใช้ได้ดีจนไม่น่าเชื่อเท่านั้นเอง"

    อีกฝ่ายยังคงจับตามองเธอพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

    "เธอหลอกลวงได้กระทั่งคนที่เธอรักที่สุดเชียวหรือซานดร้า"

    "ยิ่งรักยิ่งต้องหลอก" หญิงสาวตอบเสียงเรียบ "ฟลอริน่าไม่รู้อะไรนี่แหละดีแล้ว เค้าจะได้ไม่ต้องปวดใจ ยานี่รักษาอาการของเค้าได้ดีมากเลยนะ"

    "แต่กับพ่ออัศวินคนนั้นคงไม่หรอกมั้ง" ชายวัยกลางคนพูดด้วยเสียงแห้งๆ "เมื่อไหร่กันเธอถึงจะยอมบอกเค้าว่าดาบที่อยู่กับเค้าในตอนนี้อันตรายแค่ไหน"

    "ตอนนี้ฉันไม่คิดจะพบเค้าเลยด้วยซ้ำ" ซานดร้าตอบอย่างรวดเร็วเหมือนกับเตรียมตัวรับคำถามนี้แล้ว "ฉันคงจะปิดเรื่องนี้เงียบให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอลาซัลไม่รู้ว่าดาบนั่นเป็นอะไรก็จริง แต่เค้าก็ฉลาดพอที่จะรู้ได้ว่ามันไม่ใช่ดาบธรรมดา แล้วเค้าก็ค่อนข้างระวังกับเรื่องพวกนี้ด้วย ฉันเชื่อว่าเค้าคงไม่ทำอะไรงี่เง่ากับดาบเล่มนั่นหรอก"

    "ตั้งความหวังสูงเกินไปมั้ง" ชายคนนั้นตอบ

    ซานดร้ายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก เหมือนกับจะบอกว่าเมื่อก่อนเธอก็เคยคิดอย่างนั้นเช่นกัน

    "คงงั้นมั้ง แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พอถึงเวลาฉันจะไปเอามันคืนเอง"

    "ขโมยมาเลยสิ" ชายวัยกลางคนหยอกอย่างอารมณ์ดี "คนของฉันทำงานนี้ให้เธอได้ง่ายนิดเดียวนะซานดร้า"

    หากหญิงสาวส่ายหน้า

    "ไม่ใช่เรื่องน่า ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรกับฉันเลย...จนกว่าจะหาวิธีใช้พลังมันอย่างถูกต้องได้ แค่ปล่อยดาบนั่นไว้อย่างนี้ก็อันตรายพอดูแล้ว"

    "แต่ดูมันจะไม่เข้ากับการที่เธอไม่ยอมเอามันคืนจากพ่ออัศวินนั่นเลยนะซานดร้า" ชายคนนั้นตอบ "หรือเธอจะกลัวว่ามันจะเป็นอันตรายกับเธอ มากกว่าอัศวินหนุ่มนั่น" ถ้อยคำรุนแรงราวกับประณามกลับถูกเปรยด้วยเสียงเรียบเย็น

    "คุณก็รู้จักฉันดีนี่" ซานดร้าตอบได้อย่างไม่สะทกสะท้านพร้อมกับเขียนต่อไป "ถูกแล้ว...ฉันเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด แล้วฉันก็ไม่เชื่อว่าดาบนั่นจะมีอันตรายกับเค้า...นอกเสียจากเค้าจะเอามันไปใช้ผิดทางเอง จนกว่าจะถึงตอนนั้นฉันจะปล่อยให้เค้าเก็บมันไว้ก่อน ที่ฉันไม่ติดต่อเค้า...ก็เพราะเค้าจะได้ไม่มีสาเหตุมาตามหาฉัน หรือยุ่งกับแผนการของฉันก่อนที่จะเสร็จสิ้น ยังไงเค้าก็คงได้แต่เดาเรื่องซานดร้าตามข่าวลือไปเองนั่นแหละ"

    "ถ้าฉันเป็นเธอนะ" ชายวัยกลางคนพูด "ฉันจะเป็นห่วงเรื่องอัศวินของเจ้าหญิงนั่นมากกว่า...ตาผู้ชายที่ชื่อซาริสทินนั่น ฉันเคยเห็นมันแค่ครั้งเดียว แต่ฉันก็รู้สึกว่าคนประเภทนี้เป็นพวกที่ฉันไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยที่สุดเหมือนกัน"

    "โธ่...ไม่ต้องห่วงเรื่องเค้าหรอก" ซานดร้าตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก "งานของอัศวินมังกรยุ่งจะตายไป แต่อย่างน้อยฉันก็หวังว่า..." หญิงสาวเสริมเหมือนกับเพิ่งนึกอะไรได้ "...เค้าจะไม่รู้ตัวจริงของฉันจนกว่าจะสายเกินไป แต่เค้าไม่รู้จักฉันมากเท่าเอลาซัล ดังนั้นถ้าฟลอริน่าไม่บอกเค้าก็คงไม่รู้ แล้วฉันก็ห้ามไม่ให้ฟลอริน่าบอกเค้าแล้ว"

    "หวังว่าเจ้าหญิงของเธอคงไม่บอกนะ" อีกฝ่ายตอบ "แล้วเธอจะทำยังไงล่ะถ้ามันได้ข่าวว่าเธอกำลังตามหาผลึกชีวิตไปเปิดประตูวิหาร"

    "จะรู้ได้ไงกันล่ะ" ซานดร้าย้อน "ขนาดฟลอริน่ายังไม่รู้ แล้วเค้าจะรู้ได้ยังไง ถ้าเค้าได้ข่าวลือเรื่องซานดร้าแล้วคิดว่าเป็นฉัน ฉันก็จะบอกเค้าเองว่าข่าวลือ...ก็เป็นแค่ข่าวลือนั่นล่ะ"

    "ก็อย่างที่ฉันพูดนั่นแหละ" ชายวัยกลางคนพูดหลังจากครุ่นคิดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง "เธอไม่ยอมบอกเจ้าหญิงว่าเธอกำลังตามหาผลึกจูมิ เพราะเธอรู้ว่าเค้าจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่ เธอก็เลยได้แต่สรุปข้อมูลจากร่องรอยที่สืบค้นมาเองทั้งหมด ฉันถึงได้ว่าเธอตั้งความหวังสูงเกินไปไงเล่าซานดร้า"

    "ฉันรู้ค่ะที่รัก" หญิงสาวตอบอย่างเยือกเย็น "แต่เราพูดเรื่องนี้จบกันไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ หรือคุณอยากจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก" เธอส่งสายตาท้าทายไปทางอีกฝ่ายแวบหนึ่ง

    หากชายวัยกลางคนยังคงเอนกายลงเหนือโต๊ะ ใช้มือเท้าคางแล้วพินิจพิเคราะห์หญิงสาวอย่างใกล้ชิด

    * "ฉันไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้นเลย...จริงๆ" เขาตอบอย่างอ่อนโยน "ที่ฉันแปลกใจที่สุดในตอนนี้คือเธอกลับไม่อยากเจอหน้าอัศวินลาปิสลาซูลี่นั่นอีกต่างหาก ฉันคิดว่าเธอน่าจะอยากพบเค้ามากสุดๆ เลยด้วยซ้ำ" *

    "ฉันไม่อยากพบเค้าเลย...จริงๆ" เธอตอบเสียงเย็น "ซาริสทินอาจจะอันตรายกว่าเอลาซัล แต่เอลาซัลก็จะสร้างปัญหาให้ใครก็ตามได้แบบไม่มีวันจบสิ้นถ้าเค้าตั้งใจจะทำอย่างนั้น ฉันไม่อยากให้เค้ามาเทศน์สั่งสอนว่าอะไรดีไม่ดี มันทำให้ฉันยิ่งย้อนคิดถึงการกระทำของตัวเอง แล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด ซึ่งฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย..." หญิงสาวถอนหายใจน้อยๆ พร้อมกับหยุดมือที่เขียนอยู่ครู่หนึ่ง "เวลาพูดอย่างนั้น...เค้าจะทำให้ฉันนึกถึงพวกนักบวชที่เลี้ยงฉันมาตอนเด็กๆ บอกตรงๆ แล้วมันน่ารำคาญมาก...แต่ในทางกลับกันนั่นแหละคือเสน่ห์ของเค้า"

    "เท่าที่ฟังเธอเล่ามา รู้สึกว่าเค้าจะเป็นคนที่สุดจะทนจริงๆ สำหรับฉัน" ชายวัยกลางคนเปรย "ดูเค้าไม่เหมาะกับเธอเลยนะที่รัก"

    หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง ในดวงตาของเธอเป็นประกายคล้ายจะหัวเราะ

    "พูดเหมือนกับลุงสอนหลานสาวเลยนะ แน่ใจว่าคุณไม่หึงจริงๆ เหรอฟ็อกซี่ที่รัก"

    "หึงสุดๆ ไปเลยล่ะ" ชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงรื่นเริง "ก็เจ้านั่นทั้งหนุ่ม ทั้งหล่อ เป็นคนซื่อตรง ไอ้ฉันน่ะมันแก่แล้ว ชอบโกหกหลอกลวง แถมยังแห้งผากเป็นทะเลทรายแบบนี้"

    "แหม...ไม่เอาน่าฟ็อกซี่" หญิงสาวพูดเรียบๆ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ

    "ถ้างั้นก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นสิจ๊ะคนสวย" เขาบอก "เธอก็รู้นี่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญกับฉันทั้งนั้น...ถ้าเธอคิดจะกลับมาเป็นของฉันอีก"

    ซานดร้าหยุดมือในที่สุดกับคำพูดตัดพ้อนั้น เธอวางปากกาลงบนโต๊ะก่อนจะเอนกายมาข้างหน้า สองมือประสานรองคางไว้ จ้องมองชายตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่บอกความเขินอายเลยสักนิด

    "แล้วถ้าฉันสัญญาว่าจะกลับมาหาคุณล่ะคะ" หญิงสาวถามเสียงหวาน

    "ก็ดีน่ะสิ" อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง "ฉันคอยบอกเธอมาตลอดไม่ใช่เหรอหวานใจ...ว่าเราสองคนสมกันดีออก"

    "อาจจะจริงนะ แต่ฉันเคยลองคบกับคุณดูแล้ว...และเราก็เข้ากันไม่ได้ด้วย ฉันไม่ยอมปันส่วนคุณกับพวกนังเล็กๆ คนอื่นเป็นโขยงหรอก"

    "ถ้าเราแต่งงานกันล่ะก็...ฉันรับรองว่าจะไม่มีใครอื่นแน่"

    "โกหก" ซานดร้าย้ำ หากท้ายเสียงยังบอกความหยอกย้ำ "ฉันรู้จักคนแบบคุณดีน่าฟ็อกซี่ คุณเหมือนกับพ่อฉันมากจนกระทั่งฉันยังตกใจนิดๆ นะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะรักใครที่เหมือนพ่อได้ แต่สามปีก็ผ่านไปแล้วหลังจากที่เราเลิกกัน ขอบอกอะไรซักนิดนะคะฟ็อกซี่ ว่าอัศวินหนุ่มคนนั้นมีอะไรที่คุณไม่มี...ความจริงใจอย่างสุดๆ กับการยอมรับความจริงได้เสมอไง"

    "หรือถ้าจะพูดอีกแง่นึงคือมันเป็นคนที่ซื่อบื้อตามใครไม่ทันสุดๆ" ฟ็อกซ์ตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์  "ยอมรับเถอะที่รัก...ว่าเธอชอบมันมากเพราะเธออยากเป็นช้างเท้าหน้ามากกว่า"

    "ผิดไปแล้ว" ซานดร้าโต้กลับ "ที่ว่าฉันคุมเอลาซัลได้น่ะก็หมิ่นเหม่เต็มที ขอบอกคุณซักนิด ว่าเค้ามีนิสัยชอบต่อต้านฉัน พยายามจะบังคับฉันให้เห็นอะไรต่างๆ ในมุมมองของเค้าตลอด แต่ก็น่าแปลกใจจริงๆ ล่ะ" เธอเสริม "ที่ดูเหมือนว่าฉันทำให้คนเก็บตัวมากๆ แถมไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นๆ อย่างเค้ารู้สึกอยากควบคุมการกระทำกับความประพฤติฉันได้"

    "แต่ฉันไม่แปลกใจเลยสักนิด" ฟ็อกซ์พูดเรียบๆ "ฟังจากที่เธอเล่าถึงผู้หญิงที่ชื่อแบล็คเพิร์ล...ที่ว่าอัศวินหนุ่มของเธอไปหลงชอบเข้า ดูเหมือนมันจะถูกดวงกับผู้หญิงประเภทนี้นะ"

    หญิงสาวมองหน้าเขา

    "หมายความว่าเค้าเป็นพวกชอบนางยักษ์จอมเผด็จการงั้นเหรอคะที่รัก" เธอถามด้วยน้ำเสียงบอกความขบขัน

    "กำลังจะบอกอยู่เชียวว่าฉันเองก็เห็นว่าผู้หญิงแบบนั้นมีเสน่ห์ที่สุดเหมือนกัน" ฟ็อกซ์ตอบก่อนจะขยิบตาให้หญิงสาว

    "คนใจร้าย!" เธอเปรยด้วยดวงตาเป็นประกาย

    ชายวัยกลางคนขยิบตาให้เธออีกครั้ง

    "เแต่เรื่องทั้งหมดก็ไม่สำคัญหรอก คนสวยของฉัน พอเธอลิ้มรสเจ้าหนุ่มคนซื่อหน้าหวานนั่นจนพอแล้ว...เธอก็จะกลับมาหาฉันเอง"

    หญิงสาวก้มลงเขียนต่อไป

    "ขอคิดดูอีกทีแล้วกันนะคะฟ็อกซี่"

    "นี่เธอไม่รักฉันเลยเหรอ" อีกฝ่ายถามด้วยเสียงเศร้าๆ

    "รักสิคะ ฟ็อกซี่ ฉันแค่ไม่อยากจะแต่งงานกับคุณเท่านั้นเอง แล้วฉันก็ว่าคุณใจดำกับเอลาซัลที่น่าสงสารของฉันมากไปแล้ว เค้าไม่ได้ฉลาดเท่าคุณก็จริง แต่พอได้รู้จักกันแล้ว คุณก็จะรู้ว่าเค้ามีสามัญสำนึกดีพอตัว แถมยังมีอารมณ์ขันด้วย"

    "งั้นเหรอ" ฟ็อกซ์รับเสียงขรึมๆ "มันเลยเร้าใจเธอมากสินะ"

    ซานดร้าหยุดเขียนกึก ชูสองมือขึ้นเหมือนกับจะบอกความรำคาญ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน

    "ขอบคุณนะฟ็อกซี่" เธอว่า "ฉันหมดอารมณ์จะพูดกับคุณไปเลย"

    "พูดอย่างนี้แสดงว่าคราวนี้ฉันชนะสินะ" เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์

    หญิงสาวเดินอ้อมโต๊ะมาลูบผมอีกฝ่ายอย่างรักใคร่

    "ฟ็อกซี่ที่รัก! เพราะอย่างนี้แหละฉันถึงได้เลิกกับคุณ...คุณก็รู้ ฉันไม่สนเรื่องที่ต้องแบ่งคุณกับผู้หญิงคนอื่นหรอกนะ แต่ฉันทนคนที่ฉลาดกว่าตัวเองไม่ได้ต่างหาก"

    "จะว่าไปแล้ว..." ฟ็อกซ์พูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมในทันที "ฉันมีข่าวที่เธอน่าจะสนใจ"

    เขาเกาคางอย่างไม่รู้ตัวเมื่อกำลังใช้ความคิด

    "ดูเหมือนสเน็คจะออกจากคุกแล้ว"

    ซานดร้าชะงักไป แต่หลังจากนิ่งเงียบครุ่นคิดเพียงครู่ เธอก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก

    "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ"

    "ยังรั้นเหมือนเดิมเลยนะคนสวย หมายความพวกเราต้องระวังตัวให้มากกว่านี้น่ะสิ เจ้านั่นมันอันตรายเสมอนะ"

    "เห็นด้วยล่ะข้อนั้น" ซานดร้าตอบสั้นๆ "ฉันเสียใจจริงๆ ที่เราไม่ได้จัดการมันอยู่หมัดในคราวนั้น"

    "เธอคงเข้าใจความหมายของฉัน" ฟ็อกซ์ตอบ "เราร่วมมือกันวางกับดักมันไว้แต่พลาด อย่าลืมเชียวว่าตอนนี้มันคงคิดจะล้างแค้นเราอยู่ ฉันทำเหมือนกับว่ากับดักนั่นเป็นเรื่องตลกก็จริง แต่สเน็คไม่โง่ขนาดนั้น มันเกลียดฉันยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีก...แถมตอนนี้ก็ยังเกลียดเธอเข้าด้วย"

    "ถ้างั้นก็ปล่อยให้มันเกลียดไปเถอะ มันทำอะไรฉันไม่ได้นี่ แล้วก็ไม่น่าจะทำอะไรคุณด้วย"

    "ฉันเห็นด้วย" ฟ็อกซ์ตอบ "แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังตัวไว้บ้างนะ"

    ซานดร้ายักไหล่ก่อนจะเหลือบมองออกไปด้านนอกผ่านช่องหน้าต่างมืด

    "ฉันเห็นด้วยว่าสเน็คเป็นตัวอันตราย" เธอตอบ "แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องให้คิดมากพอแล้ว ไม่อยากจะเอาเรื่องคนแบบมันมาใส่ให้รกสมองอีก"

    ฟ็อกซ์จับตามองหญิงสาว

    "คนของฉันจะจับตาดูมันไว้เอง" เขาพูด "แต่ซานดร้า ฉันหวังว่าเธอคงไม่เสียทีมันเองนะ สเน็คไม่ใช่คนทำอะไรตรงๆ มันชอบทำอะไรที่ดูบิดเบือนจากความจริงเพื่อตบตาอยู่เสมอ ซึ่งไม่ว่าจะยังไงมันก็อันตรายอยู่ดี"

    "ฉันจะจำคำเตือนของคุณเอาไว้แล้วกัน" คือคำตอบของซานดร้า ทว่าเธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา ฟ็อกซ์เห็นได้ว่าเธอไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย และเขาก็ไม่ต่อความอีก

    "ถ้างั้น..." เขาเอ่ยอย่างรื่นเริง "ขอฉันค้างกับเธอได้มั้ยคืนนี้"

    หญิงสาวหันมาทางเขาพร้อมกับยิ้มสดใส

    "ได้สิคะฟ็อกซี่! เรามาดื่มกาแฟแกล้มบิสกิตพูดเรื่องอดีตกันเถอะ"

    "ได้ยินอย่างนี้ทำให้ฉันรู้สึกแก่ไปถนัดเลยแฮะ" ฟ็อกซ์ถอนหายใจ

    "ก็พวกเราแก่แล้วจริงๆ นี่" ซานดร้าตอบอย่างร่าเริง "ฉันคนนึงล่ะที่แก่กว่าคุณ"

    "ถ้างั้นฉันก็คงจะแห้งเหี่ยวเฉาตายไป ในตอนที่เธอยังสาวยังสวยอย่างนี้สินะ" ชายวัยกลางคนเปรยด้วยน้ำเสียงที่มีหลายอารมณ์ผสมกัน "พอคิดถึงข้อนี้แล้วกลับทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเธอนี่ช่างท้าทายอย่างบอกไม่ถูก...ถึงจะนึกหดหู่ไปด้วยก็เถอะ"

    "เพราะอย่างนี้ไม่ใช่เหรอคะ คุณถึงอยากให้ฉันเป็นของคุณ" หญิงสาวถามอย่างอ่อนหวานหยดย้อย

    ชายวัยกลางคนสั่นศีรษะ

    "ผู้หญิงเนรคุณ! เพราะเธอฉันถึงได้ยอมเอาผลึกชีวิตของพวกจูมิมาให้เธอใช้เพื่อเจ้าหญิงของเธอ...เจ้าหญิงที่เธอรักมากกว่าฉันเสียอีก ทำฉันพลาดกำไรไปก้อนโต เธอควรจะจูบมือสาบานว่าจะเป็นผู้หญิงของฉันคนเดียว...จะรักฉันไปชั่วนิรันดร์ซะด้วยซ้ำ"

    "แต่จะยังไง" หญิงสาวตอบอย่างร่าเริง "ฉันไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอกฟ็อกซี่ มากับฉันแล้วเลิกบ่นซะทีเถอะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกคุณว่า 'ตาแก่ขี้น้อยใจ' นะ"

    หากฟ็อกซ์เพียงแต่สั่นศีรษะเท่านั้น

    "แย่หน่อยนะคนสวย" เขาพูดเศร้าๆ "เวลาอยู่กับคนกระชากวัยอย่างเธอฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นไปซะแล้ว"


     

    อเล็กซานดร้านั่งอยู่บนขอบหน้าต่างในห้องนอนเล็กๆ ของเธอ พร้อมกับเอนศีรษะพิงกรอบข้างๆ แล้วมองออกไปสู่รัตติกาลอันกรุ่นกลิ่นอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิ หากสายตาของเธอเหมือนจะมองไม่เห็นสิ่งใดเลย เพราะจิตใจกำลังวนเวียนอยู่กับความทรงจำเก่าๆ...

    ชายผมสีแดงนั่งอยู่ในห้องของตนเมื่อยามเช้าตรู่ เวลานี้คือตีห้า เมื่อท้องฟ้าถูกระบายด้วยแสงอรุณจางๆ หากราตรียังมิทันจากจร ชายผู้นั้นดูไม่มีท่าทางอิดโรยเลย แม้จะดูไม่ออกว่าเขาเพิ่งตื่น หรือนั่งมาทั้งคืนก็ตามแต่ เขาโน้มกายลงเหนือแผนที่หลายแผ่นที่มีเส้นหลากสีลากอยู่จางๆ

    เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้เขาพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ

    "ใคร"

    "หัวหน้าครับ" เสียงหนึ่งพูดจากหลังประตู "เราต้องพูดกันด่วนเลย"

    ชายผมสีแดงยังไม่เงยหน้าขึ้นจากการตรวจดูแผนที่

    "ถ้างั้นก็เข้ามาสิ" เขาตอบ

    ประตูเปิดขึ้นก่อนที่ชายคนหนึ่งจะเข้ามา เขาโค้งคำนับน้อยๆ ก่อนจะเริ่มเรื่อง

    "มีคนลอบเข้ามาในฐานของเรา เราจับตัวมันได้ ตอนนี้คนอื่นๆ กำลังคุมตัวมันอยู่ข้างนอก"

    "ถ้างั้นก็จับมันขังไว้ก่อน พรุ่งนี้ฉันจะไปดูอีกที" ชายผมแดงตอบด้วยน้ำเสียงไม่สนใจ

    "แต่มันบอกว่ารู้จักหัวหน้านะครับ" ผู้ส่งข่าวพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะขออภัย "มันยังเด็กอยู่เลย...อาจจะโกหกก็ได้ แต่ผมไม่ชอบหน้าตามันเลย"

    ชายผมแดงถามกลับไปห้วนๆ

    "งั้นรึ มันชื่ออะไรกันล่ะ"

    "มันบอกว่ามันชื่ออเล็กซ์ครับ"

    พอได้ยินดังนี้ ชายผมแดงจึงเงยหน้าขึ้น

    "อเล็กซ์...งั้นเหรอ" เขาย้ำอย่างครุ่นคิด

    "ใช่ครับ" คนส่งข่าวว่า "ผมไม่รู้ว่ามันหาฐานของพวกเราเจอได้ยังไง ต้องมีเกลือเป็นหนอนแน่เลยครับ"

    "เจ้าโง่เอ๊ย" ชายผมแดงพูดอย่างรื่นเริง "ฉันเองที่เป็นคนบอกที่ตั้งฐานของพวกเราให้กับเค้า ให้เด็กนั่นเข้ามาซิ"

    ชายอีกคนดูจะงงนิดๆ แต่ก็ทำถามคำสั่งโดยไม่มีคำถาม

    สักพักหนึ่งต่อมา ประตูก็เปิดออกอีกครั้งก่อนที่ชายหลายคนจะกระชากตัวเด็กหนุ่มร่างบางในผ้าคลุมเดินทางที่มอซอเปื้อนฝุ่นเข้ามา เขาแต่งกายด้วยชุดสีทึม มีผ้าโพกหัวบิดบังเรือนผม

    เด็กหนุ่มถูกผลักมาด้านหน้าอย่างไม่ปรานีปราศรัยนัก ก่อนที่หนึ่งในกลุ่มชายนั้นจะพูดขึ้น

    "นี่ครับท่านฟ็อกซ์"

    ฟ็อกซ์เลิกคิ้วขึ้น จับตามองหนุ่มน้อยพร้อมกับยิ้งแห้งๆ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายจ้องตอบเขาด้วยดวงตาสีเขียวสดใสฉายแววหาญกล้า ความขบขันของฟ็อกซ์ดูจะเพิ่มขึ้นอีก

    "คนอื่นๆ ออกไปซะ" เขาพูดเบาๆ โดยไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่ม "ดูเหมือนว่าฉันคงจะต้องสอบปากคำมันอย่างละเอียดสักหน่อย"

    ในทันทีที่ประตูปิดลง เด็กหนุ่มก็เหวี่ยงผ้าคลุมออก ก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับฟ็อกซ์

    "ต้อนรับได้อบอุ่นมาก!" เขาเปรยอย่างคุ้นเคย "ถ้าฉันรู้ว่าพวกของคุณจะดีใจขนาดนี้ที่ได้เจอฉัน ฉันคงจะมาให้เร็วกว่านี้แล้ว"

    "ปากกล้าดีนะแม่นักบวชหนีวัด" ฟ็อกซ์พูดอย่างอ่อนโยน "ลมอะไรพัดเธอมาถึงนี่ตอนนี้ กับชุดแบบนี้ล่ะแม่หนู แล้วสีหน้ากวนโลกนี่หมายความว่าไงกัน"

    อีกฝ่ายเลื่อนดวงตาที่คล้ายจะหัวเราะได้มาจ้องเขา

    "ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ"

    ฟ็อกซ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

    "ทำไมเหรอ"

    "คุณบอกว่ายินดีตอนรับเสมอไม่ว่าฉันจะมาเมื่อไหร่นี่นา" เด็กหนุ่มพูดเหมือนจะตัดพ้อ "ฉันก็มานี่แล้วไง"

    "นั่นสินะแม่หนู...แล้วเธอก็สวยกว่าที่ฉันคิดไว้ตั้งสองเท่าทีเดียว"

    อีกฝ่ายหัวเราะเฝื่อนๆ ก่อนจะปลดผ้าโพกหัวออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงที่ตกลงปรกใบหน้ารูปไข่อย่างไม่เป็นทรง แต่ฟ็อกซ์คิดว่ามันช่างดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก และเขาก็พูดดังนี้กับอาคันตุกะวัยรุ่น

    "ตัดผมเองเหรอ" เขาถามอย่างชื่นชม

    "ล้อกันอย่างนี้ใจร้ายเกินไปแล้วนะคะ" คือคำตอบขรึมๆ ทว่าดวงตาสีเขียวยังเริงระบำผิดกับความเข้มของน้ำเสียง

    "ฉันพูดจริงนะ" ฟ็อกซ์ตอบอย่างนุ่มนวล "ตอนใส่ชุดนักบวชฉันไม่เคยเห็นหน้าตาเธอเลยนี่แม่หนู เธอสวยกว่าที่ฉันคิดเสียอีก"

    หญิงสาวที่ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับ

    "ขอบคุณค่ะ ในเมื่อคุณเห็นแล้วว่าฉันเป็นผู้หญิง ฉันมีเรื่องจะขอร้องคุณอย่างนึง"

    "นั่นคือ..." ฟ็อกซ์ถามโดยไม่มีทีท่าจะใส่ใจกับบรรยากาศซุกซนร้ายกาจยามเมื่อหญิงสาวเอ่ยคำขอร้องนี้เลยสักนิด

    เธอยืดหลังขึ้นจ้องตรงมาที่เขาด้วยสายตาเคร่งขรึมผิดกับสีหน้าที่บอกความขบขัน

    "สอนฉันให้สู้ ทำตัว แล้วก็พูดเหมือนผู้ชาย"

    แต่ชีวิตนี้ฟ็อกซ์เห็นอะไรมามากมายแล้ว และเขาก็ยากจะประหลาดใจได้

    "เข้าใจล่ะ" เขาตอบ "แล้วมีอะไรอีกมั้ย"

    "ฉันอยากให้คุณช่วยสะกดรอยตามอัศวินคนนึง"

    ฟ็อกซ์เลิกคิ้วขึ้น

    * "ทำไมล่ะ?"

    ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายสดใส

    "ฉันจะจีบเค้า"

    ฟ็อกซ์ถอนหายใจ

    "งั้นเหรอ? ทำไมเธอถึงมาขออย่างนี้กับฉันล่ะ?"

    "ก็...เค้าน่ะหล่อมาก แถมยังมีตาสีฟ้าสวยอีกต่างหาก แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ...เค้าเป็นพวกเดียวกันฉัน" *

    "ขอถามหน่อยซิซานดร้า" ฟ็อกซ์ถามเสียงเรียบเย็น " 'พวกเดียวกับเธอ' นี่หมายความว่ายังไง?"

    แทนคำตอบ หญิงสาวแหวกคอเสื้อออกเผยให้เห็นพลอยสีเขียวที่ฝังลึกอยู่ภายใน สายตาของเธอยังคงจับจ้องฟ็อกซ์ไม่วางตาขณะที่เอ่ยต่อ

    "ตอนนี้คุณก็รู้แล้ว ฉันเผยความลับนี้กับคุณเพราะฉันรู้ว่าฉันเชื่อใจคุณได้ ชีวิตของคุณคือชีวิตของฉัน...ฟ็อกซ์ หกปีที่แล้วฉันช่วยคุณที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ ตอนนี้คุณต้องช่วยให้ฉันมีวิชาต่อสู้ ฉันจะได้พร้อมที่จะกลับไปหาพวกของฉัน"

    สายตาของฟ็อกซ์จับจ้องพลอยสีเขียวเขม็งด้วยสีหน้าครุ่นคิดในขณะที่หญิงสาวพูด แต่เมื่อเธอพูดจบแล้ว เขาก็เลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของเธอพร้อมกับยิ้มแห้งๆ

    "แล้วอัศวินรูปหล่อตาสีฟ้าของเธอเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ" เขาถาม

    หญิงสาวจัดคอเสื้อให้เข้าที่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับตอบอย่างสดใส

    "ก็ไม่มีอะไรหรอก...แต่อาจจะมีก็ได้ ฉันเคยรักษาเค้าเมื่อซักพักนึงได้แล้ว เค้าเป็นชาวจูมิจากเมืองคนแรกที่ฉันเคยพบ ตอนที่เจอเค้า ฉันรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะออกจากวิหารไปที่เมืองได้แล้ว"

    เธอเลื่อนเก้าอี้เข้าใกล้ฟ็อกซ์ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาจริงจัง

    "แต่ฉันไม่อยากจะกลับไปในฐานะผู้หญิง ฉันอยากจะเป็นอัศวิน...อยากจะกลับไปอย่างผู้ชาย อัศวินคนนี้ดูจะเป็นคนที่เก่งที่สุดที่ฉันเคยเจอแล้ว ฉันอยากจะใช้วิชาของเค้าเรียนรู้วิถีของเมืองนั้น"

    หญิงสาวกอดอกก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วก้มหน้าลงครุ่นคิด

    "ดูเหมือนว่าเค้าจะเป็นคนแปลกแยก" เธอเปรย "เหมือนกับพ่อของฉัน ฉันอยากให้คนของคุณสะกดรอยตามเค้านะฟ็อกซ์ อยากจะรู้ว่าเค้าตั้งใจจะกลับเมืองหรือเปล่า พ่อเคยบอกฉันว่าบางทีพวกคนหนุ่มจะออกจากเมือง แต่ก็กลับไปรับการให้อภัยที่ออกจากเมือง แล้วกลับมาใช้ชีวิตในเมืองอีกครั้ง"

    หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองฟ็อกซ์อีกครั้ง

    "แต่ก่อนหน้านั่น ฉันยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก ฉันจะขอฝึกที่นี่กับคุณ กับพวกของคุณ"

    ฟ็อกซ์นิ่งฟังคำพูดของเธออย่างเงียบๆ และเมื่อเธอเอ่ยจบ เขาก็พูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

    "แม่หนู...เธอบ้าบิ่นทีเดียวนะ แต่ก็อย่างที่เธอพูด ว่าชีวิตของฉันเป็นหนี้เธอ ดังนั้นฉันจะช่วยเธอทุกทางที่ทำได้"

    "ขอบคุณค่ะ" ซานดร้าตอบก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วโค้งคำนับเขา "ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของคุณเลย"

    "ยืนขึ้นเถอะ" เขาว่า "เธอช่วยชีวิตฉันไว้นะซานดร้า ดังนั้นนับว่าเธอมีฐานะเท่าเทียมกับฉัน"

    "ฉันเชื่อใจคุณค่ะ" เธอพูด "แต่พวกลูกน้องของคุณล่ะ ยังไงซะพวกเค้าก็ต้องรู้ว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ช้าก็เร็วนี้"

    "ไม่ต้องกลัวหรอก แม่หนูน้อย" ฟ็อกซ์ตอบอย่างอ่อนโยน "ฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกนั้นฟัง...เว้นเรื่องเผ่าพันธุ์ของเธอ แล้วถ้าพวกมันใช้อวัยวะส่วนไหนแตะตัวเธอโดยที่เธอไม่ยินยอมล่ะก็ อวัยวะส่วนนั้นจะถูกตัดทิ้งซะ ดีมั้ยล่ะ" เขาเสริมขึ้นเมื่อหญิงสาวดูจะเก็บอารมณ์ขันไม่อยู่กับคำพูดนั้น

    "ไม่เลยค่ะ" เธอตอบ "คุณพูดได้น่ากลัวจริงๆ"

    "ขอบใจจ้ะที่รัก ถ้าอย่างนั้นเรามาตกลงกันเถอะ" แล้วเขาก็ขยิบตาให้เธอด้วยดวงตาสีเข้มฉายแววเจ้าเล่ห์

    หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะค้อมตัวลง

    "ค่ะ...ท่านฟ็อกซ์จอมโจรในตำนาน"

     หลังจากนั้น...หญิงสาวคิด ปีนึงถัดมาเอลาซัลถึงได้กลับเมือง แต่เรายังต้องใช้เวลาฝึกอีกถึงสองปีกว่าจะได้มา กระทั่งในตอนนั้นเรายังไม่มีวิชาอะไรจริงๆ เลย แต่เอลาซัลเป็นคนที่ขัดเกลาฝีมือของเรา...คนที่ลับคมวิชาให้เราเตรียมตัวสำหรับการเป็นอัศวิน...

    * สามปี...พวกเราถึงได้พบกันอีก ตอนที่บอกฟ็อกซ์ว่าจะจีบคุณนั่นฉันแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่ดูเหมือนคำพูดนั้นจะกลับมาเล่นงานตัวฉันเองเสียแล้ว...เอลาซัล *


    เพียงสัปดาห์ผ่านไปหลังจากเปิดเรียนภาคฤดูร้อน เอสเมอรัลด้าก็พบจดหมายฉบับหนึ่งรออยู่ในตู้ไปรษณีย์ของเธอ

    เด็กสาวหยิบมันขึ้นมาเปิดดู เป็นจดหมายสั้นๆ จากเอลาซัล เขาไม่ค่อยเขียนอะไรนัก และเมื่อเขียนทีก็ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือยเลยสักนิด จดหมายนั้นอธิบายกับเอสเมอรัลด้าว่าสถานการณ์อันตรายในตอนนี้ทำให้เขาต้องปกป้องทั้งสโนว์ แซฟไฟร์ กับเธอ และบอกว่าเขาจะมาที่มหาวิทยาลัยกับแซฟไฟร์ กับเพิร์ล และจะมาอาศัยอยู่ที่นี่เสียเลย

    ถ้าเป็นเวลาอื่น เอสเมอรัลด้าอาจจะไม่พอใจนิดๆ กับข้อความของจดหมายที่บอกเป็นเชิงบังคับเช่นนี้ แต่เธอรู้จักเอลาซัลดี และถึงแม้จะไม่ใส่ใจกับคำเตือนของเขา เธอก็รู้ว่าชายหนุ่มทำลงไปด้วยความหวังดี ความรำคาญอะไรก็ตามที่เธออาจรู้สึกเลือนหายไปในทันทีที่นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นโอกาสที่จะบอกเรื่องซานดร้าโดยไม่ทำผิดสัญญาที่เด็กสาวให้ไว้กับอีกฝ่าย คือไม่บอกเอลาซัลว่าเธออยู่ที่ไหน

    คำตอบถึงเอลาซัลจึงมีเพียงสั้นๆ

    "ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ สโนว์กับฉันเองก็อยากพบแซฟไฟร์กับท่านหญิงอีกเหมือนกัน รีบมาได้ก็ดีนะคะ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะเกาะกลุ่มกันที่มหาวิทยาลัยอย่างที่คุณบอก ฉันเชื่อว่ามีใครบางคนที่นี่ที่คุณต้องสนใจมากแน่"

    เด็กสาวพับกระดาษจดหมายอย่างพอใจก่อนจะส่งไปหาเอลาซัล เธอคาดว่าจะได้พบเขาภายในหนึ่งสัปดาห์นี้

    เอลาซัลอาจจะประหลาดใจมากกว่านี้กับนัยแฝงในจดหมายของเอสเมอรัลด้าหากเขาฉุกคิดสักนิด แต่ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดึงความสนใจของเขาไปจนกระทั่งมองข้ามเงื่อนงำเล็กๆ นี้ไปเสียสนิท

    และการณ์กลับเป็นว่า เมื่อเอลาซัลได้พบกับอเล็กซานดร้าอีก...ก็อยู่ในสถานการณ์อันไม่น่ายินดีเหมือนกับการบังเอิญพบในมหาวิทยาลัยเลย


    Author's Comments: ตอนนี้บทน้อยแปลกๆ นะคะ แต่แรกนี่เป็นส่วนนึงของตอนที่ 1 แต่ตอนที่ 1 ก็ยาวมากเสียจนฉันคัดให้เป็นตอนของเอสเมอรัลด้าโดยเฉพาะ แล้วยกเอาที่เหลือมาเป็นตอนที่ 2 ซึ่งดูเหมือนจะเป็น...ตอนที่เกี่ยวกับฟ็อกซ์

    ฉันเคยคิดว่าจะไม่เขียนถึงฟ็อกซ์ในเรื่องนี้ เพราะเขาเป็นตัวละครออริจินัล แต่...เอาเถอะ...เขียนออกมาจนได้ นี่น่าจะเป็นการปรากฏตัวครั้งเดียวของเขา แต่เขาอาจจะมีบทในบทส่งท้ายอีกก็ได้ถ้าฉันนึกอยากเขียน ฉากที่เขาพูดกับอเล็กซ์ผุดเข้ามาในใจฉันเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน แล้วไม่ยอมหายไปซักที ฉันว่าทุกคนคงนึกภาพเขาเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี แต่ฉันคิดอยู่เสมอว่าผู้ชายที่รับมือกับอเล็กซานดร้าได้น่าจะมีอายุมากกว่าเธอสักหน่อย (เมื่อเทียบอายุของชาวจูมิให้เท่ากับมนุษย์นะคะ) อีกอย่างนึง ถ้าเป็นชายหนุ่มจะเกิดการแข่งขันกับเอลาซัลชัดเจนเกินไปในหลายๆ ทาง แต่เมื่อรู้ว่าฟ็อกซ์มีอายุแล้วก็ดูจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วยังทำให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ว่าฟ็อกซ์เป็นคู่ปรับกับสเน็ค ซึ่งอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ฉันคิดว่าทั้งสองคนอายุราวๆ สี่สิบเศษๆ ค่ะ

    ส่วนเรื่องอเล็กซานดร้า จริงๆ แล้วเธอน่าจะปรากฏตัวในตอนที่ 4 ภาค 3 มาช่วยสโนว์กับเอสเมอรัลด้าจากพวกโจรภูเขา แต่พอคิดดูอีกทีแล้วฉันคิดว่า ถึงตั้งใจจะทำให้เธอดูมีความร้ายน้อยกว่าเกมในฟิคนี้ ฉันก็ไม่อยากจะฉีกแนวไปจากในเกมถึงขนาดทำให้เธอดูเป็นวีรสตรีคนดีขึ้นมาได้ ฉันต้องทำให้เห็นชัดว่าอเล็กซานดร้ามีความผิดในบางเรื่องอย่างที่ไดอาน่าบอก แต่เธอจะไม่ใช่อเล็กซานไดรต์ในเกมที่โหดเหี้ยมกว่าเด็ดขาด ในเกมซานดร้าวางฆ่าชาวจูมิพันคนได้อย่างง่ายดาย เพราะความเชื่อผิดๆ (แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ย) ว่าการมอบผลึกชีวิตให้ Lord of Jewels จะช่วยให้พวกจูมิกลับคืนมาได้

    ฉันใช้โครงเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะสองเหตุผลด้วยกัน หนึ่งคือฉันไม่ชอบ Lord of Jewels กับบทบาทของเขาในเรื่องเลย สองคือ ถึงโครงเรื่องแบบเทพนิยายที่ตัวร้ายตัวหนึ่งออกฆ่าคนพันคน จะใช้ได้สำหรับเนื้อเรื่องแนวแฟนตาซีเทพนิยายของ Legend of Mana แต่เรื่องนี้ฉันตั้งใจให้มีความสมจริงมากกว่า ดังนั้นฉันจึงได้เปลี่ยนผลึกชีวิตทั้งพันอัน ให้เป็นผลึกชีวิตพิเศษอันเดียว ในชีวิตจริง การฆ่า (หรือเจตนาฆ่า) กระทั่งคนคนเดียวก็เป็นปัญหาใหญ่พอที่จะจุดชนวนระหว่างซานดร้ากับเอลาซัลแล้ว แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เอลาซัลเกลียดอเล็กซานดร้าขึ้นมาจริงๆ เหมือนอย่างที่อาจเกิดได้ถ้าฉันดำเนินเรื่องตามแบบในเกม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×