คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ภาคที่ 1 - เอลาซัล / บทนำ - หนทางนักพเนจร
PART I: ELAZUL
Prelude: Wanderer's Path
ภาคที่ 1: เอลาซัล
บทนำ: หนทางนักพเนจร
ถนนโรยกรวดสีแดงในวันกลางฤดูร้อนวันนั้นมีเลือดสาดกระจาย อณูอากาศอันคุระอุยังสะท้อนเสียงกรีดร้องอันโหยหวนของวิญญาณผู้วายชนม์ จากร่างไร้วิญญาณที่กองระเกะระกะบนพื้นดินดุจประจักษ์พยานของการสังหารโหดที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ
นักบวชสาวไล่สายตาจากกองศพไปตามหนทางบนเทือกเขาอันเลี้ยวลดดุจรอยงูเลื้อย ตามหยดเลือดที่เรี่ยรายเป็นทางราวกับเพิ่งหยาดจากนิ้วของฆาตกรผู้ยัดเยียดความตายให้พวกเขาเหล่านั้นก่อนจะจากไป และจะประทานความตายให้กับผู้ใดก็ตามที่อาจหาญตามมา
แต่นักบวชสาวไม่กลัว เธอไม่เคย และจะไม่มีวันกลัวความตายเลยด้วยซ้ำ
ทว่าในตอนนี้เธอกำลังลังเลว่าควรจะไปต่อ หรือหันหลังกลับไปสู่ 'วิหาร' อันศักดิ์สิทธิ์ที่เธอพยายามหนีออกมาต่างหาก เสียงของเหล่าผู้ทรงศีลจากวิหารบัดนี้ดังอึงอลในสมอง ทั้งต่อว่าและสอนสั่งเธอด้วยคำพูดที่พวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง หากแสนเย็นชาและบาดจิตใจดุจคมมีดน้ำแข็ง
"ซานดร้า...อย่าไปจากวิหารอย่างนี้เลย เลิกร้อนรนกระวนกระวายเสียที กลับมาที่วิหารเถอะ กลับมายังที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุขสงบ ที่ที่จะเยียวยาวิญญาณของพวกเราทุกคน แสงสีขาวเจิดจ้าที่นี่จะขับไล่เพลิงมืดในใจของเธอออกไปเอง"
"แต่ฉันไม่เหมาะกับที่นี่เลยสักนิด" เธอเคยตอบเช่นนั้น
หากพวกเขาก็ยอมให้อภัยเธอตลอดมา เพราะเธอไม่มีที่จะไปอีกแล้ว ไม่มีบ้านให้กลับไปนอกจากวิหารแห่งนี้เท่านั้น
ที่นี่ยังพร้อมจะให้ร่มเงาและที่พักพิงแก่เธอเสมอ ถึงแม้เธอจะเกลียดพวกเขาก็ตาม
แต่เธอไม่มีทางเกลียดพวกเขาลงเด็ดขาด จะอย่างไรพวกเขาก็รับเด็กกำพร้าอย่างเธอมาเลี้ยง แล้วก็...
เสียงครางที่แผ่วเบาแว่วมาเข้าหู เมื่อนั้นเองเธอจึงรู้ว่าในกองร่างนั้นยังมีผู้รอดชีวิต
นักบวชสาวตรงเข้าค้นหาต้นเสียงในกองร่างไร้วิญญาณเหล่านั้น จนในที่สุดเธอก็คุกเข่าลงข้างร่างของชายคนหนึ่งที่ฟุบอยู่บนพื้นกรวดห่างจากศพที่เหลือราวกับพยายามจะหลีกหนีจากคนพวกนั้น ท่านอนของเขาดูแสนทรมาน แขนข้างหนึ่งถูกทับอยู่ใต้ร่าง ศีรษะคว่ำอยู่บนพื้นทำให้มองไม่เห็นเค้าหน้า ช่วงคอรวมทั้งส่วนบนของผ้าคลุมสีทรายผืนใหญ่ที่แผ่คลุมร่างมีคราบสีคล้ำแห้งกรัง
นักบวชสาวนึกกังวลอยู่ในใจ ไม่มีทางรู้เลยว่าเขาได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไร และมานอนอยู่บนถนนใต้แสงแดดจ้าจากดวงอาทิตย์อันไร้ความปรานีอยู่แบบนี้นานเท่าใด
เธอสอดแขนเข้าไปใต้บ่าของชายหนุ่มก่อนจะออกแรงพลิกร่างนั้นให้หงายขึ้น ท่าทางเขาจะยังเจ็บปวดอยู่บ้าง เพราะมีเสียงครางเบาๆ ดังให้ได้ยินอีกครั้ง
ในที่สุดเธอก็เห็นเลือดสีสดที่ไหลอาบใบหน้าซีกซ้ายจนดูเหมือนกับหน้ากากที่มีใบหน้าสองด้านเป็นสีขาวซีดตัดกับสีแดงฉาน ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ไม่รู้จะกระทบกระเทือนมากหรือเปล่า
ก็ได้แต่หวังว่านี่คงเป็นแผลเดียวที่เขาได้รับ...
นักบวชสาวแตะนิ้วลงบนเส้นเลือดที่คอ พบว่าหัวใจของเขายังเต้นเป็นปกติ และไม่มีรอยเลือดบนส่วนอื่นๆ ของร่างกายอีก
แต่เมื่อคลำหารอยแผลอื่นเธอกลับสัมผัสบางสิ่งที่ระคายนิ้วใต้เสื้อสีฟ้าที่เขาสวมอยู่ เธอรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งติดคาอยู่บนอกของเขา หากน่าแปลกที่กลับไม่มีรอยเลือดให้เห็น แถมผู้ชายคนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่อีกด้วย
...ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือวัตถุที่ว่ากลับมีผิวเรียบลื่น ดูเหมือนจะไม่มีความแหลมคมพอจะแทงเข้าไปในเนื้อได้เลย
นักบวชสาวรีบปลดกระดุมเสื้อออกดูให้ชัดด้วยความสงสัย
สายตาของเธอปะเข้ากับลูกแก้วสัณฐานกลมมนส่องแสงสีฟ้าสว่างที่ดูเหมือนจะฝังอยู่ในทรวงอกด้านบนของชาวหนุ่มครึ่งหนึ่ง
หญิงสาวจ้องเขม็งด้วยความตกตะลึงกับภาพที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเห็น
เผ่าจูมิ...ในที่ที่ห่างไกลจากนครอัญมณีขนาดนี้น่ะหรือ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
"ซานดร้า!!"
"อยู่นี่หรือเปล่า...ซานดร้า!!"
เสียงตะโกนเรียกชื่อที่ดังมาลิบๆ ทำให้นักบวชสาวไม่มีเวลาจะคิดอะไรอื่นอีก เธอรีบกลัดกระดุมเสื้อของชายหนุ่มให้ปิดจนถึงคอก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงที่เข้ามาใกล้ ซึ่งก็คือพวกนักบวชจากวิหารที่ออกมาตามหาเธอนั่นเอง
เธอตัดสินใจในทันใดนั้นว่าจะปล่อยให้พวกนั้นถูกตัวเขาไม่ได้
ห้ามไม่ให้พวกนั้นรู้ว่าชายคนนี้เป็นเผ่าจูมิ
ห้ามไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด นอกจากเธอคนเดียวเท่านั้น
กว่านักรบเผ่าจูมิคนนั้นจะได้สติก็อีกห้าวันถัดมา และตลอดเวลาซานดร้าก็ยืนกรานที่จะเฝ้าดูแลเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น โดยอาศัยความรู้ทางการแพทย์ระดับหนึ่งที่เธอได้ศึกษาจากวิหารในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมาเป็นข้ออ้างช่วยให้พวกนักบวชระดับสูงอนุมัติตามคำขอของเธอ
ชายหนุ่มเพ้อไม่ได้สติด้วยพิษไข้ตลอดช่วงสองคืนแรก แต่หลังจากได้ยาไปอุณหภูมิก็ค่อยๆ ลดลงจนกลับเป็นปกติ และหลังจากนั้นเขาก็หลับสนิท ไม่กระสับกระส่ายเหมือนแต่ก่อนอีก ดูเหมือนสภาพร่างกายที่แข็งแรงดีเป็นทุนเดิมจะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วทีเดียว
เมื่อซานดร้าเข้ามาดูอาการของเขาในห้องพักยามเช้าของวันที่ห้า ก็พบชายหนุ่มนั่งอยู่บนเตียง มือกำถ้วยน้ำด้วยท่าทางครุ่นคิด
เขารีบวางถ้วยลงบนโต๊ะไม้ข้างเตียงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอทันทีก่อนจะถามเสียงห้วนสั้น
"ที่นี่ที่ไหน?"
ซานดร้ายังไม่ตอบในทันที เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ประสานมือวางบนตักในท่าสำรวมสมกับเป็นนักบวช ใช้สายตามองสำรวจเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เธอรู้ว่าเขาไม่มีทางมองสีหน้าเธอออกผ่านผ้าคลุมหน้าผืนหนาสีขาวที่ปิดบังใบหน้าของเธอไว้แทบหมด เผยเพียงดวงตากลมโตอย่างเดียวเท่านั้น
เช่นเดียวกับนักบวชคนอื่นๆ ในวิหารที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวล้วน ทั้งหมวก ผ้าคลุมหน้า เสื้อแขนยาวตลอดจนกระโปรงยาวจรดเท้า ปกปิดตลอดร่างด้วยสีขาวสะอาดที่เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นหุ่นเชิดที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องตามใจพวกนั้น และปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเธอไว้จนหมดสิ้น
ชายหนุ่มตีหน้าขรึม สบตาตอบเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยนัยน์ตาสีฟ้าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังผมสีดำปรกหน้าผากแฝงท่าทางไม่ไว้ใจอยู่ในที
ซานดร้าอดแปลกใจไม่ได้ที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเขาคมสันได้รูปจนเรียกได้ว่าสวยเหมือนผู้หญิงเสียด้วยซ้ำ อายุน่าจะเท่าๆ กัน หรือไม่ก็อ่อนกว่าเธอราวปีสองปีกระมัง
แหม...ไม่ต้องจ้องกันแบบนี้ก็ได้ ฉันไม่กัดเธอหรอกน่า นักบวชสาวคิดขันๆ
ในที่สุดเธอก็ยอมบอกชื่อกับที่ตั้งของวิหารไป และเมื่อได้ฟังคำตอบ ชายหนุ่มก็เอนหลังลงพิงหมอนด้วยท่าทางโล่งอก
"ฉันเจอกับพวกโจรระหว่างทาง...บนภูเขา" หลังจากนั้นเขาก็เล่าต่อไปโดยที่เธอไม่ได้ถาม "รู้สึกว่าจะเห็นวิหารอยู่เหมือนกัน...แต่อยู่บนผา ไกลมาก ฉันฆ่าพวกมันจนหมด แต่พวกมันก็ทำฉันเจ็บหนักพอดู นึกว่าจะตายซะแล้ว...แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สินะ"
"ฉันพบคุณ ก็เลยพาคุณมารักษาที่นี่" ซานดร้าพูดด้วยเสียงอ่อนโยนเพื่อให้เขาสบายใจขึ้น "คุณนอนซมอยู่ถึงห้าวันเต็มๆ ทีเดียว"
รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของหญิงสาวถึงแม้เขาจะมองไม่เห็น
"แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันพบคนบาดเจ็บระหว่างทางมาที่วิหารนะ คุณไม่ใช่คนแรก...แล้วก็คงไม่ใช่คนสุดท้ายที่ฉันจะพบด้วย"
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ได้แต่ส่งสายตามาทางเธอเหมือนกับจะหยั่งเชิงอย่างระแวดระวังก่อนจะพูดขึ้น
"ที่ผ่านๆ มาฉันจำได้ว่ามีพวกนักบวชมาคอยรักษา แต่ทุกคนจะดูเหมือนๆ กันหมด จนฉันแน่ใจว่าคงมีแต่เธอคนเดียวแน่ๆ คงเพราะ..."
เขาลังเลก่อนจะต่อประโยคให้จบทั้งที่ดูจะไม่เต็มใจนัก
"...ดวงตาของเธอล่ะมั้ง ฉันรู้สึกเหมือนกับมีดวงตาคู่เดิมจ้องฉันอยู่หลายครั้ง แต่บางที...ก็นึกว่าฝันร้ายไปเท่านั้น"
ชายหนุ่มจ้องตรงมาที่เธออีกครั้งด้วยสายตาอยากรู้แฝงแววหวาดระแวง และเธอก็เข้าใจคำถามที่ไม่ต้องใช้คำพูดในดวงตาคู่นั้น
เขากลัวว่าจะมีใครรู้ว่าเขาเป็นชาวเผ่าจูมิ...
นักบวชสาวจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงใส ดวงตาสีเข้มแสนสวยเป็นประกายร่าเริง
"แย่จัง...นี่ฉันกลายเป็นฝันร้ายของคุณไปซะแล้วเหรอคะ"
ซานดร้าไม่รู้ว่าความระแวงของเขาจะบรรเทาลงบ้างหรือเปล่า แต่คำประชดของเธอเรียกรอยยิ้มฝืนๆ จากเขาได้เป็นครั้งแรก
"ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเธอสินะ" ชายหนุ่มเปรยขณะลุกขึ้นนั่ง "ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทหรอก ฉันชื่อเอลาซัล เป็น...เอ่อ..." เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง และซานดร้าก็รู้เหตุผลดี "...นักดาบพเนจร เธอล่ะชื่ออะไร?"
"ซานดร้าค่ะ"
ชายหนุ่มอึ้งไปอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าลง ใช้นิ้วลูบผ้าปูเตียงสีขาวเล่นแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ "เธอเป็นหมอที่เก่งเหมือนกันนะ ฉันไม่คิดเลยว่าถ้าใช้วิธีรักษาแบบธรรมดาแล้วจะหายเร็วขนาดนี้เลย"
"แล้วคุณชินกับวิธีรักษาแบบไหนล่ะคะ" นักบวชสาวแกล้งถามทั้งที่เธอเคยรู้เรื่องน้ำตาที่มีอำนาจเยียวยาของเผ่าจูมิดีแล้ว
...เพราะความสามารถอันประมาณค่ามิได้นี่เองที่ทำให้ชาวเผ่าจูมิถูกตามล่าและขับไสไล่สง เพราะสิ่งนี้ทำให้พวกเขาต้องกักขังตนเองอยู่ในนครอัญมณีอันพราวแพรวหากเย็นยะเยียบ ไกลจากโลกแห่งชีวิตภายนอกเหมือนกับพวกนักบวชที่ปิดตนเองในวิหารที่พักพิง
เธออยากรู้เรื่องเกี่ยวกับนครอัญมณีและเผ่าจูมิมากกว่านี้
ทว่าเขาพยายามเลี่ยงคำถาม และหันไปพึมพำอะไรบางอย่างเหมือนจะกลบเกลื่อนแทน
ความเงียบสงัดที่เข้าครอบคลุมบ่งบอกว่าไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้ว ในวันนี้ซานดร้าคงจะไม่ได้รับคำตอบอะไรจากเขามากกว่านี้อีก เธอจึงนำยามาให้เอลาซัลก่อนจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่
พอเสร็จงานแล้วชายหนุ่มก็เอนหลังลงนอน ทอดสายตาไปที่ผนังในห้วงความคิดอันเลื่อนลอยดูเหมือนอยากจะอยู่ตามลำพัง
นักบวชสาวจึงปลีกตัวออกไป
ซานดร้าคิดถึงเอลาซัลตลอดเช้าวันนั้นไปจนถึงตลอดทั้งวัน มีบางสิ่งในตัวเขาที่ดึงดูดใจเธออย่างประหลาด ไม่เพียงแต่ความที่ว่าเขาเป็นชาวเผ่าจูมิคนแรกที่เธอเคยพบเท่านั้น
เธอมีเรื่องที่อยากจะถามเขาเกี่ยวกับเผ่าจูมิมากมายเหลือเกิน แต่ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจเท่านั้นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีเพื่อไม่ให้เขารู้สึกระแวง
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้ซานดร้าไม่มีโอกาสได้พูดกับเขาอีกเลย...
ถึงจะยังดูอ่อนเพลีย แต่ในเย็นวันถัดมาชายหนุ่มกลับออกไปจากวิหารโดยไม่บอกใคร ก่อนจะอันตรธานหายไปเสียเฉยๆ ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่เลยกระนั้น
เมื่อซานดร้าได้ยินเรื่องที่เอลาซัลหายตัวไป เธอก็นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่เป็นนาน
จนกระทั่งถึงยามเย็นที่ร้อนระอุวันหนึ่ง เมื่อไอร้อนผะผ่าวทำให้บรรยากาศไหวระริกเป็นคลื่นราวกับมีชีวิต เธอก็นั่งลงเบื้องหน้าขวดหมึกกับปากกาขนนกก่อนจะเขียนจดหมายสั้นๆ จ่าหน้าซองถึงบุคคลที่มีชื่อว่า "เอ.เรย์นาร์ด"
สามปีผ่านไป...ก่อนที่ซานดร้ากับเอลาซัลจะได้พบกันอีกครั้ง
ความคิดเห็น