ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #18 : ภาคที่ 3 - เพิร์ล / บทที่ 4 - แต่งแต้มผืนพิภพ: โคลเวอร์นำโชค

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 107
      0
      20 พ.ค. 49

    PART III: PEARL
    Chapter 4: Earth Painting: Lucky Clover

    ภาคที่ 3: เพิร์ล
    บทที่ 4: ภาพวาดผืนพิภพ - โคลเวอร์นำโชค


    สโนว์กำลังฝัน...

    ในความฝันนั้นละอองหิมะสีขาวร่วงรินลงบนท้องทุ่งสีเขียวราวกับผ้าห่มสีขาวผืนหนาที่ยิ่งแผ่กว้างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบดบังยอดหญ้าอ่อนไว้หมดสิ้น

    เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะคิดว่าพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะช่างสวยงามเสียนิกระไร เมื่อปราศจากความสับสนวุ่นวาย ปราศจากกระแสพลังอันปั่นป่วนที่ไหวระริกผ่านพื้นผิวสีคล้ำในอากาศฤดูร้อน

    มีเพียงสีขาวเย็นเงียบสงบ...

    กระแสลมพัดวนอยู่รอบกายของเขาให้รู้สึกเย็นยะเยียบเข้าไปถึงใจกลางของผลึกชีวิต ก่อนที่เขาจะสังเกตในทันใดนั้นว่าหิมะกำลังตกลงปกคลุมทุกชีวิตเบื้องล่าง...ชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมพลังที่จะดิ้นรนและความหมายที่จะดำรงอยู่ แต่บัดนี้กลับนิ่งสนิทด้วยมรณะอันเย็นยะเยียบไร้ความปรานี

    และแล้วเด็กหนุ่มก็เห็นทับทิมสามเม็ดวางอยู่กลางผืนหิมะ...ทับทิมสีดำสองเม็ดกับสีแดงอีกเม็ดหนึ่ง

    ทับทิมสีดำแปรเปลี่ยนเป็นดวงตาสีมืดสองดวง และพื้นหิมะด้านล่างก็กลับกลายเป็นใบหน้าขาวซีด ยอดหญ้าสีเขียวที่โผล่พ้นหิมะกลายเป็นเส้นผม และทับทิมเม็ดที่สามซึ่งแดงเดือดราวเปลวเพลิงก็กลับกลายเป็นริมฝีปากของเด็กสาวคนหนึ่ง

    แม้ริมฝีปากนั้นจะหุบสนิท ดวงตาสีมืดจับจ้องไปยังความว่างเปล่า ใบหน้าขาวเผือดราวกับคนตาย แต่เด็กหนุ่มกลับนึกขึ้นมาว่าดวงหน้าของเธอเหมือนกับเอสเมอรัลด้าเหลือเกิน...

    กระแสลมที่เปลี่ยนทิศทางพลันปะทะร่างเขาอย่างรุนแรงก่อนจะก่อตัวเป็นพายุหิมะที่บดบังทุกสิ่งไว้ในม่านสีขาว ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่ปลิววะว่อนอย่างบ้าคลั่งเขายังเห็นเด็กสาวที่น่าจะตายไปแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวฝ่าพายุเข้ามาหาเขาช้าๆ แต่เมื่อเข้ามาใกล้ขึ้นร่างนั้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากภาพอันคุ้นตาของเด็กสาวที่เขารู้จักไปเป็นใครอีกคนหนึ่ง ผิวที่ขาวเผือดไร้สีเลือดยิ่งซีดจางขึ้นจนดูใสราวกับแก้วผลึก เส้นผมที่ปลิวสยายงอกยาวกลายเป็นสีฟ้าซีด ดวงตาที่ลืมขึ้นเห็นแต่ตาขาวเป็นสีม่วงล้ำลึกปราศจากนัยน์ตาดำ...ดวงตาที่ไม่น่าจะมองเห็นสิ่งใดแต่เหมือนจะเห็นทุกสิ่งกระจ่างชัด


    สโนว์ผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหอบหายใจสั่นๆ อย่างรุนแรง ขณะที่หยาดเหงื่อไหลลงมาตามใบหน้า

    ทุกสิ่งรอบด้านมืดสนิทจนเขามองอะไรไม่เห็นไปเป็นครู่ใหญ่ ภาพฝันสีขาวเจิดจ้าที่แปรเปลี่ยนเป็นความมืดในทันใดนั้นทำใให้เขาสับสน มือของเด็กหนุ่มรีบควานหาบางสิ่งที่เขาจะไขว่คว้าไว้ในความเป็นจริงให้อุ่นใจได้ ก่อนจะไปปะเข้ากับผ้าห่มที่คลุมกายอยู่

    เขาปัดผ้าห่มไปให้พ้นร่าง แต่แล้วก็รู้สึกว่าเหงื่อที่โซมกายเย็นเฉียบขึ้นมาในทันใดนั้น และเขาก็นึกขึ้นได้ว่าอุณหภูมิของอากาศรอบกายนั้นต่ำมาก เด็กหนุ่มจึงต้องหยิบผ้าห่มมาคลุมกายให้มิดชิดเพื่อกันความหนาวอีกครั้ง

    สายตาของสโนว์ที่เริ่มคุ้นกับแสงเพียงสลัวแล้วเริ่มมองเห็นกรอบหน้าต่างรูปสีเหลี่ยมจัตุรัสปรากฏลางๆ อยู่เหนือศีรษะ ก่อนที่จะเห็นบางสิ่งขยับไหวๆ อยู่ในความมืดสองสามครั้ง

    และเสียงอันคุ้นเคยก็พูดขึ้นอย่างเป็นกังวล

    "เป็นอะไรไปหรือเปล่าสโนว์ ฉันตกใจมากนะ"

    "ไม่มีอะไรหรอก" เด็กหนุ่มรีบตอบพร้อมกับรู้สึกละอายนิดๆ ที่เพียงแค่ความฝันทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ "ก็แค่ฝันร้ายน่ะเอสเมอรัลด้า นอนต่อเถอะ"

    "นายเองก็รีบเข้านอนนะ" เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตามปกติที่อีกฝ่ายชินหู "พรุ่งนี้เราก็จะถึงอุทยานแก้วผลึกบนยอดเขาแล้ว นายต้องพักผ่อนเก็บแรงไว้มากๆ ล่ะ"

    เด็กหนุ่มเห็นกรอบร่างสีเทาลางๆ ของเด็กสาวหมอบอยู่ข้างเขาใต้แสงจันทร์อ่อนๆ ซึ่งส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

    "อือ รู้น่า" เขาตอบด้วยเสียงที่พยายามให้ใจเย็นเป็นปกติ "แค่ฝันร้ายเท่านั้นแหละ นอนเถอะเอสเมอรัลด้า"

    แทนคำตอบ เด็กสาวกลับยื่นมือออกมาแตะหน้าผากของเด็กหนุ่มที่ประหลาดใจเกินกว่าจะทันหลบ ใบหน้าของเขาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความอาย ยังดีที่ความมืดช่วยซ่อนสีหน้าเอาไว้

    "ทำไมเหรอ" เขาถาม

    "แค่ดูว่านายตัวร้อนหรือเปล่าน่ะ" เธอตอบเรียบๆ "ฉันกลัวว่านายจะเป็นไข้ขึ้นมาหลังจากเดินทางมาไกลขนาดนี้"

    "ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะเอสเมอรัลด้า" สโนว์พูดด้วยเสียงขื่นๆ รู้สึกทั้งอายและตื้นตันกับความเป็นห่วงของเธอไปในคราวเดียวกัน "ที่ฉันหนีพ่อกับแม่มาก็เพราะไม่อยากถูกทำเหมือนเป็นเด็กๆ อย่างนี้นั่นแหละ"

    "แต่อย่างน้อยก็ต้องรักษาสุขภาพบ้างนะ" เอสเมอรัลด้าตอบโดยที่ตนเองไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับน้ำเสียงของเขาเลย "แต่ดูแล้วก็ไม่มีไข้นี่...อย่างมากแค่ตัวรุมๆ คงไม่เป็นไรหรอก"

    เด็กสาวลุกขึ้นยืนก่อนจะหันกลับไป

    "ราตรีสวัสดิ์จ้ะ" เธอเอ่ย "ฉันจะเข้านอนล่ะนะ"

    สโนว์มองกรอบร่างสีเทาเลือนขยับถอยไปที่อีกมุมหนึ่งของกระท่อมไม้เล็กๆ บนเขา ก่อนจะเขยิบกลับไปใต้ผ้าห่มของตนทั้งที่ดวงตาเบิกกว้างยังจ้องมองไปในความมืด

    อาการไข้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขากังวล แต่เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่ยังเหลือตกค้างจากความฝันนั้นต่างหาก

    เด็กหนุ่มรู้สึกว่าผลึกชีวิตของเขากลับเย็นยะเยียบอย่างประหลาด...


    เอสเมอรัลด้ายกมือขึ้นป้องตาจากแสงแดดเจิดจ้าเหนือทางคลุมหิมะ นับว่าโชคดีที่ฤดูร้อนที่เข้ามาแทนที่ฤดูใบไม้ผลิยังส่งผลแม้บนเทือกเขาอันสูงชันนี้ ทำให้การปีนเขาขึ้นมาไม่ได้ยากอย่างที่เธอกับสโนว์คิดเลย

    สามเดือนที่ผ่านไปในจีโอช่างแสนสนุก ทั้งสองสมัครเข้าเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย โดยนำเพชรพลอยที่ติดตัวมาแลกเป็นเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะที่รอให้ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ทุกครึ่งเดือนพวกเขาก็จะไปที่เมืองชายทะเลซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเพื่อเยี่ยมแซฟไฟร์ และกระทั่งสโนว์ก็ยังโล่งอกที่แซฟไฟร์ซึ่งเขารู้สึกเป็นห่วงมากในทีแรกดูจะเข้ากับทุกๆ คนที่โรงแรมเล็กๆ ได้เป็นอย่างดี

    เมื่อว่างจากคาบเรียน เอสเมอรัลด้ายังคิดถึงพ่อแม่กับพี่สาวทั้งสามเป็นบางครั้ง แต่เธอก็รู้ว่าสโนว์กับแซฟไฟร์ในขณะนี้มีความสุขมากกว่าตอนอยู่ในนครอัญมณีมาก เด็กสาวได้แต่หวังว่าทางนครคงไม่ตามหาทั้งสามให้ใหญ่โตเอิกเกริกนัก เนื่องจากเธอรู้ว่าทางบ้านคงไม่ยอมปล่อยพวกเธอไปอย่างเงียบๆ แน่ แม้เธอจะทิ้งจดหมายบอกไว้ไม่ให้เป็นห่วงก็ตาม

    ก็ได้แต่หวังว่าเวลานั้นจะมาถึงช้าที่สุด...

    ทั้งสองวางแผนจะมาที่ภูเขานี้เมื่อนานมาแล้ว สโนว์กับเอสเมอรัลด้าใช้เวลาเตรียมตัวถึงสองสัปดาห์กว่าจะออกเดินทางจริงๆ และใช้เวลาอีกสี่วันจึงได้เดินทางมาถึงที่นี่

    เอสเมอรัลด้าแปลกใจที่ตัวเธอเองรู้สึกสนุกกับการเดินทางครั้งนี้มาก แต่แรกเธอตื่นตากับภาพของเชิงเขาที่เริ่มตื่นจากนิทราด้วยความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิซึ่งมีดอกไม้เล็กๆ นับร้อยคล้ายกับหยาดน้ำค้างแข็งขึ้นอยู่ริมทางโดยทั่วไป

    แต่แล้วอากาศก็เริ่มเย็นเยือกขึ้นทุกขณะตามทางที่ผ่านมา และหลังจากที่ทั้งสองออกจากที่พักแรมสุดท้ายมาหลายชั่วโมงที่แล้วก็ปะกับพายุหิมะอ่อนๆ เข้า ทำให้เด็กสาวนึกขอบคุณเสื้อโค้ทหนาหนัก กับผ้าพันคอที่พันรอบหน้ากันกระแสลมรุนแรงที่เตรียมมาด้วย

    เธอไม่เคยคิดจะบ่นเรื่องอะไรเลย สโนว์เสียอีกที่น่าจะเริ่มบ่นขึ้นมาก่อน แต่เขาก็ยังเม้มปากสนิทแล้วก้าวต่อไปท่ามกลางอากาศอันทารุณ ดูเขาหัวเสียขึ้นมาด้วยซ้ำเมื่อเธอพยายามถามว่าเขาไปต่อไหวหรือเปล่าด้วยความเป็นห่วงในอาการ ท่าทางเขาจะหงุดหงิดกับเรื่องนี้มาก และเด็กสาวก็เดาว่าเขาคงจะรู้สึกเสียหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

    แต่ในบางครั้งเด็กหนุ่มก็ยังดูใจลอยอย่างประหลาดและพูดน้อยมาก ดวงตาของเขาจับจ้องฟ้าครามเหนือยอดเขาซึ่งเป็นจุดหมายของทั้งสองไม่วางตา เด็กสาวรู้ว่าเขาคงจะกระสับกระส่ายและตื่นเต้นที่ในที่สุดจะได้พบคริสตัลเล...นางพรายหิมะที่แช่แข็งผลึกชีวิตของเขาในวัยเยาว์ และเดาว่าเขาคงจะคิดถึงฝันร้ายเมื่อคืน...ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับคริสตัลเลแน่นอน

    เด็กสาวจึงไม่ซักถามอะไรเขาให้มากนัก คอยแต่พูดบอกทางบนภูเขาเป็นระยะๆ เท่านั้น

    สโนว์รู้ดี และเขาก็นึกขอบคุณเอสเมอรัลด้ามากที่ใจเย็นกับเขาได้แบบนี้ ดีใจที่เธอเข้าใจเขาดี และทนกับข้อเสียของเขาโดยไม่ปริปากเลย

    ไม่รู้ว่าเราจะมีค่าพอให้เค้าเป็นห่วงแบบนี้มั้ยนะ...เด็กหนุ่มคิด แต่เพราะอย่างนี้แหละเราถึงได้ชอบเอสเมอรัลด้ามาก เค้ารู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะใจเย็นกับเรา แล้วเมื่อไหร่ที่ควรจะใจร้อนให้เราสำนึกเสียบ้าง...แต่ก็ไม่เคยใช้อารมณ์เลย

    แต่ฉันจะบอกกับเค้าได้ยังไง...สโนว์คิดพร้อมกับที่แววมืดมนปรากฏขึ้นในดวงตา ฉันจะอธิบายให้เอสเมอรัลด้าเข้าใจได้ยังไงว่าทำไมฉันถึงกลัวความฝันนั้น ทำไมฉันถึงรู้สึกใจคอไม่ดีเลย...เมื่อผลึกชีวิตของฉันบอกว่าเราอยู่ใกล้คริสตัลเลเข้าไปทุกที ฉันกลัวว่าตัวเองจะคิดผิด...คริสตัลเลอาจจะไม่ได้เปลี่ยนทับทิมดำเป็นผลึกน้ำแข็งด้วยความหวังดีก็ได้ พ่อกับแม่อาจจะเป็นฝ่ายถูก...ที่ว่าคริสตัลเลเป็นแค่พรายชั่วร้ายที่สาปฉันเพียงเพื่อความสนุก ถ้าอย่างนี้ก็เท่ากับฉันทำให้เอสเมอรัลด้าตกอยู่ในอันตรายด้วย...

    เด็กหนุ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจจนต้องชะงักเท้ากึกกลางคัน...หยุดต่อสู้อันเหน็ดเหนื่อยกับบรรยากาศหนาวเหน็บที่ขู่เข็ญให้เขาล้มเลิกความตั้งใจเดิม หรือไม่ก็ส่งสัญญาณเตือนบอกให้เขาหยุดเสียก่อนจะสายเกินไป...ตามลางสังหรณ์ถึงเงื้อมมืออันเย็นยะเยียบราวกับน้ำแข็งนั้น

    ต้องรีบกลับ...เขาคิดอย่างหวาดหวั่น รีบพาเอสเมอรัลด้าหนีไปจากที่นี่...ก่อนที่อะไรเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับเค้าเข้า...

    แต่แล้วเขาก็รู้สึกถึงสัมผัสจากมืออันอบอุ่นที่เลื่อนมากุมมือของเขาเอาไว้ ก่อนที่เอสเมอรัลด้าจะใช้มืออีกข้างชี้ไปบนผืนฟ้ากว้าง

    "ดูสิสโนว์!" เธอพูดด้วยเสียงตื่นเต้น "สำเร็จแล้ว! เรามาถึงประตูอุทยานแก้วผลึกแล้ว!!"

    ประตูรั้วโปร่งอ่อนช้อยราวกับถูกสร้างขึ้นจากน้ำแข็งหรือแก้วผลึกใสส่องประกายระยิบระยับอยู่ในแสงแดดจ้ายามเที่ยงวัน สองหนุ่มสาวชาวจูมิยืนมองภาพเบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง อุทยานแก้วผลึกเบื้องหลังที่เห็นอยู่ลางๆ ประกอบไปด้วยรูปปั้นพรรณไม้ต่างๆ ที่ใสกระจ่างราวกับถูกแกะสลักจากน้ำแข็ง ซึ่งจะคงอยู่ตราบนิรันดร์ด้วยไอเย็นในหุบเขา

    ทว่าประตูรั้วนั้นปิดสนิทไม่ให้ผู้มาเยือนเข้าไปได้ มิใช่ด้วยรูปทรงอันบอบบาง...แต่ด้วยกำแพงเวทของมนต์พรายอันแข็งแกร่ง เอสเมอรัลด้าที่ยื่นมือไปแตะด้ามประตูสีเงินต้องรีบชักมือออกทันที

    "เย็นจนแสบมือเลย!" เธออุทานก่อนจะเป่าลมหายใจอุ่นๆ ลงบนปลายนิ้วที่ปวดแสบ "น่ากลัวเราจะเปิดประตูเข้าไปไม่ได้นะสโนว์"

    สโนว์ที่จ้องเขม็งเข้าไปภายในอุทยานเพียงแต่โบกมือน้อยๆ เป็นเชิงไม่ใส่ใจก่อนจะหันมาทางเอสเมอรัลด้า

    "ถ้าอย่างนั้นเราคงทำอะไรไม่ได้อีกล่ะ" เขาพูดขึ้นทันควัน "กลับกันเถอะเอสเมอรัลด้า"

    เด็กหนุ่มหันหลังกลับไปทางเส้นทางที่เลี้ยวลดลงไป แต่เอสเมอรัลด้าไม่ยอมขยับ สโนว์เหลือบมองเธออยู่แวบหนึ่งก่อนจะหยุดยืนหันหลังให้เธอเช่นนั้น แม้จะคิดว่าเธอกำลังจ้องตรงมาทางเขาด้วยสายตาแข็งกร้าวที่บอกความไม่สบอารมณ์...แต่คำถามที่เด็กสาวส่งให้เขานั้นราบเรียบไม่ได้บอกความไม่พอใจหรือกล่าวโทษแม้แต่น้อย

    "แน่ใจเหรอสโนว์"

    "แน่ใจสิ" เด็กหนุ่มตอบรับอย่างหนักแน่นโดยไม่หันกลับมา เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่เห็นสีหน้าเป็นกังวลของเขา "ก็เค้าไม่ยอมต้อนรับเรานี่ แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรถ้าฝ่าประตูเข้าไป"

    เอสเมอรัลด้าไม่ตอบอะไรไปพักหนึ่ง สโนว์ได้แต่รอฟังว่าเธอจะพูดอะไร เธอจะเข้าใจความกลัวของเขา...หรือจะคิดว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดกัน

    ช่างมันเถอะ...เด็กหนุ่มคิดพร้อมกับกัดฟันอย่างดื้อรั้น แม้สีหน้าจะแดงก่ำขึ้นมาด้วยความละอายในขณะเดียวกัน เราตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้เค้าเป็นอันตรายเด็ดขาด นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว...

    เอสเมอรัลด้าก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขา เด็กหนุ่มก้มหน้าลงหลบสายตาของเธอ แต่เขาก็ยังเห็นใบหน้าของเด็กสาวอยู่แวบหนึ่ง สีหน้าของเธอนั้นเคร่งเครียด แต่ไม่ได้บอกความไม่พอใจ หรือซักไซ้ไล่เลียงอย่างที่เขาคิดว่าจะเห็น

    "ไม่เป็นไรหรอกสโนว์" เด็กสาวเอ่ยเบาๆ "ฉันก็กลัวเหมือนกัน ใครๆ ก็กลัวกันได้ทั้งนั้น"

    เด็กหนุ่มยังคงจ้องมองพื้นสีขาวใต้เท้าต่อไปโดยไม่พูดว่าอะไร เอสเมอรัลด้าเอื้อมมือออกมากุมมือเย็นเฉียบของเขาไว้

    "แต่ถึงอย่างนั้น" เธอเสริมด้วยเสียงหนักๆ "ฉันก็ยังรู้สึก...ตื่นเต้นล่ะมั้ง...ว่าเราจะได้เจออะไรต่อไป กลัวแต่ก็ยังตื่นเต้น ถ้าพวกเราไม่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่รู้มาก่อนชีวิตก็คงไม่มีความหมายหรอก เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้อยากเรียน...อยากค้นพบสิ่งใหม่ๆ แต่นั่นก็แค่ในตำรา ฉันไม่เคยได้ผจญภัยจริงๆ มาก่อน ฉันรู้ว่านายก็ไม่เคยเหมือนกัน แต่นายกำลังจะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเองแล้วนะสโนว์...ไม่ต้องกลัวหรอก"

    สโนว์เงยหน้าขึ้นในที่สุด แต่เอสเมอรัลด้าที่มองตรงไปที่หน้าของเขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มองหน้าเธอ...ทว่ามองข้ามไหล่ของเธอไปจ้องเขม็งอยู่ที่สิ่งหนึ่งด้านหลัง เธอจึงหันหน้ากลับไปบ้างเพื่อดูว่าเขามองอะไร

    ประตูแก้วผลึกบัดนี้เปิดกว้าง...และที่ยืนอยู่กลางอุทยานนั้นคือนางพรายหิมะคริสตัลเล

    สโนว์จำเธอจากภาพที่เห็นในฝันได้ในทันที หญิงสาวมีลักษณะคล้ายมนุษย์...แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวนัก เธอแต่งกายด้วยผ้าโปร่งบางพลิ้วสีเงิน ขาว และเทาซีดราวกับสายหมอก สองเท้าเปลือยเปล่าลอยเรี่ยอยู่เหนือพื้นน้ำแข็งด้วยอำนาจเวทมนตร์ เส้นผมยาวสยายสีน้ำเงินที่พัดพลิ้วอยู่รอบดวงหน้าเป็นประกายด้วยตาข่ายคลุมผมที่ร้อยขึ้นจากเม็ดผลึกรูปหยดน้ำเล็กๆ ส่องแสงระยิบระยับ ดวงหน้าละเอียดอ่อนแต่สีผิวซีดเผือดราวกับคนตาย และดวงตากลมโตก็ดูมืดทะมึนลึกล้ำราวกับห้วงสมุทร

    คริสตัลเลในฝันของสโนว์ต่างจากคริสตัลเลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเพียงอย่างเดียว...แต่ข้อแตกต่างนั้นก็ช่วยให้ความน่าสะพรึงกลัวในฝันเลือนหายไปจากความเป็นจริงได้มากทีเดียว

    คริสตัลเลมีลูกนัยน์ตาเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป และดวงตาสีม่วงคู่สวยก็จ้องตรงมาที่สโนว์ราวกับจะทะลุเข้าไปถึงขั้ววิญญาณ...เข้าไปถึงผลึกชีวิตสีขาวและเปลวเพลิงสีดำที่ยังลุกไหม้อยู่ภายใต้พื้นผิวเยือกแข็ง

    ก่อนที่นางพรายหิมะจะเอ่ยกับสโนว์...ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่ด้วยกระแสจิตที่ดิ่งลึกเข้ามาในใจ น้ำเสียงของเธอนั้นเป็นดั่งกระแสน้ำเย็นชุ่มฉ่ำ

    "เจ้ากลับมาเพื่อค้นหาความจริงแล้วสินะ...ทับทิมดำเอ๋ย"

    สโนว์ทรุดลงคุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมกับค้อมศีรษะลง ด้วยรู้สึกว่านี่เป็นกิริยาที่เหมาะสมที่สุดต่อหน้านางพรายผู้ทรงความงามและยิ่งใหญ่นี้

    ข้างๆ เขา เอสเมอรัลด้าที่นิ่งฟังอย่างเงียบๆ ก็ทำตามเช่นเดียวกัน

    "ครับ ท่านคริสตัลเล" เด็กหนุ่มตอบ "ผมอยากรู้ความจริงเรื่องผลึกชีวิตของผม"

    "ได้" เธอตอบ "แต่จงระวังไว้ ความจริงมิได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป เหมือนกับที่มรกตน้อยที่อยู่เคียงข้างบอกกับเจ้า สิ่งที่เจ้ากำลังจะได้ฟังนี้เป็นสิ่งใหม่...และเป็นสิ่งที่เจ้าหวาดกลัว"

    "จริงอยู่ว่าผมกลัวความจริงครับ ท่านคริสตัลเล" สโนว์ตอบ "เหมือนกับที่เอสเมอรัลด้าบอก...แต่ผมคงอยู่ต่อไปโดยไม่รู้ความจริงไม่ได้ ท่านคริสตัลเล ในชีวิตนี้ผมได้ยินเรื่องอดีตของผมที่พ่อแม่เล่าให้ฟัง แล้วชาวจูมิอื่นๆ ก็เชื่อว่าผมถูกสาป แต่ผมไม่อยากจะเชื่อ ผมก็เลยบอกตัวเองให้เชื่อว่าท่านให้พรผม...ช่วยชีวิตของผมเอาไว้ แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าความจริงคืออะไร ทั้งสองเรื่องอาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ ผมต้องรู้ความจริงให้ได้...ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม...แทนที่จะอยู่กับความเชื่อจอมปลอมต่อไปอย่างนี้"

    "พูดได้ดี" นางพรายหิมะตอบ "จูมิแห่งทับทิมดำ...จงฟังให้ดีว่าเหตุใดข้าจึงได้แช่แข็งผลึกชีวิตของเจ้า

    "ชาวจูมิอาจจำไม่ได้แล้ว เพราะจูมิแห่งทับทิมดำคนสุดท้ายก่อนหน้าเจ้าคงมีอยู่ก่อนชาวจูมิคนใดในปัจจุบันจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก แต่ข้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้นานนับหลายพันปี ข้ายังจำได้ดีว่าทับทิมดำซึ่งไม่อาจควบคุมเปลวเพลิงกาฬในผลึกชีวิตของตนได้นั้นเป็นอย่างไร

    "เมื่อพ่อแม่ของเจ้านำเจ้ามา ข้ารู้ได้ในทันทีว่าผลึกชีวิตของเจ้านั้นได้รับความเสียหาย...ทำให้เปลวเพลิงลุกพลุ่งขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ทว่าข้าก็ยังรู้ว่าเจ้าจะรอดชีวิตจากเปลวเพลิงนั้นได้ หรือพูดอีกทางคือ...เจ้าจะหายจากอาการไข้ครั้งนั้นและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก แต่คงไม่อาจเลี่ยงผลร้ายทางจิตที่ทับทิมดำจะทำให้เกิดขึ้นกับเจ้าได้

    "ทับทิมดำ...กระทั่งในยามที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์...ยังจำเป็นต้องใช้อำนาจจิตอันแรงกล้าเป็นพิเศษเพื่อควบคุมพลังของมันเอาไว้ จูมิแห่งทับทิมดำคนสุดท้าย...คือบรรพบุรุษของเจ้า...เป็นบุคคลอันน่าสรรเสริญที่ใช้พลังของมันด้วยเจตนาอันดี เขาทั้งเข้มแข็งและแข็งแกร่งแต่มิได้โหดร้าย หากทุกคนไม่ได้เป็นเช่นเขา

    "ข้าเคยรู้จักจูมิแห่งทับทิมดำอีกคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีมาแล้ว ผลึกชีวิตของเขานั้นมีตำหนิมาแต่กำเนิด และเขาเป็นคนที่โหดร้ายทารุณ ใช้อำนาจของผลึกชีวิตด้วยประสงค์ร้าย และทำลายชีวิตของผู้บริสุทธิ์มากมายจนกระทั่งเพลิงจากทับทิมดำทำให้เขาเสียสติ และทำลายตนเองไป

    "เด็กหนุ่มชาวจูมิเอ๋ย...นี่แหละคือด้านมืดของอำนาจของผลึกชีวิตของชาวจูมิ ผลึกที่มีตำหนิอย่างรุนแรงแทนที่จะรักษาผู้อื่นได้กลับถูกใช้เพื่อการฆ่าฟัน...เพื่อดูดกลืนพลังของผู้อื่นเข้าหาตนเองแทนที่จะรักษาเยียวยา

    "พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้มาที่นี่ด้วยความบังเอิญ ข้าล่วงรู้ว่ามีจูมิแห่งทับทิมดำถือกำเนิดในโลกนี้อีกคนแล้ว...และรู้ว่าผลึกชีวิตของเจ้านั้นได้รับความเสียหาย ข้าจึงใช้อำนาจจิตดลใจให้พ่อแม่ของเจ้ามาที่นี่ แม้พวกเขาจะคิดว่าตนเองสมัครใจมาก็ตาม"

    สโนว์ที่ก้มหน้านิ่งฟังคำพูดของคริสตัลเลอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดเงยหน้าขึ้นพูดแทรกอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเทาจับจ้องนางพรายหิมะเขม็ง

    "ถ...ถ้าอย่างนั้น...ที่ท่านทำลงไปก็ไม่ใช่เพื่อตัวผมเองเลย!"

    "ถูกต้อง" คริสตัลเลตอบ "ที่ข้าทำลงไปไม่ใช่สาปเจ้า หรือให้พรเจ้า หรือแม้กระทั่งทำเพื่อตัวเจ้าเลย...จูมิแห่งทับทิมดำ ข้าเพียงแต่ทำลงไปเพื่อปกป้องผู้อื่นจากหายนะที่เจ้าอาจก่อขึ้นเท่านั้น"

    "ที่ท่านทำลงไป" สโนว์พูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มโกรธกรุ่น "เป็นเพียงเพราะท่านคาดเดาการกระทำของผมทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าผลจริงๆ จะเป็นยังไง รู้ทั้งรู้ว่าผมจะรอดชีวิตต่อไปได้ ท่านกลับทำให้ผลึกชีวิตของผมเสื่อมค่า...แล้วทำให้ผมต้องกลายเป็นคนขี้โรคแบบนี้ไปชั่วชีวิต!"

    "จูมิแห่งทับทิมดำเอ๋ย..." คริสตัลเลตอบด้วยกระแสเสียงเรียบเย็นชัดเจน ไม่มีความโกรธเกรี้ยวหรือเวทนาอยู่ในน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย "ข้าถือโอกาสนั้นตัดสินชะตาของเจ้าแทนที่จะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์ตนเองดังว่าจริง และยิ่งไปกว่านั้นจงรู้ไว้...ว่าข้ายังกุมชะตาของเจ้าอยู่ในมือ หากข้าเห็นว่าเจ้าจะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้อื่นเมื่อใด ข้าก็จะใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อทำลายเจ้า จงรู้ไว้ว่าพวกเราเหล่าพรายครั้งหนึ่งก็เคยได้รับความทุกข์จากทับทิมดำเช่นกัน"

    "แต่ท่านตัดสินผมแบบนี้ได้ยังไงทั้งๆ ที่ไม่รู้จักตัวผมเลย!" เสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือด้วยความโกรธเคือง "ท่านทำอย่างนี้กับผมโดยไม่ให้โอกาสผมพิสูจน์ตัวเองเลยด้วยซ้ำ! ท่านคริสตัลเล...ผมขอบอกให้รู้ไว้ว่าผมไม่เคยตั้งใจจะทำร้ายใครเลย...ทั้งในตอนนี้และในอนาคตก็เหมือนกัน!"

    "กระนั้นเจ้ายังโกรธเคืองง่ายถึงเพียงนี้...ทับทิมดำ...แม้ผลึกชีวิตของเจ้าจะถูกแช่แข็งไว้แล้วก็ตาม" นางพรายตอบด้วยน้ำเสียงหวานเยือกเย็น

    สโนว์ทำท่าจะเปิดปากตอบ แต่แล้วก็กลับก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วก่อนจะกัดริมฝีปากนิ่งเงียบไป

    "ข้ายอมรับข้อกล่าวหาของเจ้าทั้งหมด" คริสตัลเลเอ่ยต่อไป "แต่ข้ายังจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง...โอกาสที่จะพิสูจน์ว่าเจ้าจะควบคุมพลังไฟของทับทิมดำด้วยอำนาจจิตของเจ้าได้หรือไม่เมื่อเจ้าเติบโตขึ้น บอกข้าซิสโนว์...เจ้ารู้สึกว่าตนเองควบคุมมันได้หรือไม่ หากเจ้าตอบว่าได้...ข้าก็จะปลดปล่อยผลึกชึวิตของเจ้าจากเวทมนตร์ของข้าที่ครอบงำอยู่"

    สโนว์ยิ่งก้มศีรษะลงต่ำ เขาเหลือบมองเอสเมอรัลด้า ทว่าเด็กสาวก็ก้มหน้าลงไม่ยอมสบตาตอบเขา ไม่ยอมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ปล่อยให้เด็กหนุ่มเป็นผู้ตัดสินชะตาของตนเอง

    แต่เมื่อนึกถึงความฝันนั้นได้ เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองตรงเข้าไปในดวงตาสีม่วงอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งของนางพรายก่อนจะพูดขึ้น

    "ท่านคริสตัลเล ฝันร้ายที่ท่านบันดาลให้ผมเห็นเมื่อคืน...ภาพนิมิตนั้นทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ ผมนึกขึ้นได้ว่าไฟและพลังงานเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทั้งดีร้าย ท่านมีชีวิตมานานนับพันปี เวลาไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่าน กระทั่งพวกเราชาวจูมิที่มีอายุยืนยาวคงเทียบได้กับแค่ชั่วเสี้ยววินาทีในความเป็นนิรันดร์ของท่าน แต่ท่านก็ไม่มีทางหยุดเวลา...กับชีวิตของพวกเราที่มีชีวิตแตกต่างกับท่านได้ ผมเองก็อยู่ไปอย่างนี้ไม่ได้เหมือนกัน ท่านครัสตัลเล เพราะอย่างนี้ผมถึงใกล้จะตาย...เพราะท่านปิดกั้นพลังชีวิตในผลึกของผมเอาไว้ ผมจำเป็นต้องมีพลังชีวิตที่จะเติบโต ไม่อย่างนั้นร่างกายของผมคงจะอยู่ต่อไปไม่ได้ด้วยพลังเพียงน้อยนิดนี้ แล้วผมเองก็จะต้องตาย ได้โปรดปลดปล่อยผมเถอะท่านคริสตัลเล แล้วผมจะแสดงให้ท่านเห็นว่าผมมีค่าพอที่จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง"

    ความเงียบยังคงดำเนินไปเป็นนานกว่าเสียงของนางพรายจะเอ่ยขึ้น

    "พูดได้ดีนี่ทับทิมดำ ข้าจะทำตามที่เจ้าขอ แต่ข้าจะไม่ใช่ผู้ที่ตัดสินว่าเมื่อใดเวทมนตร์สะกดผลึกชีวิตของเจ้าจะถูกปลดออก เจ้าเป็นผู้ที่จะตัดสิน...เมื่อจิตวิญญาณของเจ้ารู้ว่าเจ้าเข้มแข็งพอที่จะรองรับพลังของตนเองได้ จงตัดสินใจให้ดี...จูมิแห่งผลึกน้ำแข็ง เพราะหากเจ้าพลาดไปแล้ว...ข้าจะตามล่าเจ้าไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่จนกว่าจะฆ่าเจ้าได้ จงออกไปจากอุทยานนี้เสีย พร้อมกับคำเตือน...และพรของข้านี้"

    เธอเลื่อนดวงตาลึกล้ำมาจับจ้องที่เอสเมอรัลด้า

    "โคลเวอร์นำโชคน้อยเอ๋ย" เธอเอ่ย "เจ้ารู้ดีกว่าใครว่าควรจะดูแลทับทิมดำอย่างไร จงรับพรของข้าไป..."

    กระแสลมเรืองแสงพัดผ่านอุทยานอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ร่างของนางพรายหิมะเลือนหายไปในสายหมอก

    ครู่ต่อมาสองหนุ่มสาวชาวจูมิก็พบตนเองยืนอยู่นอกอุทยานแก้วผลึก เบื้องหน้าประตูที่ปิดสนิท

    เอสเมอรัลด้ามองภาพเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาทางสโนว์

    "รู้สึกว่าเค้าจะรู้ไปทุกเรื่องจริงๆ นะ" เด็กสาวเปรยด้วยน้ำเสียงทึ่งๆ

    "ถ้าเรื่องฉันล่ะก็รู้ดีเกินพอด้วยซ้ำ" สโนว์ตอบอย่างหงุดหงิด

    "เค้ารู้กระทั่งเรื่องโคลเวอร์นำโชคด้วย" เอสเมอรัลด้าพูดต่อ

    สโนว์ที่ยังจดจ่อกับความจริงที่คริสตัลเลเปิดเผยถามขึ้นลอยๆ

    "เรื่องอะไรเหรอ"

    เอสเมอรัลด้าวางมือลงบนไหล่ของสโนว์ก่อนจะเขย่าน้อยๆ ด้วยความแปลกใจ

    "สโนว์...นายไม่รู้เหรอว่าฉันมีพี่สาวสามคน!"

    สโนว์เริ่มหันมาสนใจ

    "ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอมีพี่สาวสามคน" เขาตอบเรียบๆ "แล้วนั่นก็ไม่ธรรมดาด้วย แต่มันเกี่ยวกันยังไงล่ะ"

    "นายไม่รู้จริงๆ น่ะ" เอสเมอรัลด้าย้อนถาม "ชาวจูมิปกติจะมีลูกแค่คนหรือสองคนเท่านั้น เพราะต้องแบ่งพลังในผลึกชีวิตส่วนหนึ่งถ่ายให้กับผลึกชีวิตของเด็กที่จะเกิดมา เพื่อเป็นกลไกกันไม่ให้ผลึกชีวิตของพ่อแม่เสื่อมพลังลง...ก็เลยไม่มีลูกคนที่สามตามมา ตอนที่แม่มีพี่สาวคนโตกับคนรอง ใครๆ ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่พอมีพี่สาวคนที่สาม พวกเค้าก็เริ่มคิดว่าแปลกแค่ไหน ยิ่งมีฉันด้วยแล้วใครๆ ก็ต้องตกใจเพราะไม่มีครอบครัวที่ไหนที่มีลูกสี่คนมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว พอพวกเราสี่คนมีผลึกชีวิตเป็นมรกตหมด พวกเค้าก็เลยเรียกเราว่าโคลเวอร์นำโชค...ตามต้นโคลเวอร์ที่มีใบสี่แฉก คริสตัลเลก็เรียกฉันว่าอย่างนั้น"

    "งั้นเหรอ" สโนว์เปรยขึ้นก่อนจะเสริม "ถ้าเค้ารู้กระทั่งเรื่องนี้ ก็น่ากลัวแฮะว่าเค้าจะมาตามฆ่าฉันได้จริงอย่างที่พูด ถ้าฉันทำอะไรไม่ดีลงไป..."

    "ฉันเชื่อว่านายต้องตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีแน่" เอสเมอรัลด้าเอ่ยตามตรง "ไม่เห็นจะต้องกลัวเลยนี่"

    สโนว์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น

    "เธอจะช่วยฉันใช่มั้ยเอสเมอรัลด้า ช่วยให้ฉันเลือกสิ่งที่ถูกต้อง...คือ...คริสตัลเลก็บอกแล้วว่าเธอช่วยฉันได้" เด็กหนุ่มรีบพูดเผื่อเอสเมอรัลด้าจะหาว่าเขาคิดอะไรเหลวไหล

    เด็กสาวยิ้มให้เขา

    "ฉันก็บอกแล้วไงสโนว์...ว่านายต้องตัดสินใจได้ดีแน่"

    เด็กหนุ่มก้มหน้าลงนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

    "รู้สึกว่าฉันจะตกข่าวจริงๆ นะ เรื่องที่คนอื่นเค้ารู้กันทั่ว...อย่างเรื่องโคลเวอร์นำโชคนี่ ฉันกลับไม่รู้อะไรเลย"

    "แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่" เอสเมอรัลด้าตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก "ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องพวกนี้จะสำคัญนี่นา แล้วอีกอย่าง..."

    เด็กสาวเสริมพร้อมกับขมวดคิ้วน้อยๆ

    "ฉันไม่แน่ใจว่าพ่อกับแม่โชคดีจริงๆ หรือเปล่าที่มีลูกสาวตั้งสี่คนแบบนี้"

    "ฉันว่าโชคดีนะ" สโนว์รีบพูด "ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเธอน่ะสิเอสเมอรัลด้า"

    "จะว่าอย่างนั้นคงได้ล่ะมั้ง" เอสเมอรัลด้ายอมรับ "แต่แม่ฉันไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ ฉันได้ยินแม่บ่นอยู่บ่อยๆ ว่าจะจับคู่พวกเราทุกคนตอนบรรลุนิติภาวะกันหมดได้ยังไง เพราะไม่ค่อยมีผู้ชายตระกูลสูงรุ่นราวคราวเดียวกันเลย แต่ฉันก็ไม่สนเรื่องนั้นหรอก"

    "งั้นเหรอ" สโนว์ตอบพร้อมกับที่แก้มแดงเรื่อขึ้นมา

    เอสเมอรัลด้าส่งยิ้มให้กับเขา

    "จะยังไงก็ตาม" เด็กสาวสรุป "ฉันขออยู่กับนาย...ดีกว่าจะให้อัศวินที่ไหนมาคอยปกป้องซะอีก"

    สโนว์ไม่รู้ว่าคำพูดของเธอมีความหมายอย่างไร แต่เมื่อมือน้อยๆ ของเอสเมอรัลด้าเลื่อนเข้ามาอยู่ในอุ้งมือของเขาเด็กหนุ่มก็ยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก

    "ก็...ดีนะ" เขาตอบแผ่วๆ


    Author's Comment: จำเพลง "Memories of Running" กับทุ่งหิมะฟี้กได้ใช่มั้ยคะทุกคน นี่เป็นเพลงประจำฉากหิมะในเกมที่ฉันเห็นว่าดีที่สุดที่ได้ฟังมาเลย มันชวนให้ฉันคิดถึงภาพคริสตัลเลในพายุหิมะขึ้นมาน่ะคะ นึงถึงเพลงนี้ประกอบฉากความฝันของสโนว์ไปได้เลยนะคะ

    ในต้นเรื่องเดิมของสโนว์ สโนว์ไวท์ซึ่งเป็นเพื่อนของคริสตัลเลตายไป แล้วเศษผลึกชีวิตของเขาก็กลายเป็นอุทยานแก้วผลึก แต่ฉันจะทำอย่างนั้นกับเอสเมอรัลด้ากับสโนว์ได้ยังไงกัน อย่างที่บอกว่าเรื่องของทับทิมดำเป็นเรื่องที่ฉันแต่งขึ้น แล้วแนวคิดนี้ก็ไปเชื่อมโยงกับผลึกชีวิตและพลังของแบล็คเพิร์ลได้ดีทีเดียว

    ฉันคิดว่านี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมประชากรชาวจูมิถึงได้ไม่ล้นเมืองได้ดีทีเดียวในเมื่อชาวจูมิมีลูกแค่หนึ่งหรือสองคน จำนวนประชากรเลยยังคงที่ หรือค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ เพราะมีคนตายมากกว่าอยู่น่ะค่ะ

    ออกตัวก่อนว่าฉันคงไม่เขียนเรื่องที่เอสเมอรัลด้าออกตามหาผลึกชีวิตของพี่สาวในมหาวิทยาลัยนะค่ะ ในเมื่อฉันไม่เคยให้พี่สาวของเธอปรากฏตัวในเรื่องเลย ถึงสร้างขึ้นมาก็คงมีแต่จะเฟ้อเกินความจำเป็น (แล้วก็ไม่เข้ากับแนวเรื่องของฉันอยู่ดี) แล้วมันก็ไม่ได้ช่วยเสริมความสัมพันธ์ของเธอกับสโนว์เท่าไหร่ แต่สงสัยจังว่าพ่อแม่ของเอสเมอรัลด้าจะสรรหาชื่อเกี่ยวกับมรกตมาให้ลูกสาวตั้งสี่คนได้ยังไงไหวนะ

    สโนว์กับเอสเมอรัลด้าเป็นคู่ที่ได้รับความนิยมจนน่าแปลกใจซึ่งฉันดีใจมาก เพราะพวกเขาเป็นคู่ที่ไม่ได้อิงมาจากในเกมด้วย (ทีแรกสโนว์ก็ตายไปก่อนเริ่มเกมแล้ว) คงเป็นเพราะสองคนนี่เป็นคู่ที่ออกจะดูเด็กแล้วก็ใสซื่อกว่าคู่อื่นในเรื่องที่เป็นผู้ใหญ่มีแต่เรื่องยุ่งยากน่าปวดหัว เคยมีคนส่งคอมเมนต์มาให้ฉันว่าเค้าไม่เห็นใจตัวละครอย่างแบล็คเพิร์ล ซานดร้า ไดอาน่า หรือกระทั่งรูเบ็นส์ที่รู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็ต้องรับผลของการกระทำทั้งดีร้ายนั้นๆ เลย คงเพราะอย่างนี้เอลาซัลที่เด็กกว่าหน่อยเลยได้รับความเห็นใจจากคนอื่นๆ มากกว่าพวกที่มีชื่อข้างบน (โดยรวมๆ น่ะค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าผู้อ่านชอบตัวละครตัวไหน) จริงๆ แล้วแก่นของเรื่องนี้ก็ตั้งใจจะแสดงให้เห็นเอลาซัลที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่นะคะ

    บางทีมีคนถามเกี่ยวกับพระเอกนางเอกมาเหมือนกัน ฉันก็เลยคิดข้อมูลพระเอกกับนางเอกของตัวเองเล่นๆ ขึ้นมา แต่คงไม่ใส่ในเนื้อเรื่องนะคะ

    พระเอก
    ชื่อดาร์เรล เป็นชายหนุ่มร่างใหญ่นิสัยดีที่สนใจเรื่องปรัชญากับประวัติศาสตร์โลกมาก เขาชอบใช้เวลาส่วนมากไปกับการศึกษาค้นคว้าและทำสวน ถึงจะเป็นคนที่แข็งแรงแต่ก็ไม่เคยข่มใครด้วยกำลัง เป็นคนรักสันติและเชื่อว่าคนเราควรอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสงบสุข ปกติเป็นคนขี้อายกับผู้หญิง ถึงจะชอบเพิร์ลแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา เพราะเอลาซัลดูจะหวงเพิร์ลอยู่ และดาร์เรลก็กลัวว่าถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นมาเขาอาจจะเผลอทุบเพื่อนชาวจูมิหัวแบะได้

    นางเอก
    ชื่อมายา เป็นสาวน้อยปราดเปรียวน่ารักชอบกินของหวานมาก หนึ่งในงานอดิเรกของเธอคือการถอนต้นไม้ใหญ่ด้วยมือเปล่า ซึ่งทำให้ดาร์เรลหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเธอมีนิสัยชอบขว้างอะไรก็ตามที่มือคว้าได้ไปมารอบๆ ตอนโมโห ทุกคนรอบๆ ตัวเธอเลยต้องทำให้เธอมีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา
    (ก็พระเอกนางเอกเกมนี้แรงมหาศาลมากจนน่ากลัวจริงๆ นี่คะ)

    Translator's Comment: อืม...คิดเล่นๆ ขึ้นมาว่าชื่อพี่สาวเอสเมอรัลด้าน่าจะเป็นอย่างนี้นะ เอเมเรีย เอสเพอรันซ่า เอเมอรัลด้า (เผื่อผมจะเขียนแฟนฟิคกะเค้าบ้างรึ? ไม่หรอก^^;;;)

    ไปๆ มาๆ สโนว์ก็ดูจะมีความสำคัญมากกับเรื่องขึ้นมาได้แฮะ ผมเดาว่าแบล็ครูบี้กับแบล็คเพิร์ลน่าจะมีความเกี่ยวพันกันไม่น้อยเลย คู่เอสเมอรัลด้าก็ดูเรียบง่าย Puppy Love จริงๆ ล่ะ ดีแล้วล่ะครับที่ไม่พรากคู่นี้จากกัน (แต่ทางที่ดีอย่าเขียนให้มีใครตายเลยก็ดีนะคร้าบ - -)

    อืม...พอพูดถึงเรื่องเอลาซัลที่ค่อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ผมเองก็เห็นด้วยล่ะครับ ถึงภาคนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเอลาซัลมีการพัฒนาที่แตกต่างจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด จากทีแรกที่ดูเหมือนจะขึ้โมโหไร้เหตุผล กลับต้องมาเจอเรื่องอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็แบกรับภาระต่างๆ เสียตั้งเยอะแบบนี้ ทำให้ผมชอบบทบาทของเอลาซัลขึ้นมาเลย (แต่ยังไงตอนนี้แซฟไฟร์ก็กลายเป็นดวงใจของผมไปแล้วล่ะครับ =^^=)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×