ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานแห่งเผ่าจูมิ

    ลำดับตอนที่ #17 : ภาคที่ 3 - เพิร์ล / บทที่ 3 - แต่งแต้มผืนพิภพ: บุปผาอันเจิดจ้า

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 118
      0
      26 ส.ค. 49

    ขอมอบตอนนี้ให้กับ StarDragon ค่ะ

    PART III: PEARL
    Chapter 3: Earth Painting: Glowing Blossoms

    ภาคที่ 3: เพิร์ล
    บทที่ 3: แต่งแต้มผืนพิภพ: บุปผาอันเจิดจ้า


    เดือนพฤษภาคมนั้นกรุ่นด้วยกลิ่นหอมและภาพลานตาของดอกไม้หลากสีสัน ผืนธรณีที่ถูกแต่งแต้มด้วยบุปผานานาพรรณดูราวกับหญิงสาวที่กำลังเริงระบำในอาภรณ์สีเขียวยอดหญ้าแซมสีเหลืองอ่อนของดอกบัตเตอร์คัพ ดอกเดซี่ที่สดใสราวกับดวงดาราคือดวงตา ดอกป็อปปีสีแดงดั่งโลหิตแต่งแต้มริมฝีปาก และดอกทานตะวันสีแสดที่หันหน้าสูงสู่ดวงตะวันประดับแซมในเรือนผม

    ร่างของหญิงสาวอายุราวยี่สิบห้าปียืนอยู่ท่ามกลางสีสันอันอบอุ่นเหล่านี้ พร้อมกับดวงตาสดใสที่จับจ้องไปยังท้องฟ้าสีครามเจิดจ้าเหนือหุบเขา

    เธอนิ่งเงียบราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด ปล่อยให้สายลมอ่อนหยอกล้อกับชายกระโปรงสีเขียวเดินขอบสีทอง มือที่ใส่ถุงมืออยู่กำแน่นขึ้นครู่หนึ่งเหมือนกับเจ้าตัวกำลังจะตัดสินเรื่องบางอย่างที่ไม่แน่ใจ

    แต่แล้วนิ้วของเธอก็คลายลงพร้อมกับที่รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนริมฝีปากสีแดงสดเหมือนกับได้นึกถึงเรื่องที่น่าพอใจหรือขบขัน หญิงสาวเลื่อนมือขึ้นเสยปอยผมสีเกาลัดที่ปรกลงข้างแก้มอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะพูดขึ้น

    "ขอโทษนะ...เอลาซัล" เธอเอ่ย "ฉันอยากพบคุณอีก...ใช่...อยากพบมากที่สุด แต่ฉันมีเรื่องที่ต้องทำในตอนนี้...เรื่องที่ปล่อยให้คุณเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้ เพราะว่าคุณต้องต่อว่าฉันแน่ๆ คุณพูดแต่ความจริงเสมอ...นั่นทำให้ฉันเกลียดตัวเองมากกว่าเดิม พวกเค้าบอกฉันว่าในที่สุดคุณก็ได้พบกับชีวิตที่เงียบสงบอย่างที่คุณอยากพบมาตลอดแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการชดเชยปัญหาต่างๆ ที่ฉันเคยก่อให้คุณ ฉันจะไม่ไปรบกวนชีวิตที่แสนสงบของคุณ...อย่างน้อยก็อีกสักพักหนึ่ง"

    หญิงสาวหันหน้าไปพบกับภาพของสิ่งหนึ่ง...ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ริมถนนกอหนึ่งซึ่งมีสีส้มเจิดจ้าดึงดูดสายตาเสียเหลือเกินทำให้เธอหัวเราะขึ้นมาน้อยๆ ส่งเสียงสดใสให้ล่องลอยไปตามลมร้อนปลายฤดูใบไม้ผลิ

    "เจ้าช่างไร้ค่าจริงๆ...ดอกไม้น้อย" เธอเอ่ย "ไร้ค่าเหมือนกันฉัน! เจ้าน่าจะเข้ากับฉันได้อย่างเหมาะเจาะทีเดียว!"

    หญิงสาวโน้มกายลงเด็ดดอกไม้ดอกโตที่ราวกับจะส่องประกายได้ขึ้นมาสองดอก ปลิดใบกว้างสีเขียวออกก่อนจะเสียบก้านดอกไม้เข้าที่เรือนผมเหนือหูทั้งสองข้างจัดให้แน่น

    "เอาล่ะ" เธอพูดพร้อมกับยืดกายขึ้น "เราเตรียมตัวสำหรับแผนการขั้นต่อไปเรียบร้อยแล้ว"

    หญิงสาวปรายตามองเงาเงื้อมของเมืองเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่ในหุบเขาสีเขียวไกลๆ เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะเบือนหน้าไป

    "เมื่อเราได้พบกันอีก...เอลาซัล...จงระวังตัวป่วนซานดร้าคนนี้ให้ดีเถอะ!!"


    ดวงอาทิตย์บนฟ้าคล้อยต่ำลงเล็กน้อยเมื่อถึงยามบ่าย และภายในเมืองก็ดูเงียบสงบลง คงเป็นเพราะอากาศที่ร้อนกรุ่นชวนอึดอัดกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งบอกให้รู้ถึงฤดูร้อนที่ใกล้เข้ามากระมัง วันที่อากาศร้อนหนาหนักชวนง่วงงุนเหมือนจะทำให้เลือดในกายของทุกคนไหลช้าลง และเปลี่ยนกระทั่งคนที่ขยันขันแข็งที่สุดให้กลายเป็นนักฝันอันเฉื่อยชาได้

    ร่างผอมบางของชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในมุมมืดใต้ร่มเงาของบาร์เหล้าเล็กๆ อาจเพื่อหลบจากไอร้อนด้านนอก ชายคนนั้นโน้มกายลงเหนือแก้วเครื่องดื่มของตนน้อยๆ โดยมีหมวกคลุมสีขาวปิดบังศีรษะ แม้นิ้วที่ผอมจนเห็นข้อกระดูกของเขาจะจับรอบแก้วทรงสูงไว้แน่น หากดูเหมือนเขาแทบจะไม่ได้จิบเครื่องดื่มในแก้วเข้าไปเท่าใดเลย

    จากด้านในเงาของหมวกคลุม...ดวงตาสีซีดกำลังจับจ้องความเป็นไปภายในบาร์อย่างระแวดระวัง

    วันนั้นมีลูกค้าอื่นๆ ในบาร์เหล้าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากชายในชุดคลุมสีขาวแล้วยังมีชายอีกสี่คนที่จับกลุ่มนั่งดื่มกันมาในพักใหญ่จนดูจะเมาครึ้มเข้าแล้ว บาร์เทนเดอร์ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนกำลังจัดเรียงขวดเหล้าอยู่ที่เคาน์เตอร์พร้อมกับปรายตามองไปทางลูกค้ากลุ่มนั้นเป็นระยะๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ว่าอะไรเมื่อทั้งกลุ่มสั่งเหล้าอีกขวด เขาเพียงแต่หยิบขวดเหล้าออกไปวางไว้บนโต๊ะอย่างเงียบๆ ก่อนจะรีบกลับมาทำงานหลังเคาน์เตอร์ต่อ

    ดูท่าแอลกอฮอล์จะเริ่มออกฤทธิ์กับชายกลุ่มนั้นแล้ว เพราะพวกเขาเริ่มพูดดังขึ้นด้วยน้ำเสียงโฮกฮากเหมือนกับมีเรื่องทะเลาะ

    "จริงนะเฟ้ย!" ชายคนหนึ่งพูดพร้อมกับยกมือขึ้นทุบโต๊ะ "ฉันเห็นนังนั่น...เห็นซานดร้าจริงๆ!  ชุดเขียวทัดดอกไม้ส้มนั่นล่ะ คราวนี้ไม่ได้เมาแน่ๆ!!"

    คำประกาศของเขาถูกตอบรับด้วยเสียงถากถาง

    "จริงเหรอวะ"

    "ไม่ขำเลยนะเว้ย"

    "เออ...มีคนเห็นนังโจรนั่นจริงๆ อยู่ไม่กี่คนหรอก"

    "แต่ก็มีหลายคนที่อ้างว่าเห็น"

    ชายคนนั้นหันไปทางบาร์เทนเดอร์ทั้งที่หน้าแดงก่ำ

    "ถามบ๋อยเด่ะ...รับรองได้!" น้ำเสียงของเขาเริ่มดังขึ้น "บ๋อยก็เคยเห็นนังนั่งครั้งนึงใช่มะ นังซานดร้าโจรขโมยเพชรนั่น...เมื่อสองอาทิตย์ก่อนมันยังมาป้วนเปี้ยนแถวเมืองนี้ด้วยซ้ำ!"

    บาร์เทนเดอร์เพียงแต่มองข้ามไหล่ไปยังคนกลุ่มนั้นพร้อมกับหยุดจัดแก้วบนชั้นครู่หนึ่ง แต่ก่อนจะได้ตอบอะไรประตูก็ถูกผลักเข้ามาเสียก่อน

    ลูกค้าที่เข้ามาใหม่นั้นเป็นชายหนุ่มหน้าคมเข้มผมสีดำ สวมชุดสีเทาล้วนเลอะคราบเขม่าประปรายเป็นบางจุด ซึ่งบอกให้รู้ว่าเขาทำงานเกี่ยวกับเตาไฟและเพิ่งตรงดิ่งมาจากงาน แม้มือกับหน้าจะล้างสะอาดก็ตามที

    ชายทั้งสี่ที่โต๊ะหยุดพูดแล้วหันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก จากที่เพิ่งทะเลาะกันอยู่หมาดๆ พวกเขากลับรินเหล้าขวดใหม่ที่บาร์เทนเดอร์นำมาให้แจกจ่ายกันทั้งวงจนหมดขวด ร่างที่นั่งอยู่ในมุมห้องก็ปรายตามองผู้มาใหม่เช่นกัน

    แต่ชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะสนใจคนพวกนั้น เขาตรงไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะสั่งเบียร์สองขวดกับบาร์เทนเดอร์ ซึ่งมองเขาด้วยสายตาที่ดูเป็นมิตรมากกว่าที่มองกลุ่มลูกค้าก่อนหน้า

    "ไม่ดื่มอะไรแก้คอแห้งซักแก้วก่อนเหรอ" บาร์เทนเดอร์สัพยอก

    ชายหนุ่มยิ้มตอบน้อยๆ

    "ไม่ล่ะครับ เจ้านายแค่ส่งผมออกมาซื้อของน่ะครับ เดี๋ยวยังต้องกลับไปทำงานต่ออีก"

    บาร์เทนเดอร์พยักหน้า

    "งั้นเดี๋ยวฉันไปหยิบเบียร์จากห้องแช่ให้"

    บรรยากาศภายในบาร์เหล้าเงียบไปพักหนึ่งในระหว่างที่บาร์เทนเดอร์ผลุบเข้าไปในประตูด้านหลังร้าน ก่อนที่ชายคนหนึ่งในกลุ่มสี่คนที่นั่งอยู่จะพูดขึ้น

    "อ้อ...มิน่าว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้านัก ไอ้เด็กใหม่ที่มาช่วยงานร้านตีเหล็กนี่เอง"

    "ก็ใช่น่ะซี่" ชายอีกคนพูดขึ้นพร้อมกับขมวดยิ้มที่มุมปากซึ่งดูไม่ค่อยโสภานัก "หน้าหวานยังกะผู้หญิงยังงี้ใครจะไปลืมได้ลง"

    ชายหนุ่มปรายสายตาเย็นชาข้ามไหล่ไปทางคนกลุ่มนั้นเพียงครู่แต่ก็ไม่โต้ตอบอะไร

    "ไอ้หนูร้านเหล็กไม่กินเหล้ารึไงฮึ" ชายอีกคนถามขึ้น ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะพากันล้อเลียนเขาอย่างพร้อมเพรียง

    "สงสัยมันจะกินเหล้าไม่เป็นว่ะ"

    "กินของถูกไม่ได้ หรือว่าหน้าตัวเมียกันหว่า"

    "หน้าสวยอย่างนี้ตอนเด็กๆ พ่อจะนึกว่ามันเป็นผู้หญิงมั้ยวะ"

    "ชัวร์แหง เพราะงี้เลยห้ามไม่ให้มันกินแน่ว่ะ"

    ชายหนุ่มขยับไหล่ครู่หนึ่งพร้อมกับเม้มปากแน่น แต่เขายังก้มมองพื้นเคาน์เตอร์ต่อไป

    บาร์เทนเดอร์ที่กลับออกมาได้ยินสองสามประโยคหลังเข้า เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะเลื่อนสายตาวูบไปทางชายหนุ่ม แต่ก็ไม่พูดอะไรขณะวางขวดเบียร์สองขวดลงบนเคาน์เตอร์

    "เอ้านี่" เขาบอก "แล้วเราจะไม่ดื่มอะไรซักหน่อยรึ"

    แต่ก่อนชายหนุ่มจะทันตอบ ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ตะโกนขึ้น

    "คงกินได้ร้อก! ก็พ่อห้ามมันไม่ให้กินเหล้านี่หว่า!!"

    "ช่างเถอะครับ" ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็นตอบสายตาของบาร์เทนเดอร์ "ผมไม่ถือคำพูดของพวกขี้เมาหยำเปหรอก"

    "เฮ้ย มันหาว่าพวกเราเป็นไอ้ขี้เมาหยำเปว่ะ!" ชายคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่ชายทั้งสี่จะลุกขึ้นยืน

    "ไม่พูดตรงๆ กันงี้หยิ่งนี่หว่า" คนหนึ่งพูดขึ้น

    "เฮ้ย ไอ้หนูร้านเหล็ก แกคิดว่าตัวเองวิเศษมาจากไหนวะ"

    "ยังไงพวกเราก็ไม่ได้อยู่กับคนบ้าเหมือนแกล่ะว่ะ" ชายคนหนึ่งโพล่งขึ้น

    "เออใช่" อีกคนตอบรับพร้อมกับเป่าปาก "ไอ้หนูนี่ดูแลนังบ้าคนนึงอยู่นี่หว่า"

    "นังคนที่คุยกับผีได้น่ะนะ"

    "เออ เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันยังเห็นมันเดินคุยกับผีอยู่ในจัตุรัสกลางเมืองอยู่เลย"

    "เฮ้ยไอ้หนู เมียตัวเองหัดดูแลให้ดีหน่อยสิวะ"

    "ปล่อยให้ออกมาเดินลอยชายแบบนั้นไม่ห่วงหรือไง"

    "นี่แกเป็นผัวมัน...หรือเป็นพี่เลี้ยงมันกันแน่วะ"

    "อืม..." ชายหนุ่มพูดกับบาร์เทนเดอร์โดยทำเป็นไม่สนใจคนกลุ่มนั้น "ขออะไรแรงๆ ซักแก้วก็ดีเหมือนกันครับ"

    บาร์เทนเดอร์เหลือบมองชายหนุ่มอย่างไม่สบายใจเมื่อสังเกตเห็นแววเครียดขึ้งในดวงตาของอีกฝ่าย แต่เขาก็รินเหล้าใส่แก้วแล้วส่งให้โดยไม่พูดอะไร ในขณะที่ชายทั้งสี่ตรงเข้ามาที่เคาน์เตอร์แล้วยืนกึ่งๆ ล้อมชายหนุ่มเอาไว้

    "สงสัยมันจะดูแลเมียไม่ดีว่ะ" คนหนึ่งพูด

    "ยัยนั่นก็เลยน้อยใจจนเป็นบ้าสินะ" อีกคนเสริม

    "เฮ้ย ไอ้หนูร้านเหล็ก กลับไปบอกเมียแกว่าฉันพร้อมให้พิจารณานะ ถ้าเค้าอยากหาผู้ชายเต็มตัวไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็ก"

    "ถ้าว่างนักไปหาแม่สาวนั่นคืนนี้เลยซี่" ชายคนแรกพูดขึ้นก่อนที่คนอื่นๆ จะหัวเราะ

    ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับทั้งสี่คนช้าๆ พร้อมกับแก้วเหล้าในมือ

    "ได้" เขาตอบ "เดี๋ยวฉันจะบอกให้เอง"

    ก่อนที่จะมีใครทันตอบอะไร ชายหนุ่มก็สะบัดแก้วในมือสาดเหล้าใส่หน้าชายคนหนึ่งให้เซถอยร้องจ๊ากด้วยความแสบตา ก่อนจะถูกหมัดลุ่นๆ ประเคนเข้าใส่ลูกคางเต็มรักจนเสียหลักล้มหงายกระแทกโต๊ะด้านหลัง แล้วลงไปกองกับพื้นทั้งคนทั้งโต๊ะ

    ชายหนุ่มหันไปทางชายคนที่สอง ก้มหลบหมัดของอีกฝ่ายแล้วชกสวนเข้าที่กระบังลมจนชายคนนั้นงอตัวลงด้วยความจุก ก่อนจะล้มลงไปวัดพื้นเมื่อถูกเตะเข้าอีกที

    ชายอีกสองคนที่เหลือพยายามจะประกบชายหนุ่มไว้พร้อมกัน แต่พวกนั้นก็ซึมซับแอลกอฮอล์เข้าไปเต็มที่ ผิดกับคู่ต่อสู้ที่มีสติกับชั้นเชิงดีกว่ามาก เขาฉากหลบทั้งสองได้อย่างง่ายดายก่อนจะพลิกตัวกลับไปต่อยชายคนหนึ่งเข้าเต็มหน้า ชายคนนั้นถอยพร้อมกับร้องลั่นกุมจมูกที่มีเลือดโชกไว้ก่อนจะถูกเตะเข้าที่ขาพับเต็มแรงจนเสียหลักล้มตึง

    ชายคนสุดท้ายชักมีดออกมา

    "เดี๋ยวก่อนไอ้หน้าสวย" เขาบอก "ขืนเข้ามาใกล้กว่านี้ล่ะก็แกได้เสียโฉมแน่"

    ทว่าชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะกลัว กลับก้าวเข้ามาใกล้โดยไม่พูดอะไร ทำเอาคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธอยู่ในมือต้องก้าวถอยไป

    เมื่อเห็นจวนตัว...เจ้าของมีดก็คำรามพร้อมกับปราดเข้าหาอีกฝ่ายทันที

    ดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกายวูบหนึ่งก่อนที่เขาจะพลิกมือข้างที่ยังถือแก้วไวน์อยู่กระแทกเข้าข้างศีรษะของชายคนนั้น แก้วบางแตกเปรี๊ยะ ปลายที่แหลมเป็นปากฉลามทิ่มเข้าไปในเนื้อจนอีกฝ่ายร้องลั่น มือที่กำมีดไว้คลายลงปล่อยให้ชายหนุ่มปลดอาวุธได้อย่างง่ายดาย ก่อนมืออีกข้างจะคว้าหมับเข้าที่คอของชายคนนั้น บีบแน่นจนเขาเริ่มสำลัก เลือดจากข้างหน้าผากไหลโกรกลงบนมือของชายหนุ่มและย้อมแขนเสื้อสีเทาจนกลายเป็นสีแดงสด

    "พวกแกทุกคนฟังไว้" ชายหนุ่มยิ้มขรึมๆ ก่อนจะขึ้นเอ่ยเสียงเย็นทั้งที่ยังบีบคอชายอีกคนอยู่เช่นนั้น "ถ้าฉันเห็นพวกแกเข้าใกล้บ้านของฉัน...หรือเข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้นเมื่อไหร่ล่ะก็...พวกแกไม่ได้ตายดีแน่!"

    พูดจบก็คลายมือในทันทีทำให้อีกฝ่ายล้มลงโดยไม่ทันตั้งตัว มันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับเลื่อนมือไปกุมคอที่ถูกบีบจนขึ้นรอยแดงชัด

    ชายหนุ่มกวาดสายตามองทั้งสี่ที่ลุกขึ้นช้าๆ พร้อมกับจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาโกรธกรุ่นแต่ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านั้น

    "อยากลองกันอีกซักตั้งหรือไง" เขาถามพร้อมกับแค่นยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

    ทั้งสี่หันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กแต่ไม่ยอมตอบ ชายหนุ่มจึงขว้างมีดในมือให้ปักฉึกลงบนพื้นแทบเท้าของเจ้าของพอดิบพอดี

    "อย่างน้อยพวกแกก็พูดถูกอยู่อย่าง..." เขาว่า "...ว่าฉันไม่เหมือนพ่อ ถ้าเป็นพ่อฉันคงสั่งสอนพวกปากหมาอย่างแกหนักกว่านี้ ตอนนี้รีบออกไปซะ!!"

    ชายหนุ่มหันหลังให้กับคนกลุ่มนั้นก่อนจะเอนพิงเคาน์เตอร์อีกครั้ง บาร์เทนเดอร์ซึ่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดสังเกตเห็นว่ารอยยิ้มของเขาเลือนหายไป และแววตาก็กลับเครียดขรึมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

    ชายทั้งสี่ไม่กล้ามองหน้าต่างฝ่าย พาร่างอันบอบช้ำจากแผลคนละที่สองที่ทะยอยออกจากบาร์ไปทีละคน ร่างที่นั่งอยู่ในมุมมืดมองคนกลุ่มนั้นจากออกไปพร้อมกับแค่นยิ้มเยือกเย็นที่ริมฝีปากบาง

    ชายหนุ่มยังคงก้มหน้านิ่งอยู่เหนือเคาน์เตอร์กระทั่งตอนที่เสียงของบาร์เทนเดอร์พูดขึ้น

    "เป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นมากสินะ"

    อีกฝ่ายไม่ตอบ

    "ไม่เป็นไรหรอก" บาร์เทนเดอร์พูดอย่างอ่อนโยน "ฉันว่าสาสมกับพวกมันแล้วล่ะ น่าจะหัดเอาเวลาไปทำอย่างอื่นซะบ้างแทนที่จะมาดวดเหล้าแต่หัววันแล้วทะเลาะไม่เป็นเรื่องแบบนี้"

    เขาชี้ไปที่แขนเสื้อของชายหนุ่มก่อนจะพูดต่อ

    "เช็ดออกก่อนจะดีมั้ย"

    อีกฝ่ายมองมือกับแขนเสื้อเปื้อนเลือดโดยไม่พูดอะไรครู่หนึ่ง บาร์เทนเดอร์ยื่นผ้าจุ่มน้ำให้เขาเช็ดมือล้างคราบเลือด ก่อนที่เขาจะหันหน้าไป

    "ขอบคุณครับ" เขาพูดเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงอิดโรย "แต่ผมทำซะร้านคุณเละไปเลย"

    ชายหนุ่มพยักพเยิดไปทางโต๊ะกับเก้าอี้ที่ล้มคว่ำก่อนจะหยิบขวดเบียร์สองขวดขึ้นมา หลังจากขอบคุณบาร์เทนเดอร์อีกครั้งเขาก็ออกเดินไปที่ประตู แต่เสียงพึมพำของเจ้าของบาร์ที่พูดกับตนเองยังดังมาเข้าหู

    "สงสัยว่าเมื่อสองสามวันก่อนซานดร้ามาที่นี่จริงหรือเปล่านะ"

    เมื่อได้ยินอย่างนี้ทีท่าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง เขาชะงักกึกพร้อมกับที่ใบหน้ากลายเป็นซีดขาว ก่อนจะหันขวับก้าวยาวๆ สามก้าวกลับมาเอนพิงเคาน์เตอร์ตรงหน้าบาร์เทนเดอร์อีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าที่จ้องตรงมาเป็นประกายวาวโรจน์ฉายแววทั้งกังวลและคาดหวัง

    "ซานดร้า..." เขาพูดขึ้น "เมื่อตะกี้คุณพูดถึงผู้หญิงที่ชื่อซานดร้าใช่มั้ย"

    บาร์เทนเดอร์ถอยห่างไปจากชายหนุ่มอย่างตกใจกับสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียดของอีกฝ่าย

    "ใช่...ซานดร้า"

    "คุณเคยพบเค้าใช่มั้ย" เสียงห้วนๆ ถามอย่างรวดเร็ว "เค้าหน้าตาเป็นยังไง บอกผมมาเร็ว!"

    ดวงตาของบาร์เทนเดอร์มองสำรวจสีหน้าของชายหนุ่มให้ละเอียด ก่อนจะทำความเข้าใจในแบบของตน

    "เย็นไว้พ่อหนุ่ม" เขาพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ "เดี๋ยวฉันเล่าเรื่องเค้าให้เธอฟังแน่ๆ นั่งลงหาอะไรดื่มก่อนมั้ย แก้วที่แล้วหกหมดเลยน่าเสียดาย"

    ชายหนุ่มยืดกายขึ้นพร้อมกับที่สีหน้าเริ่มเรื่อๆ ขึ้นมา

    "ขอโทษครับ แต่ช่วยบอกผมหน่อยเถอะ ผมอยาก...อยากรู้จริงๆ ว่าเค้าหน้าตาเป็นยังไง"

    เขาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆ ตามคำบอกของบาร์เทนเดอร์ ก่อนจะก้มหน้าลง จิกนิ้วมือลงบนสองเข่าแน่นขณะที่ตั้งใจฟังบาร์เทนเดอร์ซึ่งเช็ดแก้วไปพลางเล่าด้วยเสียงราบเรียบ

    "ซานดร้าคนนี้น่ะเป็นคู่หูของหัวหน้ากองโจรฉายาเดอะ ฟ็อกซ์ ผู้โด่งดัง ดูเหมือนว่าเค้าจะเคยช่วยชีวิตฟ็อกซ์ไว้ครั้งนึงเมื่อสองสามปีที่แล้ว แล้วก็เข้าร่วมกองโจรของฟ็อกซ์หลังจากนั้น ที่น่าแปลกคือฉันได้ยินมาว่าซานดร้าเมื่อก่อนเป็นนักบวชจากมหาวิหารด้วยซ้ำ ไปเจอฟ็อกซ์เข้าอีท่าไหนได้ก็ไม่รู้ มีคนลือว่าซานดร้ากับฟ็อกซ์เป็นชู้รักกันด้วย"

    เมื่อได้ยินดังนี้ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นในทันใด ดวงตาของเขาดูมืดมนด้วยอารมณ์ และสีแดงเรื่อก็ปรากฏขึ้นบนสองแก้ม แต่เมื่อเห็นว่าบาร์เทนเดอร์กำลังมองอยู่เขาก็รีบเบือนหน้าหลบไป

    "ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่านะ แต่จะยังไงฉันก็ไปเจอซานดร้าเข้าเมื่อประมาณอาทิตย์สองอาทิตย์ที่แล้ว" บาร์เทนเดอร์เล่าต่อพลางเปิดจุกขวดไวน์ ก่อนจะรินน้ำสีทับทิมปริมาณเล็กน้อยลงในแก้วที่ขัดเสร็จ "ก็เห็นแค่แวบเดียว...แต่คงนานกว่าคนอื่นๆ เพราะเค้าไปไหนมาไหนเร็วยังกะแสง เค้าเป็นผู้หญิงที่สวยเชียวล่ะ...หน้าตาดี ผิวขาวผมสีเกาลัด ใส่ชุดเขียว ออกจะสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปหน่อย แต่ก็หุ่นดีมาก"

    บาร์เทนเดอร์วางแก้วไวน์ลงตรงหน้าชายหนุ่มซึ่งรับมาถือไว้แต่ไม่ได้ดื่ม ยังคงฟังต่อไปด้วยสีหน้าเครียดขรึมขณะที่มือกำก้านแก้วไว้แน่น

    "สีตาล่ะ" ชายหนุ่มถามขึ้น "สีตาของเค้าเป็นยังไง"

    บาร์เทนเดอร์เหลือบมองชายหนุ่มแวบหนึ่ง

    "ออกจะเข้ม...แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสีอะไร" เขาตอบในที่สุด "ฉันน่ะเห็นเค้าอยู่แค่แวบเดียวเอง"

    ชายหนุ่มยังคงก้มหน้าลงต่ำโดยไม่พูดอะไร บาร์เทนเดอร์จึงพูดต่อไป

    "เมื่อก่อนหน้านี้ซานดร้ากับฟ็อกซ์เคยออกปล้นอย่างบ้าบิ่นสุดๆ จนดังเป็นพลุแตกขึ้นมาในทันทีเลย ครั้งดังที่สุดคือครั้งที่ซานดร้ายกเค้าคฤหาสน์ศิลป์ของคริสตี้ที่จีโอซะเกลี้ยง ตอนเช้าคนใช้ของคริสตี้เพิ่งไปเจอว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยนอกจากรูปปั้นไม่กี่ชิ้น พวกโจรผ่านยามกับระบบรักษาความปลอดภัยเข้าไปได้ยังไงไม่มีใครรู้ แต่คริสตี้โวยวายซะใหญ่โต ทั้งๆ ที่งานศิลปะที่เค้ามีน่ะดังมากซะจนถ้าใครเอาไปขายต้องมีคนจำได้แน่ แต่พอเช้าวันถัดมา...เค้าก็เจอของทุกอย่างกลับเข้าที่เรียบร้อย กับจดหมายเขียนไว้ว่า 'ขอโทษที่รบกวนคุณหญิง นี่เป็นเพียงการพนันระหว่างฉันกับฟ็อกซ์เท่านั้น ของทุกชิ้นฉันส่งคืนให้เรียบร้อย ถ้าต้องการอะไรก็เรียกใช้ฉันได้นะ อย่าโกรธกันล่ะ' มีลายเซ็นของซานดร้าอยู่ด้วย ตั้งแต่วันนั้นซานดร้ากับคริสตี้ก็เลยกลายเป็นเพื่อนกัน ซานดร้าจะเอาของโบราณกับงานศิลป์หายากที่ได้มาให้คริสตี้ แล้วคนใช้ของคริสตี้จะมาช่วยถ้าซานดร้าต้องการให้ทำอะไรเป็นพิเศษ" บาร์เทนเดอร์หัวเราะน้อยๆ "หลังจากนั้นก็แทบไม่มีใครรู้จักซานดร้า แต่หมู่นี้มีข่าวลือแปลกๆ เรื่องเค้าอยู่บ่อยๆ...อย่างเรื่องเกี่ยวกับผลึกจูมิ"

    ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น

    "อะไรเหรอครับ" เขาถามทันควัน "ข่าวลือว่าอะไร"

    บาร์เทนเดอร์ยักไหล่พร้อมกับเลิกคิ้ว

    "ฉันก็ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ แต่ชื่อของซานดร้าก็เกี่ยวข้องกับชาวจูมิมานานแล้ว ได้ยินว่าเค้ากำลังตามหาอัญมณีที่สวยงามและส่องสว่างที่สุด...นอกจากผลึกชีวิตของชาวจูมิแล้วจะเป็นอะไรได้ล่ะ"

    "ซานดร้าน่ะเหรอจะตามหาผลึกชีวิต...แต่ว่า..."

    ชายหนุ่มหยุดพูดได้ทันเวลาพอดีก่อนจะรีบหลบสายตาสงสัยของบาร์เทนเดอร์ทันควัน ใบหน้าที่ก้มลงนั้นซ่อนสีหน้าปวดร้าวสุดประมาณด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบอกกับใครได้

    หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะรีบพูด แล้วกลับหลังหันเดินไปที่ประตู

    "ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ ผมอยากรู้เท่านี้แหละครับ"

    หลังจากที่เขาออกไปแล้ว ร่างในชุดสีขาวที่นั่งอยู่ในมุมห้องจึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาบาร์เทนเดอร์ เขาวางเหรียญเงินสองสามเหรียญลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะพูดด้วยเสียงนุ่มๆ ที่ฟังชวนเย็นสันหลังวาบ

    "เออนี่บาร์เทนเดอร์ ผู้ชายคนนั้นรู้จักซานดร้างั้นรึ"

    บาร์เทนเดอร์กวาดสายตามองร่างนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะขมวดคิ้ว

    "ไม่รู้สิครับ ไม่เคยเห็นเค้าพูดถึงซานดร้ามาก่อนเลย แต่ดูเค้าจะสนเรื่องซานดร้ามากจนน่าแปลกใจ ทำไมถึงถามอย่างนี้ล่ะครับ"

    "ไม่มีอะไรหรอก" ร่างนั้นตอบก่อนจะหยักยิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปากไร้สีเลือด "ก็แค่ซานดร้าน่ะเป็น...คนรู้จักเก่าของฉัน...ก็เท่านั้นเอง แล้วฉันก็อยากจะรู้ว่าตอนนี้เค้าเป็นยังไงบ้าง"

    บาร์เทนเดอร์จ้องมองชายคนนั้นเขม็ง แต่ก่อนที่จะมีโอกาสพูดอะไรต่อ...ร่างนั้นก็หันกลับเดินออกจากบาร์ไป


    เพิร์ลเดินท่องไปในยามเย็นอันอบอ้าวของเดือนพฤษภาคมตามกระแสลมร้อนที่พัดวนไปตามระหว่างบ้านแต่ละหลังที่ตกอยู่ในเงาสีน้ำเงินอย่างเลื่อนลอย ไอร้อนเหมือนกับจะดูดกลืนเสียงต่างๆ ไปเสียหมด และแสงสีส้มสลัวของตะเกียงที่แขวนตามบานประตูก็เพียงไหวระริกอย่างเงียบๆ

    ผมยาวสลวยของหญิงสาวถูกขับจนเป็นสีน้ำเงินซีดในเงามืด และชุดกระโปรงสีขาวที่เธอสวมอยู่ก็พลิ้วไหวเป็นเงาลางๆ อยู่ในโลกอันพร่าเลือนซึ่งทุกสิ่งไม่มีความหมายใดสำหรับเธอที่เดินไปในความฝันอันเลืองลาง มองไม่เห็นและไม่รับรู้สิ่งใดรอบกายเลย

    ที่เธอเห็นมีเพียงประกายแสงที่เรียกร้องเธออยู่ ณ สุดขอบฟ้า...ร่างที่ส่องแสงเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงสีขาวท่ามกลางโลกสีน้ำเงินว่างเปล่า ร่างที่จะนำเธอไปพบกับชะตากรรมที่ซ่อนอยู่ในเปลวเพลิงอันเงียบงันซึ่งแสดงถึงสัจจะของเธอ...แสดงถึงคำตอบ...และจุดสิ้นสุดที่รอเธออยู่ที่สุดสายหมอกนั้น...

    แต่ยังมีอะไรบางอย่างที่พันธนาการเธอไม่ให้ไปได้ดั่งใจนึก เสียงกระซิบซาบดังขึ้นรอบกาย ก่อนที่ร่างเรืองแสงที่เห็นอยู่ไกลๆ จะพร่าเลือนในทันใด เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นหลอมรวมเป็นคำคำเดียวที่ดังขึ้นซ้ำๆ

    เพิร์ล... เพิร์ล... เพิร์ล...

    หญิงสาวรู้สึกเหมือนกับเห็นเงาลางๆ ที่ส่องสลัวคืบคลานเข้ามาล้อมร่างเธอไว้จากในม่านเพลิงสีฟ้า ทว่าเงาสีเทาเลื่อนลอยนั้นไร้ความหมายสำหรับเธอ หญิงสาวยังคงมุ่งหน้าต่อไป พยายามจะฝ่าพวกมันออกไป

    แต่เมื่อมองดูให้ชัดอีกที...ร่างเรืองแสงที่สุดขอบฟ้านั้นก็อันตรธานไปเสียแล้ว

    โลกพลันมืดมิดลงในทันใด เพิร์ลที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังทรุดร่างสั่นสะท้านลงคุกเข่า ขณะที่กลุ่มร่างสีเทาเคลื่อนเข้ามาวนล้อมร่างเธอพร้อมกับพูดอื้ออึงขึ้น

    หญิงสาวยกสองมือขึ้นปิดหน้า

    "หยุดเถอะ!" เธอร่ำร้อง "เลิกตามข้าเสียที! เลิกเล่าเรื่องความตายพวกนี้ให้ข้าฟังเถอะ! อย่ามายุ่งกับข้าเลย!!"

    นิ้วอันสั่นเทาจิกเส้นผมยาวที่ข้างศีรษะกำแน่น

    "ข้าไม่อยากจำ..." เธอกระซิบ "...ข้าไม่อยากรู้..."

    หญิงสาวเหมือนจะนั่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน ขณะที่ลมยามราตรีอันร้อนชื้นพัดวนอยู่รอบกาย

    แต่แล้วมืออันอบอุ่นมือหนึ่งก็แตะแขนของเธอจับไว้มั่น ก่อนที่จะมีเสียงเรียกชื่อเธอ ถามคำอะไรบางอย่างกับเธอ แต่ถ้อยคำเหล่านั้นก็อู้อี้เสียจนฟังไม่ออก

    หญิงสาวสั่นน้อยๆ โดยไม่ตอบอะไร

    เสียงนั้นพูดขึ้นอีกครั้ง และหญิงสาวก็ยังนั่งนิ่งไม่ยอมตอบเช่นเดิมแม้จะรู้สึกได้ว่ามีใครสักคนคุกเข่าลงข้างๆ แล้วมองหน้าเธอ เธอได้แต่เลื่อนสายตาขึ้นมองร่างที่ดูไม่ผิดอะไรกับเงาเลือนลางในยามราตรีสีน้ำเงิน ไม่อาจเห็นรายละเอียดอะไรได้มากไปกว่านั้น

    "อย่ามายุ่งกับข้าเลย..." เธอเอ่ย "เลิกยุ่งกับข้าเสียทีเถอะ...ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร..."

    แต่ร่างนั้นยังเรียกชื่อเธออีกครั้ง นิ้วมือที่แตะลงบนใบหน้าอย่างแผ่วเบาเหมือนกับจะคลี่ม่านหมอกให้หายไปจากสายตา ให้เธอมองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดเจนขึ้น

    อัศวินหนุ่มที่เคยช่วยเธอไว้นั่นเอง

    คนที่รู้จักเธอในอดีตที่เธอไม่รู้ และกลัวที่จะนึกถึงเสียเหลือเกิน

    หญิงสาวเอนศีรษะลงพิงไหล่ของชายหนุ่มเพื่อหาที่พึ่งพิงเดียวที่เธอเคยรู้จัก หาสัมผัสอันอ่อนโยนอบอุ่นเพียงสัมผัสเดียวที่เธอจะไขว่คว้ามาได้ ก่อนที่วงแขนของอีกฝ่ายจะเลื่อนขึ้นมาโอบร่างของเธอไว้

    "เพิร์ล...อย่าออกจากบ้านมาคนเดียวอย่างนี้อีกนะ สัญญากับผมไว้แล้วนี่"

    "ข...ขอโทษ" เธอกระซิบ "ข้า...ข้าลืมไป"

    หญิงสาวนึกชื่อของเขาออกแล้ว

    ...เอลาซัล...

    เธอลืมชื่อเขาไปบ่อยๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้อีกครั้งแล้วลืมไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เหมือนกับที่ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด

    ทว่าทุกครั้งที่เธอหลงทาง...ทุกครั้งที่เธอหลงลืม...เขาก็จะมาพบเธอ นำเธอกลับมาสู่โลกใบนี้...โลกที่เธอมีชีวิตอยู่อีกครั้ง

    แต่ในขณะที่เดินตามเขาไปตามท้องถนนอันอบอุ่นและเงียบสงบในเมืองนั้น เพิร์ลก็สังหรณ์ถึงเรื่องร้ายบางประการที่คืบเข้ามาใกล้ ทำให้เธอรู้สึกกลัวจับจิตขึ้นมาในทันใด

    เธอไม่รู้ว่าทำไม หากสักวันหนึ่งเขาก็จะลืมเธอไปเช่นเดียวกับที่เธอลืมเขา เขาจะลืมพาเธอกลับมาสู่โลกใบนี้ ทิ้งให้เธอวนเวียนอยู่กับภาพเงาสีเทา ปล่อยให้เธอเดินหาร่างสีขาวที่ร้องเรียกเธออยู่อย่างไร้ผล จนกระทั่งตัวเธอเองกลายเป็นร่างเงาเลือนลางสีเทาที่ไร้ความทรงจำใดๆ ไปเช่นเดียวกัน

    "ข้าไม่ยอมให้เอลาซัลทิ้งข้าหรอก..." หญิงสาวกระซิบ "เอลาซัลจะทิ้งข้าไปไม่ได้...ข้าจะไม่ยอมให้เอลาซัลจากข้าไปเป็นอันขาด..."


    อีกหนึ่งความทรงจำที่สว่างเรืองรองด้วยลำแสงย้อนกลับมาสู่เอลาซัลอีกครั้ง...

    วันนั้นชายหนุ่มพาเพิร์ลเดินเข้าไปในป่า ใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นท่ามกลางสีเขียวขจีของฤดูใบไม้ผลิ ในป่าที่เต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวมรกตปลิวสะบัดส่งเสียงแสกสาก กับดอกไม้สีขาวพร้อยนับล้านดอกที่พราวทั่วพื้นดินราวกับพรมแห่งดวงดาว ที่กลางป่ามีทะเลสาบกว้างซึ่งพื้นน้ำใสกระจ่างเป็นประกายระยับ สะท้อนภาพของท้องฟ้าและหมู่ไม้จนดูราวกับภาพเหมือนที่ถูกวาดลงบนแผ่นกระจกใส

    เพิร์ลตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ได้เห็นมาก เอลาซัลคอยมองอย่างเงียบๆ ในขณะที่เธอนั่งลงริมทะเลสาบ ร่างในชุดขาวสะท้อนเงาลงบนผิวน้ำเช่นกัน ชั่วครู่หนึ่งที่เธอเหมือนกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกอันงดงามราวภาพฝันนี้...ราวกับนางพรายแห่งพงไพรที่มีเส้นผมสีทองสลวยทอประกายใต้แสงตะวัน ชุดสีขาวพลิ้วไหวเฉกเช่นกลีบดอกไม้ในสายลมอ่อน ร่างอ้อนแอ้นท่ามกลางสีเขียว สีฟ้า และสีขาวของป่าเป็นภาพที่ช่างสวยงาม...และแสนสงบเหลือเกินในชีวิตอันสับสนวุ่นวายของเขา

    แม้กระนั้นเอลาซัลก็รู้ดีว่าที่มาพร้อมกับชื่อของซานดร้านั้น...คือพลังขุมหนึ่งที่บีบเค้นช่วงเวลาอันเปราะบางนี้จนแหลกละเอียดราวกับเศษแก้ว

    ชีวิตอันสงบสุขของเขาจบลงอย่างรวดเร็วพอกันกับยามที่มันมาถึง...


    Author's Comment: ฉันทนแรงยุให้เขียนฉากยอดนิยมแนว "พระเอกผู้เงียบขรึมสั่งสอนอันธพาล" ไม่ได้น่ะคะ อย่างน้อยบุคลิกเอลาซัลก็ชวนให้เข้าล่ะ

    "Earth Painting" เป็นเพลงของป่าดงดิบที่น่าจดจำทีเดียวค่ะ ฉันมักจะคิดว่าเพลงนี้เข้ากับซานดร้าเสมอ ถึงเธอจะไม่เคยปรากฏตัวในป่าดงดิบก็เถอะ ต้องเป็นเพราะเพลงนี้มีจังหวะที่เร็วเร้าใจ แล้วเพราะป่าดงดิบดูเขียวชะอุ่มมากแน่เลย

    คิดว่าทุกคนคงจำทะเลสาบคิลม่าได้นะคะ

    มีคนทักเรื่องบรรยากาศของนครอัญมณีขึ้นมา ฉันพยายามจะสร้างมันให้มีความรู้สึกอ้างว้างโหยหาตามเพลงธีมของนครอัญมณี "Sparkling City of Ruin" น่ะคะ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้บรรยากาศของเมืองนี้ดูเครียดขรึมขึ้น ขณะที่ทำนองเพลงให้ความรู้สึกอ้างว้าง พลิ้วไหวชวนให้นึกถึงอดีต คงเป็นเพราะเมืองนี้มีหน้าที่หลายอย่างในเรื่องกระมังคะ ฉันคงจะพูดได้ว่านครอัญมณีนี่ก็เหมือนเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ประดับประดาด้วยเพชรพลอยที่เหมือนกับดวงตาที่คอย "ตาม" และ "ตัดสิน" เอลาซัล เมืองที่บีบคั้นประชากรชาวจูมิให้ตายในขณะเดียวกับที่คอยปกป้องพวกเขา แถมยังมีส่วนทำให้ปณิธานของอเล็กซานดร้าเปลี่ยนไปด้วย

    เมืองที่เป็นเหมือนกับ "ตัวละคร" อีกตัวหนึ่ง เป็นด้านที่น่าสนใจของเรื่องต่างๆ เสมอ เช่นทิฟาเรสกับสลัมในหนังสือการ์ตูนเรื่อง "เทพีสงครามอลิต้า" หรือสลัมของมิดการ์ใน FF7 เมืองเหล่านี้เป็นเหมือนกับตัวละครที่น่าจดจำในเรื่องนั้นๆ มาก ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างบุคลิกให้กับเมืองมาก่อน แต่นครอัญมณีมีหลายลักษณะที่น่าสนใจเหลือเกิน ทั้งรูปแบบของเมือง และเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ ฉันเลยคิดว่าคงเลี่ยงไม่ได้ที่ภาพลักษณ์ของนครอัญมณีจะออกมาเป็นแบบนี้

    Translator's Comment: น่าน...อย่างนั้นเลยเอลาซัล...เจ๋งเป้ง (พอชดเชยกับคราวที่แพ้แบล็คเพิร์ลราบคาบได้นิดแหละนะ ^^;;;) อยากพิมพ์ฉากแบบนี้มานานแล้ว!! เลือด!! เลือด!! เลือด------!!!

    ปล. โอ๊ะ! เพิ่งสังเกตว่าเอลาซัลกิน (จริงๆ คือเอาเหล้าเทใส่หน้าคนอื่น) แล้วชักดาบ :P

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×