ความฝันครั้งหนึ่ง - ความฝันครั้งหนึ่ง นิยาย ความฝันครั้งหนึ่ง : Dek-D.com - Writer

    ความฝันครั้งหนึ่ง

    โดย NithiN

    ความฝัน ความจริง ภาพลวงตาอาจซ้อนกัน สิ่งที่เห็นอาจไม่ได้เป็นจริงเสมอไป

    ผู้เข้าชมรวม

    1,052

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.05K

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 พ.ค. 49 / 16:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      This I dreamed...


      ฉันกลับมาจากมหาวิทยาลัยถึงบ้านเพียงเพื่อจะพบกับชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ...เขาคือน้าเขยของฉัน คนที่แม่เคยเล่าให้ฟังพร้อมกำชับกำชาว่าอย่าไปพูดให้ใครฟังว่าเขาเจ้าชู้และทำให้น้าสาวของฉันต้องช้ำใจอยู่บ่อยๆ ทว่าฉันก็จำไม่ค่อยได้แน่ๆ นัก เพราะฉันรู้สึกเหมือนตนเองแทบไม่เคยเจอเขาเลยสักครั้ง

      "น้ามาหาพ่อกับแม่เหรอคะ?" ฉันไหว้ตามมารยาทก่อนจะถามออกไป ปกติเวลาช่วงสี่โมงนี้ยังเร็วเกินกว่าที่พ่อกับแม่จะกลับ แล้วน้าเขยเข้ามาในบ้านของฉันได้อย่างไร...ฉันควรจะฉุกคิดได้ตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ไม่

      เขาพยักหน้าตอบแล้วบอกว่า "แฟนน้าให้เอาของมาฝาก" พร้อมกับพยักพเยิดไปยังห่อของบนโต๊ะ

      ฉันเริ่มลังเล หากเลิกงานเย็น พ่อกับแม่อาจจะกลับถึงทุ่มหนึ่งเลยก็ได้ ส่วนฉันเองก็ต้องออกไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำของสโมสรใกล้ๆ ตามกิจวัตร

      "พ่อกับแม่อาจกลับเย็นนะคะ แล้วเดี๋ยวแนนก็ต้องออกไปว่ายน้ำ..." สุดท้ายฉันตัดสินใจบอกเขาไปตามตรง

      "งั้นน้าไปด้วยแล้วกัน" เป็นคำตอบง่ายๆ จากเขา ก่อนที่ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงขายาวจะลุกจากโต๊ะ ไม่เปิดโอกาสให้ฉันคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น

      ในที่สุดหลังจากที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมของเสร็จ 'เรา' ก็ไปยืนรอรถแท็กซี่อยู่หน้าบ้านด้วยกัน ทำไมถึงต้องรอรถแท็กซี่น่ะหรือ? น้าเขยบอกฉันว่าเขามาด้วยรถแท็กซี่เพราะรถของเขาเสีย

      ฉันบอกจุดหมายให้รถแท็กซี่...ก่อนที่เราจะนั่งเงียบกันในรถตลอดทางจนถึงสโมสร

      เมื่อถึงจุดหมายแล้ว...เขาทำท่าจะควักเงินส่งให้กับโชเฟอร์ แต่ฉันบอกปฏิเสธสั้นๆ ก่อนจะยื่นเงินที่ตัวเองเตรียมไว้แต่แรกส่งให้ไป ด้วยความเกรงใจ ฉันคิดว่าตนเองเป็นคนที่ควรจ่าย เพราะอันที่จริงฉันเป็นคนที่จำเป็นต้องออกมาว่ายน้ำ...แม้ว่าตามปกติฉันจะขึ้นรถเมล์มาตัวคนเดียวก็ตาม

      โชเฟอร์ทำสีหน้าแปลกๆ เมื่อฉันพูดปฏิเสธและยื่นเงินส่งให้เขา ทว่าเขาก็ไม่พูดอะไรและทอนเงินมาให้ตามจำนวน ก่อนที่ฉันจะลงจากรถไปกับน้าเขย

      ที่สโมสร ฉันยื่นบัตรสมาชิก เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะลงสระไปว่ายน้ำตามปกติ...แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างกับสายตาของน้าเขยที่เหมือนจะจับจ้องร่างในชุดว่ายน้ำของฉันอยู่ตลอดเวลาขณะที่เขานั่งรออยู่ที่โต๊ะริมสระ ฉันได้แต่ปลอบใจตนเองว่าฉันคงจะคิดมากไปเอง เพราะทั้งสระก็มีคนว่ายน้ำกันเยอะเต็มไปหมด และเขาก็เป็นน้าเขยของฉัน...ญาติของฉัน แม้ว่าเราจะไม่ได้พบกันบ่อยหรือสนิทกันนัก

      ฉันว่ายน้ำถึงห้าโมงครึ่ง...เวลาเดิมตามปกติ ก่อนจะขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และออกมาอีกครั้ง น้าเขยไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะริมสระเหมือนเดิมอีกแล้ว ฉันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเขาอยู่ในบริเวณสระว่ายน้ำเลย ฉันจึงได้ออกไปที่เคาน์เตอร์หน้าสโมสร และพบรถแท็กซี่อีกคันหนึ่งจอดอยู่...น้าเขยโบกมือให้ฉันจากข้างในรถแท็กซี่คันนั้น

      ฉันเดินไปที่รถแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างใน คิดว่าน้าเขยคงจะบอกจุดหมายให้กับแท็กซี่แล้วและโชเฟอร์คงออกรถเลยเมื่อฉันขึ้นรถเสร็จ แต่แล้ว...

      "ไปไหนครับ?" โชเฟอร์กลับถามฉัน ฉันเลยบอกซ้ำ...แม้จะงงอยู่ว่าน้าเขยน่าจะบอกที่หมายกับเขาแล้วก็ตาม และเขาก็ออกรถ

      คงเป็นเพราะเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี รถบนถนนจึงได้ติดนัก ฉันมองออกไปนอกกระจกรถสลับกับมิเตอร์รถด้วยความกังวล ตัวเลขสีแดงบนหน้าจอค่อยๆ ขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ

      ห้านาทีผ่านไป...ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาหมายเลขโทรศัพท์ของพ่อกับแม่ เพียงเพื่อจะพบกับ...

      "ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาฝากข้อความ..."

      สามครั้งผ่านไปกับทั้งสองหมายเลข...และฉันก็ล้มเลิกความพยายามในที่สุด

      สิบนาทีผ่านไป...เรายังคงออกจากสโมสรมาได้ไม่ไกลนัก อันที่จริงจากบ้านถึงสโมสรก็ไม่ได้ไกลอะไรเลย ใช้เวลาขับรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในสภาพการจราจรปกติ แต่เมื่อรถติดแล้วก็นับเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง...

      สิบห้านาทีผ่านไป...ฉันทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดคือผล็อยหลับ...

      ----------------------------------------------------------------------------------------

      กี่นาทีก็ไม่รู้ผ่านไป...ฉันตื่นมาด้วยอาการมึนงง ข้างนอกกระจกรถเป็นถนนที่รถยังคงติดสลับกับค่อยๆ คืบคลานไปข้างหน้าช้าๆ ทว่าสภาพรอบด้านของถนนสายนี้ไม่ใช่เส้นที่จะไปยังบ้านของฉัน!

      และในขณะที่ฉันกำลังแปลกใจอยู่นั่นเอง...มือมือหนึ่งก็คืบขึ้นมาบนต้นขาของฉัน...มือของน้าเขย

      ฉันหันขวับไปทางเขาด้วยอารมณ์ที่ทั้งตกใจ กลัว และโกรธกรุ่น แต่เมื่อพบสีหน้าเหมือนทองไม่รู้ร้อนของเขา...ความโกรธและความกล้าที่จะบอกให้เขาเอามือออกไปกลับเหือดหาย...มีเพียงความกลัวกับความตกใจจนพูดไม่ออกเท่านั้น เขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับฉันเป็นเชิงท้าทาย ฉันได้แต่หันไปทางโชเฟอร์หมายจะขอความช่วยเหลือจากอีกคนหนึ่ง แต่เขาก็ยังคงมองกระจกหน้ารถต่อไปเรื่อยๆ...ไม่มีทีท่าจะเห็น

      ฉันคิดอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาหมายเลขที่คุ้นเคยที่สุด...คนเดียวที่สมองอันกระวนกระวายนึกออกในสถานการณ์นี้

      น้าเขยยังไม่ปล่อยมือแม้เมื่อฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และแม้เมื่อเสียงในปลายสายจะดังขึ้นข้างหูของฉัน

      "ฮัลโหล"

      "ฮัลโหล พี่ภูมิเหรอ เป็นไงบ้าง?" ฉันทักเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติ

      "แนนเหรอ? พี่เพิ่งเลิกงานน่ะ"

      "ดีเลย แนนมีเรื่องจะคุยกับพี่หน่อย..."

      "เอ้อ แนน งั้นไว้เดี๋ยวก่อนได้มั้ย ตอนนี้พี่กำลังขับรถอยู่ คุยไม่สะดวก"

      "งั้น...คุยกันค่ำนี้เหมือนเดิมก็แล้วกันนะ" ฉันได้แต่หวังว่าเขาจะเข้าใจความเร่งด่วนของสาเหตุที่ฉันโทรมา แต่ก็ไม่

      "จ้ะ...แล้วค่ำนี้คุยกัน..." มือของน้าเขยยิ่งเลื่อนสูงขึ้นจนฉันนั่งตัวเกร็ง สูดลมหายใจลึกก่อนจะกระซิบเบาๆ "...แนนรักพี่นะ..."

      ฉันหวังว่าคำคำนี้...การบอกว่าฉันมีแฟนแล้วและเขากำลังรอคุยโทรศัพท์กับฉันในค่ำวันนี้จะทำให้น้าเขยยอมปล่อยมือ แต่นั่นช่างเป็นความคิดที่โง่สิ้นดี

      "พี่ก็รักแนนเหมือนกัน" คำตอบกลับเป็นคำที่ฉันได้ยินจนคุ้นหู หากยังอยากได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าและให้ความอุ่นใจกับฉันเสมอมา ทว่าในครั้งนี้กลับไม่...ไม่เมื่อฉันอยู่กับชายอีกคนหนึ่ง รู้ดีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่...และรู้ดีว่าเขาเป็นญาติของฉัน

      "สวัสดีนะ" พี่ภูมิตัดบท

      "สวัสดีจ้ะ" ฉันวางสายลงอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะกดหาอีกหมายเลขหนึ่ง...หมายเลขของพ่อ บางทีครั้งนี้อาจจะโทรติด...ขอให้โทรติด...

      "ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียก..."

      ฉันกดหมายเลขทิ้ง...ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ฉันแสร้งกดโทรออกทันที รอนับจังหวะกริ่งโทรศัพท์ราวสามสี่ครั้งก่อนจะพูดกรอกลงไป

      "ฮัลโหล พ่อเหรอ นี่แนนนะ"

      ฉันปรายตาไปเห็นน้าเขยเหลือบมองใบหน้าของฉัน ทว่ามือของเขายังคงนิ่งอยู่ที่เดิม ฉันกลั้นใจพูดต่อไป

      "อือ...ตอนนี้แนนกำลังนั่งรถอยู่ อยู่กับน้าเขย..." ไม่ต้องบอกชื่อพ่อก็ต้องรู้ว่าน้าเขยคนไหน แม่ของฉันมีน้องสาวคนเดียว "น้าให้น้าเขยเอาของฝากมาฝากพ่อกับแม่น่ะจ้ะ แล้วตอนนี้ที่บ้านไม่มีใครอยู่ น้าเขยเลยออกมาส่งแนนที่สระว่ายน้ำ จ๊ะ? รถติดอยู่เหมือนกันจ้ะ แต่เดี๋ยวคงถึง เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็จะกลับบ้านแล้วใช่มั้ยจ๊ะ? จ้ะ...จ้ะ แล้วเจอกันจ้ะ สวัสดีจ้ะ"

      ฉันแกล้งกดวางสาย และด้วยรู้สึกเหมือนเรียกความกล้าคืนมาได้บางส่วน...ฉันจึงได้หันไปสบตากับน้าเขยตรงๆ

      "เดี๋ยวพ่อกับแม่จะกลับมาแล้ว"

      พ่อกับแม่รู้แล้วว่าแนนอยู่กับน้า ถ้าน้าเกิดทำอะไรแนนขึ้นมา...พ่อกับแม่ก็ต้องเอาเรื่องน้าให้ถึงที่สุด นั่นคือความหมายแฝงที่ฉันบอกน้าเขยภายใต้คำพูดนั้น ฉันภาวนาให้เขาปล่อยมือ...ปล่อยมือจากฉัน...ปล่อยมือเสียที

      ทว่ากำลังใจของฉันต้องร่วงวูบอีกครั้งเมื่อเขายิ้มออกมา

      "น้ารู้..."

      มือบนต้นขาของฉันยิ่งกดแรงขึ้นกลายเป็นบีบ...บีบเหมือนแสดงความเป็นเจ้าของ

      "รู้ว่าแนนโกหก..."

      ฉันรู้สึกตัวแข็งทื่อเหมือนจะกลายเป็นหิน...สมองตื้อตันคิดอะไรไม่ออกอีก พลันสายตาเหลือบไปเห็นลูกศรเลี้ยวซ้ายที่หน้าปัดพวงมาลัยกระพริบแวบๆ...ทว่ารถของเราขับอยู่เลนซ้ายสุดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ฉันเลื่อนสายตาไปทางกระจกรถซ้าย...เห็นซอยที่อยู่ด้านซ้าย...ซอยที่มีป้ายขนาดปานกลางเขียนชื่อกิจการไว้ต่อท้ายด้วยคำว่า 'โฮเต็ล'

      ฉันกระชากประตูรถเปิดออกในพริบตาแล้ววิ่งพรวดออกไป เสียงแตรรถคันอื่นๆ...เสียงร้องของคนขับแท็กซี่...เสียงร้องของน้าดังขรม ทว่าฉันไม่เหลียวกลับไปมอง ฉันวิ่งต่อไป...วิ่งต่อไป ฉันเห็นตึกสูงของห้างเก่าแห่งหนึ่งอยู่ลิบๆ เบื้องหน้า สำนึกของฉันบอกให้ตนเองวิ่งไปทางกลุ่มคน...อยู่กลางกลุ่มคนแล้วฉันจะปลอดภัย

      ฉันวิ่งฝ่าตลาดนัดที่ข้างๆ ตัวห้างไปจนถึงป้ายรถเมล์ด้านหน้าห้าง ในใจคิดว่าควรจะเข้าไปในตึกเก่าๆ นั้นหรือไม่ ในขณะนั้นเองฉันก็เห็นภาพของน้าเขยเปิดประตูรถแท็กซี่อีกคันหนึ่งแล้วเข้าไปนั่งข้างใน ฉันจึงกลับหลังหันเดินออกห่าง...กะจะรอให้น้าไปก่อนแล้วค่อยเรียกรถกลับบ้านหลังจากนั้น

      แต่แล้วฉันก็ได้ยินเสียงของน้าเขยเรียกชื่อฉันอีกครั้ง...

      ...ฉันออกวิ่งทันที...

      ----------------------------------------------------------------------------------------

      ฉันมาหยุดวิ่งเอาเมื่อพบว่าภาพรอบด้านของตนเป็นถนนเล็กๆ มืดๆ ไม่มีรถผ่านมาเลยสักคัน แสงไฟริมถนนดวงที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปราวๆ ห้าสิบเมตร คอของฉันแห้งผากขณะมองไปรอบๆ นี่ฉันมาอยู่ที่ไหนกัน? แล้วฉันจะกลับบ้านได้อย่างไร?

      "อยู่นี่เอง"

      ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหนึ่งคว้าหมับที่ข้อมือของฉัน...และเมื่อหันกลับไปฉันก็พบกับน้าเขยที่กำลังแสยะยิ้มให้ฉัน พร้อมกับออกแรงดึงร่างของฉันให้ตามไป ฉันพยายามขัดขืน พยายามอ้าปากส่งเสียงร้องความช่วยเหลือแต่ร้องไม่ออก...

      แต่แล้วความคิดหนึ่งก็พลันวาบขึ้นในใจ...แม่ของฉันเป็นลูกคนเดียว...นั่นหมายความว่าแม่ไม่มีน้องสาว...ฉันไม่มีน้าสาว...และฉันก็ไม่มีน้าเขย

      ฉันไม่มีน้าเขย...

      "ฉันไม่มีน้าเขย" ฉันรู้สึกได้ว่าตนเองพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปพูดใส่ร่างที่กำลังยื้อยุดฉันอยู่ตรงๆ ให้ดังที่สุด "ฉันไม่มีน้าเขย!!"

      ทั้งร่างของผู้ชายที่ฉันเห็น...และมือที่บีบข้อมือของฉันอยู่หายวับไปกับตา ฉันถอนใจเฮือกก่อนจะทรุดลงบนพื้น

      ...ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฉันอุปาทานไปเองทั้งสิ้น...

      ...แต่มันจบลงแล้ว...

      ฉันลุกขึ้นยืนสำรวจเนื้อตัวกับข้าวของว่ายังอยู่ครบปลอดภัยดี ก่อนจะเดินไปยังแสงไฟที่ฉันเห็น ณ ที่นั่นฉันเห็นหลังคารถเมล์ใหญ่สีขาว-แดงคันหนึ่งจอดอยู่ลิบๆ อย่างน้อยก็น่าจะถามได้ว่าแถวนี้คือที่ไหน และฉันจะกลับบ้านได้อย่างไร

      เมื่อไปถึง...ฉันพบว่าที่นี่เป็นอู่รถเมล์สายหนึ่ง และแม้จะไม่พบใครให้ถามไถ่ทาง ฉันก็ยิ่งโล่งอกไปกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ารถเมล์สายนี้เป็นสายที่ฉันจำได้ขึ้นใจว่าผ่านบ้านของฉัน ฉันจึงได้ขึ้นไปนั่งรอบนรถคันหน้าสุด...คันที่ฉันเดาว่าจะเป็นคันแรกที่ออกเมื่อคนขับและกระเป๋ารถเมล์มาถึง

      ฉันเลือกนั่งที่แถวนั่งริมขวาตรงบริเวณกลางรถซึ่งเป็นที่นั่งที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด และที่นั่งแรกที่พนักงานรถเมล์ต้องเห็นแน่นอนเมื่อขึ้นรถมา

      ฉันรู้สึกเหนื่อยอ่อนพอๆ กับโล่งใจ และก่อนจะทันคิดอะไร...ฉันก็เผลอหลับไปอีกครั้งหนึ่ง...

      ...เป็นความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยครั้งที่สอง...

      ----------------------------------------------------------------------------------------

      รถกำลังวิ่งอยู่เมื่อฉันตื่น มีผู้โดยสารนั่งอยู่เต็มคันรถ ฉันมองหากระเป๋าอย่างงงๆ ว่าเหตุใดเขาจึงไม่ปลุกฉันขึ้นมาจ่ายค่าโดยสาร แต่เมื่อพบกับทุกใบหน้าของผู้โดยสารที่นั่งอยู่ฉันก็ต้องผงะ 'น้าเขย'...'น้าเขย'...และ 'น้าเขย'...ทุกคนกำลังแสยะยิ้มให้กับฉัน ฉันกระพริบตาถี่ๆ หากพวกเขายังไม่หายไป

      'น้าเขย' คนที่กำลังนั่งอยู่ข้างหลังฉันเอื้อมมือออกมาจับแขนของฉัน ฉันสะบัดออกเต็มแรงก่อนจะตะโกนออกไป

      "แกไม่มีตัวตนอยู่หรอก!!"

      ใช่แล้ว...มันไม่มีตัวตน ร่างนั้นหายวับไปต่อหน้าต่อตาฉันเช่นเดียวกับ 'น้าเขย' คนแรก เมื่อเห็นดังนี้กำลังใจของฉันก็ค่อยๆ กลับคืนมา ฉันผุดลุกขึ้นยืนเดินไปอยู่ตรงกลางส่วนครึ่งหลังของรถ ท่ามกลางสายตาของ 'น้าเขย' ทุกๆ คน ก่อนจะกวาดมองไปรอบๆ

      "พวกแกก็ไม่มีตัวตน...ไม่มีตัวตน!!"

      ทุกร่างสลายหายไปทั้งที่ยังคงแสยะยิ้มอยู่ ฉันเดินฝ่าความเร็วของรถที่กำลังวิ่งไปยังส่วนหน้ารถและทำเช่นเดียวกัน

      "พวกแกไม่มีอยู่จริง!! พวกแกไม่มีตัวตน!!"

      บัดนี้เหลือเพียงฉันกับคนขับอยู่บนรถเท่านั้น ฉันกลั้นใจเดินเข้าไปหาคนขับ...และแล้วเขาก็หันกลับมา เขาก็คือ 'น้าเขย' อีกคนด้วยเช่นกัน

      "แกก็ไม่มีจริงเหมือนกัน!! หายไปซะ!!!"

      ฉันตะคอกใส่หน้าเขา ร่างนั้นสลายไปไม่ผิดกับร่างอื่นๆ เหลือเพียงพวงมาลัยที่หมุนคว้าง...ก่อนที่ฉันจะพบทางโค้งหักศอกและคลองสายหนึ่งเบื้องหน้า กับแรงกระแทกครั้งรุนแรง ฉันล้มคว่ำลงกระแทกกับกระจกหน้ารถก่อนสติจะดับวูบ...

      ----------------------------------------------------------------------------------------

      ฉันตื่นขึ้นพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ที่นั่งเดิม กระเป๋ารถเมล์ที่เป็นหญิงร่างท้วมเดินขึ้นมาบนรถ ส่วนคนขับที่เป็นชายร่างผอมเกร็งก็ขึ้นนั่งประจำที่นั่งแล้วเช่นกัน...และแน่นอนว่า...เขาไม่ใช่ 'น้าเขย'

      ฉันจ่ายเงินค่าโดยสารให้กระเป๋ารถเมล์หญิง ก่อนที่รถเมล์จะค่อยๆ เคลื่อนออกไป ฉันมองฟ้ามืดกับหมู่ไม้ข้างทางก่อนจะถอนใจเฮือกอีกครั้งเมื่อคิดว่าจะได้กลับบ้านในที่สุด

      นาฬิกาข้อมือของฉันบอกเวลาทุ่มครึ่ง ฉันเลยกะจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรบอกพ่อกับแม่ว่าอย่าเป็นห่วงที่ฉันกลับบ้านค่ำ

      "ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะนี้ กรุณาฝากข้อความ..."

      สามครั้งผ่านไปกับทั้งสองหมายเลข...และฉันก็ล้มเลิกความพยายามในที่สุด

      ฉันเปลี่ยนไปโทรหาพี่ภูมิแทน...อยากฟังเสียงของเขา...ฟังคำพูดของเขาให้อุ่นใจเช่นเคยว่าฉันไม่ได้มีตัวคนเดียวในโลกใบนี้

      เสียงอันแปลกหูดังมาจากปลายสายของเบอร์ที่ฉันบันทึกไว้ในเครื่อง

      "ฮัลโหล"

      "ฮัลโหล พี่ภูมิ ถึงบ้านแล้วใช่มั้ย? ทานข้าวยัง?" ฉันสลัดความกังวลใจแล้วทักเขาด้วยความห่วงใยอีกครั้ง

      "ใครครับ?" เสียงตอบกลับบอกความงุนงงจนฉันสะดุดใจ

      "แนนไง" นี่เสียงของฉันเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

      "แนนไหนครับ?"

      ก็แนน...แฟนพี่น่ะ...ฉันห้ามความคิดนี้ในใจก่อนที่มันจะทันกลั่นตัวเป็นคำพูดออกมา แล้วถามกลับไปอีกครั้ง

      "ขอโทษนะคะ นี่ใช่คุณภูมิหรือเปล่าคะ?" ฉันถามซ้ำ ก่อนจะบอกชื่อกับนามสกุลจริงของเขาที่ฉันจำได้ขึ้นใจไปด้วย

      "ใช่ครับ แต่ผมจำไม่ได้เลยว่ารู้จักคนชื่อแนน มีธุระอะไรเหรอครับ?" คือคำตอบของเขา

      ฉันฝืนยิ้มเศร้าๆ ขณะทำให้เสียงพูดต่อเรียบที่สุดเท่าที่จะจำได้

      "งั้นไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษที่รบกวน ฉันก็แค่หวังว่าจะได้พบ 'พี่ภูมิ' ตัวจริงในโลกภายนอกนี้น่ะค่ะ สวัสดีค่ะ"

      ฉันกดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋า ก่อนจะมองไปนอกกระจกรถ...พบกับบ้านเรือนบนเส้นทางที่ฉันคุ้นเคยอีกครั้ง ไม่ช้าฉันก็จะถึงบ้าน...บ้านที่ฉันมั่นใจว่าพ่อกับแม่ของฉันต้องกลับมาถึงแล้วและรออยู่

      ...หากว่า...ท่านทั้งสองไม่ใช่ภาพลวงตา...

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×