ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ - บันทึกในผืนทราย (รีไรท์)
บทนำ
บันทึกในผืนทราย
บนฟ้าสีคราม รัศมีแห่งดวงอาทิตย์เที่ยงวันเจิดจ้า สาดลงอาบธุลีทรายอันมีจำนวนเหลือคณานับ ประกอบขึ้นเป็นเนินสูงต่ำ สลับกับโขดหินและเงื้อมผา ในทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล
เว้นเสียงสายลมพัดหวีดหวิวดั่งบทเพลงที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจความหมาย เสียงแห่งชีวิตเพียงหนึ่งเดียวภายในบริเวณนี้มีเพียงเสียงฝีเท้าบนผืนทราย หนักแน่น...เชื่องช้า
ร่างในชุดคลุมสีเข้มหยุดก้าวย่าง ดวงตาสีทองดั่งแก้วสุกสกาวใต้เงาผ้าจ้องมองผืนทรายว่างเปล่า ราวกับรู้ว่ามีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้...
ร่างนั้นคุกเข่าลง มือกร้านแดดคุ้ยทรายร้อน กระทั่งเผยให้เห็นแผ่นกระดาษสีเหลืองคล้ำ ปลายยอดที่โผล่พ้นสุสานใต้กองทรายปลิวสะบัดตามแรงลม ราวกับมือที่กวักเรียก...ให้ทอดทัศนาข้อความซึ่งจารึกไว้ด้วยตัวอักษรกึ่งหวัดกึ่งบรรจงเป็นแนวแถวบนตัวของมัน แม้นว่ากระดาษแผ่นนั้นจะเก่าคร่ำคร่ากรอบแห้ง...จนอาจป่นลงได้แม้เพียงด้วยสัมผัสอันแผ่วเบาที่สุด และแม้นว่าหมึกที่ใช้บันทึกจะจางจนเหลือเพียงรอยขีดบางเบาแล้วก็ตาม
คนผู้ค้นพบมิได้หยิบมันขึ้นมาอ่าน และเพียงแตะหน้ากระดาษที่เห็นนิ่งนาน
เขาไม่เคยเรียนอักษรที่เขียนไว้ ทว่ามีสิ่งอื่นที่ถ่ายทอดสารของบันทึกม้วนนั้นแก่เขาได้แจ่มชัด ละเอียดถี่ถ้วนกว่าสิ่งที่เรียกว่าภาษานัก
...ละเอียดถี่ถ้วนดีเกินพอ...
ริมฝีปากใต้ผ้ากันทรายเหยียดยิ้ม...ทั้งแสนเศร้าและอุ่นใจ เขาล้วงมือลงไปในทรายลึกลงอีก สัมผัสโซ่โลหะที่รัดพันม้วนกระดาษเหล่านั้น จนได้สายสร้อยยาวที่ร้อยติดจี้โลหะฉลุลายคล้ายลมหมุนวน มองได้ทั้งอ่อนช้อยและดุดันขึ้นติดมือ
ครั้นแล้วชายผู้นั้นเหยียดร่างตรง หมุนตัวไปยังทิศทางหนึ่งอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงก้าวเดินพร้อมกับมองเพียงเส้นขอบฟ้า ไม่นานก็ลับหายท่ามกลางคลื่นร้อนราวกับสายลมสายหนึ่ง
นอกจากสายลมที่ยังคงพัดไม่หยุดหย่อนแล้ว คงไม่มีมนุษย์ผู้ใดสัญจรมาตามทางสายนี้อีก บันทึกในผืนทรายนี้ก็คงไม่มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องเล่าของมันให้ผู้ใดรับรู้ หากแต่ทอดกายนิ่งสงบอยู่กับแสงตะวันในยามทิวา...แสงจันทรากับมวลดาราในยามราตรี...หมู่เมฆ...สายลม...และเกล็ดทราย หมุนเวียนผันผ่านสลับเรื่อยไปเช่นนี้ จากวันเป็นเดือน...เป็นปี...และหลายร้อยปี...
จนกว่าตัวมันเองจะย่อยยับสลาย แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นทราย คงเหลือเพียงกระแสลมทะเลทรายที่ยังครวญขาน...ถึงลำนำของเรื่องราวซึ่งมนุษย์คงไม่มีวันรู้ชั่วนิรันดร์...ตราบโลกนี้ถึงกาลอวสาน
ที่นี่...คือเมืองแห่งสายลม..
ที่ซึ่งผู้คนเดินทางมา...แวะเวียน...และลาจาก ดุจสายลมที่ไม่มีวันหวนกลับ...
เจ้าเล่า...เป็นเช่นเดียวกับพวกเขามิใช่หรือ
วันหนึ่งเจ้ามาที่นี่...
ใช้เวลาร่วมกับข้าเพียงครู่...
ร่วมยิ้ม...
ร่วมหัวเราะ..
แบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กัน...
เติมใจที่ว่างเปล่าของข้าจนเปี่ยมล้น...
แต่แล้วอีกวันหนึ่ง... เจ้ากลับจากไป...
ทิ้งข้าให้อยู่เดียวดาย...อ้างว้างยิ่งกว่าเดิมกับเมืองแห่งนี้...
เมืองของข้าเพียงผู้เดียว...
...เมืองแห่งสายลม...
ทว่า...หากมิให้มนุษย์ผู้ใดรู้เลย ก็น่าเสียดายต่อเจ้าของเรื่องราวเหล่านี้มิใช่หรือ
...ชายผู้เป็นสายลมคิดในใจ
* * * * *
บันทึกในผืนทราย
บนฟ้าสีคราม รัศมีแห่งดวงอาทิตย์เที่ยงวันเจิดจ้า สาดลงอาบธุลีทรายอันมีจำนวนเหลือคณานับ ประกอบขึ้นเป็นเนินสูงต่ำ สลับกับโขดหินและเงื้อมผา ในทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล
เว้นเสียงสายลมพัดหวีดหวิวดั่งบทเพลงที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจความหมาย เสียงแห่งชีวิตเพียงหนึ่งเดียวภายในบริเวณนี้มีเพียงเสียงฝีเท้าบนผืนทราย หนักแน่น...เชื่องช้า
ร่างในชุดคลุมสีเข้มหยุดก้าวย่าง ดวงตาสีทองดั่งแก้วสุกสกาวใต้เงาผ้าจ้องมองผืนทรายว่างเปล่า ราวกับรู้ว่ามีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้...
ร่างนั้นคุกเข่าลง มือกร้านแดดคุ้ยทรายร้อน กระทั่งเผยให้เห็นแผ่นกระดาษสีเหลืองคล้ำ ปลายยอดที่โผล่พ้นสุสานใต้กองทรายปลิวสะบัดตามแรงลม ราวกับมือที่กวักเรียก...ให้ทอดทัศนาข้อความซึ่งจารึกไว้ด้วยตัวอักษรกึ่งหวัดกึ่งบรรจงเป็นแนวแถวบนตัวของมัน แม้นว่ากระดาษแผ่นนั้นจะเก่าคร่ำคร่ากรอบแห้ง...จนอาจป่นลงได้แม้เพียงด้วยสัมผัสอันแผ่วเบาที่สุด และแม้นว่าหมึกที่ใช้บันทึกจะจางจนเหลือเพียงรอยขีดบางเบาแล้วก็ตาม
คนผู้ค้นพบมิได้หยิบมันขึ้นมาอ่าน และเพียงแตะหน้ากระดาษที่เห็นนิ่งนาน
เขาไม่เคยเรียนอักษรที่เขียนไว้ ทว่ามีสิ่งอื่นที่ถ่ายทอดสารของบันทึกม้วนนั้นแก่เขาได้แจ่มชัด ละเอียดถี่ถ้วนกว่าสิ่งที่เรียกว่าภาษานัก
...ละเอียดถี่ถ้วนดีเกินพอ...
ริมฝีปากใต้ผ้ากันทรายเหยียดยิ้ม...ทั้งแสนเศร้าและอุ่นใจ เขาล้วงมือลงไปในทรายลึกลงอีก สัมผัสโซ่โลหะที่รัดพันม้วนกระดาษเหล่านั้น จนได้สายสร้อยยาวที่ร้อยติดจี้โลหะฉลุลายคล้ายลมหมุนวน มองได้ทั้งอ่อนช้อยและดุดันขึ้นติดมือ
ครั้นแล้วชายผู้นั้นเหยียดร่างตรง หมุนตัวไปยังทิศทางหนึ่งอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงก้าวเดินพร้อมกับมองเพียงเส้นขอบฟ้า ไม่นานก็ลับหายท่ามกลางคลื่นร้อนราวกับสายลมสายหนึ่ง
นอกจากสายลมที่ยังคงพัดไม่หยุดหย่อนแล้ว คงไม่มีมนุษย์ผู้ใดสัญจรมาตามทางสายนี้อีก บันทึกในผืนทรายนี้ก็คงไม่มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องเล่าของมันให้ผู้ใดรับรู้ หากแต่ทอดกายนิ่งสงบอยู่กับแสงตะวันในยามทิวา...แสงจันทรากับมวลดาราในยามราตรี...หมู่เมฆ...สายลม...และเกล็ดทราย หมุนเวียนผันผ่านสลับเรื่อยไปเช่นนี้ จากวันเป็นเดือน...เป็นปี...และหลายร้อยปี...
จนกว่าตัวมันเองจะย่อยยับสลาย แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นทราย คงเหลือเพียงกระแสลมทะเลทรายที่ยังครวญขาน...ถึงลำนำของเรื่องราวซึ่งมนุษย์คงไม่มีวันรู้ชั่วนิรันดร์...ตราบโลกนี้ถึงกาลอวสาน
ที่นี่...คือเมืองแห่งสายลม..
ที่ซึ่งผู้คนเดินทางมา...แวะเวียน...และลาจาก ดุจสายลมที่ไม่มีวันหวนกลับ...
เจ้าเล่า...เป็นเช่นเดียวกับพวกเขามิใช่หรือ
วันหนึ่งเจ้ามาที่นี่...
ใช้เวลาร่วมกับข้าเพียงครู่...
ร่วมยิ้ม...
ร่วมหัวเราะ..
แบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กัน...
เติมใจที่ว่างเปล่าของข้าจนเปี่ยมล้น...
แต่แล้วอีกวันหนึ่ง... เจ้ากลับจากไป...
ทิ้งข้าให้อยู่เดียวดาย...อ้างว้างยิ่งกว่าเดิมกับเมืองแห่งนี้...
เมืองของข้าเพียงผู้เดียว...
...เมืองแห่งสายลม...
ทว่า...หากมิให้มนุษย์ผู้ใดรู้เลย ก็น่าเสียดายต่อเจ้าของเรื่องราวเหล่านี้มิใช่หรือ
...ชายผู้เป็นสายลมคิดในใจ
* * * * *
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น