ลำดับตอนที่ #380
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #380 : รู้หรือไม่ "เมรุเผาศพ มีที่มาอย่างไร"
คำว่า "เมรุ" อ่านว่า เมน หมายถึง ภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นที่ประทับของพระอินทร์ เป็นที่มาของการส่งวิญญาณสู่สวรรค์ในพิธีเผาศพ โดยสร้างเมรุมีหลังคาเป็นยอด มีรั้วล้อมรอบด้วย
สำหรับพระมหากษัตริย์ เรียกว่า พระเมรุมาศ (อ่านว่า เม-รุ-มาศ) พระบรมวงศานุวงศ์ เรียกว่า พระเมรุ ส่วนสามัญชนเรียกว่า เมรุ
จากหนังสือ "ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย" สำนักพิมพ์มติชน อธิบายการสร้างเมรุหรือพระเมรุ ว่า เกี่ยวพันถึงคติความเชื่อในสังคมไทย ที่รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาและพราหมณ์
ย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ผ่านพ้นไป 8 วัน ในครั้งนั้น มัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์ มีพระมหากัสสปเถระ เป็นประธาน พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ประดิษฐานบนจิตกาธาน คือ เชิงตะกอนที่ทำด้วยไม้แก่นจันทน์สูง 120 ศอก แสดงว่า ในสมัยพุทธกาลยังไม่ได้ทำรูปแบบเมรุแบบในปัจจุบัน
ทางพุทธศาสนา ยึดถือคติไตรภูมิ กล่าวถึงเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของภูมิทั้งสาม
ทางศาสนาพราหมณ์ เชื่อถือว่ากษัตริย์เป็นพระศิวะหรือพระนารายณ์แบ่งภาคลงมาบำรุงโลกมนุษย์ เมื่อสิ้นอายุขัย ย่อมกลับคืนสู่สวรรค์
ความเป็นสมมติเทพของกษัตริย์ การประกอบพิธีถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศ เป็นการส่งพระศพและดวงวิญญาณเสด็จกลับยังเขาพระสุเมรุ
หลักฐานการสร้างพระเมรุในไทย มีปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยพิธีพระบรมศพ ถือเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ของบ้านเมือง มีแบบแผนถือปฏิบัติอย่างมีระเบียบ
การจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงสร้างพระเมรุมาศเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศที่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ถวายแด่พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตล่วงแล้ว พิจารณาพระเดชานุภาพในการสร้างพระเมรุมาศ
ไกรฤกษ์ นานา เขียนในมติชน ว่า การสร้างพระเมรุน่าจะเริ่มในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ราวพ.ศ.2181 ใช้เผาศพเจ้านายเท่านั้น ส่วนชาวบ้านเผาบนเชิงตะกอนง่ายๆ
สันนิษฐานว่าการสร้างพระเมรุมาศในยุคกรุงศรีอยุธยา สร้างเลียนแบบนครวัด "วิษณุโลก" ที่จำลองเขาพระสุเมรุ โดยจินตนาการจากภูเขาหิมาลัย
จากนั้นปรับปรุงแบบแผนจนมีรูปแบบศิลปะไทยในยุคหลังๆ แสดงงานศิลปกรรมแบบอยุธยาอย่างสมบูรณ์
ในสมัยรัชกาลที่ 5 (ครองราชย์ พ.ศ.2411-2453) โปรดให้สร้างเมรุเผาศพอย่างถาวรด้วยปูนไว้ในวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย (แต่เอกสารบางชิ้นระบุว่า มีเมรุปูน วัดสระเกศฯ ใช้เผาศพตั้งแต่รัชกาลที่ 3)
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยึดหลักการสร้างแบบพระเมรุมาศตามตำราโบราณราชประเพณีครั้งกรุงเก่าทุกประการ คือ ทำเป็นพระเมรุอย่างใหญ่ มีตัวพระเมรุ 2 ชั้นต่างไปอยู่ภายในพระเมรุชั้นนอกที่ทำเป็นพระเมรุยอดปรางค์หรือยอดรูปดอกข้าวโพด ส่วนใหญ่เป็นไปตามแบบแผนมีต่างกันไปในรายละเอียดเรื่องการออกแบบตามฝีมือช่าง
พระเมรุมาศพระบรมศพรัชกาลที่ 4 ถือเป็นพระเมรุมาศสุดท้ายที่ทำตามแบบโบราณราชประเพณี
สำหรับชาวบ้าน เมรุเผาศพค่อยๆ แพร่ไปอยู่ในวัดสำคัญในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2500 ซึ่งหลังจากไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก (พ.ศ.2504-2509) แล้ว ชนชั้นกลางต้องการเผาศพบรรพบุรุษบนเมรุแบบเจ้านายและชนชั้นสูง จึงสร้างเลียนแบบไว้ตามวัดสำคัญ ก่อนกระจายไปยังวัดเล็กวัดน้อยทั่วประเทศ
ทุกวันนี้ การเผาศพบนเมรุ กลายเป็นสิ่งที่แสดงฐานะและเชิดชูคุณงามความดีของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ที่มา ข่าวสดออนไลน์
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น