ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่าเรื่องเมืองไทย อดีตที่ยังไม่เสื่อมคลาย

    ลำดับตอนที่ #35 : มิตร ชัยบัญชา พระเอกอมตะตลอดกาล 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 365
      6
      22 ก.ย. 58



               มิตร ชัยบัญชาสู่บทบาทอื่นๆ    พ.ศ. 2510 หลังจากที่มิตร ชัยบัญชา ประสบความสำเร็จอย่างสูงแล้ว มีทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ พร้อม หลักฐานมั่นคง จึงคิดช่วยให้เพื่อนๆ ตั้งตัวได้ โดยตั้ง สหชัยภาพยนตร์ ขึ้น ให้สลับกันเป็นผู้อำนวยการสร้าง มิตร เป็นพระเอกให้โดยไม่คิดค่าแสดง หากมีปัญหาเรื่องเงินทุนก็ช่วยเหลือกัน และมีภาพยนตร์หลายเรื่องในช่วงนี้จนถึง พ.ศ. 2513 ที่มิตร ร่วมทุนสร้างด้วย เช่น จอมโจรมเหศวร, สวรรค์เบี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่อดุลย์ ดุลยรัตน์ เป็นผู้กำกับการแสดง โดยมิตร แนะนำให้ผู้สร้างคือ วิเชียร สงวนไทย ติดต่ออดุลย์ และบอกว่าอดุลย์ จะเป็นผู้กำกับที่มีฝีมือในอนาคต ผลงานเด่นๆ ในช่วงนี้มีหลายเรื่องที่ได้รับการกล่าวถึงเสมอ เช่น จุฬาตรีคูณ, แสนรัก, เหนือเกล้า, ไทรโศก, แสนสงสาร, อีแตน, สมบัติแม่น้ำแคว, จ้าวอินทรี, รอยพราน, สองฟากฟ้า, รักเอย, 7 พระกาฬ, ทรชนคนสวย, คนเหนือคน และผลงานที่แสดงถึงความสามารถของมิตรอีกจำนวนมาก แต่ไม่มีการจัดงานตุ๊กตาทองแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2509
              ปลาย พ.ศ. 2511 มิตร ชัยบัญชาได้ผันตัวเองเข้าสู่การเมือง ขณะนั้นมิตร มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตก ปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้มิตรหวังว่าชื่อเสียงเหล่านี้จะสามารถชนะใจประชาชนเหมือนเช่นการแสดงภาพยนตร์ ทำให้มิตรตัดสินใจหยั่งเสียงตัวเองเป็นครั้งแรกด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ในนามกลุ่ม หนุ่ม เมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2511 หาเสียงในเขตบางรัก ยานนาวา สัมพันธวงศ์ ป้อมปราบศัตรูพ่าย แต่เขาก็ไม่ได้รับเลือก เขาไปพักผ่อนเข้าป่าไทรโยคที่ จังหวัดกาญจนบุรีกับรังสี ทัศนพยัคฆ์ ล้อต๊อก กิ่งดาว และเพื่อน แล้วออกมาทำงานต่อ ภาพข่าว มิตร ชัยบัญชา หาเสียงเลือกตั้งต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2512 มิตรได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อพิสูจน์ความนิยมในตัวเองอีกครั้ง ตามคำขอของเพื่อน แต่ไม่ใช่ระดับท้องถิ่นอีกต่อไป เพราะเขาได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตพระนคร กับ ปราโมทย์ คชสุนทร เพื่อหวังทำงานรับใช้ประชาชน และต้องการช่วยนักแสดง ให้การแสดงเป็นอาชีพที่มั่นคง มีสวัสดิการ ได้รับการดูแลเหมือนอาชีพเฉพาะทางอื่นๆ โดยขณะหาเสียงมิตรยังคงมีงานถ่ายภาพยนตร์อยู่มากหลายเรื่อง รวมทั้งต้องเคลียร์คิวหนังไปถ่ายต่างประเทศด้วย 2 เรื่อง เรื่องแรกไปถ่ายที่ญี่ปุ่น อีกเรื่องไปถ่ายที่ปีนัง โดยคู่แข่งขันกล่าวกับประชาชนว่า ถ้ามิตร ชัยบัญชา ได้รับเลือกตั้งก็จะไม่ได้มาแสดงภาพยนตร์ให้ดูอีก มิตรไม่ได้รับเลือกเป็นครั้งที่ 2 ด้วยคะแนนที่สูงพอสมควรแต่ขาดไปเพียง 500 คะแนน ได้เป็นที่ 16 จากความต้องการ 15 คน
              การลงสมัครเลือกตั้งนี้เองทำให้เงินทองและทรัพย์สินของมิตรร่อยหรอลงไปหลายล้านบาท พร้อมกับบ้าน 1 หลังที่จำนองกับธนาคาร เขาเก็บความผิดหวังไว้เงียบๆ และอีกความเจ็บปวด คือ หญิงคนที่รักมากได้ตีห่างจากไป (เพราะเหตุผลว่าเขาผิดสัญญาที่ลงเล่นการเมืองเป็นครั้งที่ 2 และเลือกประชาชน มากกว่า เลือกเธอ) ทำให้มิตรเสียใจมาก เขาพยายามตั้งใจ อดทนสู้ใหม่ รับงานหนังอีกหลายเรื่อง เช่น 7 สิงห์คืนถิ่น, วิมานไฟ, จอมโจรมเหศวร, ทรชนเดนตาย, ฟ้าเพียงดิน, ไอ้หนึ่ง, ชาติลำชี, ขุนทาส, สมิงเจ้าท่า, แม่ย่านาง, ลมเหนือ, 2สิงห์จ้าวพยัคฆ์, กำแพงเงินตรา, วิญญาณดอกประดู่, สวรรค์เบี่ยง, ฝนเดือนหก ฯลฯ และปีเดียวกัน มิตรได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง รอยพราน ในนามชัยบัญชาภาพยนตร์ ด้วย พ.ศ. 2513 เขารวบรวมที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่ จำนองกับธนาคารเอเชีย 4 ล้าน 6 แสนบาท และจำนองบ้านพักทั้ง 3 หลังรวมทั้งขายที่ดินที่จังหวัดสระบุรีอีก 7 แสนบาท นำเงินทั้งหมดไปซื้อที่ดินตรงเชิงสะพานผ่านฟ้า เนื้อที่ 514 ตารางวา ราคา 7 ล้านบาท เพื่อลงทุนสร้างโรงภาพยนตร์ขนาดมาตรฐานเพื่อฉายหนังไทยโดยเฉพาะ มีร้านค้า และที่จอดรถ แบบทันสมัย โดยหวังช่วยเหลือผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทยให้ไม่ต้องรอโปรแกรมฉายต่อจากภาพยนตร์ต่างประเทศ การออกแบบเรียบร้อย และ ดำเนินการปรับพื้นที่แล้ว รวมทั้งมีโครงการสร้างภาพยนตร์ 2 เรื่อง เพื่อฉายรับโรงภาพยนตร์ใหม่ เป็นการวางอนาคตของมิตร ชัยบัญชา ผู้เป็นความหวังและที่พึ่งของเพื่อนที่ร่วมโครงการนี้
              และเมื่อ พ.ศ. 2513 นี้มิตรรับงานแสดงภาพยนตร์ไว้ประมาณ 50 เรื่อง และยังมีการแสดงภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่ฮ่องกง ที่รับไว้ตั้งแต่ปีก่อน เรื่อง อัศวินดาบกายสิทธิ์ โดยได้แสดงร่วมกับ เถียนเหย่, กว่างหลิง และเรื่อง จอมดาบพิชัยยุทธ (ส่วนอีกเรื่องเมื่อมิตรเสียชีวิตก็ให้ไชยา สุริยัน แสดงแทนในดาบคู่สะท้านโลกันต์) ปีเดียวกัน มิตรแสดงภาพยนตร์ร่วมกับเพชราในภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ ที่มิตรมีส่วนร่วมในการคิดเรื่อง และช่วยงานจนภาพยนตร์เสร็จ แม้ว่าจะหมดบทของมิตรแล้ว โดยมิตรร้องเพลงลูกทุ่งในเรื่อง 2 เพลง จาก 14 เพลง ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างสูง ฉายในกรุงเทพได้นานถึง 6 เดือน ทำรายได้ 6 ล้านบาท และรายได้ทั่วประเทศมากกว่า 13 ล้านบาท ปลุกกระแส มิตร-เพชรา ให้โด่งดังมากขึ้นอีก และเกิดความนิยมเพลงลูกทุ่งในกรุงเทพเป็นปรากฏการณ์



              การเสียชีวิต การถ่ายทำฉากสุดท้ายของเรื่อง อินทรีทองเมื่อ พ.ศ. 2513 มิตรมีโครงการภาพยนตร์ ที่แสดงนำและกำกับการแสดงเป็นเรื่องแรก ในเรื่อง อินทรีทอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชุด "อินทรีแดง" เรื่องที่ 6 ที่มิตรแสดงในบท โรม ฤทธิไกรหรือ อินทรีแดง ที่ต้องออกสืบหาอินทรีแดงตัวปลอม รับบทโดยครรชิต ขวัญประชา แสดงร่วมกับ เพชรา เชาวราษฎร์ รับบทวาสนา การถ่ายทำสำเร็จได้ด้วยดีจนถึงฉากสุดท้ายของเรื่อง ถ่ายทำที่หาดดงตาล พัทยาใต้ จังหวัดชลบุรี เมื่อ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2513 เวลา 9.00 น. ในเรื่องหลังจากอินทรีแดงปราบผู้ร้ายได้แล้ว จะหนีตำรวจออกจากรังของคนร้าย โดยโหนบันไดเชือกจากเฮลิคอปเตอร์ซึ่งมีวาสนาเป็นผู้ขับ กล้องจะเก็บภาพเฮลิคอปเตอร์พาอินทรีแดงบินลับหายไป เพื่อความสมจริง และความไม่พร้อมของเสื้อผ้าของนักแสดงแทน มิตรตกลงว่าจะแสดงฉากนี้ด้วยตัวเอง โดยกำหนดการถ่ายทำไว้อย่างละเอียด แต่ด้วยความผิดพลาดทางเทคนิคที่มิตรไม่อาจรู้ได้ เพราะกำลังแสดงอยู่ ปรากฏว่าด้วยแรงกระตุกของเครื่องขณะบินขึ้น โดยที่มิตรไม่ได้เหยียบบนบันได และต้องโหนตัวอยู่กับบันได เครื่องไม่ได้ลงจอดเมื่อผ่านหน้ากล้องแล้ว มิตร พยายามให้สัญญาณด้วยการตบเท้าเข้าหากัน
              ในขณะที่นักบินมองไม่เห็นความผิดปกติและการให้สัญญาณจากพื้นล่าง ยังบินสูงขึ้นต่อไป และเกิดแรงเหวี่ยงในจังหวะที่เครื่องเลี้ยวกลับ ทำให้มิตรไม่สามารถโหนตัวต่อไปได้ ตกลงมาจากเฮลิคอปเตอร์กระแทกกับพื้น จากความสูง 300 ฟุต เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลศรีราชาด้วย เฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวภายใน 5 นาที แต่สายเกินไป จากผลการชันสูตรศพยืนยันว่า เขาเสียชีวิตทันที เพราะร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เชือกบาดข้อมือเป็นแผลลึก 2 ซ.ม. ยาว 8 ซ.ม. กระดูกขากรรไกรข้างขวาหัก กระดูกโหนกแก้มซ้ายขวาหัก มีเลือดออกทางหูขวา กระดูกซี่โครงขวาหัก 5 ซี่ กระดูกโคนขาขวาหัก กระดูกต้นคอหัก โดยเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ 16.13 น.  มิตร ชัยบัญชา9 ตุลาคม พ.ศ. 2513



              หนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับพาดหัวข้อข่าวการตายของเขา ซึ่งกระจายข่าวไปถึงญี่ปุ่น ฮ่องกง และไต้หวัน หลังจากข่าวการตายของเขา ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาถูกเคลื่อนย้ายออกจากบ้านทั้ง 3 หลัง ไม่มีเสื้อผ้าเหลือแม้แต่ชุดเดียวที่จะสวมใส่ให้ใหม่ตอนรดน้ำศพ ศพของมิตร ชัยบัญชา ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดแคนางเลิ้ง หลังจากครบ 100 วัน พิธีพระราชทานเพลิงศพจัดเมื่อ 21 มกราคม พ.ศ. 2514 มีประชาชนหลั่งไหลเข้าไปร่วมงานจำนวนหลายหมื่นคน สำหรับการพระราชทานเพลิงศพย้ายจากวัดแคไปวัดเทพศิรินทร์ มีประชาชนหลั่งไหลไปร่วมงานกว่า 3 แสนคน จนกระทั่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวว่าเป็นงานศพของสามัญชนที่มีผู้ไปร่วมงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์


    Credit http://campus.sanook.com/910545/

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×