ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องรอบ ๆ ตัวแบบนี้ "คุณรู้หรือไม่"

    ลำดับตอนที่ #135 : รู้หรือไม่ "ผ้าเช็ดหน้ามีที่มาอย่างไร"

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 52




         ผ้าสี่เหลี่ยมผืนน้อยที่เราใช้เช็ดหน้าเช็ดมือหรือแม้กระทั่งอ่อยเหยื่อ (ซึ่งเป็นวิธีที่ออกจะล้าสมัยเสียแล้ว)  ฝรั่งเรียกว่า handkerchief หลายคนจึงสงสัยว่าทำไมเป็น hand หรือเขาจะใช้เช็ดแต่มือ ?

         ในคริสต์ศตวรรษที่ ๕ กะลาสีเรือชาวฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่งกลับจากดินแดนทางตะวันออกพร้อมผ้าลินินน้ำหนักเบาผืนใหญ่  ซึ่งพวกเขาได้เห็นชาวนาจีนใช้คลุมศีรษะกันแดด  ผู้หญิงฝรั่งเศสซึ่งชอบการแต่งเนื้อแต่งตัวอยู่แล้ว  นึกชอบใจคุณสมบัติของผ้าลินินจึงดัดแปลงและเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยของผ้า โดยเรียกอาภรณ์สำหรับศีรษะชิ้นใหม่ตามวัตถุประสงค์เดิมว่า 'couvrechef'  แปลว่า  'การคลุมศีรษะคนอังกฤษรับเอาการแต่งกายแบบนี้มา และเรียกให้เป็นภาษาอังกฤษว่า  'kerchief'  ต่อมาเนื่องจากคนส่วนใหญ่มักถือผ้าไว้ติดมือมากกว่า จะใช้คลุมศีรษะก็เมื่อออกไปอยู่กลางแจ้งผ้าชนิดนี้จึงกลายเป็น 'hand kerchief'

         ในระยะแรก 'hand kerchief' ยังไม่เป็น 'handkerchief'  หรือผ้าเช็ดหน้าอย่างในปัจจุบันเสียทีเดียวที่ประเทศจีน  ผู้ใช้ผ้าคลุมศีรษะคือหญิงชาวนา แต่ในยุโรปกลับเป็นผู้หญิงในสังคมสั้นสูง  ซึ่งอันที่จริงพวกเธอก็ถือร่มกันแดดอยู่แล้ว  ผ้าคลุมศีรษะจึงถือเอาไว้เพื่อเป็นแฟชั่นเสียมากกว่า  ภาพวาดและภาพเขียนในสมัยนั้นจำนวนมากที่เป็นภาพผู้หญิงถือร่มโดยที่ในมืออีกข้างหนึ่งถือผ้าคลุมศีรษะที่ตัดเย็บอย่างประณีตงดงามกรีดกรายไปมา และอาจทำ  'หล่นด้วยความเขินอาย  ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ผ้าคลุมศีรษะที่ทำจากผ้าไหมซึ่งบางผืนใช้ด้ายเงินและทองมีราคาแพงมาก  ถึงกับถูกระบุเป็นทรัพย์สินมีค่าไว้ในพินัยกรรมด้วย

         ในสมัยพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ ๑  แห่งอังกฤษ  จากผ้าลินินก็เริ่มวิวัฒนาการเป็นลูกไม้ปักชื่อย่อของคนรักเป็นตัวหนังสือในพื้นที่ ๔ ตารางนิ้ว มุมผ้าด้านหนึ่งเป็นพู่ห้อย คนเรียกผ้าชนิดนี้ว่า 'พู่แห่งรักแท้กันอยู่ช่วงหนึ่ง  ฝ่ายสุภาพบุรุษจะจีบผ้าซึ่งมีชื่อย่อภริยาปักอยู่ติดเข้าไว้กับแถบผ้ารอบหมวก  ส่วนสุภาพสตรีก็เหน็บ 'พู่แห่งรักแท้ที่ได้มาไว้ที่อกเสื้อ

         แล้วจากผ้าคลุมศีรษะของหญิงชาวนาจีนกลายมาเป็นผ้าที่เราใช้เช็ดเหงื่อเช็ดน้ำมูกกันตามหน้าที่อย่างในปัจจุบันกันเมื่อไรก็คงจะหลังจากที่ผ้าชนิดนี้เข้ามาแพร่หลายในยุโรปไม่นานนัก  แต่ผ้าที่ใช้เช็ดน้ำมูกสมัยนั้นค่อนข้างแตกต่างจากในปัจจุบัน

         ตลอดยุคกลาง  คนจัดการให้จมูกของตัวเองโล่งขึ้นด้วยการสั่งน้ำมูกพรืดออกมาในอากาศ  แล้วหาอะไรก็ได้ที่ใกล้มือเช็ดจมูกซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้แขนเสื้อนั้นแหละ ในสมัยโรมัน สถาบันที่ดูแลเรื่องวัฒนธรรมพยายามให้ประชาชนเลิกกิริยาดังกล่าว  คนจึงหันมาใช้ผ้าที่เรียกว่า  sudarium  แปลว่า  ผ้าซับเหงื่อแต่ใช้สำหรับทั้งเช็ดหน้าผากในวันที่อากาศร้อนและสั่งน้ำมูกด้วย  อย่างไรก็ดี  การปฏิบัติเพื่อความสุภาพนี้ก็เสื่อมไปพร้อมอาณาจักรโรมัน

         การติเตียนเรื่องการใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมูกมีบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ (แต่ไม่ได้ตำหนิเรื่องการสั่งน้ำมูกด้วยวิธีนั้น) ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีผ้าเช็ดหน้าแล้ว ในปี ค.ศ.  ๑๕๓๐  อีรัสมัสแห่งรอตเทอร์ดาม  ผู้บันทึกเรื่องราวทางจารีตประเพณีเขียนข้อแนะนำไว้หนังสือมารยาทว่า  “การเช็ดน้ำมูกด้วยแขนเสื้อเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ  ใช้ผ้าเช็ดหน้าดีกว่า  เชื่อฉันสิ”  ศตวรรษต่อมาคนก็เริ่มนิยมใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำมูกกันมากขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่  ๑๙  มีการค้นพบว่าเชื้อโรคแพร่ในอากาศการใช้ผ้าเช็ดหน้าจึงเป็นที่นิยมกันยิ่งขึ้น

         ผืนผ้าที่คนเพียงแต่ถือกรีดกรายติดมือ  จึงได้กลายเป็นผ้าเช็ดหน้าอย่างสมภาคภูมิด้วยประการฉะนี้

    ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×