ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องรอบ ๆ ตัวแบบนี้ "คุณรู้หรือไม่"

    ลำดับตอนที่ #108 : รู้หรือไม่ "จุก-แกละ-เปีย-โก๊ะ เป็นทรงผมยอดฮิตเด็กสมัยโบราณ"

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 52


    จุก-แกละ-เปีย-โก๊ะ ทรงผมยอดฮิตเด็กสมัยโบราณ
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

    คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
    ผมจุก

    ผมแกละ

    ผมเปีย

    ผมโก๊ะ

    หากย้อนไปดูทรงผมของเด็กๆในสมัยโบราณแล้ว จะมีทรงผมยอดฮิต เพียงไม่กี่ทรงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผมจุก ผมแกละ ผมเปีย และผมโก๊ะ ซึ่งในปัจจุบันนั้นเด็กที่ยังคงไว้ผมทรงเหล่านี้อยู่ก็หายากเต็มที เด็กๆยุคใหม่อาจจะไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำไป ดังนั้นเรามาดูกันว่า ทรงผมไทยโบราณแต่ละทรงนั้นมีลักษณะและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
           
           1. ผมจุก (Top knot) คือผมที่ขมวดไว้ตรงขม่อม ราชาศัพท์เรียกว่า พระเมาลีหรือพระโมลี
           2. ผมแกละ คือผมที่เอาไว้เป็นหย่อมหรือเป็นปอยที่ข้างศีรษะ เด็กบางคนก็ไว้แกละเดียว บางคนก็ไว้สองแกละ
           
           3. ผมเปีย (pig tail) คือผมที่ปล่อยไว้ยาวให้ห้อยลงมา แต่ผู้ใหญ่จัดนำมาถักไขว้กัน และผูกไว้ให้ดูเรียบร้อย ผมเปียของเด็กไม่เหมือนกับผมเปียของสาวๆ ในปัจจุบันนะคะ ผมเปียของเด็กจะยาวเฉพาะส่วนที่ปล่อยไว้คลุมขม่อมเท่านั้น ส่วนอื่น ๆ บนศีรษะจะโกนเกลี้ยงเกลา แต่ผมเปียของสาว ๆ จะไว้ยาวทั้งศีรษะและรวบมามาทางด้านหลัง จัดการถักไขว้ให้ ดูเรียบร้อยและสวยงาม บางครั้งนำโบว์หรือเครื่องประดับอื่น ๆ มาติดไว้
           
           4. ผมโก๊ะ (pony tail) คือผมที่ไว้เป็นหย่อมหรือปอยคล้ายผมแกละ แต่ไม่ได้ถักเปียอย่างผมเปีย เพียงแต่ผูกไว้ไม่ให้รุงรังจนสร้างความรำคาญให้แก่เด็ก
           
           ส่วนเหตุผลที่เด็กต้องไว้ผมทรงต่างๆนั้น ส่วนหนึ่งมาจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน หากให้เด็กไว้ผมยาวก็จะไม่สะดวก สร้างความรำคาญแก่เด็ก ดูแลรักษายากเพราะเด็กอยู่ในวัยซุกซน แต่ในขณะเดียวกันกะโหลกศีรษะหรือกระหม่อมของเด็กซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า "ขวัญ" นั้นยังบอบบาง คือยังต่อกันไม่สนิท โดยเชื่อกันว่าขวัญหรือชีวิตวิญญาณของคนเราอยู่ที่กระหม่อม หากสังเกตจะเห็นว่าบริเวณขวัญของเด็กแรกเกิดหรือเด็กเล็ก ๆ จะเห็นตรงกระหม่อมบาง ๆ เต้นตุบ ๆ จึงถือเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ดังนั้นหากไปโกนผมตรงส่วนนั้นออก อาจเป็นอันตรายได้ จึงโกนเฉพาะส่วนอื่น ๆ ปล่อยตรง ขวัญไว้ เมื่อผมยาวมากขึ้น ปล่อยไว้ก็จะสร้างความรำคาญให้แก่เด็กและดูไม่เรียบร้อย จึงเกล้ามัดขึ้นเป็นจุก ซึ่งในสมัยโบราณนิยม ให้เด็กไว้ผมทรงต่างๆ ดังที่กล่าวมา
           
           
    แต่นอกจากเหตุผลนี้แล้วยังมีเหตุผลอีก 2 ประการอันเป็นที่มาการไว้ผมทรงต่างๆ ของเด็กไทยโบราณคือ
           

           1.ไว้ตามประเพณี เห็นคนอื่นเขาให้ลูกไว้ก็ให้ลูกของตนไว้บ้าง ส่วนใหญ่จะให้เริ่มไว้หลังจากที่ทำพิธีโกนจุกแล้วโดยจะเหลือผมตรงกระหม่อมไว้ เพราะเชื่อกันว่า หากโกนผมทิ้งไปหมด ขวัญก็จะไม่มีที่อาศัยแล้วก็เริ่มไว้จนยาวตั้งแต่นั้นเรื่อยมา
           
           2.ไว้เพราะเป็นการแก้เคล็ด เนื่องจากเด็กมักเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ หรือเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก ผู้ใหญ่เห็นว่าอาจเป็นเพราะไว้ผมธรรมดา เลยให้เปลี่ยนมาเป็นไว้จุก ไว้แกละ ไปตามแต่เห็นสมควร บางที่พอเปลี่ยนทรงผมแล้วกลายเป็นเด็กแข็งแรง เลี้ยงง่ายไปเลยก็มี
           
           โดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีเสี่ยงทาย โดยผู้ใหญ่จะไปหาดินเหนียวมาปั้นตุ๊กตาเป็นรูปเด็กไว้ผมทั้ง 4 แบบ คือ ผมจุก ผมแกละ ผมเปีย และผมโก๊ะ แล้วให้เด็กซึ่งยังเล็กๆไม่ประสีประสาเลือก หากเด็กจับตุ๊กตาที่ไว้ผมแบบใด ก็จะให้เด็กเปลี่ยนมาไว้ผมแบบนั้น หรือใช้วิธีเสี่ยงทายอื่นๆ เช่น เขียนชื่อทรงผมยอดฮิตทั้ง 4 แบบ ใส่กระดาษแยกออกเป็นแผ่นๆ ให้เด็กเลือกหยิบขึ้นมาแผ่นหนึ่งแล้วไว้ผมตามนั้น ด้วยเหตุนี้เด็กไทยสมัยโบราณบางที่ก็ไว้ผมทั้ง 4 แบบได้ ทั้งหญิงและชาย สำหรับพระราชโอรส พระราชธิดาหรือบุตรธิดาของขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั้น นิยมไว้ผมจุกกันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนลูกชาวบ้านทั่วไปนั้นนิยมไว้ทั้ง 4 แบบ สำหรับวัยที่เหมาะกับการโกนผมของเด็ก คือ
    ช่วงอายุ 11-13 ปี เด็กชายจะโกนราว 13 ปี เด็กหญิงจะโกนราว 11 ปี ซึ่งในที่นี้ไม่ได้จำกัดตายตัวแต่อย่างใด
           

           ทั้งนี้ พระราชครูวามเทพมุนีฯ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการไว้ผมจุกไว้ในบทนำหนังสือ พระราชพิธีโสกันต์ว่า "การไว้จุกน่าจะรับเอาคตินิยามตามศาสนาพราหมณ์ซึ่งเห็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ไว้ผมยาว และขมวดมุ่นเป็นมวยไว้กลางศีรษะก็นำมาดัดแปลงเป็นทรงผมเด็ก ด้วยต้องการอยู่ในความคุ้มครองอารักของเทพเจ้า”
           
           นอกจากนี้ ประเพณีการไว้จุกและโกนจุกในอินเดียก็มีเช่นเดียวกัน เรียกว่า พิธีอุปนัยนะ และวันขึ้นปีใหม่ของพราหมณ์ (ตรียัมปวาย) ซึ่งเป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้าลงมาเยี่ยมโลก ในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งจะมีการโล้ชิงช้า ก็ได้จัดโกนจุกเด็กด้วย
           
           ขอขอบคุณข้อมูลจาก
           www.thaigoodview.com
           ครูนิตยา อำไพวรรณโรงเรียนอนุบาลบางคนที
           (วัดเกาะใหญ่เลี้ยงล้อมอนุกูล) สมุทรสงคราม
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×