คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : P-4 (รีไรท์)
*อัปตอนที่ 3-5*
"คุณไม่ทราบเหรอคะ คุณอัศวินเขาเสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้วละค่ะ" พนักงานแผนกต้อนรับกล่าวบอกเขาด้วยน้ำเสียแฝงความเศร้า "ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญอะไรกับคุณอัศวินหรือเปล่าคะ"
ข่าวที่ได้รับมาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้อัศวินถึงกับสติหลุดไปชั่วขณะ
"คุณคะ?"
"ค ครับ"
"คือ ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญอะไรเกี่ยวกับคุณอัศวินหรือเปล่าคะ ดิฉันจะได้แจ้งไปยังคุณเจตฎา่ให้ได้ทราบ"
"เปล่าหรอกครับ พอดีผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศน่ะครับเลยแค่อยากจะมาทักทายเขานิดหน่อย ไม่คิดว่า..." เขารีบหาข้อแก้ตัวเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
"คุณเป็นคนรู้จักของคุณอัศวินเหรอคะ งั้นถ้าจะเขาร่วมพิธีศพก็ยังทันอยู่นะคะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว นี่เป็นสถานที่จัดพิธีศพนะคะ" เธอกล่าวพร้อมกับจดอะไรบางอย่างลงในกระดาษแผ่นเล็กก่อนที่ยื่นส่งมาให้เขา อัศวินรับมันมาพลางฝืนยิ้มกล่าวขอบคุณให้แก่พนักงานสาวก่อนที่จะขอตัวกลับ
ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาเข้าใจ ถ้าตัวเขาในตอนนี้กำลังอยู่ในร่างของชัชพงษ์ ถ้าระหว่างเขากับชัชพงษ์สลับร่างกันจริงๆ ถ้างั้น.. ร่างของอัศวินในนี้ ชัชพงษ์ตัวจริง.. ตายแล้วอย่างงั้นเหรอ?
ถ้างั้นแล้วตัวเขา...
เพียงแค่คิดอัศวินกุมขมับพลางใช้ความคิดตัวเองอย่างสบสน ก่อนเกิดเรื่องเขายังพอทำให้ตัวเองใจเย็นอยู่ได้เพราะให้เหตุผลกับตัวเองไว้ว่ายังพอมีหนทางกลับคืนยังร่างเดิมของตนได้อยู่ แต่เมื่อพบความเป็นจริงที่ถาโถมเข้ามา ต่อให้เป็นคนใจเย็นสุขุมแค่ไหนก็ไม่มีทางรับมือกับมันได้อย่างง่ายดายแน่...
กลางดึกในคืนนั้นเนื่องจากอัศวินไม่อาจนอนข่มตาหลับลงได้ เขาจึงออกมานั่งเงียบๆคนเดียวกลางสวนพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่งภายในมือ
"...งั้นถ้าจะเขาร่วมพิธีศพก็ยังทันอยู่นะคะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว นี่เป็นสถานที่จัดพิธีศพนะคะ"
"....." สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจไม่ได้เสียที ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้วถึงคิดจะไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน และถึงแม้จะมีวันเผาอีกวันแต่สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ขนานพิธีสวดยังไม่อาจทำใจเข้าร่วมได้เลยไม่ใช่หรือไง
"ทำไมถึงมานั่งทำหน้าอมทุกข์อยู่ที่นี่ไม่ไปหลับไปนอนละ"
อัศวินแอบสะดุ้งเล็กน้อยจากเสียงที่ดังขึ้นเบื้องหลังอย่างไม่ทันตั้งตัวของธนากร
"แค่.. นอนไม่หลับน่ะครับ ก็เลยลงมานั่งตากลมเล่นเผื่อจะช่วยได้"
"ทะเลาะกับเตชินท์มาอีกหรือไง"
"เปล่าหรอกครับ" แต่มันอาจจะดีกว่าถ้าปัญหาที่เผชิญอยู่ในตอนนี้มันเป็นเรื่องแค่นั้น
หลังจากตอบอีกฝ่ายกลับไปอัศวินก็ทำเพียงมองไปข้างหน้าปล่อยให้ระหว่างพวกเขามีเพียงความเงียบสงัดในยามค่ำคืนคลอกับเสียงแมลงที่ร้องดังเป็นครั้งคราว ธนากรมองพินิจผู้เป็นหลานชายที่เอาแต่เงียบจมอยู่กับความคิดของตน เขาหุบสายตาต่ำลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น
"เรื่องบางเรื่องเราไม่อาจให้มันเป็นอย่างที่หวังได้เสมอไปหรอกนะ"
"?" อัศวินหันกลับมามองบุคคลข้างกายอย่างฉงนเมื่อจู่ๆเขาก็พูดอย่างไร้ซึ่งที่มาที่ไป
"มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เรามักจะเผชิญปัญหาอะไรสักอย่างที่ยากจะแก้สักเรื่องสองเรื่องในชีวิตจริงมั้ย"
"....."
"ปัญหาก็คือเธอเลือกที่จะจมอยู่กับความผิดหวังนั้นไปอย่างเสียเวลาเปล่าหรือเลือกที่จะยอมรับมันแล้วเดินหน้าต่อไป.." ธนากรเล่าต่อถึงประการณ์ที่ตนเคยผ่านพบมาราวกับต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่าในชีวิตนั้นไม่มีอะไรราบรื่นดั่งใจเสมอไป ซึ่งอัศวินก็เข้าใจถึงข้อนั้นเป็นอย่างดีและถ้าหากจะพูดถึงประสบการณ์ชีวิตแล้วละก็ธนากรคงเทียบกับเขาไม่ได้มากนัก
แต่... การจะให้ไปร่วมพิธีศพของตัวเอง รับมือกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกันในชีวิตก่อน อัศวินไม่รู้จริงๆว่าตัวเองจะสามารถรับมือกับอารมณ์ตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน
"หลังจากประสบอุบัติเหตุรอบนี้เราก็เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ"
"!..." อัศวินสะดุดหายใจทันทีที่อีกฝ่ายกล่าวประโยคนี้ขึ้นมา หรือว่าธนากรจะเริ่มรู้สึกอะไรได้แล้ว
"ถ้าเป็นเมื่อก่อน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่หลานจะมานั่งสงบเสงี่ยมฟังลุงสั่งสอนอะไรแบบนี้"
"แต่ชัชในตอนนี้เหมือนกับแม่ของเธอมากเลยละ" สีหน้าของผู้พูดแสดงออกถึงความอ่อนโยนออกมาอย่างชัดเจนเมื่อกล่าวคนถึงบุคคลในความทรงจำ เขาเอื้อมมือมาลูบศีรษะของอัศวินในร่างชัชพงษ์ด้วยสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรักและการปลอบขวัญ "ไม่ว่าอดีตจะเป็นยังไงหรือเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ลุงอยากให้หลานให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากกว่านะ เพราะมันรวมถึงอนาคตที่หลานจะเป็นคนกำหนดให้มันเป็นไป"
"ไม่ว่าสิ่งที่หลานเลือกจะทำจะเป็นทางที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งสำคัญที่หลานจะต้องจำไว้ให้มั่นนะชัช… อย่าเสียใจกับสิ่งที่ตนได้เลือกไปแล้วเท่านั่นก็พอ"
ธนากรโยกหัวอีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างเอ็นดูอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปยังภายในบ้าน
"...ขอบคุณมากครับ" เขาได้ยินเสียงทุ้มพูดขึ้นไม่ดังนักจากเบื้องหลังราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาที่จะให้เขาได้ยิน ดังนั้นธนากรจึงไม่ได้พูดอะไรกับอีกฝ่ายและเลือกที่ปล่อยเขาให้อยู่คนเดียวเงียบๆเช่นนั้นต่อไป
ในเช้าวันต่อมาในขณะที่เตชินท์ตื่นเช้ามาแต่งตัวเตรียมออกไปมหาลัยตามปกติแต่สิ่งที่ผิดแผลกไปจากทุกวันก็คืออารมณ์ที่ค่อนข้างราบเรียบของเขาวันนี้ไม่เป็นอย่างเช่นที่ผ่านมา แค่คิดถึงคนที่เข้าคลาสเรียนสายเป็นประจำทุกและยิ่งวันนี้พวกเขามีเรียนในช่วงเช้าด้วยแล้ว เรียวคิ้วเข้มของเตชินทร์ก็แทบจะขมวดจนผูกเป็นปม
แต่สิ่งที่เขาคาดไว้กลับผิดไปเมื่อคนที่กำลังสร้างความหงุดหงิดให้เขาในจินตนาการกลับนั่งลงประจำที่ร่วมทานมื้อเช้ากับธนากรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"....." ช่างเป็นภาพที่.. แปลกตาจริงๆ
"อ้าวเตชินท์ ถ้าลงมาแล้วก็รีบมาทานข้าวสิ วันนี้มีข้าวต้มกุ้งที่ลูกชอบด้วยนะ" ธนากรที่หันมาพบเขารีบเอ่ยปากชวนเขาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างสดใสอย่างเห็นได้ชัด คงเป็นเพราะหลานชายตื่นเช้าลงมาทานด้วยกันแน่ถึงได้อารมณ์ดีแบบนี้ได้
ตลอดการร่วมโต๊ะอาหารพวกเขาไม่ได้สบตาหรือพูดคุยแม้แต่ประโยคเดียวและเหตุการณ์นี้ก็เป็นมาตลอดจนการรถขึ้นมามหาวิทยาลัยด้วยกัน โดยสาเหตุของบรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากความจงใจของทั้งสองคนแต่อย่างใด เพราะในขณะนั้นอัศวินคิดถึงเพียงแค่ช่วงเวลาหลังเที่ยงนี้ไปเท่านั้น ส่วนเตชินท์เองก็ทำเพียงแค่หน้าที่ของตนโดยไม่คิดเรื่องอื่นให้มากความและด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต่างคนต่างจดจ่ออยู่กับความคิดของตนจนกระทั่งถึงที่หมาย
"ตอนเย็นนายกลับไปก่อนได้เลยนะ ไม่จำเป็นต้องรอฉัน" อัศวินบอกกล่าวเด็กหนุ่มก่อนที่เตรียมจะแยกตัวออกไปทำธุระของตน
"นายจะไปไหน"
"ธุระส่วนตัวนิดหน่อย" เขาพยายามเลี่ยงที่จะบอกอีกฝ่ายตรงๆ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะบอกคนอื่นได้โดยปกติแล้ว
"อย่าลืมนะว่าถ้านายก่อเรื่องอีกจะเกิดอะไรขึ้น" สาเหตุที่เขาตั้งใจเน้นย้ำประโยคนี้กับชัชพงษ์ก็เพื่อเตือนไม่ให้เขาไปมีเรื่องในขณะที่พ่อฝากอีกฝ่ายไว้ในความดูแลของตนในขณะนี้
"ฉันจะโทรบอกคุณลุงเอง ไม่ได้จะไปทำเรื่องอะไรให้นายเดือดร้อนหรอกวางใจได้" อัศวินเองก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรจึงได้กล่าวคำพูดนี้ออกมา
น่าเศร้าที่เซ้นส์ด้านทิศทางของอัศวินนั้นต่ำจนถึงขั้นวิกฤต จากที่เสียเวลาเดินวนหาอยู่นานเขาก็ได้นักศึกษาหญิงคนหนึ่งนำทางให้เพราะเธอเองก็มีเรื่องต้องมาทางนี้เช่นกันจึงช่วยเขาไว้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นกว่าเขาจะทำเรื่องขอลาในช่วงบ่ายเสร็จก็หนีไม่พ้นเข้าคลาสเลตอยู่ดี
"ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นไอชัชเลยนี่ หมอนั้นมาเรียนได้แล้วเหรอ" กรที่นั่งอยู่โซนกลางริมด้านในเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นรีบอีกฝ่ายเข้ามานั่งภายในห้อง
"ก็คงจะแบบนั้น"
"ทำไมมันไม่มานั่งด้วยกันกับนายละ หรือทะเลาะกันเรื่องอุบัติเหตุคราวก่อน" เขาหันไปกระซิบถามณัฏฐ์ที่นั่งอยู่ด้วยกันอย่างสงสัย
"ไม่รู้สิ ก็ไม่ได้คุยกันตั้งแต่ที่โรงพยาบาลวันนั้นนั่นแหละ" ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงง่ายๆราวกับไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
"อ้าว ไหงงั้นวะ"
"เดิมทีเรื่องนี้ฉันก็ไม่ได้ผิดอะไรด้วยซ้ำ ฉันห้ามแล้วแต่หมอนั่นดันทุลังจะลงแข่งเอง อีกอย่างฉันก็ไม่อย่างเจอลุงของหมอนั่นด้วย อึดอัดใจเป็นบ้า"
"แบบนั้นมันก็เหมือนนายกำลังหนีความผิดเลยไม่ใช่หรือไงวะไอณัฏฐ์ ฉันว่าไปอธิบายดีๆลุงเขาคงจะเข้าใจแหละมั้ง"
"ฮึ แกก็รู้ว่าเขาเกลียดฉันจะตาย เพราะเขาคิดว่าฉันเป็นคนพาหลานรักของเขามาเสียคน ทั้งๆที่ความจริงแล้วเป็นหมอนั่นที่แส่หาเรื่องเองทั้งนั้น"
"แล้วแบบนี้พวกแกยังจะคุยกันเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า"
"ดูจากท่าทางของไอชัชแล้ว แกคิดว่าไงละ" เมื่อได้ยินเพื่อนถามแบบนั้นกรก็ผินหน้าไปมายังหัวข้อสนทนาในคราวนี้ที่กำลังนั่งเหม่อไปยังจอโปรเจคเตอร์ด้านหน้าชั้นเรียนแล้วก็ได้แต่ยักไหล่อย่างไม่ซึ่งความเห็นใดๆ เดิมเขาคิดว่าหลังเลิกคลาสแล้วจะลองเขาไปพูดคุยกับอีกฝ่ายแต่ก็ต้องล้มเลิกไปเมื่อไม่พบบุคคลเป้าหมายแม้แต่เงา
ฝั่งอัศวินที่รับรู้ถึงการสนทนากันของทั้งคู่กำลังใช้แอปเรียกรถแท็กซี่และเมื่อรถโดยสารมาถึงเขาก็รีบก้าวเท้าเปิดประตูขึ้นไปบอกจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว และถึงแม้การจารจรจะไม่ติดขัดแต่พวกเขาก็ใช้เวลาเกือบสี่นาทีกว่าจะถึงที่หมาย
เมื่อจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยอัศวินก็ลอบเดินเข้าไปยังใกล้ๆกับสถานที่ทำพิธีเผาและเพื่อไม่ให้เป็นที่จุดสังเกตเขาจึงหยุดอยู่ในระยะที่มองเห็นเมรุเท่านั้น
เขามาทัน..
ก่อนหน้านี้อัศวินยังไม่เข้าใจถึงความสับสนที่เกิดขึ้นของตัวเองมากนัก แต่พอได้มาเห็นภาพในวันนี้แล้วเขาก็เริ่มเข้าใจเหตุผลนั้นได้ทันที
เขาเห็นคุณรฐนนท์..ท่านประธานของเขากับเลขาเจตฏารวมไปถึงคุณชนวีย์ลูกชายของท่านประธานยืนนำอยู่เบื้องหน้า ยังมีคู่ค้าบางคนที่เขาเคยร่วมงานด้วยกันบ่อยครั้ง หัวหน้าแผนกบัญชีที่เคยทานข้าวด้วยกันในบางคราว พนักงานแผนกการตลาดที่เคยมาส่งเอกสารให้ หรือแม้แต่เด็กฝึกงานที่เขาเคยเห็นหน้าในบริษัทที่มักจะเดินก้มหน้าเสมอเมื่อเจอเขา ทุกคนที่เขาคุ้นเคยต่างมาร่วมงานและพากันยืนร่วมไว้อาลัยให้เขาด้วยอารมณ์เศร้าสลด
เมื่อเขามองใบหน้าเหล่านั้นจนครบภาพถัดมาก็คือกลุ่มเขม่าควันสีเทากลุ่มหนึ่งที่ระบายออกมาจากยอดปล่องซึ่งลอยทอดยาวขึ้นไปยังท้องฟ้าไม่ขาด พวกมันคือส่วนหนึ่งของร่างกายเขาที่กำลังถูกเผาทำลายไปอย่างช้าๆ จากผิวหนังไปถึงกล้ามเนื้อ จากกล้ามเนื้อลามไปถึงกระดูก อัศวินเผลอยกมือขึ้นสัมผัสต้นแขนของตนเมื่อคล้ายกับว่ารับรู้ได้ถึงการเผาไหม้เหล่านั้น
ในตอนนี้เองที่เขาได้ตระหนักถึงความรู้สึกอันหนักอึ้งที่คลุกครุ่นอยู่ภายในตัวของตน เหตุผลที่เขาไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ เหตุผลที่เขากระวนการวายกับเหตุการณ์เหล่านี้ ทั้งหมดที่เขารู้สึกมันก็คือ... ความกลัวนี่เอง
เขากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า เขาไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
เขาไม่สามารถทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนอย่างที่มันควรจะเป็นได้ กลัว... ที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกครั้งในร่างนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาอัศวินใช้ชีวิตที่เหลือทุ่มไปกับงานและตอบแทนบุญคุณของท่านประธานเพื่อรอเวลาที่ชีวิตของตนจะสิ้นสุดลง รอเวลาที่จะได้ตามลูกสาวผู้เป็นที่รักของเขาไปยังที่ๆไกลแสนไกล เพราะฉะนั้นวินาทีที่ประสบอุบัติเหตุเขาจึงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้จบชีวิตลงในตอนนั้น ดังนั้นการมีชีวิตใหม่ในร่างกายนี้แทบไม่ต่างอะไรกับการทรมาณเขาให้ตายทั้งเป็นเลย
"ใช่เธอจริงๆด้วย" ในขณะนั้นเองที่เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นเรียกเขาให้ออกจากภวังค์และเมื่ออัศวินหันกลับไปก็พบว่าเป็นหญิงสาวพนักงานต้อนรับที่เขาเจอเมื่อวันก่อนคนนั้น
"สวัสดีครับ" เขาทักทายกลับไปอย่างสุภาพ
"เมื่อวานไม่เจอก็เลยคิดว่าจะไม่มาซะแล้วนะ" วันนี้เด็กหนุ่มมาในชุดนักศึกษาและตัวเธอเองก็ไม่ได้อยู่ในระหว่างการทำงานจึงได้ลดระดับทางการมาแบบเป็นกันเองมากขึ้น
"คือ.. เมื่อวานผมไม่สะดวกก็เลยไม่ได้มาน่ะครับ"
"งั้นเธอจะเข้าไปร่วมพิธีเผาด้วยกันเลยมั้ย ฉันว่าคุณอัศวินน่าจะดีใจนะถ้ารู้ว่าเธอมาส่งเขาด้วย" เธอค่อนข้างที่รู้สึกดีกับเด็กหนุ่มคนนี้มากจึงได้เสนอให้เข้างานไปด้วยกันหลังจากที่เธอเพิ่งกลับจากคุยโทรศัพท์
"ไม่ดีกว่าครับ อีกเดี๋ยวผมก็จะไปแล้วไม่รบกวนดีกว่า"
"ต้องขอบคุณเธอแทนท่านประธานด้วยนะที่มาร่วมงานของคุณอัศวิน ท่านคงจะแปลกใจน่าดูที่รู้ว่าคุณอัศวินเองก็รู้จักกับเด็กหนุ่มแบบเธอด้วย" สีหน้าเศร้าหมองของเธอดูสดใสขึ้นมาเล็กน้อยในขณะที่กล่าว
"นั้นสิครับ" เขาหัวเราะในลำคอเบาๆพลางตอบออกไป นั้นสิ... คงเป็นเรื่องแปลกน่าดูถ้าจะมีเด็กหนุ่มแบบชัชพงษ์โผล่เข้ามาในงานของคนที่ไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับคนอายุน้อยกว่าแบบเขา
เหนือสิ่งอื่นใด... การมางานศพของตัวเองในครั้งนี้เขารู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยมันก็ทำให้เขากระจ่างขึ้นในหลายๆเรื่องและมองเห็นจุดยืนของตัวเองได้ อีกทั้งทำให้อัศวินตัดสินใจได้แล้วว่าเขาควรจะทำอะไรต่อไป
นับตั้งแต่ที่ตัวเขาเข้ามาแทนที่ชัชพงษ์อัศวินก็ไม่ได้สนใจศึกษานิสัยใจคอของเจ้าของร่างเดิมเพื่อสวมรอยเป็นเขาเลยสักครั้งเนื่องจากด้วยมีความคิดที่ว่าตัวเองต้องกลับร่างเดิมของตนในไม่ช้าจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจในจุดๆนี้มากนัก เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต่างคนต่างกลับเป็นปกติได้ และอาศัยที่ว่าตนสูญเสียความทรงจำไปก็สามารถอธิบายได้ถึงพฤติกรรมที่แปลกไปเหล่านั้นได้ แต่เมื่อเรื่องทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เขาก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยอัศวินไม่ได้กังวลเรื่องนั้นมากนักเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาต่อให้มีใจสงสัยแต่ก็ใช่ว่าจะคาดเดาในความเป็นจริงข้อนี้และทำใจให้เชื่อได้เลย
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้อาทิตย์กว่าและตอนนี้อัศวินประสบปัญหาชีวิตอย่างหนึ่งที่ทำเอาเขายุ่งยากใจเป็นอย่างมาก... การโดยสารรถไปมหาลัยฯ ก่อนหน้านี้ธนากรฝากให้เตชินท์ช่วยดูแลเพราะเขาไม่มีรถใช้และอยากให้พักฟื้นร่างกาย แต่หลังจากที่ไปตรวจร่างกายและผลออกมาว่าเขากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง แผลเย็บที่ข้างศีรษะเองก็สมานกันเหมือนเดิมแล้ว อัศวินก็ขอไปกลับมหาลัยด้วยตัวเองโดยการไปรถโดยสารสาธารณะ แน่นอนว่าธนากรไม่เห็นด้วยมากนักส่วนเตชินท์เองก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับเรื่องนี้และด้วยการยืนกรานที่หนักแน่นของเขาวันถัดมาเขาก็ได้ทำตามอย่างที่ต้องการ ปรากฏว่าในวันนั้นอัศวินเข้าคลาสเรียนแรกสายเนื่องจากลงผิดป้ายและกลับบ้านช้ากว่าปกติหลายชั่วโมงขึ้นรถผิดคัน จนเมื่อเขากลับมาถึงบ้านก็พบกับสายตาที่วิตกกังวลของธนากรและแววตาเรียบนิ่งที่ยากจะคาดเดาความหมายของเตชินท์ เป็นแบบนี้อยู่กว่าสามวันในที่สุดเขาก็สามารถไปกลับได้อย่างไม่มีปัญหา ดูจากสีหน้าของธนากรแล้วอัศวินเชื่อเลยว่าถ้าเขายังกลับบ้านช้าอีกแค่วันเดียวอีกฝ่ายต้องห้ามเขาขึ้นมาแน่ๆ ถือว่ายังโชคดีที่เซ้นส์เรื่องทิศทางของเขายังไม่เกินเยียวยาถึงขนาดนั้น
"เฮ้ยนั้นมันไอชัชไม่ใช่เหรอว่ะไอเตชินท์" ภูมินทร์ใช้ตะเกียบในมือชี้ออกไปยังอีกฟากของกระจกในร้านอาหารญี่ปุ่นที่พวกเขากำลังนั่งทานกันอยู่ในขณะนี้ให้เพื่อนอีกสองคนที่เหลือมองตามคนที่เขากำลังเอ่ยถึง เตชินท์หันไปมองทิศที่ว่านั้นเมื่อเห็นว่าร่างที่คุ้นตานั้นหายเข้าไปในร้านอาหารฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นใครบางคนที่ว่าจริงก็ถอนสายตากลับมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อไม่กล่าวคำพูดใดๆออกมาทั้งสิ้น
"สรุปเรื่องที่มันความจำเสื่อมน่ะ จริงๆใช่หรือเปล่า"
"ก็ตามนั้น"
"ถึงว่าทำไมช่วงนี้มันถึงได้ทำตัวสงบเสงี่ยมนัก เพราะแบบนี้เองเหรอ" ภูมินทร์พูดพร้อมแสยะยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจ
"สนใจด้วยเหรอ" ปิ่นกล้าที่นั่งอยู่ด้านขวามือเปรยขึ้นด้วยสีหน้าคล้ายกำลังแหย่เขาเล่น
"ได้ยินกรอกหูทุกวันเพราะยัยพวกนั้นนั่นแหละ มีเหรอที่หมอนั่นจะไม่เป็นที่สนใจ ได้ข่าวว่ามันกับพวกไอณัฏฐ์ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันแล้วด้วยนี่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันเลยด้วยนะ เมื่อวันก่อนเจอพวกมันในผับก็ไม่ได้อยู่กัน"
"ตกลงได้ยินกรอกหูหรือสนใจเองกันแน่"
"ได้ยินมาก็คือได้ยินมาสิว่ะ"
"ตามนั้น" ปิ่นกล้ายอมรับคำอีกฝ่ายแต่โดยดีก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดบ่นไปมากกว่านี้
"ก่อนหน้านี้พวกนายเองก็มาด้วยกันอยู่พักหนึ่งนี่ไอเต อย่าบอกนะว่าปรองดองกันได้แล้วน่ะ" คราวนี้ภูมินทร์หันมาเป็นฝ่ายกระตุกหนวดคนเบื้องหน้าเล่นด้วยสีหน้าทะเล้น ทั้งๆที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนสนิทไม่ชอบชัชพงษ์ขนาดไหน
"ฉันแค่ทำตามที่พ่อฝากมาก็เท่านั้น นายก็อย่าพูดไร้สาระมากนักภูมินทร์" นัยน์ตาคมเหลือบขึ้นมองเขาด้วยสายตาที่เริ่มจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
"จะว่าไปแล้วพอไอชัชมันความจำเสื่อมก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังตรีนเลยนะ อย่างกับคนละคนแน่ะ ว่าไงไอเตแกไม่เริ่มรู้สึกว่ามันน่าเอ็นดูขึ้นมาบ้างเหรอวะ" เขายังคงพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้านกับแววตาไม่สบอารมณ์ของคนตรงหน้า
"...." เตชินท์มองอีกฝ่ายสีหน้านิ่งๆหากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ภูมินทร์ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนจนกระทั่งในเย็นวันนั้นเอง
หลังจากที่แยกย้ายกันไปหลังทานข้าวเสร็จภูมินทร์ก็ทำการติดต่อแฟนสาวคนปัจจุบันให้ออกมาเจอกันตามที่ได้นัดหมายกันไว้เพื่อที่จะได้ไปยังจุดหมายถัดไปในค่ำคืนนี้ หากแต่ใครจะรู้ว่าสีหน้ายิ้มแย้มที่เห็นมาแต่ไกลจะเปลี่ยนไปแทบจะในทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน พร้อมมอบของขวัญให้เขาอีกหนึ่งฝ่ามือ
เพี๊ยะ!
ใบหน้าของเขาสะบัดไปตามแรงตบนั้นเล่นเอามึนงงไปอยู่พักใหญ่
"ทำไมนายถึงได้เลวขนาดนี้ ไอคนเฮงซวย!" หญิงสาวกล่าวต่อว่าเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำพร้อมชูโทรศัพท์ในมือขึ้นมายังเบื้องหน้าเขา และเมื่อได้เห็นภาพในจอชัดเต็มตาก็กระจ่างถึงสาเหตุได้แทบจะในทันที เป็นไปได้ยังไง! ไม่น่าจะมีใครรู้นี่นอกจาก-
"!!" ไม่คิดเลยว่ามันจะมาไม้นี้ ไอเตชินท์!
หลังจบคลาสเรียนในวันนี้อัศวินก็นั่งรถโดยสารมายังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อเข้าสมัครงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารตามที่เห็นประกาศจากโพสต์ในกลุ่มหางาน แต่น่าเสียดายที่เขามาช้าไปเพราะคนสุดท้ายตามที่กำหนดไว้ในอัตราเพิ่งได้ก่อนเขาเมื่อไม่นานมานี้ อัศวินลองไปอีกสองสามที่ตามที่ลิตส์เอาไว้บริเวณใกล้เคียงแต่ก็จนใจที่ไม่ได้สักที่ สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจกลับด้วยความผิดหวัง
เมื่ออัศวินเดินเข้ามาภายในบ้านเขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กรับใช้ภายในบ้านเกือบทุกคนที่เห็นเขาจะเดินก้มหน้าหลบตาเขาไปกันจนเกือบแทบทุกคน เมื่อมาลองคิดๆดูแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าคนในบ้านมีปฎิกิริยากับชัชพงษ์ยังไง ดูเหมือนว่าต่อจากนี้เขาคงต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมที่ผ่านมาของเจ้าของร่างเดิมให้มากขึ้นกว่าเดิมซะแล้ว
"เธอน่ะ ขอเวลาเดี๋ยวสิ"
"คะคุณชัช มีอะไรให้ศรีรับใช้หรือเปล่าคะ" เด็กรับใช้ที่แสนโชคร้ายในสายตาเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งหยุดรับคำสั่งด้วยอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย
ศรี? คงไม่ใช่สมศรีหรอกนะ เขาอดคิดคำถามนี้ขึ้นมาไม่ได้จริงเมื่อเห็นหน้าค่าตาเด็กสาวคนนี้แล้ว
"คุณลุงกลับมาหรือยัง"
"คะคุณธนากรกลับมาแล้วค่ะ"
"กลับมาแล้ว?"
"ชะใช่ค่ะ!"
"แล้วตอนนี้อยู่ไหน"
"หยะ อยู่ที่ห้องทำงานชั้นสองค่ะ"
"งั้นเหรอ ขอบคุณมากนะ" กล่าวจบเขาก็เดินขึ้นไปบนชั้นสองโดยไม่สนใจเด็กสาวที่ยื่นอ้าปากพะงาบๆอยู่ตรงที่เดิม หรือเขาจะเข้าใจผิดไปเด็กสาวไม่ได้กลัวเขาแต่เป็นโรคติดอ่างกันนะ น่าเห็นใจจริงๆยังอายุน้อยอยู่เลยแท้ๆ..
ยังดีที่ห้องทำงานของธนากรกินเนื้อที่ฝั่งซ้ายมือไปจนหมดเมื่อรวมกับห้องนอนที่ติดกันไปด้วยแล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วมีหวังอัศวินคงได้เดินเคาะประตูห้องไปตามห้องแน่ๆต้องโทษที่เขาไม่ได้สอบถามเด็กรับใช้คนเมื่อตะกี้มาให้แน่ชัด
อัศวินเคาะประตูเรียกอยู่ตรงหน้าบานประตูตามมารยาทอยู่สองสามครั้งก่อนจะส่งเสียงเรียกตามไป
"คุณลุงครับ ผมชัชนะครับขออนุญาตเข้าไปได้หรือเปล่า"
"ชัชเองเหรอ เข้ามาสิ" เมื่อสิ้นเสียงที่ดังขึ้นจากอีกฝากของประตูอัศวินก็เปิดประตูเดินเข้าไปอย่างไม่ให้เป็นการเสียเวลา
"มีอะไรงั้นเหรอ แปลกนะที่แกเป็นฝ่ายมาหาฉันก่อนแบบนี้" ธนากรเงยหน้าขึ้นจากกระดาษในมือพร้อมกล่าวหยอกล้อผู้เป็นหลายชายอย่างอารมณ์ดี
"ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาหน่อยน่ะครับ"
"เรื่องอะไรงั้นเหรอ"
"มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผมโดยตรงในบ้านหลังนี้ หวังว่าลุงจะยอมรับฟังคำปรึกษาของผม" ธนากรสังเกตเห็นประกายบางอย่างที่ส่งออกมาอย่างชัดเจนในแววตาของชัชพงษ์ เขารับรู้โดยทันทีว่าอีกฝ่ายจริงจังขนาดไหนในเรื่องที่กำลังจะกล่าวกับเขาต่อจากนี้จนตัวเองเผลอแสดงท่าทีขึงขังตามไปด้วย
"ว่ามาสิ"
NCCB: -
**ขอบคุณทุกๆท่านที่กดติดตาม หากชื่นชอบผลงานของนักเลงแมวรบกวนช่วยคอมเมนต์ติชมหรือกดหัวใจเพื่อเป็นกำลังใจให้แมวจรกันด้วยนะครับ <3**
ความคิดเห็น