คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ 2...
“โอโห นี่น่ะเหรอที่นายบอกธีระ สวยว่ะ” ชายหนุ่มที่มากับธีรภาคีมองดูสวนอย่างตะลึง แม้มันจะค่ำแล้ว มองยังไงก็สวย ยิ่งมีลีลาวดีปลูกเรียงรายตามทางด้วยแล้วยิ่งน่าอยู่
“ที่นี่เป็นบ้านของเจ้านางคำแก้ว สุเตนันท์ ณ เชียงใหม่ แต่ท่านยกให้ลูกสาวท่านแล้ว” ธีรภาคีอธิบาย ชายผมน้ำตาลทองซึ่งเข้มกว่าผมเขาหันมามองด้วยอาการดีใจที่ไม่คิดจะปิด ใบหน้านั้นขาวจัด เกลี้ยงเกลา ไร้หนวดไร้เครา ทำให้หน้าหวานคล้ายผู้หญิง
“เฮ้ยๆ ไอ้ธนะ อย่าได้คิด ลูกสาวท่านไม่ได้มาอยู่ที่นี่เกือบ 10 ปีแล้วโว้ย” ผู้พี่กล่าวอย่างรู้ทัน
“เออน่า เอ้า ถึงแล้ว” ผู้น้องรีบแก้ต่าง จอดรถไว้หน้าบ้าน ไม่นานก็มีสาวรับใช้ 2 คนแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองปักปิ่นไว้กับผมที่ขมวดเป็นมวยขนาดใหญ่ด้านหลัง สองฝาแฝดเปิดประตูลงจากรถทันที
“นายท่านทั้งสองคือคนที่มาพักที่เรือนพลอยคัคนางค์ใช่กะเจ้า” สาวใช้พูดด้วยภาษากลาง ไม่ใช่ภาษาพื้นเมืองทำให้เข้าใจง่าย
“ใช่” ธนะรับคำ
“เชิญทางนี้เจ้า” สาวใช้รับกระเป๋าสอง 2 ใบมาถือแล้วเดินนำไปทางขวามือของเรือนแก้วคัคนางค์ ยิ่งเดินใกล้มากขึ้น กลิ่นหอมก็โชยมาให้ได้กลิ่นแต่ไกล ไม่นานก็มาถึงบ้านที่สร้างจากไม้ มีป้ายเขียนไว้ว่า “เรือนพลอยคัคนางค์” พอเข้าไปภายในก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ และไม้หอมที่ใช้สร้างอยู่ตลอดเวลา
“ตอน 2 ทุ่มจ้าวนางน้อยเชิญนายท่านทานข้าวที่เรือนแก้วด้วยเจ้าค่ะ” รายงานจบสาวใช้ก็เดินลงเรือนไป ทิ้งให้หนุ่มทั้งสองชมความงานของเรือนไปได้พักใหญ่
“จ้าวนางน้อยเชิญเราทานข้าว งั้นแสดงว่าจ้าวนางน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วยสิ” ธนภาคีออกอาการระริกระรี้อีกครั้ง
“และฉันก็มีลางสังหรณ์ว่าเจ้านางน้อยต้องสวยด้วยสิ” ธีรภาคียิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ผู้เป็นน้องต้องขนลุก...กลัวรอยยิ้มอย่างนี้ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ
“ฮัลโหล จ้าฟ้า”
...ตอนนี้ฉันอยู่ที่เชิงเขา ไม่อยากขึ้นรถโดยสารไป แกมารับหน่อยเดะ...เสียงห้วนๆ ของหญิงสาวเพื่อนสนิทดังมาตามสาย
“ง่ะ ฉันมีแขกด้วยดิ แต่ไม่เป็นไร เพื่อเพื่อน เพื่อนสั่งมาคัคนางค์จัดให้”
...เออ เพื่อนคนนี้ต้องการให้แกมาเร็วๆ ด้วย...
“เจ้าค่า 10 นาทีพอป่ะ”
...เออ เร็วๆ ด้วย...หญิงสาวกดปุ่มตัดสายการสนทนา แล้วเปิดประตูออกไป
“ป้าเอิบคะ ป้าเอิบ” หญิงสาวร้องเรียกไปพลาง เดินหาไปพลาง
“เจ้าคะ จ้าวนางน้อย” ป้าเอิบเดินออกมาจากห้องครัว
“เดี๋ยวเอื้องจะออกไปรับน้ำฟ้า เพื่อนเอื้อง ฝากขอโทษแขกสองคนนั่นด้วยนะที่เอื้องอยู่ทานข้าวด้วยไม่ได้”
“เจ้าคะเจ้านางน้อย เดี๋ยวข้าเจ้าบอกให้เจ้าค่ะ เจ้านางน้อยรีบไปเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวเพื่อนจะรอนาน” คัคนางค์ยิ้มกริ่มทันที หอมหญิงชราฟอดใหญ่ แล้ววิ่งออกไปที่รถบึ่งไปหาคุณเพื่อนเจ้าขาทันที
เอี๊ยด!
“กว่าจะเสด็จมาได้นะเจ้าคะจ้าวนางน้อย คุณเพื่อนเจ้าขายืนรอนั่งรอจนขาเป็นตะคริวหมดแล้ว” อริสาบ่นกระปอดกระแปดตอนขากลับตลอดทาง
“เออ ที่ว่าแกมีแขกอ่ะ ใครอ่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เค้ามาเช่าบ้านพลอยคัคนางค์อยู่”
“ผู้ชายป่ะ” ไม่มีเสียงริกระรี้เจืออยู่ในน้ำเสียง มีแต่ความระแวง และความไม่ไว้ใจแฝงอยู่
“ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่เจอเลย”
ขาขึ้นเขาจะใช้เวลามากกว่าเท่าตัว กว่าจะมาถึงบ้านก็ 2.40 เข้าไปแล้ว แขกก็ทานข้าวกันเสร็จแล้ว เหลือแต่จานเปล่าเต็มไปหมด
“อ้าว จ้าวนางน้อยกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ นี่หรือคะเพื่อนเจ้านางน้อย” ป้าเอิบทัก แล้วถามอริสา หญิงสาวยกมือไหว้ป้าเอิบอย่างงดงามด้วยมารยาทที่พ่ออุตส่าห์สอนอย่างดี (แต่ไม่เคยใช้) ป้าเอิบรับไหว้ก่อนจะมองอย่างชื่นชม
“ไปเจ้าค่ะ ข้าเจ้าเตรียมน้ำไว้ให้อาบ กับห้องนอนไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ อะ...แล้วหวังว่าคุณหนูน้ำฟ้าจะรู้กฎการแต่งตัวของที่นี่นะเจ้าคะ...” ป้าเอิบดักทาง อริสาหันไปมองเพื่อนสาวที่กำลังยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าเอิบก็ให้คนไปช่วยฟ้าด้วยนะคะ ฟ้าเค้า...ไม่ค่อนสันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่”
เช้าวันรุ่งขึ้น...
“คิกๆ เหรอคะ ฟ้าพยศขนาดนั้นเลยเหรอ” คัคนางค์หัวเราะคิกคักใหญ่หลังจากฟังเรื่องจากป้าเอิบที่ไปช่วยฟ้าแต่งตัว
“เจ้าค่ะ ข้าเจ้าเหนื่อยแทบแย่” ป้าเอิบเสริมพร้อมกับปาดเหงื่อ
“วันนี้จ้าวนางน้อยจะทำผมยังไงเจ้าคะ เดี๋ยวข้าเจ้าจำทำให้” ป้าเอิบอาสา
“ขมวดเรียบแล้วกันคะ แล้วปักด้วยลีลาวดีนะคะ” หญิงสาวบอก ป้าเอิบก็หยิบหวีมาทำผมให้ทันที หญิงชราขมวดผมสีน้ำตาลทองที่หยักศกเป็นเกลียวสวยยาวถึงเอวเป็นมวยขนาดใหญ่กึ่งกลางศีรษะ พร้อมกับเก็บผมม้าด้านหน้าขึ้น คาดมวยด้วยสายสร้อยเงิน แล้วปักด้วยดอกลีลาวดีดอกใหญ่ วันนี้เจ้านางน้อยเลือกใส่ผ้าซิ่นสีดำ ตัดด้วยเสื้อผ้าทอแขนยาวสีชมพูอ่อน ตุ้มหูเงิน สร้อยเงิน และเข็มขัดแบบโบราณ
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ร่างบางก็เข้าไปในห้องของเพื่อนสุดที่รักที่นั่งหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับ ผมถูกขมวดเป็นมวยเล็กๆ (เพราะผมเธอยาวแค่เกือบถึงกลางหลัง) ปักรอบๆ ด้วยมุขเม็ดเล็กๆ สวมเสื้อผ้าทอแขนยาวสีขาว กับผ้าซิ่นสีเหลืองคาดด้วยเข็มขัดเงิน ใส่สร้อยเงินและตุ้มหูเงิน ทำให้ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น
“นี่ ทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ได้ ไปเร็ว ไปเดินเล่นกัน” ว่าแล้วจ้าวนางน้อยหน้าหวานก็ฉุดเพื่อนให้ลุกขึ้น แล้วพาลงไปที่สวนดอกไม้หน้าบ้าน
“ทำไมแกไม่บอกก่อนว่าต้องใส่ชุดอย่างนี้ ฉันจะได้ไม่ต้องมา!!” อริสาเอ็ดตะโรใหญ่เมื่อลงมาพ้นสายตาป้าเอิบแล้ว
“อ้าว! แกเคยถามมั้ยล่ะ” คัคนางค์สวนกลับ
“ฮึ้ย!” อริสาสบถอย่างขัดใจ
“แล้วเรื่องต้า แกจะเอาไง” คัคนางค์ถาม
“ไม่เอาไง น่าแปลกเนอะ คบกันมา 2 ปี แต่พอขอเลิกแล้ว ฉันไม่เคยคิดถึงต้าเลย” คัคนางค์พูดอย่างครุ่นคิด ท่าทางไม่จริงจัง แต่ความที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ม.4 อาการอย่างนี้แหละคืออาการเสียใจ ไม่มีน้ำตาเพราะเธอถูกสอนมาว่าให้เก็บน้ำตาไว้ในเรื่องที่สมควรจะเสีย เธอจึงไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“น้ำผึ้ง...ฉันเองก็ไม่คิดว่าต้ากับมิ้นท์จะกล้าทรยศหักหลังแก แต่แกต้องเข้มแข็งนะ ซักวัน แกจะต้องเจอคนที่รักแกมากกว่าไอ้ต้านั่นแน่” เพื่อนสาวปลอบ ทำเอาคนถูกปลอบมองอย่างแปลกใจ
“คนอย่างแกพูดเลี่ยนๆ แบบนี้ก็เป็นเหรอ” พูดด้วยท่าทางซื่อๆ แต่ทำเอาคนถูกหลอกว่าเลือดขึ้นหน้าทันที
“ไอ้...ยัยน้ำผึ้ง ยัยบ้า!” และแล้วเกมวิ่งไล่จับในสวนก็เริ่มขึ้น...การกระทำของทั้งคู่ตกอยู่ภายใต้การจับจ้องของชายหนุ่มฝาแฝดที่มองลงมาจากเรือนพลอยอย่างสนใจ
“ลงไปดูกันเถอะ ฉันอยากเห็นหน้าชัดๆ เผื่อสวยจะได้จีบซะเลย” ธนภาคีเสนอ ไม่รอคำตอบก็ลากพี่ชายลงไปที่สวนทันที และตรงดิ่งเข้าไปหาสองสาวที่กำลังไล่จับกันอย่างสนุกสนานโดยไม่รีรอ
“สวัสดีครับ” ธนภาคีกล่าวทัก ร่างบางสองร่างชะงักหันมามองผู้มาใหม่ ธนภาคีและธีรภาคีถือโอกาสนี้พิจารณาสองสาวทีละคน คนแรก ผมสีดำ ดวงตาสีนิล ขนตางอนยาว ใบหน้ารูปไข่ ผิวสีน้ำผึ้งออกขาว สูงโปร่ง ค่อนไปทางอวบ ส่วนอีกคนผมสีทอง ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน แผงขนตาหนาที่งอนยาวกว่าธรรมชาติทั่วๆ ไป กับจมูกที่โด่งทำให้ดูเหมือนลูกครึ่ง ผิวขาวจัด แก้มอมชมพูนิดๆ รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบางเหมือนนางแบบ
“เอ่อ...คุณมาหาใคร” สาวผมถามปลายประโยคสะบัดเสียงห้วน
“พวกนายเป็นใคร” สาวผมดำถามเสียงห้วน ท่าทางมีทิฐิ
“ผมเป็นแขกของที่นี่ครับ ผมธนภาคี แล้วนี่ก็พี่ชายผมธีรภาคี คุณสองคนชื่ออะไรครับ” ระวังหน่อยเอ้ย! งูตัวน้อยๆ โผล่แล้ว...
“มีเหตุผลอะไรต้องบอก” น้ำสะบัดเสียงด้วยความไม่พอใจมาจากน้ำฟ้า สิ่งที่เกลียดรองๆ มาจากกิ้งก่าก็คือผู้ชายเจ้าชู้หัวงูนี่แหละ
“จะได้เป็นเพื่อนกันไงครับ” ธีระเอ่ยปาก
“ได้ เพื่อน...ฉันชื่อน้ำผึ้ง หรือเอื้อง...”
“นี่น้ำผึ้ง! ทำไมต้องไปทำความรู้จักกับใครก็ไม่รู้ด้วยล่ะ” อริสาปรามเพื่อนเบาๆ แต่ให้ดังพอที่จะให้สองหนุ่มได้ยิน
“ถ้าเราจะไม่อยู่ด้วยกันอีกนาน ก็ไม่อยากบอกหรอก” คัคนางค์บอกเสียงดัง ก่อนจะหันหน้าไปเผชิญกับชายหนุ่มทั้งสอง คนหนึ่งหน้าหวานเหมือนผู้หญิง อีกคนหนึ่งไว้หนวดเครารุงรังราวกับว่าไม่ได้โกนมาซักปีนึง
“อ้าว นี่คุณสองคนทำงานที่นี่เหรอครับ” ธนภาคีถามด้วยความแปลกใจ...ไม่เจอหน้าจ้าวนางน้อย แต่คนใช้สวยอย่างเนี่ย...ลาบปาก
“เอื้องเป็นหัวหน้าบ่าวรับใช้ของที่นี่” คัคนางค์ชิงพูดขึ้นก่อนเพื่อนสาว
“แล้วคนนี้ล่ะ” ธนภาคีผินหน้ามาทางอริสา
“คนนี้คือนายหญิงน้ำฟ้า ท่านเป็นเพื่อนของจ้าวนางน้อย แต่ว่าสนิทกับเอื้องมาก เพราะเราเรียนที่เดียวกัน”
“อืม งั้นเหรอ งั้นขอถามหน่อยสิจ้าวนางน้อยอยู่รึเปล่า” ธนภาคีเลียบถาม ในขณะที่ผู้ถูกถามถึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
“อ้อ ไม่อยู่หรอกนายท่าน จ้าวนางน้อยกลับกรุงเทพฯไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เห็นจ้าวนางน้อยบอกว่ามีเรื่องด่วนมาก” คัคนางค์ชิงตอบก่อนทุกครั้งจนอริสาทำแค่อ้าปากเท่านั้น
“งั้นเหรอ เสียดายจัง”
“ว่าแต่นายสองคนมาทำอะไรที่เชียงใหม่นี่” อริสาสบโอกาสจึงถามซะเลย
“มาทำงาน ฉันสองคนต้องมาทำงานเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชาวเขา แล้วก็สืบหาพืชหายากด้วย” ธีรภาคีเป็นคนตอบ
“แต่อีกตั้งวันนึงกว่าจะเริ่มงาน” ธนภาคีต่อ
“น้ำผึ้ง เมื่อกี้เราได้ยินป้าเอิบตามหาอยู่แน่ะ ไปกันเถอะ” อริสาชิงตัดบท แล้วลากเพื่อนสาวกลับเข้าไปในบ้าน
“เสียดายเนอะ ไม่ได้เจอจ้าวนางน้อย” ธนภาคีพูดอย่างเสียดาย
“แต่ดูเหมือนนายจะสนใจเพื่อนเจ้านางน้อยคนนี้ไม่เบาเหมือนกันนะ ชื่ออะไรนะ น้ำฟ้าเหรอ” ธีรภาคีกลอกตาล้อเลียนน้องชายอย่างรู้ทัน
“ก็ น่ารักมั้ยล่ะ จะบอกให้ว่าน้ำฟ้าน่ะสเป็คฉันเป๊ะเลย สูง อวบ ขาวแต่ไม่ซีด ตาเรียว ปากจัด สเป็คชัดๆ” ธนภาคีบรรยายสรรพคุณ พร้อมกับมองตามหญิงสาวคนที่ว่าไป
“เฮ้อ! นายนี่น้า เพิ่งเจอครั้งแรกเอง แล้วอีกอย่างเราก็อยู่ที่นี่แค่สองอาทิตย์เท่านั้น” ผู้เป็นพี่ปรามเสียงหนัก
“เออๆๆ รู้แล้วน่า แต่ขอใช้เวลาที่อยู่นี่ให้เป็นประโยชน์หน่อยแล้วกัน”
“ยัยน้ำผึ้ง แกเอาอีกแล้วนะ หาเรื่องมาให้ฉันได้ทุกวัน แกบอกไปว่าจ้าวนางน้อยไม่อยู่ ฉันก็ต้องรับหน้าทุกอย่างน่ะเซ่ ส่วนแกก็สบายไปคนเดียว” อริสาเอ็ดตะโรใส่น้ำผึ้งเป็นชุดเมื่อแน่ใจว่าประตูห้องปิดสนิทแล้ว
“โธ่ น้ำฟ้าจ๋า เห็นใจเพื่อตาซีดๆ คนนี้เถอะน้า” อริสาชอบเรียกเพื่อนสาวว่ายัยซีด ก็เพราะยัยนี่มันซีดไปหมด ผิวก็ซีด ตาสีก็ซีด แถมยังไม่เคยแต่งหน้าเลยยิ่งซีดไปใหญ่
“ม่ายยยย”
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะจ๊ะ ต่อไปนี้จะไม่มีจ้าวนางน้อยอยู่ในบ้านหลังนี้ จะมีแค่นายเอื้อง คือฉันซึ่งเป็นหัวหน้าคนใช้ และห้ามเผลอเรียกเอื้องว่าจ้าวนางน้อยเด็ดขาด ให้เรียกว่านายเอื้องเข้าใจมั้ย” หญิงสาวผู้เป็นนายกำชับ คนใช้ คนสวนรวมไปถึงหมาสีน้ำตาลพันธ์โกลเด้นท์ตัวโตที่ชื่อยูอิของเธอก็พยักหน้ารับด้วย
“จ้าว...เอ๊ย นายเอื้อง แล้วเรื่องงานประจำปีของเราล่ะเจ้าคะ” ป้าเอิบเอ่ยถามสีหน้าไม่ค่อยดี
“ก็ปกติที่จัดมาทุกปีก็ไม่เห็นมีจ้าวนางน้อยซักครั้งนี่คะ” นายสาวไม่ตอบตรงๆ แต่เพียงเท่านี้ทุกคนก็เข้าใจ
“ส่วนนายหญิงน้ำฟ้าก็ให้เรียกเหมือนเดิม ถ้ามีใครถามถึงจ้าวนางน้อย ก็ให้บอกไปว่ากลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว” เมื่อคัคนางค์พูด ทุกคนก็เพิ่งรู้สึกว่าอริสามีตัวตน เพราะที่ผ่านมานั่งกอดอกมุ่ยหน้าอยู่ตลอดเวลา
วันต่อมา วันอาทิตย์...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
แอ้ด!
“อ้าว อรุณสวัสดิ์ครับคุณเอื้อง มาแต่เช้าเลยนะครับ” ธนภาคีเปิดประตูรับ เอื้องสาวเท้าเข้าไปด้านในทันที วันนี้เธอไม่ได้ใส่เครื่องประดับอะไร นอกจากดอกลีลาวดีที่มวยเท่านั้น
“คะ เอื้องจะมาบอกให้นายท่านสองคนเตรียมแพ็กกระเป๋าสำหรับไฮกิ้ง เตรียมอาหารอะไรให้พร้อมเท่าที่จำเป็นให้พร้อมเร็วที่สุดนะคะ” คัคนางค์พูดพร้อมส่งยิ้มหวานให้
“เราจะไปไหนกัน” ธีรภาคียื่นหน้าออกมาจากห้องมาถาม
“ไปเดินป่าไงคะ เผื่อนายท่านทั้งสองจะเจออะไรดีๆ บ้างก็ได้” ธีรภาคีพยักหน้าเห็นด้วย
“เจอกัน 8 โมงเช้าหน้าเรือนแก้วนะคะ” คัคนางค์พูดทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังเดินลงเรือนไป
“นายคิดเหมือนฉันมั้ยบี 1” ธนภาคีพูด
“ฉันกำลังคิดเหมือนนายอยู่บี 2”
“รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจเลย”
8.00 น.
ธนภาคีและธีรภาคีก็เดินมาถึงหน้าเรือนแก้วคัคนางค์พอดี แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเลย ไม่มีร่องรอยการเตรียมของออกเดินทาง ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว สักครู่ก็มีร่างบางเดินออกมาจากในเรือนแก้ว คัคนางค์ เอื้องสาวนั่นเอง...
“อ้าว! นายท่าน จะไปไหนกันหรือคะ จะกลับแล้วเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ แต่แววตานี่สิ...
“ก็คุณเอื้องบอกว่าให้เรามา 8 โมงไปเดินป่าไงครับ” ธนภาคีบอก
“แต่เขาไปกันพรุ่งนี้นะคะ เอ...แย่จังนี่เอื้องลืมบอกหรือคะเนี่ย” คัคนางค์ส่งยิ้มที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์มาให้ แต่แววตาเต็มไปด้วยความสะใจอย่างถึงที่สุด สองพี่น้องชายหนุ่มกำหมัดแน่น แต่คนพี่นี่สิกำหมัดแน่นจนตัวสั่น พอดีมีคนงานคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี
“อ้าว นายท่านจะไปเดินป่าหรือครับ” เขาถาม ธีรภาคีพยักหน้าโดยไม่หันไปมอง
“งั้นทำไมไม่บอกล่ะครับ ผมจะได้ไปเตรียมคนกับของให้พร้อม รอแป้บนะครับ ผมกะว่าจะไปอยู่เหมือนกัน” คนงานเดินหายกลับไปทางเดิม ทิ้งให้นายของตัวเองยืนหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจ...อุตส่าห์จะแกล้งให้รื้อของเล่นแล้วเชียว...
“สนใจไปด้วยกันมั้ยครับ” ธีรภาคีชวน พร้อมส่งสายตาท้าทาย
“เชอะ...” คัคงนางค์สะบัดหน้าหันกลับ
“โธ่เอ๊ย ไอ้เรานึกว่าจะแน่จริง” กึก! หญิงสาวสะดุดกับคำพูดนี้ทันที
“ฉันจะไปเตรียมของต่างหาก” คัคนางค์พูดโดยไม่หันมามอง พร้อมกับเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดไปชั้นบน
“ยัยนี่นี่แสบจริงๆ” ธีระสบถ
15 นาทีต่อมา คณะเดินทางซึ่งประกอบไปด้วย คนงานชื่อเสริม ธีรภาคี ธนภาคี คัคนางค์ และอริสา 5 คนก็มาอยู่ในป่าดิบชื้นแห่งหนึ่ง คัคนางค์ใส่กางเกงยีนส์ที่เตรียมมาจากกรุงเทพฯ กับเสื้อยืดคอวีแขนยาว ส่วนอริสาใส่สามส่วน กับเสื้อยืดแขนสั้น ทั้งสองใส่รองเท้าผ้าใบเตรียมลุยเต็มที่ พร้อมกับเสบียงอีกเพียบในกระเป๋าที่ป้าเอิบจัดมาให้
“นี่คุณจะไปเดินป่ากี่วันเนี่ย เราไปไม่กี่ชั่วโมงนะคุณ เตรียมยังกับจะไปซัก 7 วัน” ธีรภาคีแขวะ
“พูดดีไปเถอะ ห้ามกินของฉันนะยะ” คัคนางค์แหว หญิงสาวนามว่าเอื้องแก้วผู้เรียบร้อยเมื่อเช้ามลายหายไปแล้ว ทิ้งไว้แค่น้ำผึ้งที่เฮี้ยว แสบและปากจัดกว่าหลายเท่าแทน
“นี่นายเสริมจ๊ะ เราจะไปไหนกัน” ธีรภาคีมองด้วยความหมั่นไส้ ทีคนงานล่ะพูดจ๊ะพูดจ๋า เป็นแฟนกันรึเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้คนชื่อเสริมมันก็จัดว่าหน้าตาดีระดับหนึ่งอ่ะนะ
“ไปน้ำตกใกล้ๆ นี่แหละครับ แต่ถ้านายเอื้องแก้วเหนื่อยเดี๋ยวผมจะหยุดพักก็ได้นะครับ” แต่คัคนางค์ยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“ไม่เป็นไรจ๊ะ แค่นี้เอื้องไหว ส่วนรายนู้นก็ไม่ต้องพูดถึง อึดถึกทีเดียว” คัคนางค์พยักพเยิดไปที่น้ำฟ้าซึ่งมีธนภาคีประกบอยู่ ด้วยเหตุผลที่ว่า ควรให้ผู้หญิงอยู่ใกล้ๆ ผู้ชาย เผื่อหลงจะได้ช่วยทัน เสริมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปนำทางอีกครั้ง
“ท่าทางคุณชอบนายเสริมนะ” ธีรภาคีถามลอยๆ
“แน่สิ ก็เค้าออกจะนิสัยดี สุภาพบุรุษ ถึงแม้เขาจะไม่หล่อเหมือนคนกรุงเทพฯ แต่เรื่องจริงใจก็ต้องยกให้แล้วกัน” หญิงสาวร่ายสรรพคุณยาวเป็นชุด ไม่ลืมแขวะกัดคู่กรณีแฟนเก่าเล็กน้อย
“อ้าว คุณอย่าเหมารวมสิครับ ผมไม่ได้เป็นพวกอย่างนั้นซักหน่อย” ธีรภาคีที่ไม่เข้าใจอะไรรีบท้วง
“แล้วฉันบอกรึเปล่าว่าเป็นใคร พูดลอยๆ แท้ๆ ร้อนตัวไปได้”
“ถึงแล้วครับ” เป๊ง! เหมือนระฆังดังหมดยกช่วยชีวิตไว้แท้ๆ เลย
น้ำตกที่ว่า เป็นตาน้ำไหลมาเป็นชั้นๆ มีดอกไม้ และพืชขึ้นเต็มไปหมด
“เราจะอยู่ที่นี่ถึงบ่ายโมง ผมจะออกไปดูรอบๆ เผื่อมีสัตว์ใหญ่ อย่าออกไปไหนไกลนะครับ นายเอื้องแก้ว” เสริมกำชับ ไม่ต้องแปลกใจที่เห็นนายเสริมคนนี้เป็นห่วงหญิงสาวมากขนาดนี้ เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้ต่างหาก
1. ป้าเอิบสั่งมาเลยว่า หากจ้าวนางเป็นอะไรแม้แต่ปลายก้อย แกจะเชือดคอนายเสริมทิ้งซะ (นายเสริมเป็นลูกชายป้าเอิบ)
2. เพราะจ้าวนางน้อยเป็นถึงจ้าว และเป็นลูกของผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขาไว้ตอนเด็กๆ และ...
3. จ้าวนางน้อยเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาเมื่อตอนเด็กๆ นั่นเอง
“จ้า รู้แล้วว่านายเสริมเป็นห่วง” เสริมพยักหน้า คัคนางค์โบกมือลาหยอยๆ เหมือนน้องน้อยโบกมือลาพี่ชาย
“รักกันดีจริงๆ เลยนะ” คำพูดเจือแววประชดประชังแว่วมาจากคนข้างๆ
“ใช่ ฉันรักนายเสริม มีปัญหาอะไรป่ะ”
ตืดดดด ตืดดดด
พอดีมีสายเข้าเครื่องพอดี การทะเลาะเลยชะงักไปโดยปริยาย มือเรียวสวยเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์สีชมพูหวานมากดรับโดยไม่ดูว่าใครโทรมา
“ฮัลโหล น้ำผึ้งค่ะ” คัคนางค์พูดเสียงหวานจนคนข้างๆ ที่จวนแจจะทะเลาะกันเมื่อครูสำลักทันที หญิงสาวมองธีระตาขวาง ส่งค้อนพร้อมตะปูไปให้วงใหญ่
“หวาน นี่พี่นะ ต้า” คัคนางค์ฟังแล้วอึ้ง พี่ต้าตามง้อเราเหรอเนี่ย!!
“คะ” หญิงสาวตอบรับคำเดียว
“หวานพี่ขอโทษ พี่อธิบายได้นะหวาน วันนั้นมิ้นท์เขาชวนพี่ไปกินข้าวเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรกัน แล้วพี่ที่พูดไปว่าตามใจหวาน เพราะพี่เคยสัญญาไว้ไงหวานว่าหวานอยากได้อะไร พี่ก็จะทำให้ทุกอย่าง หวานอย่าโกรธพี่เลยนะ” เสียงห้วนๆ ตามแบบของผู้ชายใส่เสียงอ้อนจนเธอรู้กสึกเอียน อริสาที่อยู่ไปไม่ไกลเห็นเพื่อนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่ดีจึงเดินมาฟังด้วย
“ไม่คะ” เธอปฏิเสธดื้อๆ
“โธ่ หวานจะให้พี่ทำยังไงหวานถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” เสียงอ้อนด้วยความเหนื่อยใจดังมาตามสาย
“ขอโทษนะคะ คุณคงโทรผิดแล้วล่ะค่ะ ที่นี่ไม่มีคนชื่อหวานค่ะ แค่นี้นะคะ” คัคนางค์กดวางสาย
“น้ำผึ้ง ต้าโทรมาใช่มั้ย” อริสาถามอย่างไม่แน่ใจ น้ำผึ้งพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะโผเข้ากอดเพื่อนสนิท
“ฟ้า วันนี้น้ำผึ้งขอร้องไห้นะ น้ำผึ้งขอร้องให้แค่ครั้งเดียว น้ำผึ้งจะไม่ร้องไห้อีก แต่ครั้งนี้น้ำผึ้งขอนะ มันเจ็บเหลือเกิน เจ็บมากๆ คนที่เรารักมา 2 ปี ทิ้งกันง่ายๆ แค่ไม่ถึง 2 นาที แถมคนๆ นั้นก็เป็นเพื่อนเราอีก ฟ้าน้ำผึ้งเจ็บ...น้ำผึ้งสัญญานะฟ้า น้ำผึ้งจะไม่อีกแล้ว ไม่อีกแล้ว พอกันทีผู้ชายหลอกลวง” พูดไปน้ำตาลหยดใสๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาคู่โต น้ำฟ้าก็ทำได้แค่ลูบหลังเป็นการปลอบใจ ในขณะที่ธีระมองที่สองสาวด้วยอาการกึ่งตกใจ กึ่งแปลกใจ กึ่งสงสัย
ตืดดดด ตืดดดด
น้ำผึ้งผละออกจากเพื่อน น้ำฟ้าหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาดูชื่อคนโทร “พี่ตาต้า” น้ำฟ้าเองก็เหมือนรู้ว่าต้องทำยังไง
“ฮัลโหล” น้ำฟ้ารับเสียงห้วน
“น้องน้ำฟ้าเหรอ พี่ขอคุยกับหวานหน่อยสิ”
“ที่นี่ไม่มีคนชื่อหวาน โทรผิดรึเปล่าคะ”
“ขอสายน้ำผึ้งหน่อย” ปลายทางเปลี่ยนสรรพนาม
“น้ำผึ้งไม่มีอะไรจะพูดกับพี่ค่ะ ผู้ชายสับปะรังเคอย่างที่ไม่มีใครอยากคุยด้วยหรอกคะ...” มาถึงตรงนี้น้ำผึ้งฉวยโทรศัพท์ไปพูดเอง
“ไอ้ผู้ชายสับปะรังเค ให้เลว ไอ้ชั่ว ไอ้คนหลอกลวง คนลวงโลก ไอ้บ้า ชาตินี้ชาติหน้าก็ขอให้แกเป็นหมัน! ไปตายซะ!!” น้ำผึ้งกดวางสาย ท่ามกลางสายตาของบุคคล 3 คนที่จ้องมองมาอย่างเหลือเชื่อ และที่สำคัญ อึ้งงงง...????
“เอ่อ...นะ...น้ำผึ้ง” ขนาดเพื่อนสนิทตัวเองยังกลัวเลยที่เห็นสาวผู้อ่อนโยนมาตลอดเปลี่ยนไปขนาดนี้
“นายเอื้องครับ ทางนู้นผมเจอกล้วยไม้ด้วยล่ะครับ” นายเสริมร้องเรียกมาแต่ไกล หญิงสาวที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไป ตวัดสายตาขวับไปทางต้นเสียงพร้อมกับรอยยิ้มกว้างจนคนทั้งสามข้างๆ เปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน
“จริงเหรอจ๊ะ พาเอื้องไปดูหน่อยสิ” แล้วแม่หญิงเอื้องแก้วคนงามก็วิ่งไปทางนั้นเลย ท่ามกลางความอึ้งรอบสองของคณะเดินทาง
“อะ...อะไรน่ะ” ธนะชี้ไปทางที่น้ำผึ้งเพิ่งวิ่งไปเมื่อกี้ พร้อมส่งสีหน้าที่มีเครื่องหมายคำถามมาให้น้ำฟ้า
“อย่าถาม...วันนี้น้ำผึ้งแปลกมาก ผ่านเรื่องเสียใจมาก็เยอะ ไม่เคยร้องไห้มากตั้งหลายปี มาร้องไห้กับแค่แฟนคนเดียว แถมทุกทีก็ออกจะคุณหนูไม่เคยพูดคำหยาบ วันนี้เป็นอะไรไปก็ไม่รู้...โอ้ย! ปวดหัวซี้ด” น้ำฟ้าเอามือตบหน้าผากตัวเอง
“มีเรื่องอะไรเหรอ แล้วต้าคนนั้นทำอะไรให้เอื้องล่ะ” ธีระถามขึ้นบ้าง
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เรื่องเล็กน้อย แค่น้ำผึ้งคบกับพี่ต้ามา 2 ปี พอเมื่อวานก่อนไปเจอพี่เค้าควงกับเพื่อนตัวเอง น้ำผึ้งก็เลยขอเลิก พี่เค้าก็แค่บอกว่าก็ได้ถ้าต้องการ ก็แค่นั้นเอง” น้ำฟ้าเล่าด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดัน
“คบกันมา 2 ปี งั้นก็แสดงว่าคุณน้ำผึ้งอยู่ที่กรุงเทพฯ มานานกว่า 2 ปีน่ะสิ” ธีระเปลี่ยนจากเรียกว่าเอื้องเป็นน้ำผึ้งตามน้ำฟ้า
“ก็...น้ำผึ้งเคย...เอ่อ...เคยไปทำงานที่เรือนใหญ่ที่กรุงเทพฯ ของจ้าวนางคำแก้วเมื่อ 2 ปีก่อนเลยไปเจอพี่ต้า” น้ำฟ้ารีบคิดคำโกหกจนเครื่องจักรในสมองแทบจะตีกันจนระเบิด
“...อืม...แล้วเรื่องชื่อล่ะ เห็นเธอเรียกเอื้องว่าน้ำผึ้ง ตกลงชื่ออะไรกันแน่” ธนะถามต่ออีก
“คะ...คือว่าแม่ที่เป็นคนเหนือเค้าตั้งชื่อว่าเอื้องแก้ว แต่พ่อเป็นคนภาคกลางเลยตั้งชื่อว่าน้ำผึ้ง”
“แล้วเมื่อกี้ได้ยินว่าหวาน...”
“แย่แล้วครับนายหญิง” นายเสริมวิ่งหอบแฮกมาหาน้ำฟ้า สีหน้าตื่นตกใจ
“เป็นอะไรเสริม” น้ำฟ้าออกจะดีใจด้วยซ้ำที่นายเสริมมาขัดจังหวะได้ดีจริงๆ
“นายเอื้องครับ นายเอื้องหายไปแล้ว”
“หา!!!! ที่ไหน หายไปได้ยังไง นายดูแลน้ำผึ้งยังไงฮะ ฉันจะไปบอกป้าเอิบ” น้ำฟ้าขู่ นายเสริมรีบเอามือทำท่าเบรกน้ำฟ้าไว้
“อย่าครับ อย่าครับนายหญิง ผมไม่ได้ตั้งใจ นายเอื้องไปดูกล้วยไม้ แล้วบอกว่าจะไปทางตาน้ำตก หายไปนานผมก็สงสัยเลยไปดู เห็นแต่นี่ตกอยู่ครับ” นายเสริมรีบยื่นสร้อยเพชรเส้นบาง มีล็อกเก็ตรูปหัวใจฝังพลอยสีชมพูไว้ น้ำฟ้ารีบรับมาดู
“ล็อกเก็ตไอ้พี่ต้านี่ ตายล่ะ น้ำผึ้งคงไม่...” พูดแค่นั้นก็พาลคิดไปไกล น้ำฟ้าเหวี่ยงล็อกเก็ตทิ้ง แล้ววิ่งไปตามทางเดียวกับที่นายเสริมมา
“เฮ้ย! นายหญิง!!!” นายเสริมยกมือจะห้าม แต่ว่าหญิงสาวใจร้อนหายลับตาไปเสียแล้ว ธีระหยิบล็อกเก็ตมาพิจารณาดู มันเป็นสร้อยเพชร กับล็อกเก็ตพลอยสีชมพูรูปหัวใจ คงมีราคาน่าดู เมื่อเปิดดูภายในก็มีรูปหญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาเหมือนน้ำผึ้งอย่างกับแกะ...ส่วนอีกรูปเป็นภาพชายผมสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่ง หน้าตาดีทีเดียว...คงเป็นภาพของนายต้านั่น...
“นายท่านครับ ผมขอแรงช่วยตามหานายเอื้องหน่อยนะครับ นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว ตอนกลางคืนยิ่งมีอันตรายมาก แล้วนายเอื้องก็เป็นผู้หญิง...” ท่าทางของนายเสริมดูร้อนรนจนธีระอดสงสัยถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่ได้
“ได้ ถ้าใครตามเจอก็ให้มารออยู่ที่นี่ 1 ทุ่มเราจะมาเจอกันที่นี่” ธนะบอกแผน ทุกคนพยักหน้ารับ ก่อนจะแยกย้ายไปคนละทาง
ธีระเลือกที่จะเดินขึ้นเขาไปที่ตาน้ำบนเขา ก็นายเสริมบอกนี่ว่ายัยน้ำผึ้งตัวแสบนั่นจะไปที่ตาน้ำ มันก็ต้องอยู่บนเขาล่ะน่าไอ้ตาน้ำเนี่ย...
เดินมาได้พักใหญ่ ก็ยังไม่มีวี่แววของไอ้ตาน้ำนั่นเลย ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็มีแต่ต้นไม้ ต้นไม้ แล้วก็ต้นไม้ เอ...เวลาพระเอกตามหานางเอกเขาทำกันยังไงเนี่ย...อ้อ!
“น้ำผึ้ง! น้ำผึ้ง!”
เงียบ...เงียบหมด...ไรฟะ
“น้ำผึ้ง! อยู่ไหน!” กรอบ แกรบ...เสียงไร...
“นายมานี่ได้ไง” เสียงหวานแต่กลับฟังหดหู่ดังข้างๆ ตัว ธีระหันไปมองทันที
“น้ำผึ้ง! อยู่นี่เอง ไปกลับได้แล้ว นี่ใกล้จะมืดแล้วด้วย” ธีระตั้งท่าจะออกเดินนำหน้า แต่น้ำผึ้งยังคงนิ่ง ยืนอยู่กับที่ซะงั้น
“อ้าว! ไม่กลับเรอะ เดี๋ยวมืดก่อนจะหาทางกลับไม่เจอ” ธีระจะเดินนำไปอีกรอบ แต่ร่างบางก็ยังคงยืนนิ่งเช่นเดิม
“...” หญิงสาวยังคงไม่ตอบและไม่ยอมมองหน้าร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ทำไม...หรือว่าอกหักแล้วจะหนีปัญหาเหรอ นึกว่าแน่ที่แท้ก็ปอด” ธีระแขวะ ร่างบางที่เพิ่งถูกสบประมาทสะบัดหน้ามาทางเป้าหมายทันที
“ฉันไม่ได้ปอด ไม่ได้หนีปัญหา แต่ว่า...ฉันหลงทางนี่ยะ” พูดไปหน้าใบหน้าขาวจัดก็เริ่มขึ้นสีระเรื่อเข้มขึ้น เจ้าตัวเลยสะบัดหน้าหนีกันนายธีระนี่เห็น
“ฮึ...ฮะฮะฮะ...หลงทางฮะฮะฮะ...” ว่าแล้วธีระก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา หญิงสาวเลยส่งค้อนวงใหญ่มาให้พร้อมกับสบถอีกชุดใหญ่
“นี่ จะหัวเราะอีกนานมั้ยยะ นี่ฉันโดนยุงกัดเต็มตัวไปหมดแล้ว มืดแล้วด้วย นำทางไปสิยะ”
ความคิดเห็น