คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : { SS • I } บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๙ : คู่ไปงานเลี้ยงเต้นรำ และจดหมายลับจากฮวอก
บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๙
คู่ไปงานเลี้ยงเต้นรำ และจดหมายลับจากฮวอก
" อัลลี่ ! "
ฌองตะโกน ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหลังกลับไปมอง
เขากำลังวิ่งมาตามทางเดิน ในมือหอบตำราวอนวู้ด --- บางครั้งฉันก็แปลกใจว่าทำไมเขาถึงชอบมาวุ่นวายกับฉันนัก เพื่อนๆ ของฉันหยุดรอและมองไปยังเขาที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
" เธอกำลังจะไปไหนน่ะ " ฌองถามพร้อมหอบหายใจไปด้วย
" ก็ไปเรียนน่ะสิ ถามได้ "
" แล้ว --- เธอจะว่างอีกทีตอนไหน " เขาถามต่อ
" นายมีเรื่องอะไร "
" คือ --- ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอหน่อยน่ะ "
ฉันหันไปมองที่เพื่อนๆของฉัน ในขณะเดียวกันนั้นเองคาริน่ากอดแขนของอัลเลย์และส่งยิ้มให้กับฉัน เธอรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว เพราะฉันเล่าให้เธอฟังอย่างละเอียดเช่นกัน ฉันไม่สามารถปล่อยให้คาริน่ากังวลเป็นเวลานานๆได้ --- ฉันยิ้มรับให้เธอก่อนจะหันกลับไปยังฌอง
" มีเรื่องอะไรก็พูดมาสิ " ฉันบอก
" คือว่า ฉันอยากคุยกับเธอแบบ --- แค่กับเธอคนเดียวน่ะ " เขาบอก
ฉันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูด
" ขอโทษทีนะฌอง แต่ฉันไม่คิดว่าฉันกับนายจะมีเรื่องอะไรที่จะต้องพูดกันตามลำพัง " ฉันตอบ
ฌองเป็นพวกเสพความลับทุกรูปแบบ ดังนั้นการไปใกล้ชิดกับเขามากๆ นั้นถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่เคยเห็นเขามีพฤติกรรมที่จะใช้ความลับของใครทำร้ายใครแบบโต้งๆ มาก่อนเลยก็ตาม อย่างมากก็แค่ขู่เท่านั้น แต่ อย่างไรเสีย --- ฌอง ก็เป็นบุคคลอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย
" คือ --- " เขาอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรก็เงียบไป
" ถ้าไม่มีอะไรฉันไปนะ "
" คือ ฉันอยากรู้ว่าบางที เราน่าจะไปงานเต้นรำด้วยกันดีไหมน่ะ ! " เขาชิงพูดก่อนที่ฉันจะก้าวเท้า
ฉันหันกลับไปมองที่เขา หยุดนิ่ง ตั้งสติว่าสิ่งที่ได้ยินไปนั้นถูกต้อง เขามองฉันกลับมาด้วยสายตาที่รอคอยคำตอบ นั่น --- เป็นอะไรที่ --- ไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของฉัน ---
ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก
ฉันเคยปั่นจักรยานกับพี่ชายของฉันในสวนสาธารณะแถวหมู่บ้าน พี่ชายของฉันตัวโตกว่า แรงเยอะกว่า เขาจึงปั่นจักรยานได้ดีกว่าฉันมาก ฉันค่อยๆปั่นตามพี่ชาย และตลอดทางเขาจะละเท้าที่พื้นเพื่อรอให้ฉันปั่นตามไปให้ทัน ในระหว่างที่ฉันจ้องมองไปที่พี่ชายของฉัน และสองเท้าของฉันค่อยๆถีบคันส่งอย่างช้าๆ พยายามประคองตัวเองไม่ให้ล้ม --- รถคันหนึ่งวิ่งหลุดมาจากสี่แยก และชนที่ล้อหลังของจักรยานของฉัน
ฉันไม่รู้ว่ารถคันนั้นมาได้ยังไง หรือเขาจะรีบไปไหน มันไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของฉัน รถของฉันเสียหลักและฉันล้มลง พี่ชายของฉันลงทิ้งรถจักรยานของเขาและรีบวิ่งตรงมายังฉัน เขาอุ้มฉันขึ้นมาและตอนนั้นฉันร้องไห้จ้าเพราะหัวเข่าและมือของฉันถลอก
และตอนนี้
ฉันคิดว่าบางที ฌอง คือรถปริศนาที่พุ่งชนท้ายรถจักรยานของฉัน
" เอ่อ --- ฉัน " ฉันมองไปที่เขาและเริ่มพูด
" ฉันนึกว่าเธอจะไปกับฉันเสียอีก --- ไม่ใช่เหรอ " อัลเลย์พูดแทรก
เสียงรถปริศนาคันที่สองพุ่งชน ---
ฉันหันกลับไปมองที่เขา และฉัน --- ตั้งคำถามขนาดหนึ่งพันตันใส่เขาด้วยสายตา ครู่หนึ่งฉันเหลือบสายตาไปมองยังคาริน่า และฉันคิดว่าตอนนี้ฉันรู้ตัวเองแล้วว่าฉันกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่
" ก็ --- " ฉันตั้งสติ ก่อนจะหันกลับไปหาฌอง
" ก็ทำนองนั้นแหละ --- คือฉันคุยกับอัลเลย์เอาไว้ว่าเราจะไปด้วยกัน --- " ฉันบอก ก่อนจะฉีกยิ้ม
ฌองมองที่ฉัน และมองไปที่อัลเลย์
" งั้นเหรอ --- แบบ เพื่อนกันเหรอ " ฌองถาม
" ใช่ แบบเพื่อนกัน " ฉันตอบพร้อมพยักหน้ารับ
" อ้อ --- เยี่ยม ถ้าอย่างนั้น --- เอ่อ --- ฉัน --- ไปเรียนก่อนล่ะนะ " ฌองกล่าว เขายกนิ้วชี้เกาที่หลังใบหูสองสามทีก่อนจะหันหลังเดินจากไป ฉันมองเห็นตำราวอนวู้ดในมือของเขา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเป็นกอดมันไว้ที่อกและฉันก็ไม่สามารถมองเห็นมันได้อีก
เมื่อเขาเดินไปจนลับสายตาแล้ว ฉันจึงหันกลับไปยังอัลเลย์
" อะไรล่ะเนี่ย " ฉันถาม
" อ้าว --- ก็ฉันนึกว่าเธอไม่อยากไปกับหมอนั่น " อัลเลย์ตอบ
อันที่จริง... ฉันไมรู้ว่าฉันอยากไปกับฌองหรือเปล่า ฉันไม่ได้เกลียดเขา แต่ก็ไม่เคยคิดเรื่องที่อยากไปงานเต้นรำกับเขาหรืออะไรทำนองนั้น แต่ถึงจะไม่ได้อยาก มันก็ไม่แปลว่าฉันไม่อยากไปกับเขา
" เอาเถอะ --- " ฉันพูดก่อนจะเดินแทรกตัวผ่านกลุ่มเพื่อนของฉันไป
" นี่ เธอจะไปไหนน่ะ " ซีนร้องทัก
" จะไปเดินเล่นแถวๆนี้หน่อย อีกชั่วโมงฉันจะไปเจอที่ห้องเรียน ไม่ต้องห่วง "
ฉันตอบซีนและยืนยันว่าจะกลับมาให้ทันคาบเรียนวิชาอักษรรูนโบราณ วิชาที่ฉันเบื่อหน่ายที่สุด
" แต่ช่วงนี้เธอไม่ควรอยู่คนเดียวนะ เดี๋ยวก็โดนพวกนั้นรุมแกล้งเหมือนเมื่อเช้าอีกหรอก " รอยส์บอก
" ฉันดูแลตัวเองได้น่า ---- ยังไงก็ขอบใจมาก " ฉันบอกเขาก่อนจะเดินออกมา
เหตุการณ์เมื่อเช้าเป็นเรื่องที่ฉันไม่ชิน โดยปกติฉันไม่ค่อยเป็นเป้าของการถูกกลั่นแกล้ง นั่นอาจไม่ใช่ครั้งแรก แต่ฉันไม่ชอบใจเลย อย่างไรก็ตาม ฉันต้องหาทางรับมือให้ได้ เพราะโดยปกติแล้วคนเราจะมีกล่องภายในจิตใจ เมื่อเกิดเหตุการต่างๆขึ้นเราจะนำเหตุการณ์นั้นๆไปเก็บไว้ในกล่องแต่ละประเภท ถ้าเป็นสิ่งที่เราคุ้นชินเราจะจับมันยัดลงกล่องได้ง่ายเพราะเรารู้ว่าเราควรจะจัดการมันอย่างไร หรือเก็บมันไว้ที่ไหน แต่ในกรณี้ที่เราเจอเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย --- เป็นเหตุการณ์ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน เราจะสับสนและไม่รู้ว่าเราควรจะเอามันไปยัดไว้ที่กล่องใบไหน ในบางครั้งเราก็ถือมันไว้และแสดงความสับสนออกมา บางครั้วเราอาจพยายามเขวี้ยงมันทิ้งไป หนักเข้าก็อาจจะลองยัดมันลงไปในกล่องสักใบมั่วๆ ผิดที่ผิดทาง แต่เมื่อถึงเวลา เราจะรู้ว่าควรเก็บมันไว้ที่ไหน หรือบางครั้งเราก็สร้างกล่องใบใหม่ขึ้นมาเพื่อเก็บมันโดยเฉพาะ
และเมื่อถึงเวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง เราจะรู้วิธีรับมือกับมัน และรู้ว่าควรเอามันไปยัดไว้ที่ไหน
" เบร์เวอร์~ " เหตุการณ์เหนือความคาดหมายครั้งที่สอง
ฉันเลือกที่จะไม่ตอบและเดินผ่านกลุ่มนักเรียนชายที่กำลังพยายามเรียกชื่อของฉัน ---
" เฮ้~ เธอจะไปไหนน่ะ --- นี่~ ไปที่ห้องของพวกเราไหม "
หนึ่ง สอง สาม --- ฉันเริ่มนับและยังคงก้าวเท้า กล่องใบใหม่ของฉันถูกสร้างขึ้นแล้ว
ฉันเงยหน้าขึ้นมอง
ท้องฟ้าปลอดโปร่ง --- ฉันค่อยๆ หลับตาลง สูดลมหายใจ ณ ที่ๆ ไม่ใช่ห้องเรียนย่อมดีกว่า ฉันอยู่แถวทะเลสาป ระบุไม่ได้ว่าเป็นตรงส่วนไหน หรือไกลจากอาคารเรียนเท่าไร เพราะบางครั้งฉันก็เดินมาเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้คิด
ฉันผิวปากเป็นเพลงกล่อมเด็กที่แม่เคยร้องให้ฟังตอนที่ฉันยังเล็กๆ
กลางดึกสงัดในยามที่ฉันตื่นจากฝันร้าย แม่จะมาที่ประตูและส่งรอยยิ้มอ่อนหวาน อัลเลน พี่ชายของฉันจะอยู่ที่ข้างเตียง และเขาจะสับสนว่าควรทำอย่างไรให้ฉันหยุดร้องไห้ และแม่จะมาที่เตียงของฉัน อัลเลนจะขอให้แม่ร้องเพลงกล่อมเด็กที่ฉันชอบ เพราะเขาคิดว่าบางทีมันอาจช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้น และแม่จะเริ่มร้องเพลง
ฝันร้ายค่อยๆ เลือนลาง ฉันไม่รู้ว่าทำไม บางทีเสียงเพลงนั้นอาจมีเวทย์มนต์บางอย่างก็ได้ หรือบางทีมันอาจเป็นคาถาที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน อัลเลนปีนขึ้นมาที่เตียงของฉันเพื่อฟังเพลงที่แม่ร้อง และฉันจะหลับตาลงเพื่อคืนสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ฉันลืมตามองฟ้า ท้องฟ้ายังคงปรอดโปรงเมื่อเสียงเพลงของฉันจบลง ครู่หนึ่งเสียงปีกกระพือลมดังใกล้เข้ามา บนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เจ้าฮวอกเผยโฉมบินอวดปีกสีดำขลับ ฉันปรายยิ้ม
มันบินลงมา และฉันยื่นแขนออกไปด้านหน้าเพื่อรอให้มันร่อนลง และมันก็ทำได้ดีอย่างเหมาะเจาะ ฮวอกเป็นนกที่ฉลาด และมันยังมีความสารมรถในการหยั่งรู้ถึงอันตราย --- เคยมีตำนานว่าไว้ ที่หอคอยลอนดอนจะต้องมีนกเรเวนจำนวน 6 ตัวตลอดเวลา หากมีตัวไดตัวหนึ่งตายไป จะต้องรีบหาตัวไหม่มาแทนที่ในทันที
ในตำนานนั้นกล่าวไว้ว่า นกทั้ง 6 ปกปักรักษาหอคอยลอนดอนมาเป็นเวลาช้านาน และเมื่อมีภัยมาถึงมันจะสละชีพของตนเพื่อเป็นการเตือนภัย ช่างเป็นเรื่องแสนประหลาด
" คาบข่าวดีๆ มาฝากบ้างไหม " ฉันกล่าวทักทาย
ที่ขาของมันมีเศษกระดาษถูกม้วนเป็นชิ้นเล็กๆและผูกติดเอาไว้ ฉันดึงออกมาด้วยมือหนึ่งก่อนจะย้ายเจ้าฮวอกมาไว้ที่ไหล่ เพื่อใช้ทั้งสองมือคลี่กระดาษออก
' ตรอกไดแอกอน เพ็ญ สิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที ไม่มีอีกแล้วความเจ็บปวดไร้ที่สิ้นสุด '
ข้อความระบุเอาไว้เช่นนั้น มันถูกเขียนขึ้นด้วยปากกาขนหนก หมึกสีดำบางแห่งเลือนลางจากหยดน้ำ ฉันโยนเศษกระดาษลงบนพื้นหลังจากอ่านข้อความจบก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกจากกระเป๋า ฉันชี้ปลายไม้ไปที่เศษการดาษและจุดไฟเผามันจนไหม้เป็นเถ้าถ่านไม่เหลือชิ้นดี เมื่อลมโชยมา เศษเถ้านั้นก็ปลิวหายไป
" ทำได้ดีมากเลยนะ " ฉันเอ่ยปากชม และฮวอกขานรับ
ในขณะที่ฉันใช้ปลายนิ้วเขี่ยที่ใต้คางของเจ้าฮวอกอยู่นั้นเอง เสียงคล้ายบางสิ่งกระทบผืนน้ำก็ดังแว่วเข้ามาในหู --- ครู่หนึ่งฉันคิดว่าตัวเองอาจหูฝาด แต่เมื่อตั้งใจฟังอีกที ฉันคิดว่า อาจมีใครบางคนอยู่แถวนี้
เจ้าฮวอกยังคงเกาะอยู่บนไหล่ของฉัน และฉันเริ่มเดินไปยังต้นเสียง --- ไกลออกไปจากจุดที่ฉันยืนอยู่ เลียบริมทะเลสาป นักเรียนหญิงบ้านฮัฟเฟิลพัฟกำลังนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ เสียงจ๋อมของหินที่กระทบผืนน้ำทำให้ฉันรู้ที่มาของเสียงน้ำปริศนา ครู่หนึ่งเธอหยิบเศษหินเล็กๆขว้างลงในทะเลสาปอีกครั้ง
ฉันชะงักก่อนจะค่อยๆ ถอยเท้าห่างออกไป เพราะไม่อยากจะไปรบกวนช่วงเวลาอันสงบของเธอ แต่แล้วเจ้าฮวอกก็ดันร้องออกมาเสียลั่น นักเรียนหญิงคนนั้นจึงหันมาที่ฉัน --- และเธอคือ เฌอแตม เดียร์ โบวิเยร์
" นกบ้า ! " ฉันว่าเจ้าฮวอกอย่างเก็บเสียง
" เธอ --- ที่ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ " เสียงโบวิเยร์เรียก ฉันจึงมองไปที่เธอ
" ขอโทษที ฉันแค่เดินผ่านมาเท่านั้น แล้วก็ กำลังจะไปแล้วด้วย " ฉันบอกก่อนจะรีบถอยเท้าออกมา
" เดี๋ยวสิ่ ! ---- "
คราวนี้ฉันชะงัก
" เธอคือผู้หญิงที่คบกับแกรี่อยู่ใช่ไหม " เธอเอ่ยถาม พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่ฉันไม่สามารถอธิบายความหมายได้ ฉันขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
" ไม่ --- ไม่ เรา --- คือว่านั่นมันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น " ฉันบอก
" ทำไมล่ะ แต่เธอเข้าไปหาเขาที่ห้องนี่ --- ใช่ไหม " เธอถามอีกครั้งและลุกขึ้นทำท่าเหมือนจะเดินมาหาฉัน
ฉันไม่เคยรู้จักกับโบวิเยร์มาก่อน --- ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหน ฉันรู้แค่ว่าเธอเป็นผู้หญิงสวย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความลึกลับ เพราะเธอไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนเลย และนั่นคงเป็นเพราะเธอมีแฟนอยู่แล้ว --- เธอค่อยๆก้าวเข้ามาหาฉัน บนใบหน้ายังคงแฝงไปด้วยรอยยิ้มลึกลับที่คาดเดาไม่ได้
" ฉันแค่มีธุระที่จะต้องคุยกับเขา แต่มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด " ฉันบอก
ฉันลังเลว่าควรทำอย่างไร สายตาที่มองมานั้น ฉันไม่รู้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไร โดยทั่วไปแล้วฉันจะแยกประเภทของคนก่อนที่จะได้ทำความรู้จักกัน คือมองว่าเขามีความประสงค์ดี หรือร้าย --- แต่กับโบวิเยร์ ฉันไม่สามารถแยกแยะได้เลย
" เธอพูดเหมือนรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ " โบวิเยร์บอก และหยุดยืนตรงหน้าฉันพอดี ระยะห่างของเธอทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย อาจด้วยเพราะว่าเธอค่อนข้างจะสูงกว่าฉัน ทำให้ฉันรู้สึกถูกคุกคามในยามที่เธอเข้ามาใกล้
" ฉันไม่รู้หรอก " ฉันบอก และหลบสายตาของเธอ
" เธอน่ารักดี "
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยิน รอยยิ้มของเธอยังคงลึกลับและคาดเดาไม่ได้
" ---- ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ " ฉันพูดย้ำอีกทีและขยับเท้าถอยห่างจากเธอเล็กน้อย
เธอเผยรอยยิ้มออกมา แต่สายตายังคงจับจ้องที่ฉันนิ่งงัน ราวกับว่าฉันเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้พบเจอ นัยน์ตาของเธอราวกับผลึกน้ำแข็งที่เย็นจัด แต่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด แต่กระนั้นก็ลึกลับไปในเวลาเดียวกัน
" ก็ฉันเพิ่งบอกไป " เธอบอก และเริ่มใช้สายตาสำรวจร่างกายของฉัน
" คือว่า --- ฉันต้องไปแล้วล่ะ " ฉับพูดเพื่อตัดบท
" เธอชื่ออะไร " คำถามของเธอรั้งฉันเอาไว้อีกครั้ง
" อัลฟาห์เบ็ธ แม็ค เบรเวอร์ " ฉันตอบ
" เบ็ธตี้ --- แล้วนั่นนกของเธอเหรอ " เธอถามพลางเลื่อนสายตาจากฉันไปยังเจ้าฮวอก
ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดมากเข้าไปทุกที หลายๆครั้งที่ฉันไม่ชอบสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ และ โบวิเยร์ คือผู้หญิงที่คาดเดาไม่ได้ ฉันยังนึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องมาสนใจถามรายละเอียดของฉัน ทั้งที่เราไม่เคยคุยกันมาก่อน เธอไม่รู้จักชื่อของฉันเสียด้วยซ้ำไป
ฉันพยักหน้ารับ และขยับถอยห่างจากเธออีกเล็กน้อยเมื่อเธอเริ่มขยับก้าวเข้ามา
" ยินดีที่ได้รู้จักเธอนะ --- แล้วก็นกของเธอด้วย " เธอบอกพร้อมรอยยิ้ม
แล้วเธอก็เดินผ่านฉันไป --- ฉันหันมองตามไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจในการกระทำของเธอ เธอไม่ได้กล่าวคำลาสักคำ เธอไม่แม้แต่จะแนะนำตัวด้วยซ้ำ เธอเพียงแค่พูดกับฉัน และจากไปแบบจับใจความอะไรไม่ได้เลย --- ฉันมองตามหลังเธอไป เธอเริ่มฮัมเพลงของพวกมักเกิ้ล ครู่หนึ่งเธอกระโดดกึ่งวิ่งไปตามจังหวะฮัมเพลงของเธอ
ฉันมองตามเธอไปจนลับสายตา และความสงสัยก็เข้ามาแทนที่หลังการหายตัวไปของเธอ
ในขณะที่ฉันครุ่นคิดอยู่นั้น เจ้าฮวอกก็ร้องลั่นออกมาอีกครั้งจนฉันสะดุ้ง
" แกจะร้องทำไมบ่อยๆ เนี่ย " ฉันบ่น เพราะมันเกาะอยู่ที่ไหล่ของฉัน ดังนั้นทุกครั้งที่มันร้องขึ้นมา เสียงของมันจะกระแทกรูหูฉันพอดิบพอดี --- เจ้าฮวอกจ้องหน้าฉัน ดวงตาของมันเป็นประกาย
พลันเสียงกิ่งไม้หักดังกร้อบอยู่ใกล้ๆ ที่ไหนสักแห่ง แต่ใกล้ตัวฉันมาก ฉันล้วงมือหยิบไม้กายสิทธิและสบัดโดยไร้การกล่าวคาถา ร่างของชายคนหนึ่งลอยทะลุพุ่มไม้และหงายหลังนอนแผ่ลงตรงหน้าฉันพอดิบพอดี เจ้าฮวอกบินหนีตะเหลิดไปไกลเพราะเสียงอึกทึกของกิ่งไม้หัก ---
" แกรี่ --- "
" ทำไมเวลาเห็นหน้าเธอทีไรฉันต้องซวยทุกทีเลยอ่ะ " เขาบ่นออกมาทั้งที่ยังนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น
" แล้วนายแอบตามฉันมาทำไม --- "
" น้อยๆ หน่อยเหอะ --- " เขาพูดพลางดันตัวลุกขึ้นนั่งบนพื้น ครู่หนึ่งเขายกมือกุมที่ท้ายทอย บนหัวของเขามีเศษใบไม้ กิ่งไม้หักๆ และเศษดินเปรอะเปื้อน ที่เสื้อผ้าของเขาก็ด้วย
" ฉันไม่ได้ตามเธอมา เธอนั่นแหละมาทำอะไรที่นี่ " เขาถามก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉัน
" อ๋อ... ตามโบวิเยร์มาสิ่นะ... " ฉันพูดอย่างนึกขึ้นได้
ถ้าหากว่าแกรี่ไม่ได้ตามฉันมา ซึ่ง แน่นอนว่าเขาต้องไม่ได้ตามฉันมา แกรี่ค่อนข้างที่จะ ไม่ชอบขี้หน้าฉันเท่าไหร่ ก็อย่างที่เขาว่า เจอหน้าฉันที่ไรซวยทุกที --- เจอกันครั้งแรกฉันใช้เขาเป็นเครื่องมือ กดดันให้เขาแหกกฎของโรงเรียน บุรุก ทำร้ายเพื่อนของเขา ยัดข้อหาให้เขา --- เจอกันครั้งที่สองฉันชกหน้าเขากลางโถงทางเดิน คนเพียบ --- และ --- เจอกกันครั้งที่สาม ฉันเสกคาถาลากคอเขาลอยทะลุออกมาจากพุ่มไม้ ...
เขามองหน้าฉันครู่หนึ่งก็เงียบไป จากนั้นบรรยากาศรอบตัวเราก็เริ่มเปลี่ยน แกรี่ก้มหน้าลงไม่พูดจา แต่ถึงอย่างนั้นฉันกลับรู้สึกถึงความเศร้าที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ได้ไม่มิดเสียเลย ฉันนั่งลงที่ข้างเขาและมองเขาเงียบๆ
" เธอเป็นคนแปลกใช่ไหมล่ะ " แกรี่กล่าว
" ก็ใช่แหละนะ บอกตามตรงฉันรู้สึกไม่ชอบเธอนิดหน่อย " ฉันบอก ฉันรู้ว่าเขากำลังพูดถึงโบวิเยร์
" ฮะๆ --- เออ ไม่ชอบไปเหอะ แต่เดี๋ยวเธอจะงัดเรื่องของเฌอแตมออกไปจากหัวไม่ได้ " แกรี่กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ เขาเงยหน้าขึ้นจากพื้นดิน มองมาที่ฉัน --- และสิ่งที่ฉันมองเห็นไม่ใช่เพียงแค่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น หากแต่เป็นความเศร้าโศกที่หนักอึ้ง
" แย่หน่อยนะ เพราะฉันมีเรื่องที่งัดออกจากหัวไม่ได้อยู่เยอะพอแล้วล่ะ " ฉันตอบ
แกรี่เผยรอยยิ้มเล็กๆ รอยยิ้มที่ไม่ได้สดใสอะไร มันเป็นเรื่องน่าแปลกที่รอยยิ้มอาจเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข แต่กลับไม่แปลว่าทุกรอยยิ้มจะหมายถึงความสุขเสมอไป ฉันเอื้อมมือหยิบเอาเศษกิ่งไม้ออกจากผมของแกรี่ ก่อนจะใช้ทั้งฝ่ามือขยุ้มไล่เศษดินและใบไม้ออกจากเส้นผมของเขา แกรี่ก้มหัวลงส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมาโดยไม่มองหน้าฉัน จากนั้นเราก็นั่งเงียบๆ มองไปยังทะเลาสาปที่สงบ
สายลมพัดผ่าน และเศษใบไม้ปลิวว่อน
ทุกอย่างเปลี่ยนไปในรูปแบบที่เราคาดหมายไม่ได้ ทั้งๆที่เมื่อวาน ฉันยังคิดอยู่เลยว่า แกรี่สมควรถูกลากไปโยนทิ้งที่ใต้ต้นวิลโล่ว์ ... แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่า
ความเศร้าของเขาต่างหาก
ที่ควรถูกต้นวิลโล่วฟาดให้แหลก... ไม่ต้องเหลือมันเอาไว้เลยยิ่งดี ...
ความคิดเห็น