ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] The Witchcraft Alphabet

    ลำดับตอนที่ #6 : { SS • I } บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๖ : ผู้ต้องสงสัย และ ความลับของแมททริว เจนเนอร์

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 66



     

    บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๖

    ผู้ต้องสงสัย และ ความลับของแมททริว เจนเนอร์

     


     

      

    “คุณเบรเวอร์ !”

    ศาสตราจารย์ลักฮอลยังคงร้องเรียก ฉันไม่หันกลับไปแม้แต่น้อย หัวใจของฉันเต้นระรัวและเหงื่อเริ่มออกที่ฝ่ามือ สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้า กลุ่มของเด็กนักเรียนบ้านเรเวนคลอมีคนหนึ่งที่ฉันหมายตาเอาไว้ ฉันแอบล้วงมือเข้าใต้ผ้าคุมอย่างรีบร้อนและพุ่งตัวหายเข้าไปในกลุ่มหนักเรียนบ้านเรเวลคลอที่กำลังเดินอยู่จนชนกลับบางคนในกลุ่มนั้น

    “เฮ้ ! --- มองอะไรของเธอน่ะ” เสียงนักเรียนหญิงหนึ่งตะโกน

    “มันอันตรายนะ” นักเรียนชายอีกคนกล่าว

    ฉันตบไหล่ของเขาเบาๆ ทีหนึ่งพร้อมกล่าวคำขอโทษ เขาถือกระเป๋าผ้าใบทรงโททใบใหญ่ ในจังหวะที่ชนกันอย่างแรงฉันหย่อนสิ่งที่ขโมยออกมาจากห้องเก็บของของศาสตราจารย์ซลักฮอร์นลงไป และเขาไม่รู้ตัวเลย

    “ขอโทษที” ฉันกล่าว จ้องตาเขาไปด้วย และพยายามอย่างมากที่จะจดจำใบหน้าของเขาให้ได้ เพราะฉันจะต้องกลับไปเอาของที่ฝากไว้ในกระเป๋าของเขาภายหลัง ฉันล้วงมือเข้ากระเป๋าเสื้อคลุมเพื่อหยิบหูฟังไอพอดออกมาสวม นักเรียนชายคนนั้นมองหน้าฉันและฉันรู้ว่าเขาไม่เข้าใจ ทั้งที่ฉันกำลังกล่าวคำขอโทษที่ชนเขาอย่างแรง แต่ฉันกลับหยิบหูฟังไอพอดขึ้นมาเสียบหูเสียดื้อๆ

    “เธอเพี้ยนไปแล้วรึไง” เขากล่าวพร้อมใบหน้ายุ่งเหยิง

    “ไปเหอะว่ะ” เพื่อนนักเรียนชายคนหนึ่งตบบ่าเขา

    “จะยังไงก็เหอะ แต่ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นกำลังเรียกเธออยู่” เด็กหนุ่มคนนั้นบอกก่อนจะส่ายหน้าแบบคนหมดอารมณ์จะสนทนา และพวกเขาก็ค่อยๆ ทยอยเดินจากไป ฉันจึงเริ่มก้าวเท้าต่อ เมื่อกลุ่มนักเรียนเรเวนคลอทิ้งระยะให้ฉันยืนอยู่คนเดียวอีกครั้ง

    “คุณเบรเวอร์ !” เสียงศาสตราจารย์ซลักฮอร์นดังที่ข้างหลังฉัน และไหล่ของฉันถูกจับอย่างแรง ฉันหยุดชะงัก พยายามตั้งสติและหันกลับไปมอง พร้อมๆ กันนั้นก็ปลดหูฟังไอพ็อดออกจากหูด้วยสีหน้าที่ปกติถึงที่สุด

    “มีอะไรหรือคะ ศาสตราจารย์”

    " ฉันเรียกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมถึงไม่หยุด " เขาถาม จ้องนัยน์ตาฉันเขม็ง

    “เอ่อ --- ขอโทษที่ค่ะ ฉันใส่หูฟังอยู่” ฉันบอกพลางชูหูฟังไอพอดในมือให้เขาดู ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นลจ้อมมองมันครู่หนึ่งก็เลื่อนสายตามองฉันอย่างครุ่นคิด

    “อย่างไรก็ตาม ฉันขอดูของในกระเป๋าเสื้อคลุมของเธอหน่อยได้ไหม” เขาถาม

    ฉันเงียบ --- จ้องมองนัยน์ตาชลาของเขาก่อนจะผุดรอยยิ้มที่สับสนออกมา --- และจบด้วยการหัวเราะราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเพียงการอำกันเล่นๆ

    “เดี๋ยวก่อนนะคะ ศาสตราจารย์ นี่คุณกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม” ฉันถามและยังคงยิ้ม

    “ไม่ คุณเบรเวอร์ --- ล้วงของในกระเป๋าออกมา”

    เมื่อฟังดังนั้นฉันก็หยุดนิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้ารับและเริ่มล้วงกระเป๋าผ้าคลุมออกให้เขาดู และแน่นอนว่ามันว่างเปล่า มีเพียงเงินไม่กี่เกลเลี่ยน ไอพอดของพวกมักเกิล และลูกอมรสช็อกโกแลตอีกไม่กี่เม็ด ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นจ้องมองของที่ฉันล้วงออกมาอย่างพิจารนา ฉันดึงเอาชั้นซับในของกระเป๋าออกมาให้เขาดูทั้งหมด และมันว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใดที่น่าสงสัย ศาสตราจารย์มองมายังฉันพรางหยักหน้ารับ

    “แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้หรือ” เขาถาม

    “อ้อ --- แมวของคาริน่า ไทป์ หายไปค่ะ ฉันเลยมาช่วยตามหา --- จะว่าไปแล้ว คุณเห็นมันอยู่แถวๆนี้บ้างไหมคะ” ฉันตอบและยิงคำถามต่อเนื่องในทันที เพื่อไม่ให้เขาได้มีโอกาสคิดไตร่ตรองในสิ่งที่ฉันได้ตอบออกไป ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นมองหน้าฉันเหมือนกำลังใช้ความคิด

    “ไม่เห็นเลยสักตัว เท่าที่ฉันเห็นนะ” เขาว่าพลางมองไปรอบๆ

    “ถ้าอย่างนั้น --- ฉันคิดว่าจะลองไปดูที่โถงทางเดินด้านนอกอีกที ว่าแต่ทำไมถึงต้องให้ฉันล้วงของในกระเป๋าออกมาด้วยหรือคะ” ฉันถาม และฉันรู้ว่าสีหน้าของฉันตอนนี้เหมือนผู้บริสุทธิ์์ที่อยากรู้อยากเห็น ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นอ้าป้ากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างก็เงียบไป และอ้าปีกอีกครั้งก็เงียบไป เขาคงหนักใจอยู่ไม่น้อยที่จะพูดว่าเขาสงสัยว่าฉันเป็นหัวขโมย และตอนนี้เขาก็เชื่อเต็มประดาว่าฉันไม่ใช่ --- นั่นทำให้ฉันรู้สึกผิดนิดหน่อย

    “ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่คุณไทป์เป็นนักเรียนปีสองไม่ใช่หรือ” เขาถาม

    ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นมีความจำที่ดีเลิศ ถึงแม้ว่าเขาจะอายุมากแล้วก็ตาม ‘คาริน่า ไทป์  หรือปกติฉันมักจะเรียกเธอว่า คาริจัง เพราะเธอชอบให้เรียกอย่างนี้ เธอเป็นเด็กนักเรียนบ้านสลิธีริน ชั้นปีที่ 2 และใช่ --- เราดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย แต่เธอก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของอัลเลย์

    “คาริจังเป็นลูกพี่ลูกน้องของ อัลเลย์ อัสทิสม์ ไงคะ” ฉันกล่าว

    “อ้อ --- แล้วเธอเป็นอะไรกับคุณอัสทิสม์ล่ะ”

    “เพื่อนกันไงคะ เราเป็นเพื่อนกัน --- ศาสตราจารย์ก็น่าจะรู้ว่าเราอยู่กลุ่มเดียวกันในวิชาปรุงยา ---”

    “อ้อ ---- งั้นเองเหรอ ถ้างั้นก็ --- หวังว่าคุจะเจอเจ้าแมวนั่นไวๆ นะ” ศาสตราจารย์บอก

    “ถ้าอย่างนั้น” ฉันส่งลูกอมรสช็อกโกแลตให้เขาเม็ดหนึ่ง

    “มันอร่อยดีนะคะ”

    ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นมองลูกอมก่อนที่จะรับมัน ฉันมองเห็นเขาทำทีท่างกๆเงิ่นๆ สีหน้ารู้สึกผิดที่ดันคิดว่าฉันเป็นหัวขโมย --- ขอโทษที่นะคะศาสตราจารย์ซลักฮอร์น ฉันจำเป็นต้องทำจริงๆ ถึงแม้ว่าฉันจะชอบคุณมากก็ตาม หลังจากศาสตราจารย์รับลูกอมช็อกโกแลตของฉันไป ฉันยืนมองรอจนเขาเดินหายลับไปจากสายตา เมื่อแน่ใจว่าเขาจะไม่ย้อนกลับมาแล้ว สองเท้าของฉันก็ออกวิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะเร็วได้

    กลุ่มเด็กเรเวนคลอเมื่อครู่ คงกำลังกลับไปยังหอพักเรเวนคลอ เพราะคาบสุดท้ายหมดลงแล้ว และอีกราวๆ 3 ชั่วโมงจะถึงเวลามื้อค่ำ ฉันจะต้องรีบไปเอาของในกระเป๋านั่นก่อนที่หมอนั่นจะเปิดดูข้างใน --- ฉันมุ่งหน้าไปยังหอพักเรเวนคลอ และเห็นกลุ่มเด็กเมื่อครู่เดินอยู่ลิบๆ กลุ่มนักเรียนหญิงแยกไปฝั่งหนึ่ง และนักเรียนชายแยกไปอีกฝั่งฉันจึงรีบวิ่งตามไป สายตาจับจ้องไปยังสีผมที่คุ้นตาเพราะฉันพยายามอย่างมากที่จะจดจำมัน กระเป๋าใบนั้นยังคงอยู่ที่บ่าของเขา --- ฉันวิ่ง --- เมื่อระยะห่างใกล้ขึ้นฉันเอื้อมมือคว้าเสื้อคลุมของเขาเอาไว้

    “เดี๋ยวก่อน !” ฉันตะโกน และมือยังคงกำเสื้อคลุมของเขาเอาไว้แน่น นักเรียนชายคนนั้นหันหลังกลับมามองฉัน ในขณะเดียวกันฉันก้มหน้าลงและหอบอากาสเข้าปอดเฮือกใหญ่

    “เธอคนเมื่อกี้นี่” ฉันได้ยินเขาพูด แต่ตอนนี้ร่างกายของฉันเหนื่อยเกินกว่าที่จะพูดได้

    “นายรู้จักเธอด้วยเหรอ” เพื่อนนักเรียนชายของเขาถาม และฉันเห็นเขาส่ายหน้าเป็นคำตอบ

    “ฉัน   ----   มีเรื่องต้องคุยกับนาย” ฉันบอก ทั้งที่ยังคงหอบหายใจ

    “คุยเหรอ เรารู้จักกันด้วยเหรอ”

    “อย่าพูดอย่างนั้นสิ !” ฉันบอก

    เขาดูตกใจกับเสียงตวาดของฉัน และสีหน้าเขาไม่สู้ดีเท่าไหร่ ครู่หนึ่งเขาหันไปมองเพื่อนของเขาราวกับจะถามว่า เฮ้ นายเห็นไหม ดูสิ นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย --- แต่เพราะตอนนี้เรายืนอยู่ที่หน้าหอพักเรเวรคลอ และมีนักเรียนชายอีก 5 คนยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ถ้าหากว่าฉันจะล้วงเอาของในกระเป๋านั่นออกมาตอนนี้ คนก็เยอะเกินไป ดังนั้นต้องแยกเขาออกจากคนอื่นเสียก่อน

    อย่างไรก็ตาม ฉันขอโทษทีก็แล้วกัน --- ฉันพุ่งตัวเข้าไปกอดเขาแน่น เด็กหนุ่มคนนั้นสะดุ้งสุดตัว เขาแตะที่ไหล่ฉันครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง

    “โว่วๆ --- เดี๋ยวก่อนสิ นี่เธอทำอะไรเนี่ย !”

    “ได้โปรดเถอะ คุยกับฉันเถอะนะ !” ฉันยังคงกอดเขาแน่น ในขณะเดียวกันก็หันไปมองยังเพื่อนนักเรียนชายของเขาและขยับปากกระซิบบอกพวกนั้นว่า “ขอเวลาให้ฉันหน่อย” แค่ครู่เดียวพวกนั้นก็ส่งยิ้มเล็กยิ้มน้อย

    “เฮ้ยๆ แกรี่ ไม่ต้องรีบร้อนไป แกเครียร์กันไปก่อน เดี๋ยวพวกฉันจะไปรอที่สนามควิดดิชล่ะนะ” เพื่อนนักเรียนชายของเขาบอก

    “เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิ !” แกรี่ตะโกน ฉันกอดเขาแน่นเพื่อรั้งตัวเขาไว้จนกระทั้งพวกนั้นเดินห่างออกไป และตลอดเวลาเขาก็พยายามจะดันตัวฉันให้ออกห่างจากเขา --- ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่เพราะฉันไม่เคยถูกใครผลักใสไล่ส่งขนาดนี้มาก่อน

    “นี่เธอเป็นบ้ารึไง !” เขาตะคอกและฉันผละตัวออกจากเขา

    “ใจเย็นๆ สิ ก็ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยนี่นา” ฉันบอกพรางยกมือขึ้นทาบที่หน้าอกจากความเหนื่อยหอบ

    “แล้วทำไมต้องทำอย่างนี้ ถ้ามีเรื่องจะพูดก็พูดออกมาเลยก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

    ตอนนี้พวกกลุ่มเพื่อนของเขาห่างออกไปแล้ว แต่หน้าหอพักของเรเวนคลอแบบนี้ ก็คงแย่งกระเป๋ามาจากเขาไม่ได้อยู่ดี ฉันคิดว่าบางทีฉันอาจทำให้เขาหลับไปซะแล้วแย่งกระเป๋ามา แต่ปัญหาคือเขาเห็นหน้าฉันแล้ว ดังนั้นจึงทำแบบนั้นไม่ได้เพราะจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย ฉันต้องหาทางให้เขาวางมันลงด้วยตัวเอง

    --- ฉันหันไปมองยังประตูหอพัก

    “พาฉันเข้าไปข้างใน” ฉันบอก

    " ---------------- ห๊ะ "

    “นายรู้รหัส --- พาฉันเข้าไปข้างใน” ฉันบอกซ้ำอีกที

    “นี่เธอจะบ้ารึไง ! — ฉันเป็นผู้ชายนะ แล้วเธอ --- เธอก็ไม่รู้จักฉัน เธอไม่ใช่เด็กเรเวลคอลด้วยซ้ำ !”

    เขาพูดจะเกือบจะเป็นตะคอก ฉันเงยหน้ามองเขา ‘แกรี่’ --- มันก็จริงที่ฉันไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่ฉันรู้สึกว่าเคยเห็นเขาอยู่กับพวกนักเรียนดังๆ และอาจเพราะเป็นแบบนั้น แกรี่ จึงเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย

    “ขอร้องล่ะ แกรี่ --- ฉันมีเรื่องจำเป็นจริงๆ และเป็นเรื่องที่จะต้องเป็นความลับเท่านั้น”

    ฉันบอก พร้อมสบสายตาเขา ฉันพยายามจะบอกเขาด้วยแววตาและความกดดัน บอกให้เขารู้ว่า ‘เชื่อฉัน เปิดประตูนั่น แล้วพาฉันเข้าไปเสียที’ ถ้าหากเข้าไปข้างในได้แล้ว ฉันคิดว่า ถ้าหาโอกาสให้เขานั่งที่โซฟาหรืออะไรทำนองนั้นได้ เขาก็คงต้องปลดกระเป๋าวางข้างตัว ถึงตอนนั้น ฉันอาจหาโอกาสหยิบมันออกมาได้

    “---- พระเจ้า ---- ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ ----  ปิดหูเธอซะ” เขาบอก

    ฉันจึงยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้าง --- แกรี่เริ่มพูดรหัสผ่าน และประตูถูกเปิดออก ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าผ่านประตู แกรี่ยกแขนขึ้นกันท่าฉันเอาไว้ เขาชะโงกหน้ามองที่ด้านในเพื่อดูว่ามีใครอยู่ที่ห้องนั่งเล่นหรือไม่ เมื่อทางสะดวกเขาคว้าแขนฉันและดึงเข้าไปด้านในก่อนที่จะปิดประตูลง

    “มีอะไรก็รีบๆ พูดมา” เขาพูดกับฉัน แต่สายตายังคงมองไปยังบันไดและส่วนอื่นๆ ด้วยท่าทีร้อนรน

    “นั่งคุยกันดีกว่าไหม” ฉันบอกพรางพยักหน้าไปที่โซฟาของห้องนั่งเล่น แกรี่หันกลับมามองหน้าฉันด้วยอาการเหมือนคนของขึ้นหรือไม่ก็ --- ฟิวส์ขาด แต่ปนความสับสนลงไปด้วย ฉันคิดว่าเขาคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับฉันดี

    “โอเค ๆ --- ฉันอยากถามนายเรื่อง แมททริว เจนเนอร์” ฉันตอบ

    แมททริวเป็นข้องอ้างที่ดี เพราะเขาก็เป็นเด็กบ้านเรเวนคลอเหมือนกัน และอย่างน้อยๆ เขาก็เป็นคนมาขอนัตตี้ไปงานเลี้ยงเต้นรำ ถ้าฉันจะถามถึงเขาด้วยเหตุผลเรื่องนัตตี้ก็คงพอเข้าใจได้

    “เอาล่ะ ออกไปเลย” ไม่พูดเปล่าเขาคว้าแขนฉันและพยายามลากฉันออกจากห้อง

    เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมล่ะ !”

    “ถ้าเธอจะมาถามฉันเรื่องแมททริว เธอก็ไปถามเขาเองเลยสิ แล้วฉันก็เบื่อมากแล้วด้วย”

    ในขณะที่ฉุดกระชากกันอยู่นั้นเอง เสียงรองเท้าเดินย่ำลงบันได แกรีหันมองก่อนจะยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากเพื่อบอกให้ฉันเงียบเสียงลง “ออกไป” เขากระซิบจ้องห้าฉันเขม็ง “ไม่ !” ฉันกระซิบตอบ เมื่อเสียงก้าวเท้าใกล้เข้ามา แกรี่พยายามจะดันฉันไปที่ประตูอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เปลี่ยนใจดึงฉันเข้าไปหลบที่ตู้เก็บไม้กวาดแทน เมื่อบานประตูตู้ถูกปิดฉันแง้มดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอกบ้าง

    นักเรียนชายคนหนึ่งเดินลงมายังห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นหน้าเขาชัดๆ จึงรู้ว่าเป็นแมททริว เจนเนอร์ --- เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา จากนั้นโบกไม้กายสิทธิ์ไปยังเครื่องเล่นเพลงคลาสสิก เมื่อดนตรีดังขึ้น แมททริวเอนหลังพิงโซฟาดูท่าทางกำลังสบาย

    “ให้ตายสิ --- ถ้าเธอออกไปซะก็จบเรื่องแล้ว” แกรี่กระซิบบ่นอยู่ข้างหูฉัน

    “ก็ฉันยังไม่หมดธุระนี่” ฉันบอก

    ภายในตู้นั้นเหม็นอับและเหม็นกลิ่นไม้กวาด มันทั้งแคบและมืด --- ไม่มีตอนไหนจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ฉันขยับมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขาเพื่อคลำหาห่อวัตถุดิปปรุงยา --- อย่างเชื่อช้าไม่ให้เขาได้รู้สึกตัว

    “นั่นอะไรน่ะ” ฉันบอก

    แกรี่รีบส่องดูที่ช่องประตูเหนือหัวของฉัน ในตอนนั้นฉันรีบเร่งมือหา และในที่สุดฉันก็ได้สิ่งที่ต้องการ นิ้วชี้และนิ้วกลางหนีบเอาสิ่งนั้นและดึงขึ้นจากกระเป๋าของเขาด้วยความรวดเร็ว
     

    “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เขาบอกก่อนจะก้มลงมองฉัน

    “อ๋อ --- ฉันอาจจะมองผิดไปหน่อยนะ” ฉันตอบพรางซุกวัตถุดิปต้องห้ามใต้ผ้าคลุม แกรี่ถอนหายใจใส่ฉันจนผมของฉันปลิวเลยทีเดียว

    ภายในห้องนั่งเล่นนั้น แมททริวดูเหมือนกำลังจะผล็อยหลับ ฉันคลำไม้กายสิทธิ์ในกระเป๋าเสื้อคลุมอย่างเชื่อช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ สอดปลายไม้ผ่านออกไปจากช่องประตูของตู้ แกรี่คว้าที่ข้อมมือของฉันเอาไว้ ฉันจึงสะบัดมือเขาออกไป

    “เธอจะทำอะไรน่ะ” เขาถาม “ก็ช่วยเราออกไปไง” ฉันตอบ

    ฉันสอดปลายไม้ออกไปนอกช่องบานประตูอีกครั้ง

    “----- สตูเปฟาย”

    เสียงคาถาของฉันแผ่วเบา และลำแสงสีแดงพุ่งตรงใส่ร่างของแมททริว เจนเนอร์ ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกก่อนจะแน่นิ่งไป ฉันจึงผลักบานประตูออกมาภายนอก

    “นี่เธอทำบ้าอะไรเนี่ย ---- เธอเป็นบ้าไปแล้วรึไง !”

    แกรี่โวยวายเดินตามออกมาติดๆ เขาผ่ายฝ่ามือไปที่แมททริว เจนเนอร์ และมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าตื่นตระหนก --- ฉันก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขาจะทำหน้าอย่างนั้น --- ฉันเดินเลี่ยงแกรี่ที่ยืนขวางทางอยู่เพื่อกลับไปที่ประตูโดยไม่สนใจในเสียงโวยวายของแกรี่ ตอนนี้ฉันมีอย่างอื่นที่จะต้องรีบไปทำ ส่วนเรื่องแมททริว แค่ร่ายคาถา เรนเนอวาเต้ ก็เพียงพอแล้ว และแกรี่คงไม่โง่เง่าถึงขนาดที่จะไม่รู้วิธีร่ายคาถานั้น

    “เธอนี่เป็นโรคจิตประเภทไหนกัน สาปคาถาพรรนั้นใส่ผู้ชายที่ชอบเนี่ยนะ !”

    ฉันหันหลังกลับไปมองยังแกรี่เมื่อได้ยิน

    “ฉันไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย แล้วก็นะ ฉันสาปคาถาทุกประเทภใส่ใครก็ได้ทั้งนั้นแหละ” ฉันตอบ

    “แต่เธอถามฉันเรื่องเขานี่ --- แล้วยังไงล่ะ อยู่ๆ ของขึ้นอะไรเนี่ย”

    อ้อ --- จริงด้วย ฉันลืมไปเลยว่ายกเรื่องแมททริวขึ้นมาเป็นข้ออ้าง ฉันจึงเก็บไม้กายสิทธิ์ใส่กระเป๋าก่อนจะหันหน้ากลับไปคุยกับเขา ถ้าถามคำถามสักสองสามคำก็คงช่วยให้อะไรๆ มันดูสมจริงสมจังขึ้นบ้าง และอย่างน้อยๆ ก็จะได้ข้อมูลเผื่อนัตตี้ด้วย

    “แล้วเขาเป็นคนยังไงล่ะ” ฉันถาม และกอดอกมองไปยังเขา

    “ตกลงเธอเป็นโรคจิตจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”

    “หยุดเลยแกรี่ ---- ฉันไม่ได้ชอบแมททริว เจนเนอร์ แต่หมอนั่นมาชวนเพื่อสนิทของฉันไปงานเลี้ยงเต้นรำต่างหาก --- นัตติเซียน่ะ นายรู้จักใช่ไหม”

    “นัตติเซีย ?” เมื่อแกรี่พูดจบเขาก็ทิ้งทุกอย่างให้อยู่ในความเงียบจนฉันเริ่มอึดอัด

    “นัตติเซีย บี ออทิส --- นายไม่รู้จักรึไง” ฉันไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนที่ไม่รู้จักนัตตี้ --- ให้ตายสิ แกรี่

    ฉันรู้จัก ! แต่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ทำไมแมททริวถึงไม่ไปกับแฟนของเขาล่ะ”

    เมื่อฉันได้ยินสิ่งที่แกรี่พูด ฉันหยุดนิ่งและปล่อยให้สมองทบทวนสิ่งที่ได้ยินไปอีกครั้ง

    “แฟน ?” ฉันถาม

    แกรี่จ้องหน้าฉันและเงียบไป คล้ายว่าตอนนี้เขารู้ตัวว่าได้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาเสียแล้ว

    นี่ --- ฟังนะ ฉันไม่รู้ว่าแมททริวคิดอะไรอยู่ ส่วนเรื่องแฟนของเขานั่นฉันก็ไม่รู้รายละเอียด โอเคเขาอาจจะเป็นเด็กเรเวรคลอ แต่นั่นก็ไม่แปลว่าฉันจะรู้ทุกเรื่องของเขา” แกรี่กล่าว

    “เล่ามา”

    “---- ไม่เอาน่า ฉันพูดเรื่องส่วนตัวของเขาไม่ได้”

    ฉันรู้ว่านี่เป็นการทำให้แกรี่ต้องลำบากใจ แต่ถึงอย่างนั้น --- ฉันล้วงมือหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาก่อนจะชี้ปลายไม้ไปยังแมททริว แต่สายตายังคงสับนัยน์ตาสีน้ำตาลของเขา

    “เธอจะทำอะไรน่ะ” แกรี่ยกมือขึ้นเป็นเชิงขอร้องให้ฉันหยุด

    “พูดมา หรือจะให้ฉันปลุกแมททริวแล้วบอกเขาว่านายเป็นคนสาบคาถาใส่เขา ?”

    แกรี่มองหน้าฉัน เขาอ้าปากหอบเอาอากาศเขาไปแล้วหยุดนิ่ง และถึงเขาจะไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่ฉันได้ยินเสียงลมเบาๆที่เขาอุทาน ‘ห่าอะไรวะเนี่ย’ แน่นอนว่าเขาคงทั้งสติแตกและคิดว่าฉันเป็นนังตัวแสบ แต่เรื่องนั้นฉันไม่แคร์

    “---- แกรี่”

    โอเคๆ ! --- แต่ขอมีข้อแลกเปลี่ยน” เขาว่า

    ฉันไม่ตอบตกลงหรือปฏิเสธใดๆ เพียงแค่จ้องหน้าเขาไปเรื่อยๆ รอให้เขาพูด

    “ถ้าฉันบอกไปแล้ว เธอต้องไม่บอกใครว่ารู้มาจากฉัน --- และ ! --- ห้ามมายุ่งกับฉันอีก ไม่ต้องมายุ่งเลย ทักก็ไม่ได้ ห้ามมองหน้าด้วย โอเคมั้ย”

    หลังเขาพูดจบฉันเกือบหลุดขำออกมา เห็นได้ชัดว่าแกรี่ขยาดฉันมากแค่ไหน --- ก็ไม่แปลกใจเพราะฉันทั้งขู่เข็น ทำให้เข้าแหกกฎโรงเรียน อย่างเช่นพาคนนอกเข้ามาในหอพักแถมยังเป็นผู้หญิงเสียด้วย หนำซ้ำยังทำร้ายคนในหอพักของเขา แล้วขู่ว่าจะโยนความผิดให้เขาอีก ---

    ฉันขอโทษทีแกรี่ หลังจากนี้จะไม่มาวุ่นวายกับนายอีกแล้ว

    “เล่ามาได้แล้ว” ฉันบอก

    แกรี่ถอนหายใจพลางส่ายหน้า ฉันรู้ว่าเขาคงลำบากใจมาก ครู่หนึ่งเขาหันไปมองยังแมททริวที่นิ่งสนิทอยู่บนโซฟา ในแววตานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด

    “ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอก” เขามองมาที่ฉันและเริ่มเล่า

    “แมททริวน่าจะคบหากับ เฟธ ลีเวลลีน มาสักพักแล้ว แต่ดูเหมือนสองคนนั้นจะไม่ได้บอกใครว่าคบกันอยู่ จะว่ายังไงดีละ --- ทั้งเฟธ ทั้ง แมททริว ก็เป็นคนเงียบๆ ด้วยกันทั้งคู่ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คิดว่าสองคนนั้นเหมาะกันดี เมื่อคริสต์มาสปีที่แล้วพวกเขาก็แลกของขวัญกันด้วย --- จริงๆ นะ มันดีมาก เธอไม่อยากเห็นสองคนนั้นทะเลาะกันหรือเลิกกันหรอก... ฉัน... ก็ไม่ได้จะว่านัตติเซีย หรืออะไรอย่างนั้น... ฉันก็แค่...”

    “นายคิดว่า ถ้าฉันซัดคาถาสตูเปฟายใส่เขาอีกที เขาจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาหรือหลับนานเป็นสองเท่า”

    ฉันถามแทรก

    ไม่ๆ ! --- อย่า --- ขอร้องล่ะ” แกรี่ร้องห้าม

    ให้ตายสิ --- ฉันจะกลับล่ะ นายปลุกเขาขึ้นมาตอนที่ฉันออกไปแล้ว ตกลงมั้ย --- แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะสงสัยนาย เพราะตอนที่ฉันสาบเขา เขามองไม่เห็นหน้าเรา”

    ฉันบอกและเดินย่ำเท้าพรวดพราดออกจากห้องโดยไม่ฟังคำคัดค้านใดของแกรี่ --- ด้านนอกบานประตูมีเด็กเรเวนคลอบางคนยืนอยู่ แต่โชคยังดีที่พวกนั้นไม่ทันสังเกตเห็นฉัน แกรี่ไม่ได้ตามฉันออกมา และเขาคงจัดการเรื่องแมททริวได้โดยไม่ถูกสงสัย ----

    ฉันย่ำเท้าเดินเพื่อจะกลับไปยังหอพังของสลิธีริน ในขณะที่ก้าวเท้าฉันคิดถึงเรื่อง แมททริว เจนเนอร์ และ เฟธ ลีเวลลีน --- งานเลี้ยงเต้นรำ และ นัตตี้ --- ฉันเพียงแค่จะเข้าไปเอาวัตถุดิบปรุงยาเท่านั้น แต่ดันมารู้ความลับของแมททริว เจนเนอร์เสียได้ อย่างไรก็ตาม ---

    ฉันต้องคุยเรื่องนี้กับนัตตี้โดยเร็ว


     


     

     

    ----------------------------------------------------------------------------

    แมททริว เจนเนอร์

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×