ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] The Witchcraft Alphabet

    ลำดับตอนที่ #12 : { SS • I } บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๑๒ : เครื่องประดับต้องสงสัย และ สัญญาไร้วาจา

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 66


    บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๑๒

    เครื่องประดับต้องสงสัย และ สัญญาไร้วาจา
     


     

     

    " อัลลี่ --- อัลลี่ ---- "
     

    ฉันได้ยินเสียงเรียกชื่อของฉัน ในหัวของฉันเบาโหวงและร่างกายคล้ายขยับไม่ได้ รู้สึกเหมือนวิญญานออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น ครู่หนึ่งเสียเอะอะก็ดังแทรกเข้ามา ฉันพยายามลืมตาขึ้น

    " เป็นไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นรึยัง "

    เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นฌองกำลังจับที่แขนของฉันอยู่ ฉันนั่งอยู่บนพื้นถนน ที่หน้าร้าน และเมื่อมองไปรอบๆเพื่อนๆของฉันก็อยู่ที่หน้าร้านกันทั้งหมด ฉันเดาว่าเราคงถูกไล่ออกมาหลังจากที่เจอร์ซี่สร้างความวุ่นวาย

    " พวกเด็กบ้า ! " เสียงเจ้าของร้านตะโกน

    " พวกเราก็แก้ไขให้แล้วไง จะอะไรกันนักหน้า ! " รอยส์ตวาดกลับไป ในขณะเดียวกันซีนพยายามจะรั้งแขนของรอยส์เอาไว้ นี่เป็นภาพแปลกใหม่ ฉันไม่เคยเห็นรอยส์โกรธขนาดนี้มาก่อนเลย ฉันพยายามลุกขึ้นจากพื้นถนนที่เย็นเฉียบ ในขณะที่ฌองประคองแขนของฉันเอาไว้ นัตตี้รีบเข้ามาโอบตัวฉันเพื่อช่วยเหลืออีกแรง สีหน้าของเธอดูเป็นกังวลมาก และฉันได้กลิ่นเบียร์ลอยเข้าจมูก เมื่อตั้งสติได้และมองที่เธอ ตัวของเธอเปียกโชกไปหมด

    " เกิดอะไรขึ้น " ฉันถามพร้อมกับใช้มือจับที่หน้าผากเพราะรู้สึกมึนหัว

    " เรารีบไปกันเถอะ ฉันไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่โตไปกว่านี้ " นัตตี้บอก

    " แบบนี้ไม่เรียกว่าแก้ไขหรอก ฉันไม่จับพวกแกโยนออกไปก็บุญเท่าไรแล้ว ! " เจ้าของร้านตะโกน

    ฉันมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฌองและนัตตี้ยืนบังฉันเอาไว้ แต่ฉันได้ยินเสียงซีนกรีดร้อง และเสียงอึกทึกดังขึ้น มือของฉันคลำหาไม้กายสิทธิในทันที ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ซีนกำลังกรีดร้อง นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ นัตตี้ปล่อยมือจากฉัน และคว้าไม้ของเธอออกมา

    " อัลเลย์ ! ไปห้ามรอยส์ทีสิ่ เร็วเข้า ! " เธอตะโกน

    " เกิดอะไรขึ้น " ฉันถามอีกครั้ง และใช้มือดันร่างของฌองออกไปเพื่อมองเหตุการณ์ตรงหน้า รอยส์กำลังจุดไฟเผาหน้าร้านเบียร์แห่งนี้ ซีนพยายามห้ามเขาเอาไว้ในขณะที่อัลเลย์พยายามจะแก้คาถาของรอยส์อย่างจ้าละหวั่น ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมรอยส์จึงจุดไฟเผาร้าน เขาไม่เคยเกรี้ยวกราดอย่างนี้มาก่อน

    " รอยส์ ! --- ซีน ! มันเรื่องอะไรกัน ! " ฉันตะโกน

    สองเท้าของฉันก้าวออกไปยังจุดเกิดเหตุอย่างยากลำบาก เพราะทุกๆครั้งที่ก้าวเท้ามันคล้ายกับว่า ฉันกำลังจะล้มลงทุกครั้งไป รอยส์ไม่ขานตอบต่อการเรียกของฉัน และซีนเริ่มร้องไห้ออกมา ฉันเหวี่ยงไม้กายสิทธิ์เพื่อดับไฟที่รอยส์จุด --- ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และไม่เข้าใจอะไรเลย แต่นี่มันไม่ปกติมากๆ

    " รอยส์ ! " ฉันเรียกเขาอีกครั้ง

    " โถ่เอ๊ย ! มันสมควรโดนแล้ว ! " รอยส์ตะเบงเสียงใส่ชายเจ้าของร้าน ในขณะที่อัลเลย์พยายามจะล็อกตัวของรอยส์เอาไว้ เมื่อฉันเดินเข้าไปไกล้พอ ฉันจึงมองเห็นบางสิ่ง ซีนตัวเปียกโชกและที่ใบหน้าของเธอมีรอยแดงเล็กๆ ฉันคิดว่าเธออาจถูกใครบางคนทำร้าย แต่ฉันเองก็ยังเดาสถานการไม่ออก

    " มันเกิดอะไรขึ้น " ฉันคว้าไหล่ของเธอก่อนจะถาม

    เธอไม่ตอบ และยังคงร้องไห้ ดังนั้นฉันจึงลากสังขารตัวเองไปหารอยส์ที่กำลังคุ้มคลั่ง --- อัลเลย์ตะโกนเรียกชื่อของเขาหลายครั้งเพื่อเรียกสติ แต่ดูเหมือนรอยส์จะยังโกรธจัด ฉันคว้าไหล่ของเขาและออกแรงดึง

    " รอยส์ มันเกิดอะไรขึ้น ! " ฉันถาม

    รอยส์มองหน้าฉัน --- วูบหนึ่งฉันรู้สึกกลัวจับใจ สายตาที่เขามองมา ใบหน้าของเขาเต็มเปลี่ยมไปด้วยความโกรธที่รู้สึกได้ ก่อนที่ใบหน้านั้นจะค่อยๆคลายความเกรี้ยวกราดลงทีละน้อย ฉันจึงคลายมืออกจากไหล่ของรอยส์ และขยับถอยห่างจากเขาราวครึ่งก้าว ฉันไม่รู้ว่าเขาจะรู้ไหม --- แต่เขาในตอนนี้... น่ากลัวมาก ...

    " บ้าเอ๊ย... " เขาสบถโดยไม่มองหน้าฉัน

    " นายต้องใจเย็นหน่อยนะ รีบไปกันได้แล้ว ! " อัลเลย์บอก

    หลังจากนั้นอัลเลย์พยายามลากเอาตัวรอยส์ออกไปจากที่เกิดเหตุ ฉันหันกลับไปยังหน้าร้าน ไฟยังลุกไหม้บางจุด เจ้าของร้านพยายามโบกสะบัดปลายไม้ด้วยคาถาสารพัดเพื่อจะดับไฟเหล่านั้น แต่ฉันเดาว่าเขาคงได้รับการศึกษาเรื่องคาถามาน้อยมากทีเดียว ฉันโบกไม้กายสิทธิ์เพื่อช่วยเขาดับไฟ ในขณะเดียวกันนั้น ฌองก็เริ่มโบกไม้ของเขาเพื่อช่วยฉันอีกแรง

    " เซเนียร์ เธอรีบไปก่อน ทางนี้ให้ฉันจัดการเอง ! " ฌองบอก

    ซีนยังคงยืนร้องไห้และไม่ยอมขยับตัว นัตตี้จึงวิ่งเข้ามาเพื่อพาตัวเธอออกไป ฉันมองตามพวกเธอสองคนอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับไปจัดการกับไฟที่ยังคงลุกไหม้อยู่ ภายในร้านปราศจากคนแล้ว มีเพียงเจ้าของร้านกับภรรยาของเขาที่ยืนตะโกนโหวกเหวกอยู่ที่หน้าร้าน ฉันนึกอยากสาปคาถาผูกลิ้นใส่พวกเขาเพื่อหยุเสียงน่ารำคาญเหล่านั้นเสียจริงๆ ถึงแม้ว่าฉันจะเข้าใจว่าพวกเขาโกรธจัดที่ร้านของพวกเขาถูกรอยส์เผาเสียวอดวายก็ตาม

    " นายมีคาถาที่ดีกว่านี้ไหม ! " ฉันตะโกนถามฌอง และที่ต้องตะโกนทั้งที่เรายืนอยู่ใกล้กันขนาดนี้ก็เพราะฉันต้องแข่งกับเสียงของเจ้าของร้านและภรรยาที่ไม่ยอมหุบปากเสียที

    " มี แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม ! " ฌองตอบ

    " อะไรก็ได้ สักอย่างเถอะ ! " ฉันตอบ มือยังคงสะบัดปลายไม้เพื่อดับไฟที่ดื้อดึง ฉันไม่สนว่ามันจะเป็นคาถาอะไร เพราะคาถาที่ฉันลองใช้ สาม สี่ คาถาแล้วมันก็ยังไม่ได้ผลเสียที

    " ฟินิเต้ อินคานทาเท็ม ! " เสียงฌองตะโกน

    หลังจากนั้นเปลวไฟค่อยมอดลงอย่างช้าๆ ฉันจึงใช้คาถาอากัวเมตีเพื่อดับไฟในจุดเล็กๆที่ยังไม่ยอมดับไป เมื่อทุกอย่างสงบลง เสียงโหวกเหวกของเจ้าของร้านและภรรยาก็เบาลงด้วย ฉันหันมองไปที่พวกเขาก่อนจะหันกลับมามองฌอง

    " นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน --- " ฉันถาม

    " ทำให้เป็นเหมือนเดิม ! --- เอาทุกอย่างของฉันกลับมานะ ! เจ้าเด็กบ้า ! " เจ้าของร้านตะโกนและเดินดุ่มๆเข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึง ฌองยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นชี้ไปทางเขา เขาจึงหยุดเท้าเอาไว้ตรงนั้น ฉันคิดว่าเขาคงรู้ตัวเองดีว่าวิชาคาถาของเขาไม่อาจเทียบฌองได้ เพราะเพียงแค่ดับไฟที่ลุกไหม้เมื่อครู้เขาก็ยังไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ

    " คุณควรพูดกับเราดีๆ นี่มันก็เป็นความผิดของคุณด้วยครึ่งหนึ่ง " ฌองกล่าวเสียงแข็ง

    " พูดดีๆอย่างนั้นหรือ ! พวกแกเข้ามาพังร้านของฉันนะ ! " เจ้าของร้านร่างท้วมตะเบงเถียง

    " เราซ่อมทุกอย่างให้คุณแล้วนะครับ ลองคิดให้ดีๆว่าคนที่เริ่มมันเป็นคุณไม่ใช่เหรอ "

    " ทำให้เป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้เลยนะ ! " เจ้าของร้านร่างท้วมตะโกนจนใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดง เส้นเลือดปูดโปนขึ้นที่ขมับ ฉันแตะไหล่ของฌองเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนจะโกรธ

    " ทำให้เขาไปเถอะ มันจะได้จบเรื่องไป " ฉันบอก

    " เขาไม่คู่ควรเลยอัลลี่ --- เธอไม่รู้ว่าเขาทำอะไรบ้าง " ฌองตอบก่อนจะหันมาสบสายตาของฉัน

    มันก็จริงที่ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นทุกอย่างลุกเป็นไฟ รอยส์กลายเป็นบ้า นัตตี้เป็นกังวล และซีนกำลังร้องไห้ คนที่ดูแล้วพอจะมีสติก็เห็นจะมีแค่อัลเลย์และฌอง
     

    " ถ้านายว่าอย่างนั้นนะ " ฉันตอบ ละมือออกจากไหล่ของฌอง

    ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันรู้จักฌอง --- เขาเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ฉันอ่านใจคนไม่ได้ ใช้คาถาพินิจใจกับเขาก็ไม่ได้ด้วย แต่ฉันเดาได้ว่าเขากำลังลังเลว่าควรทำอย่างไร ภรรยาของเจ้าของร้านเริ่มร้องไห้ และเจ้าของร้านกำมือแน่นมองมายังเราด้วยตาเขม็ง

    " ให้ตายสิ ---- " เขาสบถออกมาก่อนจะเปลี่ยนทิศของไม้กายสิทธิ์ไปยังร้านเบียร์ที่ถูกเผาจนพังยับเยิน เสียงเปร่งคาถาเบาๆ ดังรอดริมฝีปากของเขา ข้าวของต่างๆ ขยับเคลื่อนที่ เศษกระจกที่แตกยับลอยขึ้นจากพื้นและเรียงตัวทีละชิ้นจนเต็มบาน ร่องรอยแตกร้าวต่อกันสนิทราวกับว่ามันไม่เคยแตกมาก่อน ฉันถอนสายตาออกจากฌองและยกไม้ของฉันขึ้น จากนั้นร่ายคาถา

    เพียงไม่นานทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม เรายืนนิ่งมองร้านเบียร์ที่ตั้งตระหง่าน และเงียบสงบ สองสามีภรรยาจ้องมองไปยังร้านของพวกเขา ก่อนจะกอดกันและมองมายังเราด้วยสายตาเกลียดชัง

    " พวกคุณไม่คู่ควรเลย " ฌองกล่าว

    " เหอะ ! --- " ชายเจ้าของร้านส่งเสียงและสีหน้าชิงชังก่อนจะจูงภรรยาของเขาเข้าร้านไป

    เมื่อเสียงบานประตูปิดลง ฉันหันหน้ามองไปยังฌอง เขายังคงนิ่งเงียบอยู่นานหลายนาที จนกระทั้งฉันสะกิดที่แขนของเขาเบาๆ ดังนั้นเราจึงเริ่มเดิน ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ลับของฟ้า บนทางเท้าปลอดคน ฌองเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ฉันวูบหลับไป เจ้าของร้านก็อาลวาดที่เจอร์ซีบินเข้าไปทำข้าวของในร้านเสียหาย และถึงแม้ว่าพวกเราจะเอ่ยคำขอโทษแล้ว และทำให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม แต่มีใครบางคนรู้ว่านัตตี้เป็นแม่มดที่เกิดจากมักเกิ้ล และภรรยาเจ้าของร้านก็เริ่มเรียกเธอว่า 'นังผู้หญิงเลือดสีโคลน' อัลเลย์โกรธมาก จึงทำให้เกิดมีปากเสียงกันขึ้นมา ซีนและนัตตี้พยายามห้าม แต่เจ้าของร้านกลับสาดทั้งคู่ด้วยเบียร์ในแก้ว และพลั้งมือทำให้ซีนได้รับบาดเจ็บ --- และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รอยส์ใช้คาถาโจมตี จากนั้นทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด ฌองบอกว่า พวกนั้นมีพฤติกรรมที่แย่มาก พวกเขาใช้คำหยาบคายกับนัตตี้ และบอกถึงขนาดที่ว่า ถ้าหากฉันได้ฟังจะไม่มีทางยอมให้อภัยพวกนั้นเลย --- แต่ฌองไม่ยอมบอกว่าพวกเขาพูดว่าอะไร ดังนั้นฉันจึงไม่ถามให้มากความ และ --- มันอาจดีกว่าที่ฉันไม่รู้ ไม่เช่นนั้นฉันอาจกลับไปเผาร้านนั้นอีกครั้ง เหมือนที่รอยส์ทำก็ได้

    " ฉันไม่เคยเห็นนายใช้คาถาจริงๆ จังๆ แบบนี้เลย --- นายฝีมือดีมากนะฌอง "

    ฉันบอก ในขณะที่เราเดินด้วยกัน ท้องฟ้าใกล้มืดเต็มที โคมไฟบนถนนจึงถูกเปิดขึ้น ฌองหันมองฉันและเผยรอยยิ้มเล็กๆ ฉันคิดว่าเขาดูดีกว่าในแสงสีส้มของไฟกลางคืน

    " ขอบใจนะ --- " เขาตอบแค่สั้นๆ

    หลังจากนั้นเขาเงียบ --- ฉันเงียบ --- เราต่างก็เงียบ --- ฉันไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน ทุกครั้งฌองจะเป็นคนที่พูดไมหยุด แต่คราวนี้เขากลับเงียบ เรายังคงเดินไปเรื่อยๆ บนทางเท้า ไร้ซึ่งคำสนทนา ฉันล้วงมือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อหลบอากาศหนาว ลมหายใจของฉันเริ่มมีควันสีขาวบ่งบอกถึงอุณหภูมิที่เย็นลง หน้าหนาวกำลังไล่เข้ามา

    " หิมมะตก " เสียงฌองพูด ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองที่เขาก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า

    เกล็ดหิมะเล็กๆ โปรยปลายลงมา ฉันมองเห็นเหมือนฝุ่นสีขาวสาดกระทบกับแสงไฟสีส้มระยิบระยับ มันล่องลอยวนอยู่ในอากาศก่อนจะตกลงสู่พื้น

    " หิมะแรกของฤดูหนาวเลยนะ " ฉันบอก

    " ฉันเกือบลืมไปเลย "

    ฌองพูดก่อนจะก้มหน้าก้มตาหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงของเขา สิ่งนั้นคือห่อกระดาษสีน้ำตาลขนาดเล็ก มันเป็นของที่เจอร์ซี่เอามาส่งให้กับฉัน ฌองยื่นมันมาให้ฉันและฉันรับมันเอาไว้ ฉันเป็นกังวลนิดหน่อยว่าฌองได้เปิดมันดูหรือยัง บางทีสิ่งที่อยู่ข้างในอาจเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีใครได้เห็น
     

    " ขอบใจมากนะ --- " ฉันกล่าวมองหน้าเขาไปด้วย

    " ฉันยังไม่ได้เปิดมันหรอก ไม่ต้องห่วง " เขาพูดขึ้นเมื่อฉันจ้องเขาอยู่นาน

    ฉันไม่รู้ว่าอะไรอยู่ภายในห่อกระดาษ โดยปกติแล้วเจอร์ซี่ไม่ใช่นกที่ฉันใช้ส่งข่าวคราวหรือพัสดุใดๆ อันที่จริงแทบไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำว่าฉันมีนกตัวอื่นนอกจากฮวอก ใครบางคนที่ส่งสิ่งนี้มา จะต้องรู้จักฉันเป็นอย่างดี และแน่นอน จะต้องรูุ้จักพ่อของฉันเป็นอย่างดีเช่นกัน

    " หนาวไหม " ฌองถาม

    " ก็นิดหน่อย " ฉันตอบ

    แล้วอยู่ๆ ฉันก็ --- คิดถึงเรื่องงานเลี้ยงเต้นรำขึ้นมา บางทีถ้าฉันตอบตกลงไปงานเลี้ยงกับฌอง ฉันอาจได้รู้อะไรดีๆก็ได้ อย่างน้อยๆ ก็เรื่องของคริสต้า เพราะดูเหมือนฌองจะมีข้อมูลบางอย่างที่ฉันไม่มี

    " ว่าแต่ทำไมนายถึงรู้ว่าฉันเก็บดิตทานีเอาไว้ที่ไหน " ฉันถาม

    ฌองเงียบ เขายังคงเดินต่อไปโดยไร้การสนทนาอยู่ครู่หนึ่ง และฉันก็ไม่ได้ถามซ้ำ --- มีบางอย่างผิดปกติไป ฌองไม่เคยเป็นแบบนี้ นี่ไม่ใช่ธรรมชาติของเขาเลย และฉันไม่อาจเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    " เธอเคยไปที่ผาเดียวดายไหม " ฌองถาม --- ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่ฉันได้ถามไปก่อนหน้านั้น

    ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบ ผาเดียวดายเดิมทีแล้วเป็นชุมชนเล็กๆในฮ็อกส์มี้ด แต่ในยุคมืดเกิดการต่อสู้กันของเหล่าผู้ต่อต้านและผู้เสพความตาย และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พื้นผิวของหมู่บ้านดังกล่าวถล่มลงไปกลายเป็นผาสูง เหล่าพ่อมดแม่มดต่างพากันย้ายออกมาด้วยเห็นตรงกันว่าสถานที่นั้นได้รับความเสียหายเกินกว่าจะเยียวยาได้ --- มันกลายเป็นจุดที่รกร้างไร้ผู้คน หรืออีกนัยหนึ่ง มันกลายเป็นอนุศรแห่งการสูญเสีย

    " อยากไปไหม " เขากล่าวและสายตามองออกไปไกลแสนไกล

    ฉันได้แต่สงสัยว่าเขากำลังมองหาอะไรอยู่ ...

     


     

     


     

    เราเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฟ้ามืดสนิท หิมะยังคงโปรยปราย บนถนนมีป้ายบอกทางเก่าๆหักๆ รอยไหม้เป็นสัญญานบ่งบอกว่าเราใกล้ถึงผาเดียวดายเต็มที เมื่อเดินตัดถนนที่ทอดยาวเข้าสู่ทางเส้นมืดมิด ฉันและฌองก็คลำหาไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาเพื่อส่องแสงนำทาง ทั่วบริเวณนี้ไร้แสงไฟอย่างสิ้นเชิง

    " ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากมาที่นี่ล่ะ " ฉันถามในขณะที่ก้าวข้ามรากไม้ใหญ่ที่โตจนทะลุพื้นถนน

    " ฉันเห็นน่ะ " เขาตอบ

    " เห็น ? "

    " ดูนั่นสิ --- ผาเดียวดายล่ะ "

    เมื่อฌองพูดจบฉันหันไปมองที่ด้านหน้า ฌองเดินนำและใช้มือแหวกพุ่มไม้ออก ก่อนที่ตัวเขาจะผลุบพ้นพุ่มไม้ไป ฉันจับจ้องพลางก้าวเท้าเดินตาม เมื่อแหวกตัวผ่านพุ่มไม้ออกไปได้แล้ว ด้านหน้าเป็นผาชันเวิ้งว้าง ไม่มีรั้วกั้น ไร้ซึ่งแสงไฟ --- ถ้าหากมีใครหลงเดินเข้ามาก็อาจตกลงไปได้ง่ายๆ

    " น่ากลัวจัง " ฉันกล่าว

    เมื่อมองลงไปด้านล่าง แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืน ทว่าแสงของดวงจันทร์ก็สาดส่องพอให้เห็นพื้นผิวได้ หรืออาจเป็นเพราะดวงตาของฉันชินกับความมืดมาสักพักแล้ว พื้นที่ใต้หุบเหวนนั้นมีแต่ซากปรักหักพัง บ้านเรือนถูกเผาเหลือแต่เสาโครงบ้านให้พอได้เห็น

    " เมื่อตอนปีสาม หลังวิชาคาถา ---- " ฌองพูด มองออกไปยังพื้นที่ในหุบเหวลึกชัน

    " ฉันบังเอิญเห็นเธอใส่ดิตทานี่ให้แมวจรจัดตัวนึง --- มันกัดเธอเสียเลือดทวมเลย ตอนนั้นฉันอยู่บนระเบียง มองลงไปข้างล่าง เธอไล่จับมันอยู่ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง --- ฉันเองก็ไม่แน่ใจ ฉันถึงได้รู้ว่าเธอเก็บมันเอาไว้ที่ไหน " เมื่อพูดจบฌองหันมามองที่ฉัน ในยามที่ลมพัดมา ผมสีทองในความมืดมิดขยับสะท้อนเงาจันทร์ให้เห็นเป็นประกายขมุกขะมัว ฉันจับจ้องนัยน์ตาที่ยามนี้มืดสนิท ทั้งที่มันเคยเป็นสีน้ำตาลท่ามกลางแสงแดดตอนกลางวัน

    " นายเนี่ย --- รู้ไปเสียทุกเรื่องเลยจริงๆนะ " ฉันว่า

    ฌองส่งเสียงหัวเราะแผ่วลมออกมา ฉันจึงเผยรอยยิ้มเล็กๆ เราทั้งคู่ยืนอยู่ริมผา ปล่อยให้ลมหนาวพัดกัดเซาะความอบอุ่นของร่างกายไปเรื่อยๆ บางครั้งเราเงียบ บางครั้งเราเริ่มพูดคุยอีกครั้ง

    ฉันเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ดวงดาวพร่างพราย อาจเพราะแถวๆ นี้ไม่มีแสงไฟสักดวง

    " แล้วของที่เจ้าเหยี่ยวฮูกนั่นส่งมาเป็นความลับเหรอ " เขาถาม

    " --- ฉันไม่รู้ " ฉันตอบด้วยความสัตย์จริง

    " เธอสามารถไว้ใจฉันได้นะ " เขาบอก

    ฉันมองหน้าเขาก่อนจะส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมา --- ฌองไม่ใช่คนที่ไว้ใจได้ นั่นคือเท่าที่ฉันรู้ เขาเป็นพวกรู้ไปเสียทุกเรื่อง บางครั้งเขาแบล็กเมล์คนอื่น บางครั้งเขาก็ปล่อยข่าวมั่วๆ ออกมา

    " ตอนที่ฮอกส์มี้ดถูกโจมตี ฉันเสียคนสำคัญไป --- ตอนนั้นฉันยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงรู้สึกสูญเสียได้ ในเมื่อฉันยังไม่เคยมีมันจริงๆ เลย ---" เขาพูดและหยุดพักมองออกไปไกลแสนไกล ก่อนจะเริมพูดต่อ
     

    " ตอนฉันเข้ามาเรียนที่ฮอกส์วอตครั้งแรก พ่อแม่มีชุดนักเรียนเตรียมไว้ให้แล้ว ฉันไม่ต้องซื้อตำราใหม่ ไม่ต้องซื้อไม้กายสิทธิ์อันใหม่ เพราะทุกอย่างมีพร้อมอยู่แล้ว --- เพราะว่า --- ฉันเคยมีพี่ชาย --- ฉันไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย ไม่เคยได้ยินเสียง ไม่เคยรู้จักเขา แต่ฉันก็เสียเขาไปแล้ว --- มันก็ตลกดีนะว่าไหม --- คนเราจะเสียในสิ่งที่ไม่เคยมีได้ยังไง " เขาพูดแกมหัวเราะ

    ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฌองถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา --- ฉันละสายตาออกจากเขาและมองไปยังพื้นที่เบื้องล่าง ฉันไม่เคยเห็นตอนที่พื้นที่นี้สวยงามมาก่อน เพราะว่าตั้งแต่ที่ฉันเกิดมา ลืมตาดูโลก มันก็ถูกทำลายจนย่อยยับไปแล้ว ---

    " เพราะว่าเรารู้ว่าเราเคยมีไงล่ะ ถึงจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เคยมีมันหน้าตาเป็นยังไงก็เถอะ " ฉันตอบ

    หลังจากนั้นฌองก็เงียบไป เขาเอาแต่เฝ้ามองพื้นที่เบื้องล่าง ราวกับว่าจะรอให้มันงอกเงยกลับคืนมาสู่ความรุ่งเรื่องอย่างไรอย่างนั้น ฉันเฝ้ามองเขา ในขณะที่เขากำลังเฝ้ามองสิ่งที่ไม่สามารถนำกลับมาได้ และฉันได้เห็นบางอย่างในตัวเขา ที่ไม่สามารถนำกลับมาได้เช่นกัน ---

    " นายบอกว่า ฉันไว้ใจนายได้ " ฉันพูดขึ้นในที่สุด ฉันทนอยู่ในความเงียบของเขาต่อไปไม่ได้ ฌองหันกลับมามองฉันพร้อมกับพยักหน้ารับ ฉันจึงล้วงมือหยิบห่อพัสดุที่เจอร์ซี่นำส่งมาให้ออกจากกระเป๋าเสื้อคลุม ในขณะที่ถือห่อปริศนาในมือ ฉันมองหน้าเขา

    " คำพูดก็แค่ลมปาก พิสูจน์ดูก็คงรู้เอง " ฉันบอก

    จากนั้นก้มหน้าลงมองห่อกระดาษในมือและเริ่มแกะมันออก ในใจฉันเต้นระทึก มือของฉันสั่นขึ้นเล็กน้อยและในสมองตะโกนว่า 'ไอ้โง่ หยุดเดี๋ยวนี้' หรือว่าบางทีฉันอาจเป็นนายของสมองอีกชั้นหนึ่งหรือเปล่า ฉันสงสัยว่าแท้จริงแล้วสิ่งใดกันแน่ที่ตัดสินใจการกระทำ สมองทำหน้าที่ประมวลผลและคิดคำนวน หัวใจเต้น แล้วอะไรคือตัวตัดสินที่แท้จริงในเมื่อสมองของฉันบอกว่าให้หยุด แต่ฉันกลับตัดสินใจตรงกันข้าม ? --- และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ---

    เมื่อห่อกระดาษหลุดออกไปแล้ว สิ่งที่เผยให้เห็นคือสร้อยคอเส้นหนึ่ง มันถูกทำขึ้นจากเงิน และมีจี้เป็นหินสีเขียวคล้ายหยกแต่ดูจะโปร่งแสงกว่า จี้รูปหกเหลี่ยมประดับด้วยลวดลายสวยงาม --- ฉันจ้องมอง

    " เครื่องประดับเหรอ --- ดูเหมาะกับเธอดีนะ " ฌองกล่าว

    ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาและพยักหน้าให้เป็นการขอบคุณ ก่อนจะก้มลงมองสร้อยคอในมือ --- ฉันไม่เข้าใจ ใครเป็นคนส่งมันมา และส่งมันมาทำไม คนที่ส่งมารู้จักเจอร์ซี่ได้อย่างไร เขาเกี่ยวข้องอะไรกับพ่อของฉัน หลายคำถามประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน

    " ลูมอส " ฌองกล่าวเพื่อฉายไฟให้ฉันมองเห็นสร้อยในมือได้ง่ายขึ้น

    " ฉันว่า --- " เขาพูดและเงียบไป ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองที่เขา

    " คือว่า --- ใครส่งมันมาให้เธองั้นเหรอ " เขาถาม

    " ฉันไม่รู้ "

    " ลองถามญาติๆ หรือคนรู้จักของเธอดูก่อนสิ่ " ฌองบอก

    " ---- ฉันไม่มี " ฉันตอบ และเขามองหน้าฉัน

    " ถ้างั้น ---  " ฌองพูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหยิบสร้อยจากมือของฉันไปถือไว้ ก่อนจะใช้ไม้กายสิทธิ์ส่องไฟใกล้ๆเพื่อตรวจดูอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาสะบัดปลายไม้และกล่าวคาถา

    " สเปซิอาลิส เรเวลิโอ "

    หลังกล่าวคาถาไร้ซึ่งสิ่งใดปรากฎ เขาจึงลองอีกครั้งด้วยคาถาเดิมและเลิกพยายามในที่สุด

    " มันคงเป็นแค่สร้อยธรรดาล่ะมั้ง " เขาบอกพร้อมส่งสร้อยคืนให้ฉัน

    " ถ้านายว่าอย่างนั้น " ฉันรับสร้อยคืนมาและจ้องมอง ในใจยังคงฉงน ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวฉันกำลังสงสัยอะไร แต่อีกนัยหนึ่งก็เพราะทุกอย่างมันน่าสงสัยไปเสียหมด จึงไม่รู้ว่าควรเริ่มสงสัยจากจุดใดก่อน

    " มันก็เป็นไปได้ที่ว่า --- มันจะเป็นพวกของมีอาคม แต่ว่า ถ้าเราใช้คาถาเปิดเผยกับมันไม่ได้ ก็แปลว่าอาคมที่ชุบมาคงไม่ธรรมดาเลย และถ้ามันเป็นอย่างนั้น ฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง " ฌองกล่าว

    ฉันพยักหน้ารับ มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะหากสร้อยเส้นนี้มีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่จริง ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากค้นคาความจริงนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอ หรือบางทีมันอาจเป็นแค่สิ่งไร้ค่าที่ทำให้ฉันเสียเวลาเปล่าก็ได้ ฉันส่งสร้อยให้กับฌองและเขารับมันไว้ด้วยสีหน้ามึนงงสงสัย ฉันรวบผมด้วยมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะหันหลังให้กับเขา ดังนั้นเขาจึงรู้หน้าที่โดยที่ฉันไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ

    ฌองขยับเข้ามาใกล้ๆ และเอื้อมมือผ่านไหล่ของฉันเพื่อคล้องสายสร้อย ในยามที่เขาขยับตัวฉันรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่ขยายออกมาจากเสื้อผ้า หรืออาจเป็นเนื้อหนังของเขาก็ได้ เพียงครู่เดียวเขาก็เกี่ยวตะขอสร้อยจนเสร็จ เมื่อฉันรู้สึกว่าเขาวางมือจากสร้อยคอแล้ว ฉันหันหลังกลับไปมองเขา และเขาไม่ได้ขยับถอยกลับไปแม้แต่น้อย

    ระยะห่างเป็นเรื่องพิศวง บางครั้งกับบางคนเรากลับรู้สึกอยากผลักใสในบางเวลา แต่กับบางคนถึงแม้ว่าจะอยู่ในระยะที่ใกล้จนดูน่าอึดอัด เรากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น

    " ความลับนะ " ฉันบอก

    ฌองก้มลงมองฉัน เขาไม่ปริปากใดๆ แค่จ้องมองที่ฉันเพียงเท่านั้น เมื่อเสียงลมหนาวโหยหวนอยู่ที่ใต้หุบเหว เขาพยักหน้ารับในคำสัญญาอย่างไร้วาจา

    ฌอง --- นี่เป็นสัญญาไร้วาจาครั้งแรก และฉันไม่รู้เลยว่าคนอย่างนายจะสามารถรักษาสัญญาได้หรือไม่ ฉันได้แต่คาดเดาและสงสัย ภายใต้ความเงียบงัน ดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นยามนี้มืดมิดเพราะไร้แสง ฉันได้แต่คาดเดาว่านายกำลังคิดอะไร และได้แต่คาดเดา ว่านายจะเป็นคนที่ไว้ใจได้หรือไม่

    ฌอง --- ฉันไม่ได้ไว้ใจนายเลย ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนๆ ถึงแม้ว่าฉันจะเปิดทางให้นายได้ก้าวเข้ามาถือความลับชิ้นเล็กๆ ของฉัน และนั่นไม่ใช่ความผิดของนายเพราะมันเป็นที่ตัวฉัน

    ฉันไม่เคยไว้ใจใครทั้งสิ้น --- 
     

    ไม่ --- แม้กระทั่งตัวเอง
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×