ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทฤษฎีพระจันทร์ยิ้ม และเรื่องสั้นอื่นๆ :)

    ลำดับตอนที่ #7 : VII : รักนิรันดร์ วันสุดท้าย

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 66


     

     



    VII
    รักนิรันดร์ วันสุดท้าย

     

     

     

    ผมสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง... ผมสงสัยว่าคนเราสามารถห้ามความรู้สึกของ

    ตัวเองได้ไหม ?


     

    เสียงฝนตกกระทบบนพื้นคอนกรีต ผมมองเห็นผืนฟ้าเป็นสีน้ำเงินขมุกขมัว รอบกายของผมเปียกชุ่มแต่ยังมีไอระอุอุ่น ๆ ลอยขึ้นจากพื้นคอนกรีต ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าฝนสามารถทำให้คนเราหนาวเย็นได้ถึงเพียงนี้ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าท้องฟ้าจะเป็นสีน้ำเงินได้ขนาดนี้


     

    ปึ้บ !

    มีใครบางคนกำลังลงจากรถ และเสียงน้ำบนพื้นถูกย่ำมุ่งตรงมาทางนี้มันไม่ทันแล้ว ผมรู้ดีในยามนี้ผมรู้สึกหนาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แบบนี้มันอาจจะดีแล้วก็ได้ เพราะถ้ามันจบตรงนี้

    พรุ่งนี้... ผมก็ไม่ต้องรักใครอีกต่อไปแล้ว

     

     

    “มึงจะรีบกลับปะวะ ?”

    ‘ไต้ฝุ่น’ เพื่อนสนิทของผมถามพลางรินเบียร์ใส่แก้วส่งให้ผม เรากำลังนั่งดื่มด้วยกันเหมือนทุกที

    “ยังอะ ยาว ๆ แหละ” ผมตอบ ผมกับฝุ่นเป็นเพื่อนเรียนเอกเดียวกันมานาน 3 ปี เราสองคนสนิทกันมาก และทุกสัปดาห์ผมมักจะมานั่งดื่ม หรือไม่ก็เล่นเกมที่คอนโดของมันอย่างนี้เสมอ 

    “วันนี้มึงหนักไปป่าว มีเรื่องอะไรเครียดวะ” ฝุ่นถามและผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ --- ถ้าหากผมมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ มันจะเป็นคนแรกที่รู้โดยที่ผมไม่ต้องบอก และทุกครั้งที่มันเอ่ยปากถาม ผมจะตอบตามความจริง เว้นเสียแต่ว่า... ผมมีความลับที่ยังไม่เคยบอก ไม่ว่าจะเมื่อไหร่

    “เรื่องใหญ่เหรอ หรือไอ้พวกนั้นมันมาวุ่นวายอีก”

    “ไม่มีอะไรหรอก ถ้ามีก็บอกไปแล้ว” ผมตอบก่อนจะซดเบียร์อึกใหญ่ ไอ้พวกนั้นที่ว่า มันคงไม่มาวุ่นวายกับผมให้เสียเวลา เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทั้งผมและฝุ่นไปมีเรื่องกับเด็กอาชีวะสถาบันใกล้ ๆ พวกมันเป็นอริกับคนอื่นเขาไปทั่ว รวมไปถึงพวกผม หรือเด็กคนอื่นจากสถาบันของผม มันเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ จะเพื่อศักดิ์ศรีหรือเพื่อชื่อเสียงอะไร ผมก็ไม่เคยเห็นว่ามันมีค่าเลยสักครั้ง สิ่งเดียวที่มีค่าพอให้ผมกล้าไปมีเรื่อง หรือเหวี่ยงหมัดชกหน้าคนอื่นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าข้าง ๆ กายผมมีคนที่จะปล่อยให้มันเจ็บอยู่คนเดียวไม่ได้ก็เท่านั้น

    นอกหน้าต่างฝนกำลังตกอย่างหนัก บางครั้งผมได้ยินเสียงเม็ดฝนสาดกระทบบานกระจกจนกลบเสียงรายการทีวีที่เปิดทิ้งไว้ ไฟในห้องสลัววูบไหวไปตามแสงของจอแก้ว เพราะเรามักจะปิดไฟทั้งห้องเพื่ออรรถรสในการดูหนังหรือเล่นเกมอยู่เสมอ เราจะนั่งที่พื้นห้องเองหลังพิงขอบเตียงและหันหน้าเข้าหาทีวี เป็นอย่างนี้แทบทุกครั้ง

    “เอาเถอะ ไม่บอกก็ไม่บอก” มันว่าพลางเอนหลังพิงขอบเตียง

    “ทีมึงยังไม่บอกกูเลย” ผมพูด

    “เรื่องไรวะ ?”

    “เด็กบัญชีอะ” ผมพูดก็พลางนึกถึงใบหน้านักศึกษาสาวบัญชีที่พักนี้เข้ามาพัวพันอยู่กับไต้ฝุ่นบ่อย ๆ เธอเป็นสาวหน้าตาดี ยิ้มเก่ง ร่าเริง เป็นผู้หญิงที่ผมคิดว่าเหมาะสมกับมันมาก นั่นทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ

    “ก็บอกได้แหละ แค่เห็นว่ามึงไม่ได้ถามไง”

    ใช่ ผมไม่ได้ถาม --- ไม่อยากจะถามด้วย และถ้าจะต้องมานั่งฟังว่าทั้งสองคนรู้จักกันได้อย่างไร เจอกันที่ไหน หรือชอบกันเพราะอะไร แบบนั้นผมคงกระอักเอาเบียร์ที่ซดเข้าไปออกมาจนหมดกระเพาะแน่ ๆ ผมรู้ว่ามันแปลกที่จะรู้สึกอย่างนี้ และผมสงสัยว่าคนเราสามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้ไหม ?

    “กูคบกับเขามาสักพักแล้ว”

    กะแล้วเชียว ก็ผู้หญิงน่ารักขนาดนั้น --- มันก็ตลกดีที่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งซึ่งไม่เคยใช้ร่างกายตัวเองปกป้องใครได้เลย แต่กลับได้รับความรักความใส่ใจอย่างท่วมท้น แต่กับไอ้คนที่เจ็บแทบตายก็ยังเป็นแค่คนที่เจ็บแทบตายเท่านั้น

    “แล้วพรุ่งนี้กูจะไปดูหนังกับเขาด้วย มึงจะกลับกี่โมงล่ะ ถ้ามึงจะนอนนี่กูจะทิ้งกุญแจไว้ให้”

    “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูก็กลับแล้ว” ผมตอบ ในคอรู้สึกปวด หน้ามืดไปหมด มันอาจเป็นอาการเมาหรืออะไรสักอย่าง แต่ผมรู้สึกเจ็บแบบอธิบายไม่ได้ ผมคลำมือไปบนพื้นห้องเพื่อควานหาข้าวของเก็บใส่กระเป๋า

    “เห้ย ๆ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ ฝนยังตกอยู่เลย” มันบอก มือข้างหนึ่งจับแขนผมไว้

    “ไม่เป็นไร กูกลับได้” ให้ตกแรงแค่ไหนก็กลับได้ ต่อให้พายุเข้าหรือสึนามิซัดเข้ามากลางกรุง ผมก็กลับได้ ขอแค่ได้ออกไปจากที่นี่ก็พอ ผมไม่อยากฟังเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น --- เธอเป็นคนสวย ผมไม่ชอบเลย เธอเป็นคนน่ารัก นั่นยิ่งทำให้ผมเจ็บปวด

    “มึง --- เดี๋ยวค่อยไป มึงเมามากแล้วเนี่ย”แขนของผมถูกรั้งไว้แน่น ผมหันกลับไปมองก็เห็นมันกำลังจ้องผมด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นผมเงียบ เราต่างก็เงียบ จ้องมองกันอยู่นานเป็นนาที มันค่อนข้างน่าอึดอัด เหมือนมีบางอยากติดอยู่ที่คอ เป็นก้อนความรู้สึกที่อยากจะพูดออกไปให้หมดเปลือก พูดเพื่อให้มันปล่อยมือจากผม

    “มีอะไรก็บอกกูได้นะ”

    ไอ้มีมันก็มีแหละ --- แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนก่อน อย่างเช่นว่า ‘ฝุ่น กูว่ามึงอย่าไปกับเขาเลยว่ะ’ หรือไม่ก็ ‘พรุ่งนี้มึงไปธุระกับกูหน่อยดิ เลื่อนนัดมึงไปก่อนได้ไหม’ หรือซื่อตรงกว่านั้นอย่างเช่น ‘กูชอบมึงว่ะ’

    “มึงชอบน้องบัญชีมากปะ ?”  ผมถาม

    “เขาชื่อฟาง”

    “มึงชอบฟางมากปะ ?”

    “ก็ชอบ... มึงมีอะไรเหรอ”

    “งั้นมึงปล่อยกู”

    ผมรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถาม --- ไต้ฝุ่นมองหน้าผม และผมรู้ว่ามันไม่เข้าใจ แน่อยู่แล้วเพราะมันไม่เคยเข้าใจอะไรสักอย่างมันคลายมือออกจากผมและยังคงจ้องหน้าเหมือนกำลังรอให้ผมพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไปแล้ว ผมก้มลงเก็บของใส่กระเป๋าดันแก้วเบียร์วางไว้ข้างเตียงและยันตัวลุกขึ้น ผมไม่สนถึงแม้ว่าฝนจะตกช่างมัน

    “เดี๋ยวดิ ! มึงเมาแล้วฝนก็ตกหนักขนาดนี้ มึงจะกลับยังไง ?”

    “กูกลับได้”

    “มึงเป็นอะไรเนี่ย ?”

    คำถามเดิม สีหน้าเดิม --- แขนของผมถูกจับแน่นเหมือนเดิม เราเผชิญหน้ากันในห้องที่มืดสลัว ทีวีส่องแสงเป็นสีน้ำเงินสลับส้มวูบวาบสาดให้เห็นใบหน้าฉงนปนความเครียดเล็ก ๆ แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ผมไม่อยากจะตอบ

    “บอกกูมาเหอะ ยิ่งมึงทำงี้กูยิ่งหงุดหงิดนะ” พูดยังไม่ทันจบมันก็เหวี่ยงแขนของผมออกจากมือ --- ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นใบเสร็จเซเว่นที่ถูกขยำจนป่นปี้ แล้วโดนเขวี้ยงลงถังขยะโดยที่ไม่เคยถูกอ่านเลยสักครั้ง ถังขยะตรงหน้าเซเว่นนั่นแหละ... เพราะใบเสร็จอย่างผมมีเวลาลอยหน้าอยู่บนโลกนี้ได้ไม่นานนักหรอก

    “....”

    “เออ มึงจะไปก็ไปเลย” น้ำเสียงที่ผมได้ยิน... เหมือนคนหมดความอดทน ผมรู้สึกเหมือนโดนไล่ด้วยคำหยาบคาย ทั้งที่มันก็ไม่ได้หยาบคาย แต่ทำไมรู้สึกเจ็บ ?


     

    เมื่อตอนปีหนึ่งผมนั่งหน้าโง่อยู่ที่โรงอาหารของวิทยาลัย แล้วจู่ๆ ก็มีผู้ชายหน้าตาโง่ ๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับสมุดในมือ สมุดล่ารายชื่อเพื่อนสาขา ผู้ชายหน้าโง่คนนั้นถามผมว่า ชื่ออะไร เรียนเอกอะไร และเมื่อผมตอบ มันก็ทำหน้าโง่ ๆ ใส่เหมือนไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราเรียนเอกเดียวกันทั้งที่เราก็เคยเจอกันตอนอยู่หอประชุมมาตั้งหลายครั้งแล้ว ปีต่อมาเรากลายเป็นเพื่อนสนิท ผู้ชายโง่ ๆ คนนั้นลอกการบ้านผมแทบทุกวัน ในทุกครั้งที่เรามีเรื่อง ผมไม่เคยเลยที่จะวิ่งหนีหรือทิ้งมันเอาไว้ และถ้าหากว่าผมจะต้องเจ็บ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ยิ้มได้ในตอนที่ถูกรุมยำจนเละก็คงหนีไม่พ้นที่ข้างตัวผมจะต้องมีมันนอนแอ้งแม้งอยู่ด้วยกันเสมอ

    พวกเราไม่เคยเจ็บแทนกัน...เรามีแต่เจ็บไปด้วยกัน...

    ปีต่อมาเรายิ่งสนิทกันมากขึ้น --- ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราสนิทกันขนาดนี้ เวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน และผมอยากจะย้อนมันกลับไป กลับไปให้ไกลที่สุด วันนั้นผมจะไม่นั่งอยูที่โรงอาหาร และผู้ชายหน้าโง่คนนั้นจะไม่เข้ามาคุยกับผม ผมจะไม่ให้มันลอกการบ้าน และทิ้งให้มันโดนกระทืบอยู่คนเดียว แล้วเราก็จะไม่สนิทกันขนาดนี้ คืนนี้ผมจะไม่อยู่ที่นี่

    คอเสื้อของผมถูกขยำ ความเจ็บแปลบเล็ก ๆ สะกิดผ่านผิวหนังอีกครู่หนึ่งผมถูกผลักออกจากริมฝีปากอบอุ่นที่เคล้าไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ ผมมัวเมา และร้องขออยู่ในความเงียบงัน ขอให้ยืดเวลานี้ออกไปอีกนิด พระเจ้าอย่าเพิ่งแยกเราออกจากกัน... อีกแค่นิดเดียวก็ยังดี เพื่อนของผมจ้องหน้าเขม็ง มันคงจะตกใจมาก ผมเองก็ตกใจที่ตัวเองทำอย่างนั้น --- ในขณะที่หัวของผมว่างเปล่ามันก็สาดหมัดใส่ผมอย่างจัง ถึงผมจะเห็นแล้ว ผมเคยโดยต่อยมาเป็นร้อยครั้งในชีวิต... แต่ไม่มีเหตุผลที่จะหลบเลยเพราะผมสมควรโดน

    “มึงเป็นเหี้ยไรวะ !?”

    ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าผมเป็นเหี้ยอะไร..

    ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จริง ๆ นะ ผมไม่อยากรู้จักผู้ชายคนนี้เลยถ้าไม่รู้จักกันวันนี้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ หรือบางทีมันอาจผิดที่ผมเอง ผมคิดอีกแล้วว่าคนเราสามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้หรือเปล่า ?

    “ขอโทษ กูแค่เมาเฉย ๆ” ผมตอบ

    “มึงออกไปเลยไป”

    จากนั้นผมก้มลงเก็บกระเป๋าที่ตกบนพื้น --- หันหลังเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับไปมอง ‘ออกไปเลยไป’ ไม่รู้ว่าประโยค หรือว่าน้ำเสียงที่มันใช้ อะไรทำให้เจ็บปวดได้มากกว่ากัน ...

     

    ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนน ทั้งเมา ทั้งเจ็บที่หน้าถูกต่อย ฝนก็ตกจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ตลอดเวลาที่ก้าวเดินผมก็ยังคงสงสัยว่าคนเราสามารถห้ามความรู้สึกตัวเองได้จริงเหรอ เพราะถ้าผมทำได้มันก็คงดี... 

    ผมยังนึกไม่ออกว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าผมกลับไปถึงบ้านแล้วนอนหลับ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วผมจะรู้สึกแบบไหน ผมคงหายเมาและอาจแฮงค์นิดหน่อย แต่ความรู้สึกหลังจากนั้นล่ะ ? เพื่อนของผมจะว่ายังไงบ้าง เราจะคุยกันเหมือนเดิมไหม ถ้าเจอกันที่มหาลัยมันจะขอผมลอกการบ้านเหมือนเดิมหรือเปล่า ตอนพักเที่ยงเราจะไปกินข้าวด้วยกันหรือเราจะยิ้มให้กันเหมือนเดิมได้ไหม ?

    “เฮ่ย ! มึงอ่ะ --- เรียนที่ไหนวะ ?” เสียงคนไม่คุ้นหูดังทักทาย เมื่อหันมองไปก็เห็นเด็กอาชีวะยืนอยู่หลายคน ผมไม่รู้ว่าพวกนี้เดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเพราะฝนตกหนักจนไม่ได้ยิน หรือไม่ก็เพราะผมมัวแต่เดินคิดเรื่องไม่เข้าท่า

    “วิศวะ --- ตรงโน้นไง” ผมตอบพลางชี้ไปทางมหาลัยที่ไม่ใช่สถาบันของผม --- พวกมันเป็นอริไม่ผิดแน่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเด็กสถาบันผมไปมีเรื่องกับคนพวกนี้เอาไว้ และผมเองก็อยู่ในเหตุการณ์ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีใครสักคนในพวกมันจำหน้าผมได้

    “ไหนเอาเข็มกลัดมาดูหน่อย” พวกมันคนหนึ่งพูด

    “ไม่ได้พกมา --- ชุดนักศึกษายังไม่ใส่เลยเนี่ย”

    “โกหกเปล่าสัตว์ ?” ผมกำลังเข้าตาจนแล้ว --- พวกมันเดินเบียดเข้ามา และผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ผมกำลังเมามาก ถ้าหากวิ่งหนีก็คงไม่พ้น ผมตัวคนเดียวให้สู้ทั้งหมดนี่คงไม่ไหว ถ้าปล่อยให้ตัวเองโดนรุมกระทืบก็อาจจะสาหัสปางตาย

    “จะโกหกทำไม เพิ่งไปกินเหล้ากับเพื่อนมา เลยไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษา”

    “แล้วไหนอะเพื่อนมึง ?” คนหนึ่งพูด แล้วตรงเข้ามาผลักที่ไหล่ของผม พวกที่เหลือก็ขยับเข้าประชิดตัว ผมรู้สึกว่ามีคนหนึ่งต้อนผมจากด้านหลัง และอีกคนหนึ่งยืนประชิดทางด้านขวา คนข้างหน้าที่กำลังเดินเข้ามาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเหมือนซุกอะไรบางอย่างเอาไว้ในนั้น --- ผมรู้สึกร้อนวูบ หัวใจเต้นระทึกอย่างที่ไม่เคยเป็น...  ผมไม่สามารถละสายตาออกไปจากมือที่ซุกในกระเป๋านั้นได้เลย

    “พอไม่มีเพื่อนแล้วหายเก่งเลยเนอะ” ผมได้ยินเสียงพูด แต่ไม่ได้มองหน้ามัน --- แสงสีเงินวาววับให้เห็นได้ในความมืดสลัว ของมีคมเผยออกจากกระเป๋ากางเกง จากนั้นผมได้ยินเสียงในจิตใต้สำนึกของตัวเอง เสียงร่างกายของผมถูกแทงด้วยวัตถุมีคมที่ผมเองก็มองเห็นไม่ชัด ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังล็อคตัวผมเอาไว้ ผมไม่สามารถหนีไปไหนได้

    “ฝากไปให้เพื่อนมึงด้วยนะ” เสียงนั้นดังอยู่ข้างหู และวัตถุที่เสียบตัวผมก็ถูกดึงออกไป ผมไม่รู้ว่าถูกแทงกี่ครั้ง แต่เมื่อมันหนำใจคนที่ล็อคจากด้านหลังปล่อยตัวผมทิ้งลงพื้น มันเจ็บเหมือนตอนที่ถูกต่อยท้องอย่างแรง แต่คราวนี้มันเจ็บปวดกว่านั้นหลายเท่า....


     

    พวกมันจากไปแล้ว

    และฝนยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย ผมถูกทิ้งเอาไว้บนถนนที่มืดมิด ไร้ผู้คน --- ความเจ็บปวดก็เป็นความรู้สึกเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นคนเราคงห้ามไม่ให้ตัวเองรู้สึกไม่ได้หรอก เพราะถ้าทำได้ผมคงห้ามไม่ให้ตัวเองรู้สึกเจ็บในตอนนี้ --- ผมขยับตัวไม่ได้ แต่เลือดกำลังไหลออกจากร่างกายไม่หยุดถึงจะมองไม่เห็นเพราะขยับไปไหนไม่ได้แต่ก็รู้สึกอุ่นที่ปากแผล ไหลอาบลงไปที่เอว สีข้าง และทั่วแผ่นหลัง ผมกำลังจะเสียเลือดจนตายในไม่ช้านี้

    จะว่าไปแล้ว ถ้าหากผมไม่ตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้...มันจะเป็นยังไง ?

     

    มันก็จริงที่เราไม่เคยเจ็บแทนกันเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้เราก็ไม่ได้เจ็บไปด้วยกัน มีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่นอนอาบเลือดอยู่บนพื้นเพียงลำพัง...

    ผมหลับตาลงนอนนิ่ง ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บมากไปกว่านี้ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที ฝนก็ช่วยชะน้ำตาให้ --- การร้องไห้อาจไม่ใช่เรื่องดีนักเพราะบนโลกเทา ๆ ใบนี้ไม่มีพื้นที่ให้กับน้ำตามากเท่าไหร่ แต่ถ้าผมจะร้องไห้ก่อนตายสักครั้ง มันก็คงไม่น่าสมเพชเกินไปใช่ไหม ? อย่างน้อยก็ไม่มีใครเห็นน้ำตาของผม

    พวกมันบอกว่า ‘ฝากไปให้เพื่อนมึงด้วย’ แต่ของแบบนี้ใครมันจะอยากได้ แล้วผมจะกล้าแบกบาดแผลนี้ไปฝากเพื่อนได้ยังไง ท้ายที่สุดแล้ววิธีการเจ็บแทนกันก็คงเข้าท่า เพราะเราสามารถเจ็บแทนคนที่เรารักได้อยู่แล้วจริงไหม ?

     

    มันอาจเป็นคำสาปก็ได้

    ......

     

     

    ผมมองเห็นผืนฟ้าเป็นสีน้ำเงินขมุกขมัว รอบกายของผมเปียกชุ่มแต่ยังมีไอระอุอุ่น ๆ ลอยขึ้นจากพื้นคอนกรีต... ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าฝนสามารถทำให้คนเราหนาวเย็นได้ถึงเพียงนี้ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าท้องฟ้าจะเป็นสีน้ำเงินได้ขนาดนี้...


     

    ปึ้บ !

    มีใครบางคนกำลังลงจากรถ และเสียงน้ำบนพื้นถูกย่ำมุ่งตรงมาทางนี้ มันไม่ทันแล้วผมรู้ดี ผมรู้สึกหนาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่แบบนี้มันอาจจะดีแล้วก็ได้... เพราะถ้ามันจบตรงนี้

    พรุ่งนี้... ผมก็ไม่ต้องรักใครอีกต่อไปแล้ว


     

     


    แด่่
    ผู้เสียสละที่ไม่เคยเข้าใจในความรัก เพื่อความรัก
    - แ ม ว จ ร

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×