คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : V : Time fly
V
Time Fly
ผมเหยียดแขนจนสุดตัว เมื่อพลิกตัวก็เห็นว่านาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงบอกเวลาเช้าตรู่ ผมหันมองข้างตัว ที่นอนว่างเปล่า เธอไม่ได้นอนอยู่ข้างผมแล้ว เมื่อเลื่อนมือสัมผัสตรงพื้นที่ว่างข้างกาย มันไม่ได้อบอุ่นและบ่งบอกได้ว่าเธอลุกออกจากเตียงนานแล้ว ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ของผม พลางนอนสัมผัสปลายนิ้วลงบนจออย่างเกียจคร้าน บางครั้งผมต้องหรี่ตาลงจากแสงแดดที่ลอดทะลุม่านขาวบางตา
หน้าต่างห้องถูกแง้มอ้า ลมเย็นโชยกระทบม่านเข้ามาระคนกลิ่นสนและดินชื้น เมื่อเธอตื่นเธอมักจะแง้มบานหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทอยู่เสมอ
“ที่รัก ตื่นได้แล้ว” เสียงเธอเรียก ผมอมยิ้มเล็ก ๆ เสียงของเธอไพเราะชวนฟัง ทุกครั้งที่ได้ยินผมมักจะอมยิ้ม แต่ก็มีบางครั้งที่ผมไม่ชอบเสียงของเธอ อย่างเช่นเวลาที่เธอร้องไห้ เวลาเธอโกรธ หรือเวลาที่เธอบ่นอะไรยาว ๆ
“วันนี้อยากกินอะไรดี ? แซนวิชได้ไหมผมขี้เกียจจัง” ผมพูดพลางซุกหน้าลงกับหมอนด้วยความคร้าน เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่นั่นแปลว่าเธอโอเคกับแซนวิช เธอไม่ค่อยเลือกกินยิ่งถ้าเป็นของที่ผมทำเองแล้ว เธอจะกินมันจนหมดเกลี้ยงเสมอ เว้นแต่ว่าระยะหลังมานี้เธอไม่ค่อยแตะอาหารของผม เธอกำลังป่วยและเริ่มมีอาการเบื่ออาหาร ปกติแล้วเธอจะกินโดยไม่บ่น ถึงแม้บางครั้งผมจะมั่นใจว่ามันไม่อร่อยเลยก็ตาม เราสองคนมักจะผลัดกันทำอาหาร แต่เพราะช่วงนี้เธอป่วย ผมจึงต้องเป็นคนทำแทนเธอ
“ผมขอไปห้องน้ำก่อนนะที่รัก เดี๋ยวจะรีบลงไปทำอาหารเช้าให้” ในขณะที่พูดพลางหาวหวอด ผมก็ดันตัวลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ หลังจากที่ทำกิจวัตรยามเช้าของผมเสร็จ ก็ได้เวลาทำอาหารเช้าเสียที ในห้องครัวเงียบเหงาเหลือเกิน บางครั้งผมได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังแว่วเข้ามาในบ้าน ผมยังคงถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือ ในขณะเดินลงบันไดก็อ่านข่าวของเช้าวันนี้ในหน้าโซเชียลไปพลาง ในแถบห่างไกลความเจริญเช่นนี้โชคยังดีที่อินเทอร์เน็ตมาถึง เราไม่ได้มีกิจกรรมหวือหวาเหมือนคนกรุง ดังนั้นบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวผมเองออกจะติดโทรศัพท์เกินไปหน่อย
“เอ็ด วันนี้อากาศดีนะคะ ฉันอยากพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นจัง” เธอบอก ผมชะโงกหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่างห้องครัว ท้องฟ้าครึ้มเล็กน้อย ถึงแม้ว่าฝนจะยังไม่ตกแต่แดดก็ไม่แรงพอที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่น ผมละสายตาออกจากบานหน้าต่างพลางส่ายหน้า
“ผมว่าอีกสักเดี๋ยวฝนตกแน่ ๆ คุณอย่าออกไปเลย ยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ เดี๋ยวผมจะพามันไปเอง” ไรลีย์เป็นสุนัขพันธ์ลาบราดอร์ สีครีมค่อนไปทางน้ำตาลอ่อน มันอายุมากแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่ถ้าสังเกตุดี ๆ จะเห็นว่าขนที่หน้าของมันเริ่มหงอก มันอยู่กับผมและเอเลน่ามานานหลายปี เอเลน่าเธอรักมันมาก ผมเองก็รักมันมากเหมือนกัน ผมเดินผ่านหน้าไรลีย์ไปยังเคาน์เตอร์ครัว มันนอนกระดิกหางฟาดพื้นดังปั้บ ๆ อยู่ตรงบันได
“รอเดี๋ยวนะไรลีย์ ขอกินมื้อเช้าก่อนเพื่อนยาก” ผมบอกมัน ในขณะที่ลงมือทำแซนวิช ก็พลางคิดเรื่องของเอเลน่าไปด้วย พักนี้เธอพูดน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก เราไม่ได้ทะเลาะกันหรืออะไรอย่างนั้น เราเพียงแค่คุยกันน้อยลง อันที่จริงเราไม่ทะเลาะกันเลยมาเป็นเวลานานมากแล้ว นานเท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้ ขณะที่ใช้มีดตัดขอบขนมปังก็เห็นเวลาที่อยู่บนนาฬิกาข้อมือบอกว่าเริ่มจะสายแล้ว ผมจึงต้องเร่งมือ สายของวันนี้ผมมีนัดกับคุณหมอปีเตอร์ และก่อนที่คุณหมอจะมาผมต้องพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นเสียก่อน ข้างนอกฟ้าหม่นเล็กน้อย ถ้าหากต้องฝากให้เอเลน่าเป็นคนพาไปคงจะไม่ดี
อันที่จริงผมก็ป่วยอยู่ เป็นโรคที่แปลกประหลาด และพยายามรักษามาเป็นเวลานานแล้วก็ยังไม่หาย เอเลน่า ก็ป่วยเช่นกัน แต่เราป่วยกันคนละโรค เราสองคนเป็นเหมือนคู่สามีภรรยาขี้โรคอย่างไรอย่างนั้น
“ที่รัก วันนี้หมอปีเตอร์จะมานะ กินมื้อเช้าเสร็จผมคงต้องพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นเลย” ผมบอก หลังจากนั้นผมเหน็บโทรศัพท์ไว้ที่ใต้คางพลางโน้มตัวลงหยิบจานแซนวิชสองจานถือไปยังโต๊ะอาหารเมื่อก้มลงวางจานแล้ว ผมจึงหยิบโทรศัพท์วางเอาไว้บนโต๊ะ ลั่นเสียงเก้าอี้ถูกลากในขณะเดียวกันผมหย่อนตัวลงนั่ง ผมรีบลงมือกินมื้อเช้าในทันที แทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเอเลน่าเลยด้วยซ้ำ
เธอนั่งเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา เราเป็นแบบนี้มาพักใหญ่ ๆ แล้ว เธอมักจะนั่งกินเงียบ ๆ อยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม แต่ก็มีบางครั้งที่เธอร้องเพลงขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบรอบตัวเรา ในขณะที่กลืนแซนวิชลงคอผมได้ยินเสียงกริ่งแว่วเข้ามา
“ให้ตายสิ” เมื่อเอนตัวมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นหมอปีเตอร์กำลังยืนกดกริ่งอยู่ ผมยกข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง วันนี้หมอปีเตอร์มาก่อนเวลา
“ผมนัดไว้สายกว่านี้นี่ เดี๋ยวผมเปิดเองที่รัก” ผมบอกพลางรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไรลีย์เงยหน้าขึ้นมองตามผมหางของมันสะบัดอย่างแรงจนก้นส่าย มันอาจคิดว่าผมจะพามันไปเดินเล่นแล้ว
“ยังก่อนไรลีย์ เอเลน่าดูไรลีย์ด้วยนะ” ผมบอกเธอก่อนจะเดินออกจากบ้านไปยังประตูรั้ว ชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อโค้ทหนาเตอะสีเข้มและดูโบราณกว่ายุคสมัยปัจจุบัน ราวกับเป็นตาลุงแก่หลุดออกมาจากอดีตกำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่นอกรั้วบ้าน
“โอ้ เอ็ด ! ขอโทษทีที่มาเสียไว ผมมีปัญหากับโรเบิร์ตนิดหน่อยหน่ะ คุณรู้ใช่ไหม” คุณหมอปีเตอร์พูดทันทีที่ผมเปิดประตูรั้วให้กับเขา เขาถอดหมวกปีกกว้างออกเหน็บเอาไว้ใต้วงแขน ผมขาวของเขาเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ที่เรารู้จักกัน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะดูแก่ได้ถึงเพียงนี้
“เรากำลังกินมื้อเช้ากันอยู่เลย เชิญเข้ามาก่อนสิครับ” ผมบอก ปีเตอร์เดินนำเข้าบ้าน เขามักเป็นกันเองกับผมเสมอ ๆ อาจเพราะเรารู้จักกันมานาน และปีเตอร์ก็เป็นหมอประจำตัวของผม บางครั้งผมเกือบคิดว่าเขาเป็นเหมือนกับผู้ปกครอง
“โอ้! ไรลีย์ ว่ายังไงเจ้าหมาแก่” ปีเตอร์ร้องทักเมื่อเดินเข้าบ้าน ไรลีย์ลุกขึ้นจากพื้นตรงบันไดพลางเดินมาซุกหัวเข้ากับฝ่ามือของปีเตอร์ ผมคิดว่ามันก็คงจะชอบปีเตอร์อยู่ไม่น้อย
ปีเตอร์เป็นคนดี เขาอารมณ์ดีเป็นชายแก่ยิ้มง่าย และดูเป็นคนฉลาดทีเดียว หลังจากทักทายไรลีย์แล้ว ปีเตอร์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ บนโต๊ะยังมีแซนวิชของเอเลน่าอยู่ เธอคงจะยังไม่ทันได้กินมัน ผมเดาว่าเอเลน่าอาจไม่ชอบปีเตอร์สักเท่าไหร่
“แซนวิชเหรอ ? ดีนี่” ปีเตอร์บอกพร้อมฉีกยิ้มกว้าง แก้มย้วย ๆ ของเขาแดงก่ำจากอากาศหนาวเหน็บ มองดูแล้วราวกับเขาเป็นซานตาครอส ติดตรงที่เขาไม่ได้สวมชุดสีแดงเท่านั้น
“คุณจะกินมันก็ได้นะครับ ถ้าไม่รังเกียจ”
“อ้อ ของเอเลน่ารึ ?”
“ครับ” ผมตอบและนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม ปีเตอร์หยิบแซนวิชของเอเลน่าไปกินพลางอมยิ้ม เขาดูเหมือนจะชอบแซนวิชฝีมือผมมาก หลายครั้งที่เขามานั่งกินกับผม และคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กันสัพเพเหระรวมไปถึงเรื่องเอเลน่า และอาการป่วยของผม
“แล้วเอเลน่าไปไหนเสีย ?” ปีเตอร์ถาม เขาจ้องมองผมพร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ
“ไม่รู้สิครับ ก่อนคุณมาเธอยังนั่งอยู่”
“งั้นเองรึ ?” เขากล่าว
“คุณยังติดโทรศัพท์ไม่เลิกอีกนะ เอ็ด” ปีเตอร์ว่า เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางหรี่ตามองยังโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้แขนของผม
“ไม่ขนาดนั้นหรอก”
“แล้วดูอะไรอยู่ล่ะ คลิปนี่ ใช่ไหม ?” ปีเตอร์ถาม ผมกดปิดหน้าจอในทันที ปีเตอร์มักสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผมเสมอ โดยเฉพาะเรื่องโทรศัพท์ ซึ่งผมคิดว่ามันค่อนข้างน่ารำคาญ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหมอประจำตัวของผมก็ตาม แต่บางครั้งผมก็หงุดหงิดเวลาที่เขาพยายามแทรกตัวเข้ามาในความคิด และความเป็นส่วนตัว
“ให้ผมดูหน่อยสิ เอ็ด” ผมนิ่งอยู่นานหลังได้ยิน เมื่อปีเตอร์เอาแต่จ้องผมไม่หยุด ผมจึงเลื่อนโทรศัพท์ไปยังเขาราวกับว่าถูกเขาสะกดจิต นี่เป็นครั้งที่พันหมื่นแสนแล้วกระมังที่เขาทำแบบนี้
“โอ้ จริงด้วย” เขากล่าวขณะมองยังหน้าจอโทรศัพท์
“เอ็ด คุณรู้ไหม แม้เป็นความเชื่อจนสุดหัวใจ ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้” ปีเตอร์บอกพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่นอีกครั้ง เขาถือโทรศัพท์ของผมเอาไว้ และผมรู้ดีว่าเรากำลังเข้าสู่การรักษาโรค เขาเรียกมันว่าอย่างนั้น แต่สำหรับผม ผมเรียกมันว่า ‘การพราก’
“ที่รัก ตื่นได้แล้ว, เอ็ด วันนี้อากาศดีนะคะ ฉันอยากพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นจัง” เสียงวีดิโอดังมาจากโทรศัพท์ในมืออวบอ้วนของปีเตอร์ ผมมองเห็นเธออยู่ในแววตาของเขา ภาพของเธอจากจอโทรศัพท์สะท้อนขึ้นบนดวงตาชราของปีเตอร์ หากแม้เป็นเพียงภาพเล็ก ๆ ทว่าถ้าหากเป็นเธอผมก็จะมองเห็นได้ ผมมองเห็นเธอเสมอ
“นานเท่าไหร่แล้วนะ เอ็ด ?” ปีเตอร์ถาม
ค ว า ม จ ริ ง
เมื่อผมลืมตาขึ้นวันหนึ่งเธอก็จากไปด้วยโรคร้าย เราสองคนต่อสู้ร่วมกันมานานแสนนาน หมอบอกกับผมว่าเธออาจอยู่ได้อีกไม่นานนัก บอกให้ผมทำใจเสียแต่เนิ่น ๆ ถึงแม้ว่าเธอยังยิ้มได้แต่ผมก็รับรู้ว่าเธอกำลังเจ็บปวด ผมไม่ได้จำว่าเมื่อไหร่ที่เธอหายไป แต่ในวันหนึ่งที่ผมร้องไห้และคิดถึงเธอ เธอเดินกลับมาพร้อมกับเสียงร้องเพลงอันไพเราะ เธอปลุกให้ผมตื่นในตอนเช้า และบอกผมว่าอยากพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่น เธอกลับมาจากการไม่มีตัวตน
เธอมีตัวตน
‘แม้เป็นความเชื่อจนสุดหัวใจก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้’ ปีเตอร์บอก เขาพยายามทำให้ผมตระหนักถึงการจากไปของเอเลน่าพยายามทำให้ผมยอมรับความจริง ความเป็นจริงที่ว่าเธอไม่ได้มีตัวตนอีกต่อไป ในทุกครั้งที่ปีเตอร์มาหาผมเพื่อทำการบำบัดรักษาอาการทางจิตของผม เขาจะพกเอาความจริงมาด้วย และเขาจะใช้ความจริงนั้นเพื่อพรากเธอไป ผมเจ็บปวดและเหนื่อยล้าเหลือเกิน ความตายได้พรากเธอไปจากผมแล้ว และความจริงก็กำลังพยายามจะพรากเธอไปอีกครั้ง
“หยุดเถอะ” ผมบอก
“คุณไม่อยากหายหรือ เอ็ด ?”
“หายจากอะไร ?”
“จากการป่วยยังไงเอ็ด คุณควรรับรู้ได้แล้วเธอจากคุณไปนานแล้ว” ผมเงียบหลังจากได้ฟัง เสียงกระดิ่งลมแว่วผ่านบานหน้าต่างเข้ามา กลิ่นชื้นหญ้าและสาบสนปนหนาวช่างเย็นชา จนทำให้รู้สึกแสบจมูก ความเงียบกดดันกัดกร่อนลึกเข้าไปในจิตใจ จนกระทั่งเอเลน่าเริ่มร้องเพลง เสียงของเธอไพเราะแผ่วออกมาจากโทรศัพท์ ผมเงยหน้าขึ้นมอง พลันสายตาก็เห็นเธอยืนยิ้มด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานอยู่ข้างหลังปีเตอร์ สำหรับผมแล้วเธอยังคงอยู่ตรงนี้เสมอ มีเพียงแค่ปีเตอร์เท่านั้นที่ไม่ยอมรับความจริง
“เธออยู่กับผม ที่นี่ ตอนนี้”
“เอ็ด...เธอไม่ได้อยู่กับคุณหรอก คุณต่างหากที่ผูกติดอยู่กับเธอ” ปีเตอร์พูดพลางถอนใจ แววตาที่เขามองผมสะท้อนให้เห็นว่าเขารู้สึกเวทนาผมมากเพียงใด รอยยิ้มของเอเลน่าจางหายไปพร้อม ๆ กับร่างกายของเธอ เมื่อปีเตอร์เข้ามาเธอจะหายไปจากโลก ราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่จริง เธอจะหายไปเมื่อปีเตอร์บอกความจริงอันไม่น่าพิสมัยนั้นแก่ผมเธอหายไปเมื่อภาพแห่งความจริงเหล่านั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
“เวลากำลังโบยบินไปแล้ว เอ็ด คุณจะติดอยู่ตรงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กัน
คุณเป็นผู้ชายที่ดีและมีผู้หญิงอีกมากที่ต้องการคนอย่างคุณ” ปีเตอร์กล่าว
เ ว ล า ก ำ ลั ง โ บ ย บิ น
ผมจำไม่ได้เลยว่านานเท่าไหร่ เข็มบนนาฬิกาเดินวนไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อน ในขณะที่โลกหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป แต่คล้ายว่าผมยังคงอยู่ที่เดิม
‘จะติดอยู่ตรงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ?’ ปีเตอร์ถาม
“ผมจะอยู่ตรงนี้ ตลอดไป จนกว่าโลกใบนี้จะแตกสลาย” ผมตอบ ปีเตอร์จ้องมองผม แววตาของเขาเศร้าสลดกว่าในตอนแรก ผมอาจน่าสมเพชมากเสียจนเขาอดกลั้นแววตาเวทนาไม่ไหว ปีเตอร์วางโทรศัพท์ของผมลงบนโต๊ะพลางเลื่อนมันส่งคืนให้กับผม หน้าจอส่องแสงจ้าเผยรูปเอเลน่ากำลังยิ้มด้วยแววตาหวานฉ่ำ ผิวของเธอผ่องรับแสงแดดในฤดูร้อน
“โลกไม่แตกหรอกเอ็ด อย่างน้อยก็ในชั่วชีวิตของคุณ” ปีเตอร์กล่าวด้วยเสียงที่อ่อนนุ่ม รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่นของชายแก่ใจดี
“วันนี้ผมคงจะกลับก่อน อย่างไรก็ฝากสวัสดีเอเลน่าสักหน่อยถ้าหากว่าคุณพบเธอจริง ๆ นะ” เขาบอกพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ผมมองและลุกตามเพื่อจะไปส่งเขาที่ประตู ระหว่างที่เขาลุกเดิน ไรลีย์ก็กระดิกหางเร่า ๆ มันดูจะดีใจที่นาน ๆ ทีมีคนมาเยี่ยมเยียนเราที่บ้าน นอกจากปีเตอร์แล้วก็แทบไม่มีใครเข้ามาใกล้บริเวณบ้านของเรา พวกเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมองว่าเราแปลก บ้างก็ว่าเราเป็นคนบ้าสติไม่ดี
“เอาไว้ผมจะกลับมาเยี่ยมคุณใหม่ ในเร็ว ๆ นี้แหละ” ปีเตอร์ว่า เมื่อผมเดินไปส่งเขาที่รั้วบ้าน ปีเตอร์สวมหมวกปีกกว้างของเขา อากาศภายนอกหนาวได้ที่ และจวนได้เวลาที่ผมต้องพาไรลีย์ออกไปเดินเล่น เรากอดกันเบา ๆ เพื่อเป็นการบอกลา ปีเตอร์ตบหลังผมสองสามทีเหมือนทุกครั้ง
“ดูแลสุขภาพด้วยครับ ถ้าไม่มีคุณคงไม่มีใครมาเยี่ยมเราที่นี่”ผมบอก
“โอ้ ผมยังมีชีวิตอยู่ได้อีกยาว ๆ ล่ะเอ็ด ไม่ต้องห่วงผมจะกลับมาเยี่ยมคุณแน่ ๆ” ปีเตอร์กล่าว ผมยืนอยู่ที่รั้วบ้านและมองตามหลังชายแก่ร่างใหญ่โตกำลังเดินหายลับไปจากสายตา ในตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณเงียบสนิท มีเพียงเสียงกระดิ่งลมและใบสนสีกันในบางครั้งที่ลมพัดแรง ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราว ๆ สี่ถึงห้านาที และเริ่มรู้สึกเงียบวังเวงจนกระทั่งเจ็บข้างในหน้าอก เหมือนผมกำลังถูกบีบคั้นที่หัวใจอย่างรุนแรง ในท้องรู้สึกโหวงแปลก ๆ
ผมมักจะเรียกความรู้สึกเหล่านี้ว่า ‘เหงา’
ผมเลื่อนประตูรั้วปิดลงและเดินกลับเข้าบ้าน ไรลีย์นั่งรออยู่ที่ประตู ได้เวลาที่ผมจะต้องพามันออกไปเดินเล่นข้างนอกเสียที ในขณะที่ใส่สายจูงให้กับไรลีย์อยู่นั้น
“ตาแก่จะกลับมาเมื่อไหร่ ?” ไรลีย์ถาม
“ไม่รู้สิ” ผมตอบ
“แต่เขาจะกลับมาแน่...กลับมาพร้อมกับความจริงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา” ผมและไรลีย์เดินออกจากบ้านไปพร้อมกัน ผมต้องก้าวเท้าช้าลงเพราะไรลีย์แก่มากแล้ว ระหว่างที่เดินไปบนทางเท้าผมคิดว่าจะพามันไปเดินเล่นแถว ๆ ริมบึงสักครึ่งชั่วโมง เมื่อกลับมาผมจะพบเอเลน่ายืนมองผมอยู่ที่หน้าต่างเหมือนทุกวัน เธอจะยิ้มหวานต้อนรับผมกลับบ้านและผมจะจูงไรลี่ย์เข้าบ้านเพื่อไปหาเธอ หลังจากนั้นผมจะชงชาร้อน ๆ นั่งดื่มกับเธอ และเธอจะร้องเพลงให้ผมฟัง และบอกกับผมว่า
‘วันนี้อากาศดีนะคะ ฉันอยากพาไรลี่ย์ออกไปเดินเล่นจัง’
แด่่
เธอ ผู้ไม่เคยจากไป
- แ ม ว จ ร
ความคิดเห็น