ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทฤษฎีพระจันทร์ยิ้ม และเรื่องสั้นอื่นๆ :)

    ลำดับตอนที่ #2 : II : หนึ่งในภาพประกอบ

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 66




    II
    หนึ่งในภาพประกอบ

     

     

    เธอเป็นลูกศิษย์คนเก่งของผม เธอเป็นเด็กสาวที่อายุห่างกับผมกว่าสิบปีเห็นจะได้ เธอเก่งและมีความสามารถ มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น มีรอยยิ้มหวานฉ่ำและมีน้ำเสียงไพเราะชวนให้หลงใหล

    “อาจารย์คะ ตรงนี้เอาสีอะไรดีคะ ?” นักเรียนคนเก่งถามพลางยื่นแคนวาสของเธอมาใกล้ ๆ ผมก้มลงมองภาพของเธออยู่ครู่หนึ่ง มันเป็นภาพสีอะคริลิคที่สวยงาม ในภาพประกอบไปด้วยชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอิงแอบแนบชิดกัน หญิงสาวสวมชุดเดรสขาวพลิ้วลม เธอมีผมยาวสีน้ำตาลเข้มดูเงางาม และชายหนุ่มสวมชุดสูทสีน้ำตาลหม่น ผมไม่อาจรู้ได้ว่าทั้งสองมีหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะทั้งคู่นั่งหันหลังมองออกไปยังทะเลยามเย็น ท้องฟ้าเป็นสีส้มและดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเต็มที มันเป็นภาพที่สวยงาม

    “ลองเพิ่มสีชมพูลงไปตรงนี้ก่อนไหม ?”  ผมบอกพลางใช้ด้ามพู่กันที่ถืออยู่ในมือชี้ไปตรงบริเวณท้องฟ้าสีส้มอ่อน ๆ

    “ที่ท้องฟ้าเหรอคะ ?” เธอเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตาของเธอกลมโตเป็นประกาย

    “อื้ม ภาพนี้อมส้มมากเกินไป ผมว่ามันก็ดูอบอุ่นดี แต่ถ้าเพิ่มสีชมพูลงไปอีกสักหน่อยแล้ว ภาพอาจจะให้บรรยากาศที่โรแมนติกกว่านี้” ผมตอบ และเธอก็ยิ้มรับแววตาของเธอที่มองมาบางครั้งมันทำให้หัวใจผมเต้นแรง ถึงแม้ว่าระหว่างผมกับเธอจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมพยายามอยู่ในจุดยืนที่ควรจะเป็น และชื่นชมเธออยู่ห่าง ๆ แต่ในบางครั้งมันก็ยากเหลือเกินที่จะห้ามตัวเองไม่ให้คิด... 

    ไม่ให้คิด ว่าเธอก็รู้สึกในแบบเดียวกัน

    “ดีขึ้นรึยังคะ ?” เสียงใส ๆ ของเธอเอ่ยถามหลังจากที่เธอหายไปแก้ไขภาพเขียนของเธอ คราวนี้ภาพบนแคนวาสดูสวยงามกว่าเดิมมาก มันกลายเป็นภาพที่อบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่นของคู่รัก

    “เข้ามาใกล้ ๆ สิ” ผมบอกเธอในตอนนั้นเธอเงยหน้าขึ้นมองผม แววตาของเธอดูจะหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย ช่างเป็นความรู้สึกที่อันตราย แคนวาสของเธอถูกส่งมาให้ และเมื่อผมรับมันเอาไว้เธอก็นั่งลงตรงที่ว่างของเก้าอี้ข้างตัวผม มันเป็นที่ประจำของเธอเรามักจะนั่งด้วยกันแบบนี้ในเวลาที่ผมจะสอนเทคนิคพิเศษในการวาดให้เธอ

    “เธอชอบดอกลิลลี่รึเปล่า ?”

    “ชอบค่ะ” เสียงใส ๆ ของเธอตอบอยู่ใกล้ ๆ ในขณะเดียวกันผมใช้ปลายพู่กันแต่งเติมกระถางต้นไม้พร้อมกับดอกลิลลี่ลงในภาพ หลังจากนั้นก็เพิ่มนกตัวน้อยที่กำลังบินรับลมยามเย็นอีกสองสามตัว หลายครั้งผมแอบชำเลืองมองเธอที่จับจ้องปลายพู่กันของผมอย่างไม่วางตา... เวลานี้ผมมีความสุขมาก

    “สวยขึ้นเยอะเลยค่ะ” เสียงของเธอทักขึ้น

    “เขาเรียกว่าเพิ่มองค์ประกอบของภาพให้ลงตัว”

    “องค์ประกอบเหรอคะ ?” น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เช่นเดียวกับแววตาของเธอ ผมหย่อนพู่กันลงในแก้วน้ำใกล้ ๆ ตัว ก่อนที่จะหันหน้าไปคุยกับเธออย่างจริงจัง

    “ภาพของเธอจุดเด่นของการเล่าเรื่องคือชายหญิงสองคนที่นั่งมองทะเลใช่ไหม พูดถึงการเล่าเรื่องเท่านี้ก็คงเพียงพอแล้ว แต่มันจะสวยขึ้นถ้ามีภาพประกอบอื่นๆ เพิ่มเข้าไปเพื่อให้ได้องค์ประกอบที่สมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น นกตัวนี้ ถ้าไม่มีมันอยู่ในภาพ ภาพก็ยังคงสื่อความหมายได้ แต่เมื่อเพิ่มมันเข้าไปภาพจะดูสวยขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับภาพเลยก็ตาม ทั้งดอกลิลลี่หรือกระถางต้นไม้ ภาพพวกนี้มีไว้เพื่อประกอบให้ภาพของชายหญิงซึ่งเป็นจุดเด่นของเธอสวยยิ่งขึ้น…” ผมบอก และเป็นอีกครั้งที่แววตาของเธอทำให้หัวใจผมหวั่นไหว

    “อาจารย์นี่เก่งจังเลยนะคะ” เธอยิ้มร่าผมลูบหัวเธอเบา ๆ เมื่อรู้สึกว่าความใกล้ชิดเริ่มอยู่ในภาวะที่เป็นอันตราย ผมจึงดึงตัวเองออกมาจากความรู้สึกหวั่นไหวนั้นด้วยการก้มลงหยิบแก้วน้ำล้างพู่กันของตัวเองไปล้างในห้องน้ำ โดยทิ้งเธอเอาไว้กับผลงานชิ้นเอกของเธอ หลายต่อหลายครั้งที่ผมทิ้งเธอเอาไว้กับความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถสานต่อได้

    “ ฟ้าใกล้มืดแล้วนะ ยังไม่กลับอีกเหรอ”ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นเธอล้มตัวลงนอนบนเบาะรองนั่ง เธอทำแบบนี้อีกแล้ว เธอมักจะอยู่เป็นคนสุดท้ายของชั้นเรียนเสมอ ตอนนี้ห้องเรียนทั้งห้องปราศจากเด็กนักเรียนคนใดยกเว้นเธอ แสงข้างนอกบานหน้าต่างก็เหลืออยู่น้อยเต็มที

    “....”  เธอไม่ตอบ

    “นี่ ได้ยินรึเปล่า ผมบอกว่าใกล้มืดแล้ว เลยเวลาเลิกเรียนมามากแล้ว”

    “รอสีแห้งก่อนค่ะ” เธอตอบพลางพลิกตัวหันหนีไปอีกทาง ราวกับจะหลบหน้าผมด้วยความรำคาญ ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับสอนซึ่งอยู่ห่างจากเธอพอสมควรในตอนนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะไม่มองไปหาเธอ ผมเริ่มเก็บอุปกรณ์การสอนลงในกล่อง พู่กันถูกเช็ดด้วยผ้าสีมอซอเพื่อให้มันแห้งลงและคงรูปสวยงามเสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นทุกครั้งที่ผมเสียบด้ามพู่กันลงในกล่องไม้ และบางครั้งผมได้ยินเสียงของนาฬิกาเดิน ห้องทั้งห้องเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงนาฬิกาเท่านั้นเมื่อผมเก็บของทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจนหมด

    “ผมว่ามันคงแห้งแล้วมั้ง”

    “อาจารย์คะ...” เสียงของเธอพูดสวนมา และในตอนนั้นเองเธอก็ดันตัวลุกขึ้นนั่งโดยที่ไม่ยอมหันมาทางผม เธอเพียงแค่นั่งหันหลังให้ผมเท่านั้น

    “วันนี้เป็นวันเกิดของหนูค่ะ”

    “อ้อเหรอ แต่ผมไม่มีของขวัญให้หรอกนะ เล่นมาบอกเอาป่านนี้”ผมตอบเธอ ผมไม่รู้เลยว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ จำไม่ได้ว่าเธอเคยบอกผมหรือเปล่า แต่ถึงผมจำได้และรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดเธอ ผมก็คงจะให้อะไรกับเธอเป็นพิเศษไม่ได้

    “หนูอยากกินเค้กจัง...”

    “....” คำพูดของเธอเหมือนทุบตีผมทางอ้อม สมองของผมถูกบั่นทอนเสียจนไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรทำอะไรต่อไป

    “เฮ่อ~ เข้าใจแล้ว จะพาไปกินก็แล้วกัน...”

    ผมพาเธอออกจากโรงเรียนด้วยรถยนต์ส่วนตัว เราแวะที่ร้านสตาร์บัคส์แห่งหนึ่งใกล้กับศูนย์การค้าใหญ่โต ซึ่งเป็นโชคดีที่สาขานี้เปิด 24 ชั่วโมงเรานั่งกินขนมเล็กน้อยที่พอจะแทนขนมเค้กแบบที่เธออยากกินได้ และผมเลี้ยงเครื่องดื่มเธอด้วย เมื่อมองออกไปภายนอกร้านฟ้าก็มืดแล้ว มันคงเป็นเรื่องไม่สมควรเลยที่ผมพาเธอออกมาเป็นการส่วนตัว ในขณะที่ยกแก้วช็อกโกแลตเย็นขึ้นดื่ม ผมเหลือบสายตามองไปที่เธอ ที่นี่คงจะไม่มีใครรู้ว่าเราสองคนอยู่ในฐานะศิษย์และอาจารย์ วูบหนึ่งผมคิดอยากทำเรื่องไม่ดีกับเธอและรู้สึกผิดมหันต์เมื่อดึงสติของตัวเองกลับมาได้

    “บ้านเธออยู่ที่ไหนเหรอ ?”

    “อาจารย์จะไปส่งเหรอคะ ?”  เธอถามพร้อมกับรอยยิ้มหวานฉ่ำ

    “ก็ดึกป่านนี้แล้ว แล้วนี่พ่อแม่ไม่โทรมาตามเลยรึไง” ผมนึกแปลกใจที่เธอไม่เคยพูดถึงพ่อแม่ของเธอเลย ผมไม่เคยเห็นใครสักคนในครอบครัวของเธอมารับหรือมาส่งเธอที่โรงเรียน และจนกระทั่งตอนนี้ ก็ไม่มีใครสักคนที่โทรตามเธอทั้ง ๆ ที่มันก็เลยเวลาเลิกเรียนมามากแล้ว

    “ไม่มีใครอยู่บ้านหรอกค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าหนูอยู่บ้านรึเปล่าด้วย” เธอยังคงยิ้ม

    “อยู่คนเดียวเหรอ ?”

    “ค่ะ” ช่องว่างตรงนี้มันเหมือนเปิดอ้าให้ผมได้ฉวยโอกาส ผมหยุดพูดและแทบจะกลั้นหายใจเพื่อตั้งสติให้หยุดคิดเรื่องแย่ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง

    “ทำไมอย่างนั้นล่ะ ?”

    “ไม่เล่าได้ไหมคะ...” รอยยิ้มของเธอจางลงไปแล้ว และดูเหมือนว่าเธอจะเศร้าอยู่นิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าภาพของเธอตอนนี้จะทำให้ผมรู้สึกเศร้าตามได้มากมาย

    “อื้ม... ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็บอกนะ” ในตอนนั้นเอง เธอหยิบกระเป๋าใบเล็ก ๆ ของเธอพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ผมมองตามเธอในใจก็คิดว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปหรือเปล่า

    “ช่วยตามหนูออกมาหน่อยได้ไหมคะ”

    “นี่ ! เดี๋ยวก่อนสิ !” เธอพูดยังไม่ทันจบดีก็เดินจ้ำพรวด ๆ ออกจากร้านไป ผมตะโกนเรียกพลางเก็บข้าวของส่วนตัวและย่ำเท้าตามเธอออกไปอย่างรีบร้อน เท้าเล็ก ๆของเธอก้าวไปไวมากจนทำให้ผมเริ่มวิ่งตามเธอทีละน้อย อาจจะเป็นเพราะเธอยังเด็กกระมังถึงยังมีเรี่ยวแรงดี ผมวิ่งตามเธอออกจากร้านกาแฟและเธอเดินพรวดพราดขึ้นไปบนสะพานลอยที่อีกฟากเชื่อมเข้ากับห้างใหญ่โตเมื่อผมวิ่งขึ้นมาจนถึงบันไดชั้นบนของสะพานก็เห็นเธอกำลังยืนเท้าแขนกับขอบซีเมนต์ และเหม่อมองลงไปเบื้องล่างอยู่ที่กลางสะพานผมย่อตัวลงระคนหอบหายใจด้วยความเหนื่อย มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหน้าอกตัวเอง ในใจก็ได้แต่คิดว่าผมคงจะแก่เกินไปแล้ว หากต้องมาวิ่งพรวด ๆ แบบนี้

    เมื่อพักหายใจจนรู้สึกดีขึ้นผมจึงเดินไปหาเธอ ลมด้านบนนี้แรงพอสมควร เธอยังคงเหม่อมองออกไปยังถนนที่เต็มไปด้วยรถราและผู้คนมากมาย ผมยาวสลวยของเธอปลิวรับลมพลิ้วไหว มันช่างเป็นภาพที่สวยงามลงตัว ผมอยากจะหยุดเวลาตรงนี้เอาไว้แล้วหยิบเอาพู่กันกับแคนวาสพร้อมสียี่ห้อโปรดราคาแพงขึ้นมาเพื่อวาดรูปของเธอ เพิ่มจำนวนภาพวาดของเธอลงในลิ้นชักห้องนอนอีกสักหนึ่งใบ และเก็บมันเอาไว้ให้ลึกล็อคให้แน่นหนาด้วยกุญแจอย่างดี เพื่อให้มั่นใจว่าภาพเหล่านั้นจะไม่ถูกใครมองเห็นได้อย่างแน่นอน

    “อย่าวิ่งออกมาแบบนี้อีกนะ”  ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

    “....” เธอไม่ยอมตอบอะไร และเอาแต่เหม่อมองออกไปไกลแสนไกล

    “อยากพูดอะไรรึเปล่า ?”ผมถาม ภาพของเธอตอนนี้มันดูเศร้าเสียจนผมรู้สึกเจ็บหน่วงข้างในใจ ที่เป็นแบบนั้นคงเพราะผมรู้ตัวเองว่าช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้เลยสักอย่าง

    “รูปที่หนูวาดวันนี้สวยไหมคะ ?”

    “สวยสิ ยังไม่ได้บอกเหรอ ?” ผมตอบ ในขณะเดียวกันผมก็เท้าแขนลงบนขอบปูนซีเมนต์และมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างเช่นเดียวกับเธอ ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าจน เริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา ผมสงสัยว่าเธอจะหนาวหรือเปล่า

    “ไม่ค่ะ ไม่ได้บอก”

    “สวย นี่ไงบอกแล้ว” เธอยังคงเงียบ ในขณะที่ผมสับสนว่าเธอเป็นอะไรอยู่นั้น เธอละมือออกจากขอบปูนซีเมนต์และโผเข้ามากอดตัวผมเอาไว้ แขนเล็ก ๆ ของเธอกระชับกอดร่างกายของผมแน่น ผมยืนนิ่งขยับไปไหนไม่ได้ หัวใจก็เต้นโครมครามและเนื้อตัวราวกับเย็นวาบจรดปลายเท้า กลิ่นน้ำหอมของเธอโชยมาดังจะเชิญชวนให้ผมขยับเข้าไปสูดดมกลิ่นนั้นใกล้ ๆ ราวกับความฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

    “อาจารย์คะ...” เสียงของเธอเรียก... ‘อาจารย์คะ’ มันตอกย้ำว่าเธอเป็นใครและผมเป็นใคร ผมจับไหล่เธอไว้เบา ๆ ในขณะที่ก้มลงมองหน้าเธอ ก็ได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกหวั่นไหวเหล่านั้นลงคอไปอย่างลำบาก ราวกับความฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง และผมควรจะต้องอยู่กับความจริงไม่ใช่ความฝัน... ผมควรลืมตาตื่น

    “เป็นอะไรรึเปล่า ?”

    “ในภาพนั้น...ผู้หญิงคือตัวหนูเองค่ะ และผู้ชายอีกคนหนูตั้งใจวาด

    ให้เป็นอาจารย์นะคะ” ผมนึกโกรธโชคชะตาเหลือเกิน ผมดีใจที่เธอเฉลยออกมาว่าเธอก็รู้สึกดีกับผม และผมเสียใจที่เธอรู้สึกเช่นนั้น มันเป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมไม่ต้องการให้เธอเจ็บปวด ถ้าหากว่าผมเห็นแก่ตัวและเก็บเธอเอาไว้แทนที่รูปภาพที่ผมแอบวาดเธออยู่บ่อย ๆ เอาเธอไปใส่ไว้ในลิ้นชักที่ถูกแอบซ่อน ถ้าหากว่าผมโอบกอดเธอกลับไปอย่างที่ใจต้องการแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ผิดมากเลยใช่ไหม ?

    “เหรอ...วาดไม่เห็นเหมือนเลย...”  ผมตอบพลางลูบหัวเธอเบา ๆ

    “คราวหน้าจะวาดให้เหมือนเลยค่ะ” หัวใจของผมพองโตจนคับอก และเจ็บปวดไปในเวลาเดียวกันร่างเล็ก ๆ ของเธอถูกผมดันออกไป มือของผมยังคงจับที่ไหล่ของเธอเอาไว้และดันให้เกิดระยะห่างระหว่างสองเรา อย่างที่มันควรจะเป็น ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผมแสดงสีหน้าออกไปอย่างไรบ้าง และผมต้องทำใจอยู่เกือบนาทีเพื่อที่จะกล้าสบตากับเธอ...ผมเห็นแววตาที่ผิดหวัง ผมรู้ว่าเธอผิดหวัง เข้าใจความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดี

    “ถ้างั้นขอเป็นรูปเดี่ยวนะ” ผมตอบ

    ...ในตอนนั้นเธอยิ้ม...  และเธอยกมือของเธอขึ้นมาปาดน้ำตา เสียงสะอื้นค่อย ๆ แผ่วเบาออกมาอย่างเชื่องช้าและยาวนาน ผมยังคงจับไหล่ของเธอเอาไว้ และรู้สึกได้ว่าตัวของเธอสั่นไหวจากแรงสะอื้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้ แต่ความรู้สึกเจ็บจนพูดไม่ออกมันก็ยังคงเล่นงานผมอยู่ข้างใน ผมอยากกอดเธอเหลือเกินแต่ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้

    เราทั้งคู่ใช้เวลายืนอยู่ตรงนั้นนานมาก นานเท่าไหร่ผมเองก็จำไม่ได้ผมจำได้เพียงแค่ว่า ผมยืนมองเธออยู่ตรงนั้น รอ...รอจนกระทั่งเธอหยุดร้องไห้ เราปล่อยให้ผู้คนที่สัญจรมาใช้สะพานแห่งนี้ผ่านเราไปโดยที่เราไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ผมคิดถึงวันพรุ่งนี้ หากเราต้องเจอกันอีกครั้งที่โรงเรียน เธอจะยังยิ้มได้เหมือนเดิมหรือเปล่า ผมจะสามารถห้ามตัวเองไม่ให้รักเธอมากไปกว่านี้ได้ไหม ?

    ผมอยากจะขอร้องให้เธอโยนความเสียใจทั้งหมดที่เธอมีมาให้ผมอยากให้มีเพียงรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเธอ ไม่ใช่คราบน้ำตาที่ผิดหวังและผมจะเก็บความเจ็บช้ำของเธอเอาไว้ในลิ้นชัก ล็อคมันให้แน่น ซ่อนเอาไว้จากสายตาของใคร ๆ เก็บมันเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว


     

    ในภาพวาดของเธอมีผมอยู่

    แต่ผมรู้ดีว่าผมไม่ใช่ชายผู้ที่นั่งอยู่ข้างเธอ ผมเป็นเพียงนกที่บินล้อลมเป็นดอกลิลลี่และกระถางต้นไม้... เป็นเพียงแค่ภาพประกอบในฉากที่จะผลักดันให้ภาพของเธอสวยงามยิ่งขึ้นเพียงเท่านั้นผมเป็นอาจารย์ที่สอนให้เธอวาดภาพ ผมผลักดันพรสวรรค์ของเธอให้โดดเด่น ทุกครั้งที่มองเห็นเธอผมรู้สึกภูมิใจ เธอเก่งขึ้นทุกวัน เธอน่ารักและสวยขึ้นทุกวัน ผมมองเห็นในทุก ๆ วันที่เธอเติบโต และถึงแม้ว่าผมจะรักเธอมากเพียงใด ผมก็จะขอเป็นเพียงภาพประกอบเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร... ขอเป็นเพียงแค่สีสันที่ถูกแต่งเติมลงไปเพื่อให้เธอสวยกว่าใคร โดดเด่นอย่างลงตัว เป็นนก เป็นดอกลิลลี่และกระถางต้นไม้... เพื่อผลักดันให้เธอได้ก้าวต่อไปอย่างสวยงาม

    และผมหวังว่าสักวัน... 

    เธอจะได้พบเจอกับคนที่คู่ควรเป็นชายคนนั้น คนที่จะที่นั่งอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป

     

     

     


     แด่่
    ภาพประกอบ ทุก ๆ ภาพ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
    - แ ม ว จ ร
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×