คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : รำลึก
จากเหตุการณ์ที่หลัวหลี่เฟิ่งฝันเมื่อกลางดึกเขาก็ไม่สามารถที่จะนอนต่อได้อีกจนตอนนี้เป็นเวลายามเหมา (05.00-06.59) แล้ว เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาและเดินออกมาสูดอากาศในยามเช้าตรู่ เมื่อเดินออกมาก็พบกับหลัวหนิงเฟิ่งที่เดินออกมาจากเรือนของตัวเองและกำลังเดินมาทางเขาพอดี
"ไยขอบตาเจ้าถึงคล้ำเพียงนั้น" คำทักทายยามเช้าของผู้น้อง
"ข้านอนไม่หลับน่ะ หนิงหนิง" หลัวหลี่เฟิ่งตอบพร้อมลองเชิงเรียกเหมือนที่เขาเคยเรียกอีกฝ่ายตอนเด็กๆ และก็เป็นการลองเชิงที่ถูกจุดเมื่อหลัวหนิงเฟิ่งมองเขาด้วยตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
"นี่เจ้า...จำได้หรือ" หลัวหนิงเฟิ่งถึงอยากจะว่าอีกฝ่ายที่เรียกเขาด้วยชื่อเรียกที่ดูน่ารักเหมือนเอาไว้เรียกเด็กน้อย แต่เขาก็ต้องหยุดเพราะชื่อนั้นเป็นชื่อที่พี่ชายของเขาเรียกเมื่อวัยเยาว์
"ข้าว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่า" หลัวหลี่เฟิ่งจึงแนะนำที่ศาลาริมสระบัว คนน้องจึงบอกให้เขาไปก่อนเพราะอีกฝ่ายจะไปเตรียมชากับขนมมา นั่งรอสักพักหลัวหนิงเฟิ่งก็เดินมาพร้อมสำรับชา
"ว่ามา" เมื่อมาถึงคนน้องก็จะให้ผู้พี่เริ่มพูดทันที ในขณะที่เขากำลังรินชาสมุนไพรที่อาจารย์ของเขาเป็นคนทำชาสูตรนี้ขึ้นมา
"เจ้าไม่กินอาหารเช้าหรือ" หลัวหลี่เฟิ่งเลิกคิ้วถาม เมื่อได้ยินดังนั้นคนที่รอฟังคำอธิบายก็กลอกตาขึ้นอย่างนึกรำคาญแต่ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ
"ปกติข้าไม่ค่อยกิน"
"ไม่ดีไม่ดีอาหารเช้าสำคัญต่อร่างกายมาก"
"เจ้าจะเข้าเนื้อหาได้หรือยัง" ผู้น้องมองด้วยสายตากดดัน
"โอเค เมื่อคืนข้าฝัน" หลัวหนิงเฟิ่งมองหน้าเขาเป็นเชิงว่าให้เล่าต่อได้เลย "ข้าฝันว่า..." จากนั้นหลัวหลี่เฟิ่งจึงเล่าเหตุการณ์ที่เขาฝันอย่างละเอียดให้อีกฝ่ายฟัง
"แค่นี้หรือ" หลัวหลี่เฟิ่งพยักหน้าเป็นการตอบ
"เออ แล้วหลังจากนั้นล่ะเจ้าเล่าให้ฟังได้หรือไม่" เขาอยากรู้เรื่องหลังการที่เขาทิ้งน้องไว้ตรงตีนเขาแล้วน้องเขาได้ทำอะไรต่อไปบ้าง
หลัวหนิงเฟิ่งชะงักก่อนจะพ่นลมหายใจยาวออกมาแล้วเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
"หลังจากที่ข้าหมดสติไปเพราะเจ้า ข้าก็ตื่นในตอนที่ท้องฟ้าสว่างตื่นหลังจากที่ทุกอย่างจบแล้ว ข้าเดินไปหาพวกท่านที่จวนแต่ที่ข้ากับไม่พบพวกท่านมีเพียงแค่กองศพของศิษย์สำนักและผู้บุกรุกที่กองพะเนิน" ร่างเล็กเสียงสั่นและน้ำตาคลอเล็กน้อยก่อนที่จะเล่าต่อไป
"ข้ารู้สึกโดดเดี่ยวในตอนนั้นข้าไม่เหลือใครเลย แต่จู่ๆ ก็มีคนของเจ้าเมืองซูเม่ยและคนของสำนักเซียนหวงหลงเข้ามา" หลัวหลี่เฟิ่งฟังอย่างนิ่งเงียบแต่ภายในใจเขาเหมือนมีอะไรมาบีบรัด
"จากนั้นข้าก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนผู้คนต่างวิ่งกันมาปลอบข้ากันใหญ่ จนมีเซียนผู้หนึ่งพาข้าไปนั่งปลอบ"
"ชงหยวนซือจุน? " คนที่ตั้งใจฟังอย่างดีเอ่ยปากถาม หลัวหนิงเฟิ่งพยักหน้าตอบและทำการเล่าทันที
"เขาพยายามปลอบใจข้าอยู่นานและเขาก็พาข้าไปเลี้ยงและสอนวิชาที่แคว้นเสวี่ยบนหุบเขาสัตว์อสูรนั่นแหละ อัก" พอเล่าจบหลัวหลี่เฟิ่งก็โผกอดผู้น้องทันที "อะไรขะ..." ยังพูดไม่ทันจบก็โดนแทรกก่อน
"ตอนนี้เจ้าไม่โดดเดี่ยวแล้วตอนนี้เจ้ามีข้า และข้าก็มีเจ้า" หลัวหลี่เฟิ่งส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ส่วนคนน้องที่ทำอะไรไม่ถูกก็ดันหน้าคนพี่ (ทางจิตวิญญาณ) ออกห่าง
"ข้าอึดอัด"
"เจ้าเขินชัดๆ "
"ไร้สาระ"
"เออ ข้าว่าจะถามเจ้าคนในอาภรณ์แดงดำนั่นเจ้ารู้จักหรือไม่" ไม่ทันไรเขาก็ชวนเปลี่ยนเมื่อนึกถึงข้อสงสัยที่ยังค้างคาใจ
"ข้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ข้าจะไปรู้หรือ" หลัวหนิงเฟิ่งถลึงตาใส่เสร็จก็หยิบสำรับชาแล้วเดินออกไปทันที
"ข้ายังไม่ได้กินขนมเลยนะกลับมาก่อน หนิงหนิง! "
"อย่าเรียกข้าเช่นนั้นทำไม่อยากโดนข้าใช้เข็มแทงเจ้า! " เสียงตะโกนกลับมาดังก้อง คนพี่ได้แต่ส่ายหัวให้กับคำขู่ของคนน้อง
หลังจากที่น้องเขาเดินนี้ไปแล้วหลัวหลี่เฟิ่งจึงเดินเล่นเป็นการสำรวจจวน เขาเดินเรียบมาทางโถงทางเดินข้างกำแพงมาเรื่อยๆ จนพบกับห้องๆ หนึ่ง
"ห้องหนังสือจิ้นโจว" เมื่อเขาเห็นว่ามันไม่ได้ล็อกอยู่เขาจึงเปิดและเข้าไปในห้องนั้น ภายในเต็มด้วยตำราหนังสือวางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบแบ่งชั้นเป็นหมวดหมู่ หลัวหลี่เฟิ่งเดินดูไปเรื่อยเรื่อย จนเจอชั้นตำราเก่าๆ และเขาก็เหลือบเห็นตำราที่ดูเก่าที่สุดในชั้นที่มีแต่ตำราเก่าอีกที เขาจึงหยิบขึ้นมาดูแต่ตอนเขากำลังจะดึงตำราเล่มนั้นออกมาก็เกิดเสียงดังขึ้น
กึก แอ๊ดดด เสียงของประตูที่ไม่ได้เปิดใช้มานาน แต่จู่ๆ ทางที่เขายืนอยู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นทางลาดลงไปทำให้ล่วงลงไปอย่างห้ามไม่ได้ โครม! เกิดเป็นเสียงดังสนั่นเมื่อเขาชนกับพวกของต่างๆ
"ชิท" หลัวหลี่เฟิ่งสบถก็ที่พยายามจะลุกขึ้นมา
"ทำอะไรของเจ้า" หลัวหนิงเฟิ่งที่เดินตามเสียงดังมาก็เจอกับภาพน่าอนาถของคนเป็นที่นั่งลูบก้นตัวเองอยู่
"เจ้านี่ มาช่วยข้าก่อนเถอะ" พูดเสร็จก็ยกมือให้ผู้มาใหม่เป็นการบอกว่าช่วยดึงข้าที หลัวหนิงเฟิ่งจึงดึงเขาขึ้นมา "นี่มันห้องอะไรเนี่ย"
"น่าจะเป็นห้องลับ ท่านพ่อท่านแม่เคยบอกมันมีอยู่แต่ก็ไม่เคยบอกว่าอยู่ส่วนใดของจวน" พูดเสร็จก็ทำการจุดไฟทันที เมื่อสว่างขึ้นก็พบว่าห้องนั้นกว้างมากๆ แต่กับมีตำราลับและตำราต้องห้ามอยู่เพียงไม่กี่เล่ม "แปลก" คนน้องพูดขึ้นมาและทำการสำรวจพื้นที่ในห้องทันที หลัวหลี่เฟิ่งจึงทำการสำรวมร่วมด้วยเหมือนกันโดยการเคาะกำแพง เขาก็พบว่าภายใต้กำแพงนั้นน่าจะมีของอยู่
"ใต้กำแพงนี้มีอะไรอยู่ด้วยหนิงหนิง" หลัวหนิงเฟิ่งมองค้อนใส่ก่อนที่จะเดินไปเคาะกำแพงตาม
"จริงด้วย"
"แต่มันไม่มีที่เปิด" เมื่อคนพี่พูดเสร็จคนน้องจึงเดินไปตรงกองตำราแล้วยกขึ้นก็พบกับตราสัญลักษณ์ที่ดูเผินๆ ก็คือตราตระกูลหลัวไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ เมื่อเห็นดังนั้นหลัวหนิงเฟิ่งจึงทำการใช้เข็มทิ่มลงบนปลายนิ้วแล้วปล่อยให้เลือดหยดลงไปอย่างช้าๆ
"ให้ตายเถอะ คนที่นี่เอะอะอะไรก็ใช้เลือด" หลัวหลี่เฟิ่งกรอกตา
"ตรานี้ใช้ได้แต่เลือดของคนตระกูลนี้" คนน้องตอบและยังคงหยดเลือดลงไปต่อ
"ระบบดีเอ็นเอที่นี่ชั่งแม่นยำยิ่งนัก" คนพี่ที่ไม่ทำอะไรยังคงพูดต่อไปไม่หยุด
กึก กรอกแกรกๆ เมื่อหยดเลือดเสร็จเกิดแสงสีม่วงสว่างขึ้นมา และเหล่ากำแพงทั้งหมดก็ค่อยๆ เปิดออกมา
"โห" หลัวหลี่เฟิ่งอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้าเพราะกำแพงทั้งสี่ด้านที่เปิดออกนั้นมีของเต็มไปหมดและยังมีขึ้นมาจากพื้นที่เขายืนอยู่อีก "เจ๋งโคตร" หลัวหนิงเฟิ่งเมื่อได้ยินคำแปลกๆ จากอีกฝ่ายย่อยขึ้นจึงเริ่มปลงและเดินดูของเหล่านั้นทันที ของบนกำแพงนั้นส่วนมาจะเป็นอาวุธซะมากกว่า ในส่วนของที่ขึ้นมาจากพื้นจะเป็นพวกตำราลับและต้องห้าม ขวดยาพิษและรักษา และของชิ้นเล็กชิ้นน้อย
"ของพวกนี้เอาไปทำอะไรได้บ้างนะ" หลัวหลี่เฟิ่งถามก่อนจะเดินดูโดยรอบ "จะว่าไปข้ายังไม่มีกระบี่เลยนี่" เขาหันไปบอกคนน้อง
"เจ้ามีกระบี่หลี่อี้อยู่แล้ว" หลัวหนิงเฟิ่งตอบ
"หลี่อี้? "
"นามกระบี่เจ้า"
"แล้วต่อนี้อยู่ไหนหรือ"
"ข้าก็ไม่รู้"
"อ้าว แล้วข้าจะใช้อะไร" หลัวหลี่เฟิ่งเกิดอาการหูลู่สักพักก่อนจะเดินๆ ปหาอาวุธที่ตัวเองสามารถใช้ได้ไปพลางๆ ก่อน
"แต่เจ้าสามารถดีดนิ้วเรียกกระบี่กลับมาได้ภายในระยะ2ลี้*"
เปาะ พอคนน้องพูดจบคนพี่ก็ดีดทันทีแต่กลับไม่มีอะไรขยับเลยแม้แต่น้อย
"เหอ" เขาถอนหายใจ
"อะ สิ่งนี้ข้าจำได้ว่าท่านแม่บอกว่าจะให้เจ้า" หลัวหนิงเฟิ่งหยิบกำไรสีทองเส้นพอเหมาะที่มีเพชรสีม่วงห้าอันโดยเรียงลำดับตรงกลางเม็ดใหญ่แล้วค่อยเล็กลงไปและมีสายหยกประจำตระกูลขนาดเล็กห้อยอยู่ตรงปลายขอบกำไลที่เป็นรูปศร
"มันทำอะไรได้บ้าง" หลัวหลี่เฟิ่งถาม
"ปล่อยเป็นศรพิษแทงศัตรู"
"พิษอะไรหรือ"
"ดอกจื่อเถิงหลัว" หลัวหลี่เฟิ่งพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยืนข้อมือให้หลัวหนิงเฟิ่งและเขาก็ทำการวางไว้บนมือของคนพี่ก่อนที่กำไรนั้นจะเลื่อนไปที่ข้อมือเอง
"โอ๊ย" จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเหมือนมีมดกัดตรงข้อมือ
"อ่อ ข้าลืมบอกเจ้าว่ามันจำเจ้าของได้มันเลยเจาะเพื่อจำเลือดเล็กน้อย"
"อีกแล้วเหรอ" หลัวหลี่เฟิ่งทำหน้าเบื่อหน่ายเต็มที
"อาวุธในนี้มีแต่ของวิเศษข้าว่าเราอย่าหยิบมั่วซั่ว จะเป็นการดีกว่า" คนพี่พยักหน้าเห็นด้วยก็จะเอ่ยปากขออะไรบางอย่าง
"ข้าว่าเราเอาตำราวิชาลับไปฝึกดีหรือไม่"
"อืม" จากนั้นเขาก็หยิบไปประมาณห้ามเล่มโดยสองเล่มเป็นวิชากระบี่หายากอีกสองเล่มเป็นตำราพิษและการถอนอีกหนึ่งเล่มเป็นวิชาการคุมศรกำไรหนึ่งเล่ม ที่เขาเลือกหยิบวิชากระบี่มานั้นเพราะเขาตั้งใจจะยืมกระบี่ของน้องไปก่อน
"ว่าแต่..." เมื่อเสร็จแล้วกำลังจะกลับออกไปแต่ก็ต้องชะงัก "กลไกนี้เก็บยังไง"
"ข้าไม่รู้"
"..."
"..."
"เลือดต้องล้างด้วยเลือดหรือเปล่านะ" หลัวหลี่เฟิ่งพูดเบาๆ
"ไม่น่าใช่เพราะมันไม่มีคราบเลือดก่อนหน้านี้" เมื่อคนน้องพูดดังนั้นคนพี่จึงทำการเดินไปหาอะไรบางอย่าง เมื่อกลับเข้ามาพร้อมแก้วที่มีน้ำหนึ่งใบกับผืนหนึ่ง "อะไรของเจ้า"
"ก็เจ้าบอกไม่ใช่เลือดข้าเลยใช้น้ำธรรมดา" พูดเสร็จก็ทำการเทน้ำใส่สัญลักษณ์ทันที เมื่อเทลงไปตราสัญลักษณ์ก็ทำการคายคราบเลือดและหมุนทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม จากนั้นหลัวหลี่เฟิ่งก็ใช้ผ้าที่หยิบติดมาด้วยเช็คคราบเลือดที่คายออกมา "พึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนฉลาดก็วันนี้ ไปกันเถอะ" เมื่อเสร็จแล้วทั้งสองจึงการเดินออกจากห้องลับแล้วปิดประตูลับโดยเก็บตำราเก่านั้นเข้าที่เดิม
ยามอู่ (11.00-12.59) หลัวหลี่เฟิ่งเดินไปหาคนน้องที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในศาลาริมสระบัว เมื่อเห็นเขาเดินมาอีกฝ่ายก็เปิดปากถาม
"เจ้าไม่อ่านตำราหรือ"
"ยัง กองทัพต้องเดินด้วยท้องตอนนี้ข้าหิวที่ครัวไม่มีวัตถุดิบเลย" หลัวหลี่เฟิ่งบ่น
"งั้นก็ไปซื้อที่ตลาด"
"เจ้าต้องไปกับข้าสิเงินอยู่ที่เจ้า" หลัวหนิงเฟิ่งมองตาขวางนิดๆ ก่อนจะลุกแล้วเดินไปที่เรือนเพื่อหยิบหมวกที่มีผ้าบางๆ สีดำที่ทำไว้เพื่อปกปิดใบหน้ายื่นให้พี่ชายตัวเองใส่
"ให้ข้าใส่แล้วเจ้าไม่ใส่หรือ" หลัวหลี่เฟิ่งเลิกคิ้วถาม
"ขืนเจ้าเดินพวกชาวบ้านคงจะตกใจที่เจ้าฟื้นขึ้นมา"
"พวกเขารู้จักข้าหรือ"
"คุณชายใหญ่ตระกูลหลัวเป็นขวัญใจชาวบ้านแถบนี้และตระกูลหลัวก็เป็นหนึ่งในสิบตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในห้าแคว้น"
"แล้วอันดับที่เท่าไร" เขาถามอย่างสนใจ
"เก้า" หลัวหลี่เฟิ่งพยักหน้าเข้าใจ
"แล้วพวกเขาไม่รู้เจ้าหรือ"
"ข้าไม่ชอบออกจวนน้อยนักที่พวกเขาจะรู้จักข้า" คนพี่พยักหน้าเข้าใจเขาก็พอจะรู้นิสัยอีกฝ่ายอยู่หลัวหนิงเฟิ่งเป็นคนที่จะพูดมากเฉพาะคนที่สนิทแต่กับคนอื่นก็พูดได้แต่พลังงานจะหมดเร็วเลยหลีกเลี่ยงการที่จะพบปะผู้คน
"โอเคไปกันเถอะ"
"คำนั้นแปลว่าอะไรหรือ"
"อ่าาาประมาณว่าเป็นการตกลงน่ะ โอเค" หลัวหลี่เฟิ่งทำมือสัญลักษณ์โอเคให้อีกฝ่าย แต่ก็ได้รับแต่พยักหน้าและขมวดคิ้วให้เขา
ทั้งสองตัดสินใจที่จะเดินไปเพราะตลาดห่างออกไปประมาณ1ลี้ หลัวหลี่เฟิ่งถึงสังเกตว่าจวนของเขาตั้งอยู่โดดเดี่ยวอยู่หลังเดียวไม่มีบ้านของใครอยู่แถบนี้เลยแต่ก็ยังคงใช้เป็นทางสัญจรไปมาอยู่ถึงไม่ค่อยจะมีคนใช้ก็เถอะ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่ตลาด ตลาดที่นี่ใหญ่กว่าที่แคว้นเสวี่ยมากนัก ข้าวของอุดมสมบูรณ์สมกับเป็นแคว้นที่เป็นศูนย์กลางอีกทั้งเมืองซูเม่ยยังติดกับเมืองเหวินหรงเมืองหลวงของแคว้นอีก
"ค่าเงินที่นี่ใช้อย่างไร" หลัวหลี่เฟิ่งที่อยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนแล้วแต่ยังไม่เคยรู้เรื่องเงินเพราะปกติเขายืนดูน้องเฉยๆ
"10เหรียญทองแดงเท่ากับ1เหรียญเงิน10เหรียญเงินเท่ากับ1เหรียญทอง พ่อค้าบอกมาเท่าไรเจ้าก็จ่ายเท่านั้น" หลัวหนิงเฟิ่งตอบเสียงเรียบ จากนั้นเขาทั้งสองคนจึงทำการจับจ่ายซื้อเนื้อพืชผักผลไม้ต่างๆ และแป้งที่จะนำมาทำบะหมี่โดยใช้เวลาไม่นาน และเนื่องจากที่นี่นั้นเต็มไปด้วยเหล่าจอมยุทธ์และนักพรตมากมายพวกเขาจึงไม่ตกเป็นจุดสนใจสักเท่าไร
ปั้ก เสียงของหลัวหลี่เฟิ่งกับใครสักคนที่เดินชนกันตรงหัวมุมแต่ด้วยความที่เป็นห่วงหมวกจึงไม่ได้ระวังตัวทำให้เขาเซไปได้หลัง ในใจก็หวังว่าจะไม่ล้มลงไปไม่งั้นคงเป็นจุดสนใจของชาวบ้านแน่ๆ จากนั้นก็มีมือหนึ่งจับคอเสื้อเขาไว้ทัน
"ซุ่มซ่าม" ไม่ใช่เสียงใครที่ไหนเป็นหลัวหนิงเฟิ่งเอง
"นี่จะ.."
"ข้าต้องขออภัยคุณชายทั้งสองด้วยเป็นข้าที่เดินไม่ดูทางเอง" เสียงนุ่มลึกของเด็กหนุ่มวัยประมาณสิบหกหนาวกล่าวขัดก่อนที่ทั้งสองจะทะเลาะกัน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหันมาตามเสียงก็พบกับเด็กหนุ่มรูปงามที่ดูเหมือนว่าจะมาจากสำนักเซียนด้วยอาภรณ์สีขาวปักลายมังกรสีทองแซมและผูกผมด้วยเชือกผูกผมสีทองลายมังกร
"เป็นข้าเองที่ต้องขออภัยข้าเองก็ไม่ได้ดูทาง" หลัวหลี่เฟิ่งทำการขอโทษ
"เป็นน้องข้าเองที่เดินไม่ดูทาง" หลัวหนิงเฟิ่งพูดเสริมด้วยท่าทางสงบ
"ใครน้องเจ้าข้าเป็นพะ..."
"ศิษย์พี่จาง!! " ตอนนี้หลัวหลี่เฟิ่งได้แต่กำหมัดเพราะเขาโดนขัดรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ต่างกับหลัวหนิงเฟิ่งที่มีสีหน้าระรื่น
มันหน้าจับตีจริงๆ
"ศิษย์พี่ท่านหายไปมาข้าตามหาท่านกันไม่หวั่นไม่ไหว" เด็กหนุ่มที่น่าจะมาสำนักเดียวกันถาม "แล้วคุณชายสองท่านนี้เป็นใครกัน"
"ข้าหลงทางและเผอิญเดินชนคุณชายน่ะ" เด็กหนุ่มมาใหม่มองมาที่เขาทั้งสองคนอย่างสงสัย หลัวหนิงเฟิ่งเห็นดังนั้นจึงแนะนำตัว
"ข้ามีนามว่าหลัวหนิงเฟิ่งส่วนเขานามว่าหลัวหลี่เฟิ่ง" หลัวหนิงเฟิ่งพอจะรู้ว่าเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้ามาจากสำนักหวงหรงและสองคนนี้ก็ไม่น่าจะรู้จักพวกเขา
"เสียมารยาทแล้วที่ต้องให้ท่านแนะนำก่อนข้าน้อยจางหย่งโจวส่วนศิษย์น้องข้า..." เขาหันไปทางศิษย์น้องเป็นเชิงว่าให้แนะนำตัว
"ข้าน้อยเจียงเลี่ยงซิน" เด็กหนุ่มตรงหน้าประสานมือเป็นการทำความเคารพ
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัว" หลัวหนิงเฟิ่งที่มีหน้าที่เป็นผู้ปกครองของเขายิ้มให้ศิษย์จากสำนักหวงหรงก่อนจะลากคนพี่ออกไปแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะก้มหัวประมาณข้าไปก่อนนะให้เด็กหนุ่มทั้งสอง
"คุณชายผู้นั้นดูสง่างามยิ่งนัก" ศิษย์น้องพูด
"ข้าคุ้นชื่อตระกูลหลัวยิ่งนัก" จางหย่งโจวขมวดคิ้ว
"ไม่มีอันใดหรอกศิษย์พี่เราต้องเดินตรวจตรากันต่อนะ" จากนั้นทั้งสองคนจึงไปด้วยตรวจตามคำสั่งของสำนักต่อ
สองพี่น้องที่ถึงจวนแล้วจึงจัดการเก็บของทำอาหารยามเที่ยงกินกัน โชคดีที่เขาทั้งคู่ต่างคนต่างทำอาหารเป็นเลยช่วยแบ่งเบากัน ไม่อยากจะพูดว่าเขาทำอาหารอร่อยระดับมิชลิน
"ข้าทำเส้นบะหมี่เอง" หลัวหลี่เฟิ่งเสนอตัวคนน้องก็ไปทำส่วนอื่นทันที เขาเริ่มจัดการเทแป้งสาลีขุดหลุมตรงกลางแล้วตอกไข่ใส่อย่างชำนาญแล้วเติมน้ำด่างทำจากมะนาวที่เขาทำไว้เย็นวานเพราะไปเห็นต้นมะนาวแล้วดันอยากกินบะหมี่ จากนั้นเขาก็ผสมให้เข้ากันก่อนจะเติมน้ำอีกเล็กน้อยแล้วลงมือนวดด้วยฝ่ามือ
ทางด้านหลัวหนิงเฟิ่งที่หั่นแบ่งเนื้อสัตว์แยกไว้ทำรมควันกันเนื้อเน่าเสียเสร็จแล้วจึงเดินไปต้มน้ำซุปและหั่นผักรอ และตอนนี้เขากำลังเริ่มนวดให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วใช้มีดหั่นเป็นเส้นเล็ก ถึงใจจริงจะอยากนวดเส้นแล้วเหวี่ยงไปมาเหมือนในร้านอาหารก็เถอะแต่ไม่น่าจะรอด เสร็จแล้วเขาจึงลวกเส้นทันที จริงๆ แล้วควรจะบ่มเส้นก่อนแต่เขาขอข้ามขั้นตอน คนน้องจึงทำการจัดจานบะหมี่เนื้อและไปนั่งกินทันทีและนั่งกินอย่างเงียบๆ และเนื่องจากจวนอันกว้างใหญ่นี้มีคนอาศัยเพียงสองคนเขาบอกได้คำเดียวว่าเงียบเหงาสุดๆ
"ข้าว่าจวนนี้เงียบเกินไป" เป็นเขาที่เปิดปากก่อนเพราะทนไม่ไหวจริงๆ
"แล้วเจ้าจะให้ทำอันใดได้" หลัวหลี่เฟิ่งที่ได้ยินดังนั้นจึงทำการปลงแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
"แล้วหลุมศพของท่านพ่อแม่อยู่ไหนหรือข้าอยากไปเคารพท่าน"
"ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นทางการหรือสำนักหวงหรงที่จัดการเรื่องศพ"
"ซือจุนก็ไม่รู้หรือ" หลัวหนิงเฟิ่งพยักหน้า
"เพราะเขาบอกว่าวันนั้นมัวแต่สนใจข้าเลยไม่รู้"
"อ่า" จากนั้นทั้งสองคนก็กินไปด้วยคุยไปด้วยบ้างเมื่อแล้วจึงนำถ้วยไปล้างเก็บแล้วแยกย้ายไปอ่านตำราเพื่อวิชา
1ลี้ = 500เมตร
2ลี้= 1000เมตร
Talk ; เห็นต้นมะนาวแล้วกินบะหมี่5555เป็นน้องหนิงมันก็จะวุ่นวายหน่อยเพราะพี่หลี่ ใดๆนี้สูตรน้ำด่างเราเอาจากวิกิฮาวนะคะ จริงๆอยากใส่ว่าน้ำด่างไปเลยแต่ไม่แน่ใจว่าน้องจะหาจากไหนเลยไปหาสูตรมาโดยไม่รู้ว่าจำทำได้จริงหรือเปล่าค่ะ555
❤️??????’?ขอบคุณมากที่เข้ามาอ่านกันนะคะเจอกันตอนหน้าค่าาาา??’???’???’?
ปล.ช่วยคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะะ♡٩( 'ω' )و
ความคิดเห็น