ลิขิตแรม - นิยาย ลิขิตแรม : Dek-D.com - Writer
×

    ลิขิตแรม

    เมื่อฝันเดิมทุกเดือนพาเธอย้อนเวลากลับมาที่บ้านพักผู้ช่วยป่าไม้ แถมคนหลงมายังหน้าตาไปเหมือนกับภรรยาของเจ้าของบ้านที่ตายไปแล้วอีก มายังไงก็ไม่รู้ หาทางกลับก็ไม่ได้ แล้วยังไม่วายมีเรื่องวิ่งเข้ามาหาตลอดๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    3,051

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    16

    ผู้เข้าชมรวม


    3.05K

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    68
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  25 พ.ย. 63 / 23:34 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


    ป่าไม้ที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นเสมือนต้นทุนซึ่งเป็นของประเทศ และปริมาณเนื้อไม้ที่งอกเงยขึ้นทุกปีนั้นเป็นดอกเบี้ยที่เราอาจจะนำออกใช้สอยได้เป็นรายปี

    ต้นทุนที่มีอยู่ไม่สมควรไปแตะต้องเป็นอันขาด คงใช้แต่ดอกเบี้ยเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้ว ป่าไม้ที่มีอยู่ก็จะไม่สามารถอำนวยประโยชน์อย่างถาวรได้ตลอดไป

             

    สืบ นาคะเสถียร



    นิยายเรื่องนี้ไรท์ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก 'ดอกราชาวดี' หรือภาษาเหนือคือ 'ดอกสะหลีจันตา'

    พอหาข้อมูลก็ไม่พบว่าดอกไม้นี้เข้ามาในประเทศไทยเมื่อไหร่

    มีเพียงคร่าวๆ ว่าปรากฏหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และไม่มีที่มาว่าทำไมถึงชื่อนี้

    ไรท์ก็เลยใช้ความมโนของตัวเองเขียนที่มาของดอกไม้ซะเลย


    พีเรียดจะอยู่ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนะคะ ประมาณปี 247x เพราะธราพระเอกของเรื่องเป็นนักเรียนป่าไม้จบจากปินมะนา ซึ่งรุ่นสุดท้ายคือปี 2476 แล้วจึงเกิดโรงเรียนป่าไม้แพร่ขึ้นค่ะ ฉากหลังจะเป็นป่าเขาทางเหนือ มีแทรกความรู้เรื่องการทำสัมปทานไม้สักมาบ้างนิดหน่อย และยังคงคอนเซปความอ่านสบายสไตล์ปีกดอกไม้เอาไว้



    เรื่องนี้ไม่สามารถนำมาอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้นะคะ

    และพล็อตค่อนข้างจะซับซ้อนมาก อาจจะมีกลับมารีไรท์เรื่อยๆ

    ขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ



         "แรมสิรีคิดหัวแทบแตกก็ยังคิดไม่ออก เออ เอาเข้าไป นอนหลับอยู่ที่ห้องเพื่อนดีๆ ทำไมถึงมาโผล่ที่ลำปางไปได้ แล้วไม่มาโผล่เวลาปกติเสียด้วย ต้องย้อนเวลากลับ มาเกือบร้อยปี แถมคนที่โผล่มาเจอดันคิดว่าเธอเป็นสะหลีจันตา ภรรยาของเขาเสียอีก บ้าไปแล้ว แต่เดี๋ยวนะ...ผู้ชายคนแรกเรียกชื่อสะหลีจันตาแล้วตะโกนว่าผีหลอก หรือ ว่าภรรยาที่ว่าจะเสียชีวิตไปแล้ว..."

         “นี่ต้นอะไรคะ” แรมสิรีชี้ไปที่ต้นดอกไม้ที่สุดแปลงเพาะ “ต้นดอกอะไรน่ะ กลิ่นหอมคุ้นจัง”

         “ดอกสะหลีจันตา” เธอหันไปมองเขาตาโต

         “ชื่อนี้จริงๆ หรือ มันเหมือนกับชื่อของ...”

         “สะหลีจันตา” เขาเอ่ยยิ้ม เป็นยิ้มที่นุ่มนวลยามเมื่อเอ่ยเรียกชื่อคนรัก “ผมได้ต้นดอกไม้นี้มาจากครูที่สอนอยู่โรงเรียนป่าไม้ในปินมะนา ท่านเป็นชาวอังกฤษที่เคย อยู่ในอินเดียมาก่อน ต้นดอกไม้นี้ก็คงมาจากอินเดียเช่นกัน เป็นรางวัลสำหรับผมที่ทำคะแนนได้ดี ผมพยายามที่จะขยายพันธุ์มันมาสักพักแล้ว ต้นใหญ่นั้นลงไว้ที่ข้างรั้วบ้าน กลางคืนส่งกลิ่นหอมมาก” เขาเอ่ยพลางเอื้อมเด็ดช่อหนึ่งยื่นส่งมาให้ “ครูชาวอังกฤษเรียกมันว่า Butterfly Bush เพราะกลิ่นของมันดึงดูดผีเสื้อได้ดี”

         “ดอกไม้นี้ไม่ได้ชื่อนี้มาแต่แรกใช่ไหมคะ คุณเป็นคนนำชื่อสะหลีจันตามาตั้งเป็นชื่อดอกไม้ฉันเข้าใจถูกไหม” เธอถามมองหน้าเขา ชายหนุ่มกระแอมนิดหนึ่งก่อนจะตั้งต้นเล่า

         “คุณรู้ไหมมีเรื่องตลกอยู่อย่างหนึ่ง สะหลีจันตาเป็นชื่อภาษาคำเมือง เจ้าย่าเขาตั้งให้ แปลอย่างไทยก็คงว่า ‘ศรีจันทร์’ อย่างนั้นละกระมัง แต่เพื่อนๆ ของเขากลับมีชื่อเป็นดอกไม้กันทุกคน เป็นความบังเอิญและตลกอย่างร้ายกาจ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมี กิ่งแก้ว หอมนวล มะลิวัลย์-มะลุลี สองคนนี้เป็นฝาแฝดกัน แล้วก็อีกคนชื่อวาสนา เป็นชื่อดอกไม้ทั้งนั้นเลยคุณ ทีนี้มีปิดเทอมหนึ่งผมเคยได้ไปเที่ยวที่คุ้มหลวงเมืองเชียงพันโสมและบังเอิญว่าคุณหอมนวลก็ไปในช่วงเวลาเดียวกันเลยได้ยินเสียงตัดพ้อกับเพื่อนว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มีชื่อเป็นดอกไม้”

         “คุณก็เลยเอาต้นดอกไม้ไร้ชื่อนี้มาตั้งชื่อว่าสะหลีจันตาเสียเลยอย่างนั้นหรือ” เขายิ้มออกมา ยิ้มทั้งปากและตาจนแรมสิรีอดยิ้มตามไปไม่ได้ “วิธีจีบสาวคุณนี่ใช้ได้เลย”

         “คุณออกจะยกยอผมเกินไป” ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะนึกถึงคำพูดของตัวเองขึ้นมาได้ ‘ศรีจันทร์’ อย่างนั้นหรือ “ใครเป็นคนตั้งชื่อคุณหรือ แรมสิรี...”

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น