ลิขิตแรม
เมื่อฝันเดิมทุกเดือนพาเธอย้อนเวลากลับมาที่บ้านพักผู้ช่วยป่าไม้ แถมคนหลงมายังหน้าตาไปเหมือนกับภรรยาของเจ้าของบ้านที่ตายไปแล้วอีก มายังไงก็ไม่รู้ หาทางกลับก็ไม่ได้ แล้วยังไม่วายมีเรื่องวิ่งเข้ามาหาตลอดๆ
ผู้เข้าชมรวม
3,043
ผู้เข้าชมเดือนนี้
8
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ป่าไม้ที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นเสมือนต้นทุนซึ่งเป็นของประเทศ และปริมาณเนื้อไม้ที่งอกเงยขึ้นทุกปีนั้นเป็นดอกเบี้ยที่เราอาจจะนำออกใช้สอยได้เป็นรายปี
ต้นทุนที่มีอยู่ไม่สมควรไปแตะต้องเป็นอันขาด คงใช้แต่ดอกเบี้ยเท่านั้น
มิเช่นนั้นแล้ว ป่าไม้ที่มีอยู่ก็จะไม่สามารถอำนวยประโยชน์อย่างถาวรได้ตลอดไป
สืบ นาคะเสถียร
นิยายเรื่องนี้ไรท์ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก 'ดอกราชาวดี' หรือภาษาเหนือคือ 'ดอกสะหลีจันตา'
พอหาข้อมูลก็ไม่พบว่าดอกไม้นี้เข้ามาในประเทศไทยเมื่อไหร่
มีเพียงคร่าวๆ ว่าปรากฏหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และไม่มีที่มาว่าทำไมถึงชื่อนี้
ไรท์ก็เลยใช้ความมโนของตัวเองเขียนที่มาของดอกไม้ซะเลย
พีเรียดจะอยู่ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนะคะ ประมาณปี 247x เพราะธราพระเอกของเรื่องเป็นนักเรียนป่าไม้จบจากปินมะนา ซึ่งรุ่นสุดท้ายคือปี 2476 แล้วจึงเกิดโรงเรียนป่าไม้แพร่ขึ้นค่ะ ฉากหลังจะเป็นป่าเขาทางเหนือ มีแทรกความรู้เรื่องการทำสัมปทานไม้สักมาบ้างนิดหน่อย และยังคงคอนเซปความอ่านสบายสไตล์ปีกดอกไม้เอาไว้
เรื่องนี้ไม่สามารถนำมาอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้นะคะ
และพล็อตค่อนข้างจะซับซ้อนมาก อาจจะมีกลับมารีไรท์เรื่อยๆ
ขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
"แรมสิรีคิดหัวแทบแตกก็ยังคิดไม่ออก เออ เอาเข้าไป นอนหลับอยู่ที่ห้องเพื่อนดีๆ ทำไมถึงมาโผล่ที่ลำปางไปได้ แล้วไม่มาโผล่เวลาปกติเสียด้วย ต้องย้อนเวลากลับ มาเกือบร้อยปี แถมคนที่โผล่มาเจอดันคิดว่าเธอเป็นสะหลีจันตา ภรรยาของเขาเสียอีก บ้าไปแล้ว แต่เดี๋ยวนะ...ผู้ชายคนแรกเรียกชื่อสะหลีจันตาแล้วตะโกนว่าผีหลอก หรือ ว่าภรรยาที่ว่าจะเสียชีวิตไปแล้ว..."
“นี่ต้นอะไรคะ” แรมสิรีชี้ไปที่ต้นดอกไม้ที่สุดแปลงเพาะ “ต้นดอกอะไรน่ะ กลิ่นหอมคุ้นจัง”
“ดอกสะหลีจันตา” เธอหันไปมองเขาตาโต
“ชื่อนี้จริงๆ หรือ มันเหมือนกับชื่อของ...”
“สะหลีจันตา” เขาเอ่ยยิ้ม เป็นยิ้มที่นุ่มนวลยามเมื่อเอ่ยเรียกชื่อคนรัก “ผมได้ต้นดอกไม้นี้มาจากครูที่สอนอยู่โรงเรียนป่าไม้ในปินมะนา ท่านเป็นชาวอังกฤษที่เคย อยู่ในอินเดียมาก่อน ต้นดอกไม้นี้ก็คงมาจากอินเดียเช่นกัน เป็นรางวัลสำหรับผมที่ทำคะแนนได้ดี ผมพยายามที่จะขยายพันธุ์มันมาสักพักแล้ว ต้นใหญ่นั้นลงไว้ที่ข้างรั้วบ้าน กลางคืนส่งกลิ่นหอมมาก” เขาเอ่ยพลางเอื้อมเด็ดช่อหนึ่งยื่นส่งมาให้ “ครูชาวอังกฤษเรียกมันว่า Butterfly Bush เพราะกลิ่นของมันดึงดูดผีเสื้อได้ดี”
“ดอกไม้นี้ไม่ได้ชื่อนี้มาแต่แรกใช่ไหมคะ คุณเป็นคนนำชื่อสะหลีจันตามาตั้งเป็นชื่อดอกไม้ฉันเข้าใจถูกไหม” เธอถามมองหน้าเขา ชายหนุ่มกระแอมนิดหนึ่งก่อนจะตั้งต้นเล่า
“คุณรู้ไหมมีเรื่องตลกอยู่อย่างหนึ่ง สะหลีจันตาเป็นชื่อภาษาคำเมือง เจ้าย่าเขาตั้งให้ แปลอย่างไทยก็คงว่า ‘ศรีจันทร์’ อย่างนั้นละกระมัง แต่เพื่อนๆ ของเขากลับมีชื่อเป็นดอกไม้กันทุกคน เป็นความบังเอิญและตลกอย่างร้ายกาจ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมี กิ่งแก้ว หอมนวล มะลิวัลย์-มะลุลี สองคนนี้เป็นฝาแฝดกัน แล้วก็อีกคนชื่อวาสนา เป็นชื่อดอกไม้ทั้งนั้นเลยคุณ ทีนี้มีปิดเทอมหนึ่งผมเคยได้ไปเที่ยวที่คุ้มหลวงเมืองเชียงพันโสมและบังเอิญว่าคุณหอมนวลก็ไปในช่วงเวลาเดียวกันเลยได้ยินเสียงตัดพ้อกับเพื่อนว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มีชื่อเป็นดอกไม้”
“คุณก็เลยเอาต้นดอกไม้ไร้ชื่อนี้มาตั้งชื่อว่าสะหลีจันตาเสียเลยอย่างนั้นหรือ” เขายิ้มออกมา ยิ้มทั้งปากและตาจนแรมสิรีอดยิ้มตามไปไม่ได้ “วิธีจีบสาวคุณนี่ใช้ได้เลย”
“คุณออกจะยกยอผมเกินไป” ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะนึกถึงคำพูดของตัวเองขึ้นมาได้ ‘ศรีจันทร์’ อย่างนั้นหรือ “ใครเป็นคนตั้งชื่อคุณหรือ แรมสิรี...”
ผลงานอื่นๆ ของ Aliferous/ปีกดอกไม้ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Aliferous/ปีกดอกไม้
ความคิดเห็น