คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 2 : Lethal Effect (rewrite 95%)
Gate-in Processing…
Your genetic ID is 545879431356053240523a
[ U T O P I A ]
The world our souls are connected
--------------------------------------------------------------
ขาวโพลน... ทุกอย่างรอบตัวของราล์ฟเวลานี้ขาวโพลนไปหมด มันไม่ใช่แค่ภาพทั้งหมดเป็นสีขาว หากแต่มันเป็นแสงสีขาวสว่างจนชวนแสบตา แต่ก็ไม่แสบ... ไม่สิ ควรจะบอกว่าตอนนี้เขาไม่รู้สึกเลยสักนิดว่ามีดวงตาไว้ให้แสบ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ตอนนี้เขาเหมือนไม่มีร่างกาย ไม่มีอวัยวะ เหลือแต่เพียงดวงจิตที่รับรู้ได้แค่ว่า ทุกสิ่งรอบกายมันสว่างไปหมดเท่านั้นเอง...
...แต่เขาก็ชินชากับมันแล้ว...
สิบวินาทีผ่านไปไม่ขาดไม่เกิน ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นความมืด พร้อมกับความรู้สึกว่าได้ร่างกายทั้งหมดกลับคืนมาแล้ว ร่างกายของเด็กหนุ่มทอดกายนอนอยู่บนเตียงแข็ง ๆ มันเป็นแบบนี้เสมอยามเกตอินเข้ามาในยูโทเปีย ที่นี่เป็นห้องเล็ก ๆ สีขาว ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องเป็นสีขาว แม้แต่เตียง หรือชุดที่เขาใส่ก็ยังเป็นสีขาว ทำให้บางครั้งราล์ฟก็คิดว่ามันเป็นโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง ถึงแม้ว่า ห้องแห่งการเริ่มต้น นี้จะสามารถตกแต่งเพิ่มเติมได้ก็ตาม แต่ด้วยความขี้เกียจและไม่มีอารมณ์ความสามารถทางศิลป์ ทำให้เขาไม่เคยคิดสักนิดที่จะเปลี่ยนแปลงมัน
เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงนอน ภายในห้องยังมีเฟอร์นิเจอร์อีกอย่างนอกเหนือจากเตียงที่เมื่อครู่เขาเพิ่งลุกออกมา มันคือโต๊ะไม้เตี้ยทรงกลมธรรมดา ๆ ที่เหนือขึ้นไปมีก้อนหินทรงรีลอยอยู่ บนหินก้อนนั้นสลักตัวอักษรประหลาดมากมายเต็มไปหมด แต่แน่นอนว่า ทั้งสองสิ่งที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นสีขาวทั้งสิ้น และเมื่อราล์ฟเดินเข้าใกล้ก้อนหินก้อนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาท
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ยูโทเปีย ท่านต้องการอ่านคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับมือใหม่หรือไม่” เสียงนั้นเหมือนเสียงของผู้หญิง หากแตกพร่าราวกับมีสัญญาณรบกวน
“ไม่” เด็กหนุ่มตอบสั้น ๆ
พลัน! กรอบรูปจำนวนมากมายหลายกรอบก็ปรากฏขึ้นรอบกายของราล์ฟ ทุกกรอบล้วนดูโดดเด่นออกมาจากห้องสีขาวโพลนด้วยตัวกรอบนั้นประกอบขึ้นจากเนื้อไม้สีน้ำตาล ไม่ได้เป็นสีขาวแต่อย่างใด ทว่ากรอบรูปมากมายทั้งหมด กลับไม่มีรูปใดอยู่ในนั้นเลยสักกรอบเดียว
“ท่านประสงค์จะไปยังเอ็มไพร์ใด”
แล้วในแต่ละกรอบรูปก็เกิดเส้นสายขีดเขียนอย่างรวดเร็ว ในไม่กีวินาทีมันก็ปรากฏขึ้นมาเป็นภาพเขียนของสถานที่ต่าง ๆ ในแต่ละเอ็มไพร์ หรือโซนย่อยในยูโทเปียซึ่งเก็บรวบรวมอารยธรรมและข้อมูลที่มีความใกล้เคียงกันในแต่ละอารยธรรมเอาไว้ด้วยกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเอ็มไพร์โอฟีเลีย ที่เขาและโทปริโอไปปราบมังกรกันมาก็เป็นเอ็มไพร์ซึ่งรวบรวมอารยธรรมฝั่งทวีปยุโรปโบราณในยุคกลางเอาไว้ด้วยกัน ในขณะที่เอ็มไพร์นิรวานะที่เขากำลังจะไปอยู่นี้ก็รวบรวมไว้ด้วยอารยธรรมตะวันออกเอาไว้ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นอารยธรรมทวีปเอเชียโบราณ
“นิรวานะ” ราล์ฟตอบอย่างนึกเบื่อ ถึงเจ้าก้อนหินนี่จะถามด้วยน้ำเสียงเหมือนมนุษย์ก็จริง แต่มันก็มักจะถามซ้ำ ๆ แบบเดิมจนเขาจำได้เกือบทุกขั้นตอนแล้ว
“ท่านประสงค์จะไปยังคาสเซิลใด หรือต้องการสุ่มเลือกสถานที่ปลายทาง”
ภาพในกรอบรูปเดิมจางหายไป ก่อนมีการขีดเขียนขึ้นมาใหม่ในเวลาไม่กี่วินาที สิ่งที่เรียกว่าคาสเซิลนั้นคือการจัดแบ่งย่อยลงมาจากเอ็มไพร์อีกทีหนึ่ง แต่อาจจะแตกต่างกันนิดหน่อยในด้านปริมาณ เพราะเอ็มไพร์นั้นมีตัวเลือกอยู่ไม่ถึงสิบตัวเลือก ในขณะที่คาสเซิลทั้งหมดนั้นมีนับแสนนับล้านคาสเซิล ทั้งที่มีตัวตนอยู่จริงในโลกเก่า หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่คนในยุคนี้สร้างขึ้นมากันเอง ด้วยความหลากหลายของคาสเซิล เวลานี้กรอบรูปจึงทำการสุ่มคาสเซิลออกมาในจำนวนหนึ่ง พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ และแป้นพิมพ์เรืองแสงด้านล่างสำหรับใช้ในการค้นหา เผื่อใครที่อยากจะพิมพ์อะไรมั่ว ๆ เพื่อสุ่มคาสเซิลขึ้นมาเองก็สามารถทำได้
มือหยาบหนาพิมพ์คำว่า Shaolin Temple หรือวัดเส้าหลินลงไปในระบบ นี่เป็นหนึ่งในสถานที่เพียงไม่กี่แห่งในนิรวานะที่ราล์ฟรู้จัก ส่วนหนึ่งเพราะตัวเขาเองสนใจเทพนิยายของฝั่งยุโรปมากกว่าอะไรที่เป็นฝั่งตะวันออก หลังจากพิมพ์ชื่อคาสเซิลเสร็จไม่นานกรอบรูปก็เปลี่ยนรูปอีกครั้ง คราวนี้มันกลายเป็นภาพของเสื้อผ้าต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสามารถสั่งเปลี่ยนได้เพียงแค่ใช้ความคิดและจินตนาการนิดหน่อยเท่านั้น แต่แน่ล่ะ เด็กหนุ่มไม่มีความคิดเรื่องจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของตนเองสักนิด ดังนั้นชุดที่เขาเลือกจึงเป็นชุดเดิมเสมอ...
...เสื้อคลุมสีกรมท่าแถบแดงที่ภายในเป็นเสื้อยืดสีดำ...
หลังจากที่ทุกอย่างถูกเลือกเรียบร้อยดีแล้ว กรอบรูปทั้งหมดก็จางหายไป เผยให้เห็นบานประตูไม้สีน้ำตาลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า โดยไม่ยึดติดกับผนัง หรืออะไรก็ตามที่พอจะคิดได้ว่ามันเป็นกำแพง เด็กหนุ่มคว้าลูกบิดอลูมีเนียมแบบที่คนบนโลกเก่านิยมใช้ ประตูไม้ถูกผลักเปิดออกช้า ๆ พร้อมกับสายลมที่พัดพาเอากลิ่นอายที่แตกต่างจากภายในอย่างชัดเจน
ก้าวแรกของราล์ฟสัมผัสถูกพื้นดินนุ่ม ๆ ติดจะชื้น ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงจักจั่นเรไรจากทิวป่าสองข้างทางที่เวลานี้มืดเสียจนมองเห็นแค่เพียงเงาสลัวของแมกไม้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครึ้ม ปราศจากแสงจากดวงอาทิตย์ มีเพียงแสงอ่อน ๆ จากดวงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับที่พอมองเห็นอยู่บ้างประปราย ทางเบื้องหน้ามีแสงสว่างจากคบเพลิงหน้าประตูกำแพงก่ออิฐฉาบปูน และหลังคากระเบื้องสีแดงสด นอกจากนี้คบเพลิงยังส่องสว่างให้เห็นสิงโตหินสลักสองตัวซึ่งตั้งขนาบบันไดปูนที่ทอดตัวลงมาตามเนินเตี้ย ๆ อีกด้วย
เด็กหนุ่มก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดหิน ข้ามผ่านธรณีประตู และได้พบกับลานกว้างขนาดใหญ่ที่เปิดโล่ง แสงจันทร์นวลทำให้จากจุดที่ราล์ฟยืนอยู่สามารถมองเห็นภาพทิวทิศน์รอบด้านได้เลือนราง เขาพอมองออกว่าพื้นลานกว้าง รวมไปถึงทางเดินล้วนปูด้วยหินหยาบ ซีกขวานั้นเป็นอาคารไม้หลังใหญ่ ตั้งยาวไปทั้งแถบ ส่วนซีกซ้ายนั้นเป็นสวนหย่อมที่เต็มไปด้วยไม้ประดับมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลถึงกับตกตะลึง ก็คือเจดีย์ทรงจีนสูงเสียดฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แม้ในยามค่ำคืนเช่นนี้จะไม่อาจมองเห็นรายละเอียดของมันได้อย่างชัดเจน แต่ความยิ่งใหญ่และสวยงามของมันก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
...จะว่าไปศิลปะตะวันออกก็สวยใช่เล่น...
พรืด! ระหว่างที่กำลังก้าวเดินอย่างช้า ๆ ราล์ฟก็ลื่นหกล้มหงายหลังลงไปเสียดื้อ ๆ เขาลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนพบว่าสิ่งที่ทำให้ตนล้มลงไปเมื่อครู่นั้น เป็นเพียงแค่...
...เปลือกกล้วย...
“มันมายังไงล่ะเนี่ย”
เด็กหนุ่มเกาหัว จะว่าเขาเป็นคนซุ่มซ่ามก็ไม่ใช่ ดังนั้นการที่เขาจะหกล้มง่าย ๆ เพราะเหยียบอะไรสักอย่างแล้วลื่นนี่ แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยสักนิด หรือเมื่อครู่เขาไม่ได้สังเกตให้ดีว่ามีเปลือกกล้วยอยู่บนพื้น... คิดไปเจ้าตัวก็เดินต่อไป แต่แล้ว!!
พรืด!! คราวนี้แทนที่จะหงายหลังลงไป กลับกลายเป็นหน้าคะมำลงไปจับกบแทน แถมสิ่งที่เขาเหยียบลื่นเมื่อครู่ ยังลอยกระเด็นขึ้นมาตกแหมะอยู่บนหัวยุ่ง ๆ สีน้ำตาลของเขาอีกต่างหาก...
...เปลือกกล้วย...อีกแล้วเรอะ!!...
คราวนี้ราล์ฟลุกขึ้นยืนขมวดคิ้วนิ่ง มันเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ ที่คนอย่างเขาจะโง่ซ้ำซ้อน เหยียบเปลือกกล้วยลื่นล้มติดกันสองหนในเวลาไล่เลี่ยกันขนาดนี้ เด็กหนุ่มเหลือบตามองไปรอบตัวด้วยแรงอาฆาต แล้วสายตาของเขาก็ไปพบกับภาพของฝูงลิงฝูงหนึ่งที่นั่งเล่นนั่งกินกล้วยกันอยู่บนหลังคาของอาคารไม้ทรงจีน ที่สำคัญ พวกมันไม่ต่ำกว่าสิบตัวกำลังมองมาที่เขาแล้วทำท่าตบมือหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
...ไอ้ลิงบ้า...อยากตายก่อนกำหนดสินะ...
มือของเขาเลื่อนไปวางไว้บนรอยสัก เตรียมพร้อมจะหยิบอาวุธออกมาจากบุ๊กเล็ต คิดจะทำลิงหันสักตัวสองตัวเพื่อระบายอารมณ์ แต่กลับต้องหยุดมือไว้ตรงนั้น เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากพุ่มไม้ด้านหลัง...
“จ...จ...เจ้าพวกลิงบ้า!!” เสียงสั่นดังลั่นลานกว้าง พร้อมกับร่างหนึ่งที่เดินหลุดออกมาจากพุ่มไม้นั้น
เด็กชายสวมแว่นตาหนาเตอะ หลับหูหลับตาถือไม้ช็อตยุงสีม่วงอ่อนหวดไปมา จนเกิดเสียงดัง ทั้งที่ตรงหน้าไม่มีตัวอะไรยืนอยู่แล้วก็ตาม ราล์ฟสังเกตดูชุดที่ใส่ยังเป็นชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น แถมยังมอมแมมไปทั้งตัว เห็นแบบนั้นแล้วก็นึกขำจนล้มเลิกความคิดที่จะเอาคืนฝูงลิงเวร ๆ นั่นไปสนิทใจ
...ไอ้หมอนี่นอกจากไร้ฝีมือแล้วยังไร้รสนิยมสิ้นดี...
...คิดได้ไงวะไม้ช็อตยุงกับชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น...
ฝูงลิงกระโจนไปมาอยู่บนต้นไม้แถวนั้น ตบมือหัวเราะกันอย่างเฮฮา บางตัวลงไปเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นอย่างไม่นึกกลัวว่าเจ้าสี่ตานั่นจะมองเห็น ราล์ฟหันกลับไปมองที่เด็กน้อยอีกหน คราวนี้เจ้าเด็กแว่นนั่นลงไปนั่งคุกเข่าหมดแรงหายใจหอบถี่ ขาสองข้างยังคงสั่นกลัวไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด... แล้วลองอยู่ในสภาพแบบนี้ ใครที่ไหนล่ะจะไม่อยากแกล้ง อย่าว่าแต่เจ้าลิงกวนประสาทฝูงนั้นเลย...
โป๊ก! ก้อนหินถูกเขวี้ยงไวเท่าความคิดของเด็กหนุ่ม มันพุ่งตรงจากมือลิงตัวใดตัวหนึ่งในฝูง ลอยโค้งไปลงกลางกระหม่อมของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาอย่างจัง ถึงจะไม่แรงเท่าไร แต่มันก็เป็นเครื่องยั่วโมโหที่ดีใช่เล่น เพราะเวลานี้เจ้าเด็กแว่นกลับลุกขึ้นยืนแล้วจับอาวุธ (?) ของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ฝูงลิงอย่างไม่คิดชีวิต
“ฉันจะอัด...จะอัดพวกแกให้...ห...ให้น่วมเลย...”
ราล์ฟกุมขมับกับภาพที่เห็น ก่อนเดินเบี่ยงหลบออกไปอย่างอเนจอนาถใจ ภาพของพวกมือใหม่ที่โดนดรีมชาร์ดระดับล่างเล่นงานเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ ในเขตสำหรับบัตรผ่านต่ำสุด เพราะมีหลายคนที่คิดสนุกอยากสู้กับดรีมชาร์ดทั้งที่ตัวเองไม่มีฝีมือมากเพียงพอ ถึงจะผ่านการสอบทำบัตรผ่านมาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกำราบพวกดรีมชาร์ดกันได้ง่าย ๆ ในยูโทเปียแห่งนี้...ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือเจ้าสี่ตากับไม้ช็อตยุงนั่นแหละ...
เขาเดินมาถึงส่วนที่เป็นสวนหย่อม ไม้พุ่ม ไม้ดอก รวมไปถึงไม้ใหญ่ถูกตัดแต่งจัดเรียงอย่างลงตัวตามสไตล์การจัดสวนแบบจีน ไม้ดอกเตี้ย ๆ ถูกปลูกรวมกัน รายรอบด้วยก้อนหินจัดเรียงกันเสมือนทิวรั้วป้องกันมิให้ใครก้าวล้ำเข้าไปทำลายหมู่ไม้ดอก แต่บางส่วนก็ใช้ไม้พุ่มเตี้ยทำหน้าที่คล้าย ๆ กัน พื้นทางเดินปูด้วยหินหยาบ มีบันไดหินในบางจุดที่เป็นเนินสูงต่ำ ทางเดินนั้นทอดยาวไปจนถึงริมสระน้ำ ที่สะท้อนแสงจันทร์ระยับตาน่ามอง มีเก๋งจีนยืนลงไปในสระ เก๋งนั้นประกอบขึ้นจากไม้ตามแบบสถาปัตยกรรมจีนทุกประการทำให้มันมีเสน่ห์ในตัวมันเอง
กลิ่นอายหอมหวานจากดอกไม้หลากสี ยังสามารถหลอกล่อแมลงให้บินดอมดมได้ แม้ในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ ผีเสื้อกลางคืนรวมถึงแมลงกลางคืนต่าง ๆ ยังคงโบยบินไปทั่วทั้งสวน บ้างส่งเสียงร้องเบา ๆ บ้างก็ส่งแสงกระพริบ ขับให้สวนจีนยามค่ำคืนดูมีมนตร์ขลังขึ้นอีกไม่มากก็น้อย...แต่แล้วสายตาของราล์ฟก็ไปหยุดอยู่กับคนเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ในสวนแห่งนี้
เธอเป็นเด็กสาวร่างเล็กกะทัดรัด ยืนหันหลังอวดทรวดทรงองเอวในชุดกี่เพ้าแขนสั้นสีชมพูเข้ารูป เส้นผมสีบลอนด์ถูกเกล้ามัดไว้สองข้างด้วยสายรัดผมประดับหยก เผยผิวขาวนวลดูดีน่าลูบไล้...
...แต่ท่าทางกระโดกกระเดกนั่นปิดยังไงก็ไม่มิด...
เธอวิ่งไปวิ่งมาในสวน ดมดอกไม้ดอกนั้นที ดอกนี้ทีจนชุดกี่เพ้าที่ผ่าสูงสะบัดไปมา แถมบางครั้งสูดลมหายใจเสียงดังจนเขาที่อยู่ห่างออกไปพอสมควรยังได้ยิน... ราล์ฟถอนใจแล้วเปลี่ยนเป้าหมายออกเดินตรงไปยังเก๋งจีนกลางน้ำ เขาจงใจทำให้เสียงฝีเท้าดังเพื่อให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยิน ก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนที่นั่งไม้ที่ต่อไว้ภายในตัวเก๋งอย่างสบายใจ
เสียงฝีเท้าที่ดังมาทำให้เซลินรู้สึกตัว เธอหันมองตามฝีเท้าเห็นเพียงชายผ้าคลุมสีกรมท่าแถบแดงที่สะบัดไปมาบนทางเดินตรงไปยังสระน้ำเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้เด็กสาวรับรู้ได้ว่า บุคคลที่เธอกำลังคอยอยู่ได้มาถึงแล้ว รอยยิ้มสวยระบายขึ้นบนใบหน้าติดจะหวาน แล้วสองเท้าก็ก้าวตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปทันที...
“นายมาสายอีกแล้วนะราล์ฟ!” เซลินเอ่ยทัก พร้อมตีมือลงไปที่แขนของราล์ฟอย่างเร็ว แต่กลับต้องจั่วลม เพราะเจ้าตัวกวนดันกระเถิบหลบได้ทันเสียอย่างนั้น
“คราวนี้ไม่พลาดง่าย ๆ หรอกน่า” เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มอย่างรู้ทัน “แต่เธอน่าจะชินได้แล้วนะ เรื่องสายน่ะ ฮ่า ๆๆ”
เพียะ! เพราะมัวแต่หัวเราะ เซลินเลยฉวยโอกาสหวดฝ่ามือเข้าเต็มรัก เล่นเอาคนที่กำลังมีอารมณ์ขันถึงกับสะดุ้งพรวดอย่างตกใจ คราวนี้คนหัวเราะกลายเป็นเด็กสาวในชุดกี่เพ้าแทน ส่วนราล์ฟได้แต่ทิ้งตัวลงไปนั่งถอนใจอีกครั้งเบา ๆ
“อุตส่าห์จะชมสักหน่อยว่าน่ารัก” เด็กหนุ่มบ่นเบา ๆ แต่ก็จงใจทำให้เซลินได้ยิน
“ว...ว่าไงนะ...”
“ก็บอกว่าเธอน่ารัก...” คราวนี้เด็กสาวยิ้มหน้าแดงแก้มแทบปริ หากแต่...เจ้าตัวกวนยังพูดไม่จบ “...ษา”
“คิดได้ไง กี่เพ้าผูกแกละ แถมยังสีชมพูสดซะ มองเห็นได้เป็นกิโล ๆ”
คราวนี้แทนที่จะตีแค่ที่เดียว เซลินเลยก้มหน้าหวดฝ่ามือใส่แขนของราล์ฟไม่ยั้ง ทั้งความเขินจากคำชม และความอายที่ถูกล้อเล่นกับความรู้สึกจากคนกวนประสาทตรงหน้าของเธอ แต่แน่ล่ะ ไม่มีใครโง่ยืนนิ่งให้โดนตีกันง่าย ๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะเด็กหนุ่มตัวกวนคนนี้ เพราะทันทีที่ตั้งหลักได้ เขาก็ออกวิ่งทันที ทำให้เซลินต้องวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มนั้นจงใจวิ่งด้วยความเร็วที่พอให้เด็กสาวตามทันด้วยมีเจตนาจะแกล้งอยู่แล้ว จนกระทั่งวิ่งมาถึงลานกว้าง...
พรืด! ด้วยความที่มัวแต่คอยมองเซลินไม่ให้ทิ้งห่างเธอมากจนเกินไป เด็กหนุ่มเลยไม่ทันได้ระวังว่าตนเองวิ่งหนีจนหลุดเข้ามาถึงลานกว้างเดิมที่เขาเข้ามาทีแรก และไม่ทันคิดว่า ที่ลานกว้างนั้น เขาต้องเจอเข้ากับ...
...เปลือกกล้วย...
เสียงตบมือดีอกดีใจดังมาจากฝูงลิงฝูงเดิมที่เคยทำท่าเยาะเย้ยเขา เด็กหนุ่มกำมือแน่นด้วยความโกรธ ร่างหนายันตัวลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ นัยน์ตาสีเขียวอมน้ำทะเลเวลานี้เดือดดาลเกรี้ยวกราด เพียงปรายตาไปมองเจ้าฝูงลิงกวนประสาทพวกนั้น พวกมันก็พากันสะดุ้ง เพราะรับรู้ได้ถึงอันตรายที่คืบคลานมาหาพวกมันอย่างช้า ๆ ราล์ฟเอื้อมมือไปสัมผัสรอยสักเตรียมดึงเอาบุ๊กเล็ตออกมา แต่เสียงหัวเราะคิกคักกลับดังมาจากด้านหลังเสียก่อน
“ไม่คิดว่าคนอย่างนายจะโกรธเป็น” เซลินได้ทีรีบสวนคำพูดเอาคืนทันที “เห็นปกติถนัดแต่ทำให้คนอื่นโกรธ”
ราล์ฟเหยียดยิ้ม ลดมือลงจากรอยสัก เลิกคิดที่จะทำอะไรกับเจ้าลิงฝูงนั้น เขาหันหลังกลับมาหาเด็กสาวด้วยใบหน้าที่เป็นปกติ ไม่มีริ้วรอยของความโกรธ ราวกับเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ทั้งที่ความจริงแล้วโทสะในใจไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย...ทว่า...เขาคิดอะไรสนุก ๆ ได้ต่างหาก...
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน” เด็กหนุ่มลูบคางหัวเราะในลำคอ “ว่าแต่วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องการสู้กับดรีมชาร์ดสินะ”
เด็กสาวได้ยินแล้วก็พยักหน้ารับ “นั่นสินะ ลืมไปเลย”
“แล้วเธอรู้อะไรเกี่ยวกับบุ๊กเล็ตบ้างล่ะเนี่ย” เซลินส่ายหน้า ส่วนราล์ฟ ได้แต่ถอนหายใจ “บุ๊กเล็ตของแต่ละคนจะมีหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่หน้าที่ของมันจะเหมือน ๆ กัน คือมีไว้ใช้เก็บข้อมูลของดรีมชาร์ด ข้อมูลบัญชีธนาคาร ข้อมูลสุขภาพ รวมถึงคำสั่งต่าง ๆ มากมาย ด้วยความสำคัญของมันดังนั้น ต่อให้เธอทำหายยังไง สุดท้ายมันก็จะกลับมาหาเธอเอง รายละเอียดคำสั่งฉันคงไม่อธิบาย เพราะเดี๋ยวเธอใช้ ๆ ไปก็คงชินเอง”
“แต่ตอนนี้ ฉันขอดูอาวุธของเธอก่อนดีกว่า”
เซลินพยักหน้ารับอีกครั้งแล้วเอ่ยออกมาเบา ๆ “จงออกมา ซิลฟ์” ทันใดนั้นต่างหูรูปหยดน้ำสีชมพูใสก็ทอแสงอ่อน ๆ ออกมา ก่อนกลายสภาพเป็นภูตตัวเล็กจิ๋วบินโฉบไปมาอย่างน่ารักน่าชัง แล้วบินตัดไปตัดมาตรงหน้า ทิ้งเส้นแสงสีชมพูอ่อนให้ประกอบกันกลายเป็นแผ่นกระดานบุ๊กเล็ตสีชมพูโปรงแสงกลางอากาศ เด็กสาวกดคำสั่งอย่างช้า ๆ เหมือนไม่มั่นใจว่าตนเองทำถูกหรือไม่ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ใช้มือดึงเอา ‘อาวุธ’ ของเธอออกมา...
...ตุ๊กตาหมีขนฟูสีน้ำตาลเนี่ยนะเฮ้ย!!...
“ถ้าจำไม่ผิดฉันพูดว่าอาวุธนะ...”
“ก็นี่แหละ อาวุธ” เซลินรับคำ พร้อมจับแขนของเจ้าหมีน้อยให้โบกไปมา
เด็กหนุ่มจ้องมอง ‘อาวุธ’ ในอ้อมแขนของเด็กสาวไม่วางตา ขนฟูฟ่องสีน้ำตาล มีสายผูกคอสีแดง ห้อยกระดิ่ง ใบหน้าเย็บด้วยผ้าเสียจนเหมือนจริง...เหมือนจริงจนเกินไปเสียด้วยกระมัง...ดวงตาลูกปัดสีดำถูกเย็บอย่างประณีตบรรจง แต่ประกายของลูกปัดนั้น...กลับทำให้ราล์ฟรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองด้วยสายตาที่...
...โคตรไร้ความเป็นมิตร...
“มันต้องมีอะไรมากกว่าเอาไว้กอดเล่นล่ะนะ” ราล์ฟพูดกับตัวเองเบา ๆ “แล้วนี่มีทักษะอะไรบ้างล่ะ”
เซลินส่ายศีรษะตอบ ทำเอาราล์ฟต้องเอามือกุมขมับแน่น แต่ไม่ใช่เพราะคำตอบของเด็กสาวที่เขาคาดไว้ก่อนแล้ว ทว่า มันเพราะเจ้าหมีบ้านั่นดันขยับหัวส่ายไปมาตามเธอด้วยต่างหาก
“ปกติ สิ่งที่เป็นความชอบหรือความถนัดของแต่ละคน จะกลายเป็นพื้นฐานสำหรับการต่อสู้ของคนนั้น ๆ” เด็กหนุ่มพูดเบา ๆ พอให้เด็กสาวตรงหน้าได้ยิน “ถ้างั้นเธอชอบ หรือมีอะไรเป็นงานอดิเรกบ้างไหม”
“ก็...อ่านหนังสือ”
“หนังสือ ? หนังสืออะไรล่ะ”
“ปรัชญา”
...เหมือนกับอะไรหลาย ๆ อย่างรอบตัวพากันหยุดนิ่งไปพร้อมกับคำตอบเลยแหะ...
“ทักษะที่เกี่ยวกับปรัชญา...คิดไม่ออกจริง ๆ แหะ” ราล์ฟถึงกับกุมขมับ นี่เขาคิดผิดคิดถูกที่มาสอนยายนี่เนี่ย
“แล้วทักษะมันเกิดจากอย่างอื่นได้รึเปล่าล่ะ” เซลินถาม...
“ก็ได้อยู่ อย่าง บาดแผลในใจ หรือภาวะ...อุ๊บ!” ยังไม่ทันจะพูดให้จบประโยค ก้อนหินก้อนหนึ่งก็ถูกเขวี้ยงเข้าเต็ม ๆ หัวของเด็กหนุ่ม...
เขาหันหลังกลับไปมองตัวต้นเหตุ และพบว่ามันคือลิงกวนประสาทฝูงเมื่อครู่นั่นเอง หากคราวนี้มันไม่ได้อยู่บนต้นไม้ หรือบนหลังคา แต่กลับลงมายืนเรียงตัวกันห้าหกตัว บนลานกว้าง ห่างจากพวกเขาไปไม่กี่เมตร แถมยังทำท่ายักคิ้วหลิ่วตากระดิกมือกระดิกตีนเพิ่มความกวนประสาทขึ้นอีกหลายเท่าตัว...
...วอนซะแล้วพวกเอ็ง...
“เฮ้ย...ลากไอ้ตัวผู้ไปรุมทึ้งแล้วจับตัวเมียมาให้ข้า เจี๊ยก!” เสียงนั้น...ดังมาจาก...
...ไอ้ลิงหื่นเอ้ย...
ราล์ฟเอื้อมมือเตรียมจะหยิบบุ๊กเล็ตของตัวเองออกมาฉะกับฝูงลิงกวนประสาทตรงหน้า ทว่า เซลินกลับไวกว่า เธอถลันตัวมายืนอยู่ข้างหน้า เธอยกตุ๊กตาหมีในมือขึ้นมาประหนึ่งอาวุธ จับขาข้างหนึ่งของเจ้าหมีเสมือนด้ามจับ แล้วพุ่งเข้าไล่ฟาดเจ้าลิงบ้ากามชนิดที่เรียกว่าหลับหูหลับตาฟาดเลยก็ว่าได้...
...ไม่ต่างกับไอ้แว่นสี่ตากับไม้ช็อตยุงเลยสักนิด...
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดจะห้าม เขาปล่อยให้เธอออกแรงไล่ฟัดกับเจ้าพวกลิงรู้มาก ที่วิ่งแยกกันไปคนละทิศละทาง ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง บางตัวก็ปีนต้นไม้หลบ แต่บางตัวก็หันมากวนประสาทด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตาใส่จนเด็กสาวเริ่มควบคุมสติไม่อยู่ ออกเสียงโวยวายไปด้วยระหว่างไล่ตีพวกลิงเวรนั่น
“ไอ้ลิงบ้า!! ไอ้ลิงเวร!! ไอ้ลิงทะลึ่ง!! ไอ้ลิงลามก!!”
แค่เห็นราล์ฟก็ถึงกับต้องกลั้นหัวเราะกับภาพที่เห็น เขารู้อยู่แล้วว่าเซลินเป็นพวกยั่วโมโหง่าย ยิ่งเจ้าพวกลิงนี่มันทั้งทะลึ่งทั้งกวนประสาทใส่เธอด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เธอปรอทแตกได้ง่าย ๆ ทว่า แค่นี้ก็น่าจะพอได้แล้วสำหรับเรื่องสนุก ๆ เด็กหนุ่มเตรียมที่จะหยิบบุ๊กเล็ตของตนออกมา... หากแต่ว่า...เซลินดันเหยียบเปลือกกล้วยของเจ้าลิงเวรพวกนั้นจนล้มหน้าคะมำ ชายผ้ากี่เพ้าสะบัดพรึ่บ จนเห็นขาขาว ๆ แต่...ไอ้พวกลิงเวรนั่นดันไปนั่งจ้องเธอเสียใกล้ ๆ เหมือนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
...ฉิบหายแล้วไง...
“ร...ราล์ฟ” เสียงที่เรียกนั้นสั่นเครือ นัยน์ตาสองข้างสั่นระริก หยาดน้ำตาเอ่อท้นจนหยดไหลอาบแก้มขาว “ร...รีบสอนฉันมาให้หมดเลยนะ ทั้งเรื่องอาวุธ ฮึก... แล้วก็ทักษะด้วย ฉันจะฆ่าพวกมัน!”
“ตอนสร้างอาวุธเธอคิดรึเปล่าว่าจะให้มันโจมตียังไง”
“เปล่า!”
“คิดแต่จะให้มันน่ารักสินะ”
“ใช่!!”
ราล์ฟถอนหายใจ ก่อนจะนึกถึงพื้นฐานของทักษะอย่างสุดท้าย ที่ลุงเอลเมอร์เคยสอนเอาไว้ “ถ้างั้น เธอลองคิดถึงอะไรที่มันไม่ถูกใจเธอที่สุด เช่น การถูกบังคับให้ทำอะไรที่เธอไม่อยากทำ หรือ การสูญเสียในสิ่งที่เธอไม่อยากสูญเสียมันไป คิดนะ แล้วจินตนาการว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับเธอตอนนี้ เดี๋ยวนี้”
แล้วระหว่างนั้น เด็กหนุ่มก็หันไปปัดก้อนหินกับเปลือกกล้วยที่เจ้าพวกลิงบ้านั่นพยายามจะเขวี้ยงใส่พวกเขา มีบ้างที่เขาปัดไม่หมด แต่ถ้ามันไม่ได้มีเป้าหมายมาที่เธอเขาก็ใช้การหลบเลี่ยงให้มันกระเด็นไปกระแทกพื้นแทน...จนกระทั่ง...
“ใช่สิ...ฉันน่ะ...” เซลินพูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงกดต่ำจนน่ากลัว เธอกอดร่างของเจ้าตุ๊กตาหมีไว้แน่น แล้วลุกขึ้นเดินออกไปข้างหน้า ก้าวเข้าหาฝูงลิงแบบช้า ๆ โดยที่ไม่มีลิงตัวไหนกล้าปาอะไรใส่เธอเลย... “ฉันน่ะ สูญเสียชีวิตของเด็กสาวไปแล้วนี่ ...ถูกพ่อแม่บังคับให้มาเรียนทหาร ทั้ง ๆ ที่ตัวฉันไม่ได้อยากเรียนสักนิด แล้วก็ฉันเป็นแค่เด็กสาวอ่อนแอบอบบางเท่านั้น แต่กลับต้องโดนครูฝึกแกล้งลงโทษทุกวี่ทุกวัน แถมยังถูกแต๊ะอั๋ง ทำไมคนอย่างฉัน...อย่างฉัน...”
“ฉัน!!! ทน!!! ไม่!!! ไหว!!! แล้ว!!! น้า!!!”
เสียงตะโกนดังสนั่นวัดเส้าหลิน จนทั้งราล์ฟและลิงต่างต้องพากันยกมืออุดหู แต่แล้วสิ่งที่น่าประหลาดก็เกิดขึ้น เจ้าหมีในอ้อมกอดที่ปกติก็ดูไม่เหมือนตุ๊กตาหมีธรรมดา เวลานี้กลับดูไม่ธรรมดามากขึ้น เพราะดวงตาของมันเปล่งประกายสีส้มออกมา ก่อนที่ร่างของตุ๊กตายัดนุ่นนั่นจะเปลี่ยนเป็นสีส้มไปทั้งตัว แล้วมันก็อ้าปากกว้าง!!
ระเบิดเปลวเพลิงลูกกลม ๆ สีส้ม พลันพุ่งออกมาจากปากของเจ้าตุ๊กตา แล้วตรงดิ่งเข้าใส่ฝูงลิงลามกทั้งฝูง พวกมันแตกกระเจิงทันทีเพราะไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากลูกระเบิดอัคคีนั่น ยิ่งเมื่อมันกระทบพื้นแล้วแตกกระจายออกเป็นวงนั้น ทำเอาพวกลิงบ้าบางตัวถึงกับร่างกายไหม้เกรียม กลายเป็นลิงย่างอย่างสมบูรณ์ ตัวที่เหลือรอดออกไปก็ล้วนแต่เจ็บหนักสิ้น เล่นเอาราล์ฟถึงกับตะลึงตาค้าง คิดในใจได้เพียงอย่างเดียวว่า...
...ผู้หญิงเวลาโกรธ...โคตรน่ากลัว...
เงียบ...ทั่วทั้งบริเวณลานกว้างยังคงเงียบงัน ไม่มีเสียงลิงกวนประสาทให้ได้ยินอีกต่อไป ไม่มีคำพูดจากคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงที่นี้ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลงสักตัวที่จะโง่บินผ่านมา ราล์ฟยังคงตะลึงค้างจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ในขณะที่เซลินเองก็ยืนก้มหน้ากอดตุ๊กตาหมีแน่น เขาไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ อาจจะตกใจจนช็อกกับสิ่งที่ตัวเองทำ หรือไม่ก็คงอายที่แสดงกิริยาแบบนั้นออกมาให้คนอื่นเห็น...แต่ผิดคาด...และผิดคาดอย่างสุด ๆ เสียด้วย...
...เพราะเซลินหัวเราะ...
...ท่าทางจะช็อกจนเข้าขั้นบ้า...
“นี่ มองอะไร ฉันหัวเราะมันผิดตรงไหนเหรอ” เซลินถามหน้าตาสดชื่น...เหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น...
“เธอ...เป็นอะไรมากมั้ย”
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่ ไม่มีรอยฟกช้ำดำเขียว ออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำไป”
ราล์ฟทำท่าจะถามต่อ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงม้าร้องดังมาจากประตูทางเข้าที่เขาเดินเข้ามา...ซึ่งคิดยังไงมันก็ไม่น่าจะมีม้าบ้าที่ไหนจะปีนบันไดนั้นขึ้นมาได้ ทว่า...เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อเสียงฝีเท้าม้ากำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดลง ณ จุดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“อั่ก!!” เสียงร้องดังแทบจะพร้อมกับเสียงกระแทกที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ แรงกระแทกนั้นสั่นสะเทือนต้นไม้ให้ไหวไปมาไม่หยุด ใบไม้ที่เตรียมจะหลุดร่วงก็พากันหล่นร่วงโปรยปราย เด็กชายคนหนึ่งหล่นลงกระแทกพื้น ร่างกายกำลังเรืองแสงสีแดงออกมาครอบคลุมร่างกายจนเหมือนเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยเกราะสีแดง ก่อนที่เกราะนั้นจะแตกออกจากกันแล้วสลายตัวไป แถบเส้นสีแดงหนาปรากฏขึ้นกลางอากาศบริเวณที่เด็กน้อยหล่นลงไป พร้อมกับตัวเลขหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ลดลงไปเรื่อย ๆ และแถบสีแดงที่ลดหายไปตามจำนวนตัวเลขที่ลดลง...
“โปรเทกต์เบรก!!” ราล์ฟรีบวิ่งออกตัวไปเบื้องหน้าพร้อมกับบุ๊กเล็ตที่ถูกดึงออกมาเตรียมพร้อมหยิบอาวุธได้ตลอดเวลา...
เบื้องหน้าของเด็กน้อยเวลานี้คือม้าสีแดงเลือดที่มีขนแผงคอเป็นสีเพลิง บนหลังของยอดอาชาเวลานี้มีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำประทับนั่งอย่างองอาจ ในมือถือง้าวด้ามยาวรูปทรงประหลาดซึ่งถูกตกแต่งอย่างประณีต ร่างกายสวมเกราะขุนพลแบบชาวตะวันออกโบราณ บนหมวกเกราะนั้นมีพู่ยาวสองพู่ที่ตั้งชี้ขึ้นไปแล้วโค้งลงมาตามแรงโน้มถ่วง นัยน์ตากร้าวจ้องมองไปยังเด็กสามหาวที่เวลานี้นอนคุดคู้ ร่างกายมีตัวเลขที่นับถอยหลังไปจนถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนแถบสีแดงก็ลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว...
“เขาโปรเทกต์เบรกแล้วนะ ถ้านายซ้ำ เขาตายแน่” เด็กหนุ่มวิ่งตรงไปขวาง มือของเขายื่นเตรียมจะหยิบอาวุธออกมาจากบุ๊กเล็ตได้ทุกเมื่อ การรังแกคนอ่อนแอกว่าจนโปรเทกต์เบรกเป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อย ๆ เช่นกันในยูโทเปีย โปรเทกต์เบรกนั้นคือระบบป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายผู้ใช้งานยูโทเปีย หากได้รับความเสียหายภายในยูโทเปียอย่างหนักจนเกิดกำหนดที่ระบบตั้งไว้ ผู้เล่นคนนั้นจะถูกบังคับให้เกตเอาท์ออกจากยูโทเปียไปภายในสิบวินาที อย่างที่เด็กคนนี้กำลังประสบอยู่ ซึ่งจะไม่เลวร้ายเท่าไรนัก ถ้าไม่โดนอะไรเข้าในระหว่างสิบวินาทีที่รอเกตเอาท์ แต่กลับกันถ้าโดนจู่โจมซ้ำเข้าไป ก็มีสิทธิ์ถึงตายได้เหมือนกัน
“ผู้ใหญ่อะไรรังแกเด็ก”
“เจ้าเด็กสามหาวนั่น มันขวางทางข้า” ชายบนหลังม้ายกง้าวของตนขึ้น หมายจะบั่นคอเด็กหนุ่มจอมสอดเบื้องหน้า “ปล่อยให้ข้าจัดการมันเสียเดี๋ยวนี้”
“อย่านะ” คราวนี้เป็นเซลินที่วิ่งเข้ามาขวาง และชายหนุ่มบนหลังม้าถึงกับยอมลดง้าวในมือลง ในขณะที่ตอนนี้ตัวเลขนับถอยหลังของเด็กน้อยผู้เคราะห์ร้ายเหลืออยู่เพียงแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แถบสีแดงก็ใกล้จะหมดเต็มที
“เตียวเสี้ยน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ก่อนสายตาจะตวัดไปมองราล์ฟที่ยืนทำหน้างง
...เตียวเสี้ยนนี่มันใครวะ...
“หรือเจ้าคิดจะพาตัวเตียวเสี้ยนไปจากข้า ไม่มีทางเสียหรอก ข้าจะพานางกลับไปกับข้า บัดเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่า ร่างนั้นยังตั้งท่าจะควบบังเหียนม้าสีเลือด ง้าวถูกตั้งขึ้นเตรียมพร้อม โดยไม่คิดจะสนใจเด็กน้อยคนแรกที่เวลานี้ได้ถูกระบบบังคับเกตเอาท์ออกไปเรียบร้อยแล้ว
...ทว่าภาพชายหนุ่มควบอาชาสีแดงเลือดที่ประจักษ์แกสายตารวมทั้งชื่อที่ชายคนนี้เรียกเธอ กลับกระตุ้นความจำทำให้เซลินรู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้คือ...
“ลิโป้ คนคนนี้คือลิโป้ไงราล์ฟ” เซลินตะโกนแทบจะกรอกหูราล์ฟ จนเขาถึงกับต้องเอานิ้วมาแคะหู
“อะไรนะ ลิโพ ยาชูกำลังของคนโลกเก่าน่ะเหรอ”
“อีตาบ้า ขนาดลิโป้ยังไม่รู้จักน...น...กรี๊ดดดดด” เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันทีที่ลิโป้วิ่งตรงเข้ามาหวดง้าวใส่เด็กหนุ่มจนเขาต้องกระโดดถอยหลังหลบ แล้วยอดขุนพลก็ฉวยโอกาสนั้นคว้าตัวเซลิน ที่เขานึกว่าคือ ‘เตียวเสี้ยน’ ขึ้นไปนั่งอยู่บนอานม้าอย่างว่องไว
เด็กหนุ่มคว้าอาวุธประจำตัวออกมาจากบุ๊กเล็ตทันทีที่ตั้งตัวได้ มันเป็นสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าสีเทาซึ่งเขาฝากเซลินให้นำไปซ่อมให้... มันมีลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมอันประกอบขึ้นจากโลหะ สลักลวดลายต่าง ๆ ไว้อย่างสวยงาม เพียงเขานำมันประกบเข้ากับใต้แขนซ้าย แผ่นโลหะจำนวนมากมายก็พลันปรากฏออกมาจากตัวกล่องนั้น ประสานรัดช่วงแขนของเขาจนกลายเป็นเสมือนหนึ่งเกราะประจำกาย และเมื่อราล์ฟพลิกข้อมือขึ้น กระบอกปืนแฝดก็ถูกดันตัวออกมาจากกล่องนั้นยื่นตรงออกมาพร้อมยิงทันที
...นี่คืออาวุธประจำตัวของเขา...
ขาสองข้างวิ่งไล่ตามอาชามีหรือจะทัน แต่ราล์ฟใช้ประโยชน์จากปืนของเขายิงสกัดทางเสียจนแม้แต่ยอดอาชาก็ยังไม่อาจวิ่งเป็นเส้นตรงได้ ขุนพลศึกลิโป้ควบบังเหียนให้เจ้าม้าคู่ใจหยุด ก่อนหันกลับมาประจันหน้าด้วยการชี้ง้าวประจำกายตรงมายังเด็กหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“ในเมื่อเจ้ายังไม่รามือ ข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ เจ้าสวะ!” มือข้างที่โอบร่างของเด็กสาวเอาไว้กุมบังเหียนแน่น ก่อนสะบัดสั่งให้ยอดอาชาทะยานไปด้านหน้า “ไปเลยเซ็กเธาว์!!”
ราล์ฟกัดริมฝีปาก บุ๊กเล็ตยังคงลอยติดตามตัวผู้เป็นเจ้าของตั้งแต่เมื่อครู่ เวลานี้เด็กหนุ่มหยิบแสตมป์ออกมาอีกครั้ง เขาแลบลิ้นปาดด้านหลังของเจ้ากระดาษแผ่นน้อย แล้วติดมันลงบนต้นมือขวา มันคือแสตมป์รูปตัวตุ่น! ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบอาบไปทั่วทั้งแขนของเขา แล้วร่างของเด็กหนุ่มตัวกวนก็หายวับไปกับตา จนยอดขุนพลถึงกับชะงักม้าแทบไม่ทัน เพราะอยู่ดี ๆ เป้าหมาย กลับหายตัวไปดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น
พลัน พื้นดินใกล้ตัวลิโป้ก็กระจุยกระจาย ราล์ฟพุ่งขึ้นมาจากใต้ดินพร้อมดาบทรงประหลาดของเขาที่พุ่งขึ้นหมายจะบั่นคอเป้าหมายให้ขาดในดาบเดียว ทว่า ยอดขุนพลยังเป็นยอดขุนพล ง้าวประจำกายถูกใช้ป้องกันไว้ได้อย่างทันท่วงที หากแต่การโจมตีของเด็กหนุ่มยังไม่จบลง... เปรี้ยง! กระสุนปืนพุ่งมาจากคนละทิศทางกับจุดที่เขาพุ่งขึ้นมาโจมตี มันพุ่งทะลวงชุดเกราะ ทะลุทรวงอกของจอมทัพจนเป็นแผลกว้าง...
ลิโป้ผละมือจากบังเหียนมากุมบาดแผลของตัวเอง นึกแปลกใจที่จู่ ๆ ตนเองโดนโจมตีจากทิศทางที่ไม่คาดคิด นั่นทำให้ราล์ฟฉวยโอกาสพาตัวเซลินออกมาพ้นจากอ้อมแขนของยอดขุนพล แล้วหันกลับมายืนประจันหน้ากับชายหนุ่มบนหลังม้า พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ระบายอยู่บนใบหน้า
“ลาขาดล่ะ แกจะชื่ออะไรก็เรื่องของแกเถอะ”
“หึ...แค่นี้ยังอ่อนหัดนัก” หากแต่ลิโป้กลับยิ้มได้อย่างเยือกเย็น ...กระสุนปืนนัดเดียวไม่อาจทำอะไรเขาได้!!
“งั้นเจอแบบนี้เป็นไง”
ราล์ฟชูแขนซ้ายขึ้น พลันกระสุนจำนวนมาจากหลากหลายทิศทางก็พุ่งทะลุผ่านร่างของลิโป้ นัดแล้วนัดเล่า กลับคืนเข้าสู่รังเพลิงของปืนในมือของเด็กหนุ่มได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนร่างของยอดขุนพลที่ถูกห่ากระสุนเหล่านั้นเข้าไปก็ถึงกับร่วงตกลงจากหลังม้า
“นายทำได้ยังไงกัน” เซลินเอ่ยถามอย่างนึกทึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ก็แค่ทักษะกระสุนย้อนกลับของฉันน่ะ” คำตอบของราล์ฟทำให้เซลินถึงกับร้องอ๋อ กระสุนจำนวนมากมายที่โจมตีใส่ลิโป้เมื่อครู่นั้น มาจากกระสุนจำนวนมากที่เขาใช้ยิงสกัดไม่ให้เซ็กเธาว์วิ่งต่อได้นั่นเอง...
เด็กหนุ่มเตรียมจะพาเด็กสาวเดินกลับ ทว่า ดูเหมือนกระสุนเพียงแค่นั้นจะไม่อาจทำอะไรยอดขุนพลได้ ลิโป้ลุกขึ้นมายืนหัวเราะเสียงดังกังวาน แทบไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมา แม้ร่างกายนั้นจะเต็มไปด้วยร่องรอยของกระสุนปืนจนพรุน เลือดหยดจากตัวจนไม่น่าจะคุมสติได้ แต่เจ้าตัวนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลยสักนิด...
“เจ้านี่ไม่ใช่ดรีมชาร์ดของบัตรผ่านระดับ D แน่ ๆ” ราล์ฟเอ่ยเบา ๆ กับเซลิน “หรือจะเป็นบั๊ก”
“นั่นสิ ฉันก็ว่ามันแปลก ๆ ลิโป้เทพสงครามในเรื่องสามก๊กทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้”
“อะไรไม่รู้ล่ะ ตอนนี้เธอหลบไปก่อน!”
พูดจบราล์ฟก็ผลักเซลินออกไปพ้นทาง ก่อนจะสาดกระสุนใส่ม้าสีเลือดเซ็กเธาว์ที่จู่ ๆ ก็พุ่งทะยานมา แต่ดูเหมือนมันจะไม่คิดหยุด เด็กหนุ่มจึงต้องกระโจนหลบไปอีกทางหนึ่ง แต่ทางนั้นลิโป้เองก็คอยอยู่ก่อนแล้ว ง้าวในมือหวดฟาดอย่างรวดเร็วจนเขาแทบหลบไม่ทัน แต่ก็ยังสามารถพลิกดาบฟันสวนคืนไปได้หนึ่งที แม้มันจะไม่ได้ผลเท่าไรก็ตาม
ดาบที่เทอะทะถูกเก็บกลับสู่บุ๊กเล็ต ที่ตอนนี้มันกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของรอยสักเช่นเคยแล้ว จะเหลือก็แค่ปืนที่ติดอยู่บริเวณข้อมือเท่านั้น ที่ใช้สาดห่ากระสุน ทั้งใส่ลิโป้ เซ็กเธาว์ และพื้นดิน วงการต่อสู้ของราล์ฟกับหนึ่งขุนพลหนึ่งอาชานั้นค่อนข้างกว้าง กระสุนที่ใช้ก็สาดซัดเสียจนไม่รู้จักหยุดหย่อน กินเวลาหลายนาที จวบจนเด็กหนุ่มตัดสินใจปิดเกม เมื่อเขามาหยุดยืนอยู่ที่ลานกว้าง และเซลิน หลบออกไปไกลจากบริเวณปะทะพอสมควรแล้ว
“เช็กบิลได้แล้วล่ะ”
พลัน! ห่ากระสุนที่ฝังอยู่ที่พื้น ก็พุ่งกลับคืนกระบอกปืน มันมีจำนวนมากมายมหาศาลจนทั้งคนทั้งม้าถึงกับร่างกายสั่นกระตุกไม่หยุด กว่ากระสุนทั้งหมดจะกลับคืนสู่รังเพลิงจนครบทุกนัด พื้นที่รอบตัวของลิโป้และเซ็กเธาว์ก็จมกองเลือด และเมื่อกระสุนทั้งหมดสงบนิ่งลง ทั้งสองร่างก็ฟุบลงไปหมอบกับพื้น
...ดูก็รู้ว่าใครชนะ...
“ยังหรอก...ยังเร็วไปที่แกจะชนะข้าได้” ลิโป้ยังคงพูดได้อย่างไม่มีอาการบาดเจ็บใด ๆ เขาใช้ฝ่ามือลูบไปที่ขนแผงคอของเจ้าอาชาคู่ใจ มันสะบัดลำคอร้องแม้ร่างนั้นจะนอนนิ่งจนไม่อาจลุกขึ้นได้
แต่แล้ว!!! ร่างของเจ้าเซ็กเธาว์กลับเรืองแสงสีแดงจางออกมา มันยืดยาวตีโค้งหมุนวนขึ้นไปด้านบน ก่อนพุ่งตรงกลับมาหาร่างของเจ้านาย และพุ่งกลับขึ้นฟ้าหายไปทั้งขุนพลและอาชา...
“หายไปไหนแล้ว!” ราล์ฟอุทานลั่น ก่อนเหลียวมองไปรอบตัว
“ราล์ฟ!! ข้างบน” เสียงเซลินที่ตะโกนบอก ทำให้เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า แล้วต้องผงะ...
มันคือมังกรจีนตัวยาว เกล็ดสีแดงโลหิตประดุจลำตัวของม้าเซ็กเธาว์ หากกลับมีลักษณะร่างกายเป็นสัตว์ต่าง ๆ ผสมกันตามตำราจีนที่ว่า หัวคล้ายอูฐ เขาคล้ายกวาง ตาคล้ายกระต่าย หูคล้ายวัว ตัวคล้ายงู ท้องคล้ายกบ เกล็ดคล้ายปลา เท้าคล้ายเสือ เล็บคล้ายเหยี่ยว หากนั่นเป็นเพียงคำนิยามที่มีอยู่เพียงในบันทึก เวลานี้ ความยิ่งใหญ่ของมันนั้น แทบจะถล่มวัดเส้าหลินได้เพียงแค่สะบัดหางครั้งเดียวเสียด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นบนลำคอของมัน เทพสงครามลิโป้กำลังนั่งคร่อม ร่างกายของเขาดูจะยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้า ง้าวกรีดนภาเหวี่ยงไปมาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนชี้มันกลับลงมาบนพื้นดิน พร้อมกับลูกไฟมังกรที่ถูกยิงสาดลงมา
เด็กหนุ่มรีบวิ่งหลบห่าลูกไฟที่ตกลงมาราวกับฝน แต่แม้จะหลบพ้น ไอร้อนจากลูกไฟเหล่านั้นก็ยังผลาญเอาค่า Protect ของเขาลงไปเกือบสิบเปอร์เซ็นต์ในแต่ละครั้งที่เฉียดโดน ทำเอาตอนนี้มันหลงเหลืออยู่เพียงห้าสิบหกเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ราล์ฟคว้าบุ๊กเล็ตออกมาแล้วเลือกหยิบแสตมป์ลายเสือดาวออกมา เขาเลียปาดหลังแสตมป์นั้น แล้วรีบติดมันลงไปบนขาของเขาทันที ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็พุ่งทะยานไปยังอาคารของวัด แล้วกระโจนไต่ตามจุดเล็ก ๆ ที่มีพอให้เหยียบไล่ขึ้นไปจนถึงหลังคาได้อย่างว่องไวปราดเปรียว
เจ้ามังกรไฟยังสาดลูกไฟลงมาไม่หยุด ทั้งยังลดระยะยิงลงมาอยู่ในระดับต่ำลงมาอีก ในขณะที่ราล์ฟตอนนี้กลับกราดกระสุนของตัวเองลงไปด้านล่าง อย่างไม่นับชุด เขาคิดจะใช้ทักษะกระสุนย้อนกลับของตนเผด็จศึกอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้แค่กระสุนปริมาณเท่ากับเมื่อครู่ คงไม่พอแน่ ๆ เด็กหนุ่มเลยไม่คิดจะหยุดสาดกระสุน แม้ตอนนี้ตนเองจะมาหยุดอยู่ตรงรอยต่อระหว่างตัวอาคารกับเจดีย์จีนสูงเสียดฟ้า
เด็กหนุ่มกระโจนขึ้นไปตามหลังคาไล่ระดับของตัวเจดีย์ ตอนนี้ลูกไฟได้ถล่มอาคารที่เขาใช้วิ่งจนราบเป็นหน้ากลอง ความว่องไวของเสือดาวช่วยทำให้เขาไต่ระดับหลบลูกไฟที่ยิงเฉียดตัวเจดีย์ไปได้อย่างเฉียดฉิว ดูเหมือนเจ้ามังกรจะไม่กล้าทำอะไรตัวเจดีย์มากไปกว่าพยายามยิงดักทางของเขา ทั้งที่ความจริงมันแค่ยิงตัวเจดีย์ เขาก็คงจบเห่ไปแล้ว มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งราล์ฟไต่ระดับขึ้นมาถึง ตลอดทางกระสุนที่ถูกสาดไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนนั่นยังฝังอยู่ตามที่ต่าง ๆ บนพื้น เตรียมการทุกอย่างสำหรับเผด็จศึกเทพสงครามที่เวลานี้ประทับนั่งอยู่บนหลังมังกร ลอยอยู่ในระดับเดียวกับเขา จนดวงตาของหนึ่งคนหนึ่งดรีมชาร์ดปะทะกันอย่างแน่วแน่
เจ้ามังกรเลิกยิงลูกไฟแล้ว ส่วนราล์ฟก็หยุดสาดกระสุน ดาบทรงประหลาดถูกหยิบออกมาชี้ใส่ยอดขุนพลราวคำท้าประลอง ทำให้ลิโป้ต้องยกง้าวของตนชี้กลับมาเช่นกัน เด็กหนุ่มวิ่งสุดฝีเท้า แล้วกระโจนเข้าหาร่างมังกรยักษ์สุดแรงเกิด คมง้าวปะทะคมดาบประหลาดอย่างรุนแรง เท้าสองข้างออกแรงยันส่งดาบต้านง้าวอยู่บนเกล็ดมังกร แต่กำลังของราล์ฟหรือจะสู่เทพสงครามอย่างลิโป้ ดาบของเขาหลุดกระเด็นลงไปด้านล่างทันที แต่... สวนทางกับห่ากระสุนที่พุ่งสวนขึ้นมา!!
ลิโป้แสยะยิ้ม เขาหยิบง้าวหวังจะกระแทกร่างของราล์ฟให้ตกลงไป แต่เด็กหนุ่มตัวดีก็รู้ทัน กระโดดหลบอย่างคล่องแคล่ว ไม่หล่นร่วงไปจากหลังมังกรง่าย ๆ เทพสงครามรู้ว่า ในไม่กี่วินาทีนี้ หากไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มตรงหน้าหล่นลงไปจากหลังมังกรนี้ได้ คนที่จะต้องเจ็บหนักก็คือเขา แต่ เหมือนเทพธิดาแห่งชัยชนะจะเข้าข้างราล์ฟมากกว่า เพราะเมื่อลิโป้คิดจะสะบัดง้าวอีกครั้ง คมดาบที่หล่นร่วงลงไปก็หมุนย้อนกลับมาบั่นคอของเขาจากด้านหลังจนเศียรของยอดขุนพลหลุดออกจากบ่าจนโลหิตพุ่งกระฉูดเป็นสายเสียก่อนที่จะได้ทำอะไรเด็กหนุ่มตรงหน้า และห่ากระสุนก็พุ่งทะลุร่างของมังกรแดง แหวกเกล็ดปลาท้องมังกรอย่างต่อเนื่อง ทั้งเลือดจอมทัพและเลือดมังกรหยดสวนทางกับกระสุนจนเหมือนห่าฝนสีแดง และก่อนที่จะหมดสิ้นกระสุนทั้งหมด เจ้ามังกรก็ถูกดาบในมือราล์ฟปักลงไปกลางกระหม่อม แล้วสิ้นฤทธิ์ร่วงลงสู่พื้นทันที...
...ฉิบหายแล้วไง ตอนขึ้นคิดวิธีดิบดี ดันลืมนึกถึงตอนลงสนิท...
ความคิดวูบหนึ่งพลันแล่นขึ้นมาในสมอง ราล์ฟจำได้ว่า iSender ที่ลุงเอลเมอร์ให้เขามานั้น นอกจากจะใช้คัดลอกข้อมูลส่งกลับไปโดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลได้แล้ว มันยังสามารถใช้คัดลอกข้อมูลในยูโทเปียบางส่วนมาเสริมพลังให้กับตนเองได้... แต่เด็กหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่า ถ้าเขาคัดลอกข้อมูลของเจ้ามังกรแดงตอนนี้มันจะได้ข้อมูลที่เขาต้องการหรือไม่
...เอาวะ เสี่ยงเป็นเสี่ยง...
iSender ถูกชี้ไปที่เจ้ามังกรแดงที่ร่วงลงมาพร้อม ๆ กัน ครั้งแรกที่เดินเครื่อง ข้อมูลถูกส่งกลับไปยังลุงเอลเมอร์ แต่ครั้งที่สองที่ราล์ฟกด เจ้าเครื่องประหลาดนี่กลับเรืองแสงอ่อน ๆ พร้อมกับชุดเกราะเกล็ดมังกรที่ห่อหุ้มร่างกายของเขา พลันร่างกายของเด็กหนุ่มก็ลอยอยู่เหนือพื้น ทันเวลาก่อนจะกระแทกพื้นแบบเส้นยาแดงผ่าแปด!! ในขณะที่ร่างของเข้ามังกรยักษ์และเทพสงครามกลับหล่นลงกระแทกพื้นจนวัดเส้าหลินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด อาคารบางแห่งที่จวนเจียนจะพังแหละมิพังแหล่เพราะการต่อสู้เมื่อครู่ต่างพากันพังทลายลงมาเป็นซากปรักหักพังทันที
ราล์ฟสัมผัสพื้นอย่างปลอดภัย พร้อมกับเกราะเกล็ดมังกรสีแดงที่สวมอยู่จางหายไปช้า ๆ ถึง iSender จะใช้คัดลอกข้อมูลของยูโทเปียมาใช้ได้ก็จริง แต่ระยะเวลาการใช้งานก็จำกัด มันจะอยู่ได้เพียงหนึ่งนาทีหรืออาจจะน้อยกว่านั้น เมื่อครู่ยังโชคดีที่พลังของมังกรแดงยังมีอำนาจมากพอจะแสดงผลให้เขาลอยอยู่ได้เกือบสิบวินาที ไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงแย่เช่นกัน
เด็กหนุ่มถอนใจยาว ก่อนหันไปกวักมือเรียกเด็กสาวที่ไปหลบเสียไกลสุดกู่ เธอวิ่งกลับมายืนอยู่ข้างกายราล์ฟในเวลาไม่นานหลังจากนั้น แถมยังเกี่ยวแขนของเด็กหนุ่มกอดไว้แน่น ร่างกายยังสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ราล์ฟจึงได้แต่บีบมือของเซลินเบา ๆ เพื่อปลอบใจเธอเท่านั้น ก่อนจะใช้ปลายเท้าสะกิดร่างของมังกรยักษ์แรง ๆ เพื่อดูว่ามันสิ้นฤทธิ์จริง ไม่ใช่แค่แกล้งนอนหลับ แล้วจึงบอกให้เซลินเรียกบุ๊กเล็ตของเธอออกมา
ภูตตัวน้อยบินเฉียดไปมา จนเส้นแสงปรากฏเป็นกระดานบุ๊กเล็ตสีชมพู ทั้ง ๆ ที่เจ้าของมันยังไม่หายมึนงงสงสัย ดรีมชาร์ดอันตรายสองตัวถูกซัดจนลงไปนอนกอง ก็น่าจะพอแล้วสำหรับเธอ แต่ทำไมราล์ฟถึงให้เอาบุ๊กเล็ตออกมาเธอก็ไม่รู้จริง ๆ
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เดี๋ยวเรามา Memorize เจ้าสองตัวนี้กันเลยแล้วกัน” ราล์ฟพูด ตอนนี้เขากำลังจับหัวของลิโป้ที่หลุดกระเด็นมาวางตั้งไว้ใกล้ ๆ ร่างในชุดเกราะ
“มันคืออะไรเหรอ” พอมองเห็นเซลินทำหน้าซื่อตาใสถามออกมาเขาถึงกับต้องนวดขมับ
“นี่เธอไปอยู่ไหนมาเนี่ย แค่นี้ยังไม่รู้” เด็กสาวทำหน้ามุ่ย แต่ราล์ฟก็แย้งก่อน “ถ้าอยากรู้เธอก็ลองใช้คำสั่ง Memorize ในบุ๊กเล็ตสิ”
พลัน เส้นแสงสีฟ้าก็ถูกยิงลงมาจากฟากฟ้าเหมือนครั้งที่เขาล่ามังกรในโอฟีเลีย ร่างของดรีมชาร์ดมหาโหดทั้งสองแปรสภาพเป็นเส้นแสงลอยกลับขึ้นฟ้าไปจนหมด หลงเหลือไว้เพียงคราบเลือด และซากปรักหักพังที่พอจะบอกได้ว่า ที่นี่เคยเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงมากเท่าไร
“Memorize เป็นคำสั่งสำหรับส่งข้อมูลดรีมชาร์ดไปยังรัฐบาล” ตอนนี้พวกเขากำลังเดินลัดจากลานกว้างที่เละเทะ เพื่อหาที่นั่งคุยกัน ระหว่างนั้นราล์ฟก็ถือโอกาสอธิบายคำสั่ง Memorize ไปด้วยในตัว “หลังจากส่งไปแล้วทางรัฐจะส่งข้อความตอบกลับมายังบุ๊กเล็ตของเรา เพื่อนำข้อมูลที่เราส่งไปใช้หรือขายต่อ โดยมีค่าตอบแทนให้เราเป็นพลังงาน i2 สำหรับดึงไปใช้ในโลกจริงโดยไม่ต้องไปหาซื้อเอง”
“มิน่าล่ะ คนถึงชอบมาล่าดรีมชาร์ด ผลตอบแทนงามอย่างนี้นี่เอง” พูดจบเซลินก็หัวเราะคิกคัก ในหน้าจอแสดงผลการ Memorize แสดงชื่อของ ‘ลิโป้ หมายเลข 6’ และ ‘เซ็กเธาว์กึ่งมังกร’ ขึ้นมา
จนกระทั่งทั้งคู่เดินมาถึงประตูวัดเส้าหลิน เด็กสาวก็วิ่งไปหาที่นั่งข้าง ๆ สิงโตหินทั้งยังลากเอาตัวเด็กหนุ่มไปด้วย ราล์ฟถูกกระชากจนจำต้องยอมนั่งลงข้าง ๆ เซลิน แต่แทนที่เขาจะนั่งพักสบายใจ ดวงตาของเขากลับกำลังเหม่อมองขึ้นไปบนฟากฟ้า ราวกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่างบนนั้น...
“นี่ราล์ฟ” เสียงเรียกพร้อมแรงดันจากไหล่คนตัวเล็กที่ดันมาทำให้เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์ “ขอบคุณนะ”
“ฮ่ะ ๆๆ” ราล์ฟหัวเราะ “คนอย่างเธอขอบคุณคนอื่นเป็นด้วยเหรอเนี่ย”
“ฉ...เฉพาะกับนายเท่านั้นแหละ” เด็กสาวก้มหน้างุด ใบหน้าขึ้นสีเรื่อ แล้วซบลงไปบนบ่าของคนข้าง ๆ เล่นเอาราล์ฟทำอะไรไม่ถูก จะลุกก็ไม่ได้ เพราะเธอเล่นเกาะแขนเขาไว้เสียแน่น “นี่...เป็นครั้งแรกสินะที่เราได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง”
“นี่ราล์ฟ” เซลินเรียก และเขาทำเสียงในลำคอตอบไป “นายรู้สึกยังไงกับยูโทเปียกันนะ สนุกกับมัน...เหรอ ?”
“อืม...” เด็กหนุ่มทำท่าครุ่นคิด “จะบอกว่าสนุกมันก็ไม่ทั้งหมดหรอก บางครั้งก็มีบ้างที่จะเครียด แต่บางครั้ง...”
“แต่บางครั้ง ?”
“บางครั้งการที่ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดที่พร้อมจะเสี่ยงกับความตายได้ทุกเวลา มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปมากที่สุด” พูดจบราล์ฟก็แหงนหน้าขึ้น “ทั้งเรื่องเรียนทหาร ทั้งเรื่องล่าดรีมชาร์ด มันทำให้ฉันรู้ว่า ที่ ๆ ฉันมีคุณค่ามากที่สุด...อาจจะเป็นสนามรบก็ได้”
“สนามรบ...งั้นเหรอ...พูดถึงเรื่องนั้น” เด็กสาวเริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงให้ฟังดูหนักแน่นขึ้น “นายรู้สึกบ้างรึเปล่า ทั้งประวัติศาสตร์โลก ทั้งรัฐบาลจักรวรรดิ มันแปลก ๆ”
ราล์ฟหันไปมองเด็กสาวข้าง ๆ ชักสีหน้าสงสัย ทำให้เซลินต้องอธิบายต่อ “เราเคยเสียอารยธรรมไปเกือบทั้งหมด แต่ก็กู้มันกลับคืนมาได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองร้อยปีด้วยยูโทเปีย... แต่นายว่ามันน่าแปลกใจไหมล่ะ เราค้นพบยูโทเปียได้ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นน่าจะไม่ต่างอะไรเลยกับยุคมืด ...แล้วทำไมล่ะ ทำไมก่อนหน้านั้น ตอนยังมีอารยธรรมต่าง ๆ อยู่ ถึงไม่มีใครค้นพบที่นี่ได้เลย ไหนจะเรื่องคิเมร่าที่มักจะก่อเหตุร้ายในช่วงนี้อีก ทำไมถึงไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเผ่านี้เลย แม้แต่ที่มาที่ไปก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่ในอารยธรรมดั้งเดิมก็ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ถึงคนพวกนี้เลย”
“เห...ไม่รู้สินะ ฉันไม่ค่อยสนใจวิชาประวัติศาสตร์ด้วย เลยไม่ได้สังเกตอะไรเลยน่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะแหะ ๆ
“นั่นสินะ นายคงไม่ได้สนใจอะไรพวกนี้ ฉันผิดเองล่ะ ที่เอาเรื่องนี้มาพูด” เซลินยิ้มแห้ง
“ไม่เป็นไรหรอก ปกติอะไรพวกนี้มันไม่ค่อยจะเข้าหัวฉันอยู่แล้วล่ะ แต่เล่ามาก็ดีนะ เผื่อเกรดวิชาประวัติศาสตร์ของฉันจะดีขึ้นมานิดหน่อย ฮ่า ๆ ๆ” แล้วทั้งสองก็หัวเราะร่วน และนั่งอยู่อย่างนั้นสักพักจนกระทั่งราล์ฟกล่าวตัดบท “ตอนนี้โลกจริง คงดึกแล้วล่ะมั้ง”
“อืม...งั้นเราก็กลับกันเถอะ” ทั้งคู่ลุกขึ้นยืน และเด็กหนุ่มทำท่าจะคว้าบุ๊กเล็ตของตนออกมา ทว่า เด็กสาวกลับรั้งเขาเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อนนะ”
จุ๊บ
“อ...เอ๋” ราล์ฟเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ไม่เชื่อความรู้สึกตัวเองว่าเซลินจะ...
“ฉันไปก่อนนะ” สิ้นคำพูดร่างของเด็กสาวเกตเอาท์ออกไปภายในเวลาเพียงสิบวินาที ทั้งที่ในความคิดเซลินกลับรู้สึกว่าเธอยืนเขินหน้าแดงอยู่อย่างนั้นเกือบสิบนาที...ส่วนราล์ฟนั้นคงสรุปได้เพียงแค่คำเดียวว่า...
...ช็อก...
--------------------------------------------------------------
“ลุง ผมกลับมาแล้ว” ราล์ฟเปิดประตูห้องส่วนตัวของเขามาทักทายผู้เป็นลุง สีหน้าของเขาแสดงความเหนื่อยล้า หากรอยยิ้มกลับระบายอยู่บนใบหน้า “วันนี้ผมส่งข้อมูลมังกรของนิรวานะมาให้แล้วนะ มาบอกแค่นี้แหละครับ ขอตัวไปนอนแล้วนะลุง โคตรเหนื่อยเลยวันนี้”
“ขอบใจมาก” เสียงตอบกลับมาจากห้องวิจัย ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีหม่นนั้นดูท่าทางจะขมักเขม้นกับอุปกรณ์มากมายภายในห้องจนไม่มีเวลาแม้จะหันกลับมามองหน้าหลาน
ราล์ฟทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียง ในหัวสมองครุ่นคิดถึงแต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยูโทเปียเมื่อไม่นานมานี้ มือขวาถูกยกขึ้นลูบไปที่แก้มเบา ๆ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับที่สองแก้มนั้นจะขึ้นสีจาง ๆ เขายิ้มแบบนี้มานานแค่ไหนแม้แต่ตัวเขาเองก็คงตอบไม่ได้ เขารู้เพียงอย่างเดียวว่า เขายิ้มอยู่อย่างนี้จนกระทั่งหลับสนิทไป...
เช้าวันรุ่งขึ้น ราล์ฟยังคงนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง แม้เวลานี้นาฬิกาจะบอกเวลาสิบเอ็ดโมงแล้วก็ตาม เนื่องจากวันนี้เป็นวันพุธ วันหยุดราชการของจักรวรรดิอิมเพอราทริกซ์ กว่าเขาจะยอมลุกขึ้นมาทำธุระส่วนตัวก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง เด็กหนุ่มเข้าไปที่ห้องรับแขก ระหว่างทางยังพบว่าเครื่องจักรต่าง ๆ ภายในห้องทำงานของลุงเอลเมอร์ยังคงทำงานอยู่เหมือนเคย สิ่งที่แปลกออกไปมีเพียงลุงของเขาซึ่งเปลี่ยนมานั่งจ้องจอมอนิเตอร์ใกล้ ๆ ประตู เหมือนรออะไรบางอย่างอยู่เท่านั้น
เด็กหนุ่มใช้เครื่องประกอบอาหารจากพลังงาน i2 ดึงเอานมร้อน ๆ มาสองแก้ว แล้วจึงเดินจิบแก้วหนึ่งไปด้วยในระหว่างกลับไปยังห้องทำงานของลุงเอลเมอร์
“นมอุ่น ๆ สักแก้วนะลุง” พูดพลางยื่นแก้วนมร้อนที่ตนไม่ได้แตะต้องไปวางไว้บนโต๊ะเตี้ย ๆ ใกล้ตัวผู้เป็นลุง ทำให้เอลเมอร์ยิ้มรับ แต่ก็กลับไปสนใจหน้าจอมอนิเตอร์สีฟ้าใสต่อไป “งานวิจัยไปถึงไหนแล้วครับ”
“เสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ” ผู้เป็นลุงตอบ “นี่ลุงลองประกาศโฆษณาเมื่อเช้าเอง แต่ตอนนี้พวกบริษัทต่าง ๆ แห่กันเสนอราคาขอซื้องานวิจัยกันเพียบเลย ตอนนี้ใกล้ได้เวลาปิดประมูลแล้วล่ะ ยอดประมูลทะลุหลักล้านไปไกลแล้ว”
รายชื่อของบริษัทต่าง ๆ พร้อมราคาที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาอยู่บนจอมอนิเตอร์ ตอนนี้ราคางานวิจัยพันธุวิศวกรรมเฉียดหลักสิบล้านเต็มที สีหน้าของเอลเมอร์ดูจะพึงพอใจกับราคาในขณะนี้จนยิ้มไม่หุบ “หลังจากนี้พ่อกับแม่ของแกคงจะหมดห่วงสักทีนะ”
“จริง ๆ แค่การที่ลุงรับผมมาเลี้ยงหลังจากที่พ่อกับแม่ท่านเสียไป ผมก็ถือว่ามันเป็นสิ่งที่ที่สุดในชีวิตแล้ว” ราล์ฟหัวเราะเบา ๆ “อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องไปเป็นกุ๊ยข้างถนน”
“ยังไงลุงก็ต้องตอบแทนพระคุณพ่อกับแม่ของแก ถ้าไม่ได้พวกเขาช่วยชีวิตลุงเอาไว้เมื่อสิบปีก่อนป่านนี้ลุงก็ไม่ได้มานั่งทำงานวิจัยอยู่อย่างนี้หรอก” ทั้งคู่เวลานี้รู้สึกอิ่มเอมไปทั้งหัวใจ เพราะความผูกพันที่สองลุงหลานมีให้กันนั้น มันคือคำว่า ‘ครอบครัว’ “ปิดประมูลแล้ว เรารู้ผลแล้วล่ะว่าใครจะซื้องานวิจัยของเรา ไปที่เรมินิสกันเถอะราล์ฟ”
“ครับลุง” ราล์ฟรับคำอย่างว่าง่าย
แล้วทั้งคู่ก็เดินไปหยิบ PLUG อุปกรณ์เชื่อมต่อระหว่างโลกเอนโทรเปียกับยูโทเปีย เมื่อทั้งสองใช้คำสั่งเกตอินแล้ว เยลลี่สีใสเหลือบฟ้าก็ไหลออกมาห่อหุ้มร่างกายของพวกเขาไว้ สติทั้งหมดเริ่มเลือนราง ท้ายที่สุดทั้งลุงและหลานก็ตกสู่ห้วงภวังค์...
ราล์ฟกลับเข้าสู่ห้องแห่งการเริ่มต้นอีกครั้ง ห้องนี้ยังคงขาวโพลนเหมือนเดิม และอุปกรณ์ทุกอย่างยังคงถูกจัดวางอยู่อย่างเดิม เขาเดินตรงเข้าไปยังเจ้าหินซึ่งลอยอยู่เหนือโต๊ะไม้ทรงกลม ทำตามขั้นตอนทุกอย่างเหมือนเคย ต่างตรงที่วันนี้เขาเลือกเดินทางไปสู่เอ็มไพร์เรมินิส เอ็มไพร์เพียงแห่งเดียวที่ไม่มีเขตต่อสู้กับดรีมชาร์ด เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นย่านธุรกิจและศูนย์รวมสถานที่ราชการต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน บรรดาพนักงานเงินเดือนหลาย ๆ บริษัท ก็มักจะเดินทางมาทำงานในเอ็มไพร์นี้ทั้งสิ้น
บานประตูสีน้ำตาลถูกเปิดออก สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นใสสายตาคือภาพของผู้คนมากมายเดินใส่สูทผูกไทกันอยู่ท่ามกลางท้องถนน บรรยากาศยามค่ำคืน กลับสว่างไสวไปด้วยแสงจากดวงไฟดวงเล็ก ๆ ตามรายทางที่สว่างจนกลบรัศมีของแสงจันทร์ไปจนหมด มีผู้คนหลายคนแต่งตัวประหลาดออกไป อย่างเช่นชุดที่ดูทะมัดทะแมงของพวกนักล่าดรีมชาร์ด หรือพวกที่สวมเสื้อหลวม ๆ กางเกงตัวใหญ่ ๆ ใส่หมวกแก๊ป ห้อยโซ่เส้นโต บางคนเจาะหู บางคนมีรอยสักตามต้นแขนหรือแผ่นหลัง พวกนี้คนทั่วไปมักจะเรียกว่า ฮิปฮอป ตามศํพท์ของอารยธรรมโลกเก่า หรือแม้แต่พวกสวมชุดคลุมปิดหน้าปิดตาด้วยผ้าชายลูกไม้ลวดลายแปลกตาเหมือนพวกยิปซีก็มี
ราล์ฟเงยหน้าขึ้นมองเบื้องหน้า ทิวทัศน์ของตึกสูงเสียดฟ้าจำนวนมากมาย หลากหลายไปตามการออกแบบของสถาปนิก แต่หากหันหลังกลับไปมองก็จะพบกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่เรียกว่า เซ็นทรัลปาร์ก ซึ่งหากมองเผิน ๆ ขนาดของมันยิ่งใหญ่เสียจนจะเป็นป่าขนาดย่อม ๆ เสียด้วยซ้ำ
“ราล์ฟ” เสียงเรียกนั้นดังมาจากทางเข้าสวนสาธารณะ “ตัวแทนที่มาเจรจาแลกเปลี่ยนกับเรารออยู่แถวโซนร้านค้าบีใกล้ ๆ ทะเลสาบใจกลางเซ็นทรัลปาร์กแล้ว เราเข้าไปกันเถอะ”
ทั้งคู่ก้าวเดินผ่านเข้าไปภายในสวนสาธารณะ หมู่แมกไม้สีเขียวสลับสีส้มที่เริ่มผลัดใบคือสิ่งที่เห็นได้ตลอดทางเดินภายในนี้ ทางเดินเล็ก ๆ ปูด้วยแผ่นอิฐเป็นทางเดิน ขนาบด้วยเสาไฟส่องสว่างเป็นระยะ มีผู้เดินเข้าออกสวนกับพวกเขาบ้างประปราย ม้านั่งจำนวนมากมายถูกตระเตรียมจัดวางไว้หลายจุด ตั้งแต่ริมทางเดิน โซนร้านค้าเล็ก ๆ ที่มีไว้ขายของที่ระลึก ไปจนถึงริมทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ใจกลางของสวนสาธารณะ และทอดตัวไปจนถึงรั้วอีกฝั่งหนึ่ง ภาพทิวทัศน์ของเหล่าต้นไม้ใบไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาค่ำคืนก็ตามที
สองลุงหลานก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อนภายใต้การนำทางของเอลเมอร์ ราวกับว่าลุงของเขานั้นรู้ถึงตำแหน่งที่อยู่ของคู่เจรจาเป็นอย่างดี แต่ว่าทันใดนั้นเอง...
“กรี๊ดดดด!!!”
เสียงกรีดร้องดังลั่นสวนสาธารณะ และมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หากแต่มันดังระงมไปหมด เสียงฝีเท้าจำนวนมากดังถี่รัว ฝูงชนมากมายกรูกันวิ่งสวนทางเดินของพวกเขาทั้งคู่อย่างแตกตื่น ในทางตรงกันข้ามก็มีคนอีกหลายคนที่พยายามแหวกผู้คนเข้าไปดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทางนั้นมันที่ที่ตัวแทนติดต่อรอเราอยู่นี่ รีบไปดูกันเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น” พูดจบเอลเมอร์ก็วิ่งสวนกระแสฝูงชนเข้าไปทันที
“ลุง รอผมด้วย!!” ราล์ฟรีบวิ่งตามผู้เป็นลุงทันที ทว่าผู้คนที่แตกฮือออกมากลับมีมากเกินกว่าที่คิด คลื่นมนุษย์จำนวนมากมายเหล่านี้ทำเอาเด็กหนุ่มคลาดสายตาไปจากผู้เป็นลุงไปเสียแล้ว
พลัน! สายตาของราล์ฟจับไปที่ชายคนหนึ่งที่วิ่งออกมาจากทางเล็ก ๆ ลัดออกมาจากเส้นทางหลักสายเดียวกับที่เชื่อมต่อไปยังจุดที่ลุงเอลเมอร์ของเขาวิ่งนำไป ชายคนนั้นเบิกตากว้างอย่างหวาดกลัว ก่อนจะมีแสงสีแดงสว่างวาบพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาจากทางด้านหลัง ราวกับภาพทุกอย่างหมุนช้าลง เด็กหนุ่มเห็นชายคนนั้นหยุดนิ่ง ร่างกายท่อนบนเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วระเบิดออก เขาเห็นหยดเลือดที่กระจุยกระจายออกมา เห็นชิ้นส่วนร่างกายที่แตกเป็นชิ้น ๆ กระเด็นลงไปกองกับพื้น ร่างกายท่อนล่างที่เหลืออยู่ตั้งแต่เอวลงไป ร่วงกระแทกพื้น ธารโลหิตแดงฉานหลั่งริน ไม่มีร่องรอยของการป้องกันจากโปรเทกต์เบรกที่จะช่วยยื้อชีวิตของเขาไว้
เด็กหนุ่มชะงัก สายตาของเขาจ้องมองไปยังต้นกำเนิดของแสงประหลาด ที่ตรงนั้น ชายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ ผ้าคลุมสีดำที่ปกคลุมร่างกายของเขาขาดวิ่นหลุดลุ่ย เส้นผมสีขาวโพลนยาวไม่เป็นทรง มันแทบจะปิดบังใบหน้าของเขาด้วยซ้ำ ผิวหนังสีซีดเหมือนไม่ได้ถูกแสงอาทิตย์มานานนับปี แต่ที่เด่นชัดที่สุดคือดวงตาสีแดงที่เรืองแสงวาบประดุจหนึ่งสัตว์ร้าย...มันคือลักษณะของกลุ่มบุคคลที่ปรากฏตัวทั้งในหนังสือเรียน และในสื่อต่าง ๆ แทบไม่เว้นแต่ละวัน...
...คิเมร่า!!...
“แกรีบติดต่ออาบิเตอร์เดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นพวกเราตายกันหมดแน่” ราล์ฟได้สติอีกครั้งเมื่อได้ยินเสีย พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนชายหญิงคุยกันเสียงดัง
“แจ้งไปแล้วแต่ต้องรออีกตั้งสิบนา...”
ยังไม่ทันพูดจบฝ่ายชายก็ถูกกรงเล็บขนาดใหญ่ฉีกแขนซ้ายออกจากร่าง เจ้าของกรงเล็บนั้นแต่งกายไม่ต่างไปจากคิเมร่าคนเมื่อครู่ รอบตัวของชายผู้โชคร้ายก็เปล่งแสงสีแดงเป็นเกราะอ่อน ๆ แล้วแตกสลายไปพร้อมกับตัวเลขนับถอยหลังและแถบนับถอยหลังของโปรเทกต์เบรกปรากฏขึ้น แต่ยังไม่ทันจะเริ่มนับถอยหลังด้วยซ้ำ ร่างนั้นก็ถูกกรงเล็บยักษ์ฉีกออกเป็นชิ้น ๆ อย่างโหดเหี้ยม
ภาพที่เห็นทำให้ผู้คนมากมายแตกกระจายไม่เป็นทิศทาง ราล์ฟเองก็เช่นกัน เขารีบวิ่งไปหลบหลังเนินหิน ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด...
“พวกคิเมร่า เอาไงดีวะ กว่าอาบิเตอร์จะมาก็อีกตั้งสิบนาที” เขาบ่นกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เมื่อเขาพยายามเหลือบมองออกไปก็พบคนที่ลักษณะคล้ายคิเมร่าอีกไม่ต่ำกว่าสี่ห้าคน บางคนแปลงร่างเป็นสัตว์ขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ผู้คน บางคนพ่นไฟออกมาเผาผลาญผู้คนจนไม่เหลือซาก ไม่ว่าจะพยายามหนีแค่ไหน โอกาสรอดก็มีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์...
เท่าที่เขารู้ คิเมร่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังจิตสูงมาก การโจมตีแต่ละครั้งของมันจึงรุนแรงอย่างมหาศาล และสามารถทำให้มนุษย์ในยูโทเปียตายได้ทันทีโดยที่ระบบโปรเทกต์ไม่อาจช่วยอะไรได้ แล้วที่แย่ไปกว่านั้นคือ การตายในยูโทเปียนั้น จะทำให้จิตในโลกจริงดับสูญ ร่างกายจะตาย โดยที่ไม่มีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญคนไหนสามารถรักษายื้อชีวิตได้เลย ทางเดียวที่จะรอดจากคิเมร่าได้นั้น คือ...อย่าให้มันโจมตีถูก...จนกว่าอาบิเตอร์หรือหน่วยรักษาความปลอดภัยของรัฐที่มีอยู่ทั้งในยูโทเปียและเอนโทรเปียจะเข้ามาควบคุมสถานการณ์เท่านั้น
ราล์ฟตั้งสติ คิดวิธีที่จะหลบหลีกการโจมตีของเหล่าคิเมร่าให้ได้นานที่สุด ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เตรียมพร้อมอะไร...สายตาของเขาก็ไปสบเข้ากับดวงตาสีแดงฉานของคิเมร่าตนแรกที่เขาพบ...
...ฉิบหายแล้ว...
เด็กหนุ่มพุ่งทะยานออกมาจากเนินนั้นอย่างสุดฝีเท้า ดวงตาเหลียวกลับไปมองต้นเหตุว่ามันจะทำอะไรต่อมา แล้วเขาก็เห็น!! แขนขวาของคิเมร่าตัวนั้นกำลังเปล่งแสงสีแดงฉาน และเมื่อมันชี้มาทางเขา ราล์ฟก็ต้องพุ่งตัวออกไปด้านข้างอย่างฉับพลัน
ตูม! พื้นดินระเบิดออกอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นม่านฝุ่นละอองกระจายไปทั่วบริเวณ เด็กหนุ่มอาศัยม่านบังตาชั่วคราวนี้รีบดึงเอาบุ๊กเล็ตออกมา อาวุธประจำกายถูกติดตั้งที่แขนซ้าย แสตมป์รูปเสือชีตาห์ถูกแปะลงที่ข้อเท้าอย่างเร่งรีบ และเมื่อม่านควันบางตาลง กระสุนปืนก็ถูกกระหน่ำยิงเข้าใส่เป้าหมายทันที...แต่...ไร้ผลกระสุนเหล่านั้นไม่ได้ต้องกายของคิเมร่าตัวนั้นเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนมีม่านอะไรสักอย่างที่ดูดกลืนลูกกระสุนนั้นให้ ‘หายไป’ เพราะเขาไม่สามารถเรียกกระสุนย้อนกลับคืนสู่รังเพลิงได้เหมือนทุกที
“เฮ้ย! อาบิเตอร์!! อาบิเตอร์!! ฆ่ามัน!!!” เจ้าคิเมร่าตัวนั้นตะโกนบอกพวกของมันที่อยู่แถวนั้น
...ข่าวร้ายนรก...
“ไอ้ฉิบหาย ตูไม่ใช่อาบิเตอร์โว้ย!” ราล์ฟเลิกคิดถึงเรื่องการโจมตีทันที สองขารีบโกยด้วยความเร็วสูงที่สุด คิดว่าพลังของแสตมป์ชีตาห์ที่เคยหลอกมังกรจนหัวหมุนมาแล้ว คงจะพอช่วยอะไรเขาได้บ้าง...
...แต่เปล่าเลย...
เมื่อเขาหันกลับไปข้างหลัง ฝูงคิเมร่าก็วิ่งตามเขามาด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ไม่ต่างกัน!! หัวสมองยังคงคิดหาทางเอาตัวรอด... แล้วเขาก็นึกถึงไพ่ตายใบสุดท้าย iSender ถ้าทำการคัดลอกข้อมูลของคิเมร่ามาใช้ชั่วคราว... แม้ไม่รู้จะทำได้เหมือนกับการใช้งานกับดรีมชาร์ดหรือไม่ แต่เมื่อจนตรอกอย่างนี้ อะไรที่พอจะทำให้โอกาสรอดเพิ่มขึ้นได้ มันก็ต้องใช้!!
บุ๊กเล็ตลอยตามราล์ฟออกมาด้วยความเร็วสูงพอ ๆ กับเสือชีตาห์ เขาหยิบอุปกรณ์ประหลาดสีขาวออกมา แล้วเอื้อมมือไปด้านหลัง เดินเครื่องมันโดยไม่ต้องมองด้วยซ้ำว่ามันตรงกับคิเมร่าหรือไม่ ทว่า...
บึ้ม!! ไพ่ใบสุดท้ายในมือของเด็กหนุ่มไม่อาจคัดลอกข้อมูลปริมาณมหาศาลของคิเมร่าได้ มันระเบิดกระจุยกระจายเละเทะ พวกมันยังคงไล่ตามเขามาอย่างกระชั้นชิด ท้ายที่สุดที่ตอนนี้เด็กหนุ่มพอจะทำได้มีเพียงแค่...
...วิ่งหนีให้สุดฝีเท้าเท่านั้น...
--------------------------------------------------------------
เสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
เส้นทางที่ถูกขนานด้วย กำแพงแมกไม้สองด้านบีบบังคับให้เด็กหนุ่มต้องวิ่งตรงไปเบื้องหน้าเท่านั้น
แสงจันทร์เต็มดวงสาดให้เห็นเงาของผู้ไล่ตามที่มีนับสิบ
ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเหลียวมองโฉมหน้าของพวกมันว่าเป็นใคร
สิ่งเดียวที่เขามั่นใจตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว
...นั่นคือ...
พวก มันไม่ใช่คน!
เสียงกู่ร้องดังมาจากด้านหลังฉุดให้เขาหันไปมองอย่างลืมตัว
มนุษย์จำนวนหนึ่งกรูเข้ามาหมายจะต่อสู้
แต่กลับถูกลำแสงปริศนาฉีกกระชากร่างกายแหลกละเอียดไปในคราวเดียว
ขาทั้งสองนั้นแข็งทื่อราวกับว่าสมองหยุดสั่งการให้มันขยับหนีไปไหน
ปล่อยให้สายตาจ้องมองการเข่นฆ่ามนุษย์ตรงหน้าเยี่ยงสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง
ดวงตาสีแดงฉานของพวกมันฉายแววป่าเถื่อน
ความเย็นยะเยือกพลันแล่นวาบขึ้นมาตามสันหลัง
สองเท้าค่อย ๆ ก้าวถอยจนกระทั่งสะดุดเข้ากับบางสิ่ง
เขารู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตนกำลังพิงอยู่ต้นไม้ใหญ่
ร่างของเหยื่อถูกบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจมองเห็นฉีกกระชากกลางอากาศ
ทั้งที่พวกมันไม่ได้แตะต้องตัวเหยื่อเลยแม้แต่น้อย
ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง
เหมือนกับว่าสติสัมปชัญญะสูญหายไป
ในดวงตาคู่นั้นมีเพียงภาพของปีศาจกระหายเลือดที่คำรามลั่นอย่างพึงพอใจ
พึงพอใจที่ได้เข่นฆ่าผู้คน!
มันหันมามองร่างของเขาที่ยืนสั่นเทา
แล้วพุ่งเข้าหาเขา หมายจะขยี้ร่างนี้ให้แหลกสะบั้นคามือ
ไม่ต่างจาก ‘เหยื่อ’ ของมันก่อนหน้านี้
ความคิดเห็น