คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 2 : Lethal Effect (99.5%)
Gate-in Processing…
Your genetic ID is 545879431356053240523a
[ U T O P I A ]
The world our souls are connected
แสงสว่างวาบในสายตาของเขาทำให้เด็กหนุ่มมองเห็นทุกอย่างขาวโพลน ถึงแม้ว่าแสงสีขาวนี้อาจจะไม่ได้กระทบดวงตาเขาจริง ๆ หากแต่มาจากการแปรข้อมูลสื่อประสาทโดยตรง สิ่งที่ชายหนุ่มทำได้ตอนนี้คือการมองไปอย่างเดียว จะหลับตาลงก็ทำไม่ได้ราวกับเขาสูญเสียเปลือกตาไปแล้ว ไม่สิ เหมือนทั้งร่างกายเขาหายไปต่างหาก
อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ราล์ฟชินชาแล้ว
ทุกอย่างสิ้นสุดลงในสิบวินาทีไม่ขาดไม่เกิน ภาพเบื้องหน้าเขากลับมาเป็นความมืดอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกตามแขนขาแม้อาจจะรู้สึกเบากว่าเดิมเล็กน้อยบ้าง ราล์ฟรับรู้จากประสาทสัมผัสทั่วร่างกายว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงที่ไม่ค่อยนุ่มเท่าไหร่ เขาลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับลืมตาขึ้นมา ทิวทัศน์อันคับแคบของห้องสีขาวโพลนเล็ก ๆ รูปทรงวงกลมได้ประจักษ์สู่สายตาของหนุ่มนัยน์ตาเขียวน้ำทะเล อันที่จริง เตียงที่เขานั่งและเสื้อผ้าที่เขาใส่ก็เป็นสีขาวด้วย ซึ่งบางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนซักแห่ง ถึงแม้ว่าห้องแห่งการเริ่มต้นนี้จะสามารถตกแต่งเพิ่มเติมได้แต่ด้วยความขี้เกียจและความไม่มีอารมณ์ศิลป์ทำให้เขาตัดเรื่องพรรค์นั้นทิ้งจากหัวได้อย่างรวดเร็ว
ตรงกลางห้องนี้คือเก้าอี้ไม้รูปทรงธรรมดา ๆ หนึ่งตัวที่มีก้อนหินทรงรีสีเหลือบขาวพร้อมมีตัวอักษรมากมายสลักอยู่ลอยเหนือมัน เมื่อราล์ฟลุกขึ้นจากเตียงแล้วมายืนข้างหน้าก้อนหินก้อนนี้ ก็มีเสียงของผู้หญิงวัยทำงานดังขึ้นมา
“ยินดีต้อนรับท่านสู่ยูโทเปียแห่งนี้ ท่านต้องการอ่านคำแนะนำสำหรับมือใหม่หรือไม่”
“ไม่” เมื่อราล์ฟตอบเสร็จก็มีกรอบรูปโผล่ขึ้นมาหลายกรอบลอยมาล้อมรอบเบื้องหน้าของเขา กรอบแต่ละบานจะทำด้วยไม้สีส้มทั่วไปและยังไม่มีรูปภาพใด ๆ อยู่ในกรอบรูปนั้น
“ท่านมีความประสงค์จะไปยังเอ็มไพร์แห่งใด” จากนั้นภายในกรอบรูปก็เรืองแสงขึ้นแล้วกลายเป้นรูปสถานที่ต่าง ๆ เอ็มไพร์คือโซนย่อยลงมาจากยูโทเปีย แต่ละเอ็มไพร์จะเก็บรวบรวมอารยธรรมและข้อมูลที่หมวดหมู่ใกล้เคียงกันมาไว้ด้วยกัน อย่างเอ็มไพร์นิรวานะที่เขากำลังจะไปก็จะรวบรวมอารยธรรมตะวันออกเข้าด้วยกัน มีทั้งจากอาณาจักรจีน อินเดีย และประเทศอื่น ๆ ที่เขาก็จำไม่ค่อยได้ หรือเอ็มไพร์โอฟีเลียที่เขากับโทปริโอไปฟัดกับมังกรเมื่อวานก่อนก็จะเก็บอารยธรรมยุคกลางของฝั่งทวีปยุโรปไว้ ที่จริงบางเอ็มไพร์ก็ไม่ได้เก็บอารยธรรมจากที่ไหนเลยเช่นที่เซซิลิก้า เพราะจะมีแต่ตัวการ์ตูนและสัตว์ประหลาดตามภาพยนตร์มากกว่า
“เอ็มไพร์นิรวานะ” เขาตอบอย่างไม่ลังเลนัก ก่อนที่จะกรอบเรืองแสงนี้จะเปล่งแสงวูบวาบและเปลี่ยนแปลงรูปภาพอีกครั้งอีกครั้ง
“ท่านมีความประสงค์จะไปคาสเซิลอะไร หรือเลือกที่จะสุ่มปลายทาง” คาสเซิลก็คือหน่วยย่อยในเอ็มไพร์อีกที แต่ไม่เหมือนเอ็มไพร์ที่มีตัวเลือกไม่ถึงสิบเพราะคาสเซิลมีจำนวนไม่น่าน้อยกว่าสิบล้านแห่ง ทั้งที่มีตัวตนอยู่จริงในโลกเก่าหรือไม่ก็ที่คนยุคนี้สร้างกันเอง ดังนั้นตอนนี้กรอบรูปจึงมีทั้งข้อความรายชื่อแต่ละคาสเซิล ภาพประกอบที่มุมบน และแป้นพิมพ์เรืองแสงที่ลอยใต้ระดับอกเล็กน้อยเผื่อให้คนพิมพ์ไปมั่ว ๆ เป็นการหาไปในตัว
ราล์ฟพิมพ์คำว่า Shaolin Temple หรือวัดเส้าหลินลงไป นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ในนิรวานะที่เขารู้จักเพราะเขาโปรดปรานตำนานเทพนิยายยุโรปมากกว่า
เพียงพิมพ์ชื่อเสร็จก็มีกรอบรูปเรืองแสงเพิ่มขึ้นอีกสองข้างรอบตัว ฝั่งขวาคือให้เลือกเครื่องแต่งกายส่วนฝั่งซ้ายให้เลือกระดับใบอนุญาต เขาไม่เคยคิดจะเลือกเครื่องแต่งกายอื่นนอกจากชุดประจำของเขา นั่นก็คือเสื้อคลุมสีกรมท่าแถบแดงที่มีเสื้อยืดสีดำอยู่ด้านใน
เมื่อจัดการเลือกอะไรเสร็จแล้ว กรอบรูปทั้งหมดก็จางหายไป แล้วฝั่งตรงข้ามของห้องจะจะมีประตูไม้สีน้ำตาลปรากฎแทน ราล์ฟเดินไปยังประตูแล้วใช้มือบิดลูกบิดอะลูมิเนียมสีขาวตามแบบที่คนโลกเก่าใช้กัน เพียงเปิดแง้มเท่านั้นกลิ่นอายและลมจากภายนอกก็แตกต่างจากด้านในจนรู้สึกได้ชัดทันที
เด็กหนุ่มเดินออกมาจากประตู ตอนนี้เขาอยู่ภายในอาคารที่มีทางเดินแคบ ๆ ซึ่งเกือบจะมืดสนิทหากไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเป็นคบเพลิงอยู่ข้างประตู ราล์ฟเดินไปตามทางจนกระทั่งเจอทางออกซึ่งเป็นบันไดหินลงไป มีสิงโตหินตั้งขนาบอยู่สองฝั่งข้างบันได ทิวทัศน์ภายนอกเป็นสีฟ้าอ่อน ๆ เลือนลางซึ่งมาจากแสงจันทร์ตกกระทบท่ามกลางความมืดมิดจากราตรี บนพื้นที่ปูด้วยหินจะมีต้นไม้และหย่อมสวนเล็ก ๆ เป็นระยะ หากมองสูงขึ้นไปก็จะเป็นเจดีย์ที่มีหลังคาหลาย ๆ ชั้นซ้อนกันเป็นจำนวนหลายยอด แต่แสงจากดวงจันทร์ไม่อาจทำให้เขาแยกสีได้ดีนัก เสียงจั๊กจั่นเรไรกำลังร้องระงมเสียงดังจากตามต้นไม้
พรืด!
“อุ้บ!!” จู่ ๆ ราล์ฟก็ลื่นหกล้มลงไปกับพื้นจนเผลอร้องอุทานออกมาทันที หลังจากราล์ฟตั้งสติได้แล้วก็พบว่ามีเปลือกกล้วยอยู่บนพื้นตรงที่ ๆ เขาเดินผ่านเมื่อกี้
“กล้วยมาจากไหนกันฟะ...”
หลังจากที่ตาเขาเริ่มชินกับความมืดขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็พบว่า รอบ ๆ ตัวเขามีลิงป่าอยู่สองสามตัวได้ หนึ่งในนั้นอยู่บนหลังคาอาคารที่ราล์ฟเดินออกมาพอดี มันจ้องเขาด้วยสายตาเยาะเย้ยแล้วก็ตบมือมันสี่ห้าทีพร้อมๆ กับร้องเจี๊ยก ๆ
ราลฟ์เริ่มไม่สบอารมณ์ มือขวาเขาแตะที่รอยสักบนแขนซ้ายเตรียมตัวต่อสู้เต็มที่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะดึงบุ๊กเล็ตออกมา...
“จะ...จะ...เจ้าพวกลิงบ้า!” เจ้าของเสียงสั่น ๆ นี้อยู่ด้านซ้ายไปจากราล์ฟ เด็กผู้ชายใส่แว่นหนาเตอะใส่กางเกงขาสั้นตั้งท่าถือไม้ช็อตยุงสีม่วงอ่อน ที่จริงเขาปรากฎตัวแค่ครึ่งตัวเพราะส่วนที่เหลือยังซ่อนอยู่หลังต้นไม้ แต่ก็พอสังเกตได้ว่าขาเขากำลังสั่นอย่างเห็นได้ชัด “ดะ...เดี๋ยวฉันจะตีพวก…พวกแกให้น่วมเลย!”
...อืม พวกมือใหม่สินะ ยังไงที่นี่ก็มีระดับใบอนุญาตต่ำที่สุดอยู่แล้ว...
“ว้ากกกกกกกก!!” เด็กเนิร์ดตะโกนลั่นแล้ววิ่งมาไล่ฟาดลิงตัวหนึ่งที่อยู่บนพื้น แต่ก็ไร้ผล พวกมันกระโจนหนีขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะปาก้อนหินใส่หัวเจ้าสี่ตาคนนี้อย่างจัง
“โอ้ย!!! เจ็บ ๆ ๆ” เขาเผลอปล่อยมือจากอาวุธของเขาไปลูบหัวตนเองทันที ราล์ฟเห็นโอกาสนี้จะรีบย่องเบา ๆ ออกมาจากสถานการณ์ทันที
...ต้องขอโทษด้วยว่ะนาย แต่วันนี้ตูไม่มีอารมณ์ช่วยเด็กเนิร์ด ขอตัวล่ะ...
หลังจากปล่อยนู้บบี้ (มือใหม่) ให้โดนพวกลิงป่ารุมทึ้งตามลำพังแล้ว ราล์ฟก็เดินออกมายังบริเวณทางเดินหินโล่ง ๆ ที่มีอาคารชั้นเดียวอันมีหลังคาเป็นลอนคลื่นคล้ายเมฆขนาบข้างสองฝั่ง ตามลักษณะศิลปะจีนแบบสมัยก่อน ส่วนใจกลาง ลานมีสวนดอกไม้ขนาดหย่อมหลากหลายนานาพรรณกำลังแข่งกันส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ล่องลอยไปตามสายลม หากมองไกลออกไปจะพบเป็นเป็นทิวเขาสูงลิบกับยอดของเจดีย์เรียงรายมากมาย
ใครจะคิดเล่าว่าสถานที่ต่อสู้เช่นนี้จะแฝงไว้ด้วยความงดงามถึงขนาดนี้ เขาไม่ใช่คนที่สนใจในศิลปะเท่าไหร่นัก แต่การมาที่นี่มันก็กลับทำให้อดฉุกคิดไม่ได้ว่า ยูโทเปียมีศิลปวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งสูญหายไปแล้วในโลกแห่งความจริง
“หืม..” เสียงทุ้มต่ำครางอือในลำคอเบา ๆ เมื่อเห็นใครบางคนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ กลิ่น หอมที่ลอยมาเบาบางทำให้ราล์ฟรู้สึกอยากจะเดินเข้าไปหา เคลื่อนกายเข้าไปใกล้หมายอยากเห็นใบหน้าของใครบางคนที่ว่าให้ชัดเจน
หญิงสาวที่ยังไม่รู้ตัวว่าถูกจ้องหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีนั่งจิ้มดอกไม้เล่น จากนั้นก็เด็ดดอกไม้ขึ้นมาดม ก่อนที่จะจามฮัดชิ่วจนมันกระเด็นแล้วไปเด็ดดอกอื่นมาดมต่อ... มันประหลาด ๆ ไงไม่รู้แต่ก็ช่างมันเถอะ
สวบ..
“เอ๋..” เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำเซลินนึกเอะใจ หันกลับหลังเพื่อมองว่าใครมาเยี่ยมเยือน
“ราล์ฟ?” เสียงใสเอ่ยทัก แต่ก็ต้องขมวดคิ้วฉงนเหมือนไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบจากอีกฝ่าย ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้แล้วสะกิดหยิก ๆ นั่น แหละถึงทำให้คนเพิ่งมาใหม่ได้สติ
“หือ?” ราล์ฟสะดุ้ง ทำเอาเซลินทำหน้ามุ่ย แยกเขี้ยวใส่ตามเอกลักษณ์แล้วปริปากบ่น
“นายมาสายอีกแล้ว!” มือซ้ายของเซลินก็พลางตีไปที่แขนของราล์ฟ
“อย่างเธอก็คงชินแล้วล่ะมั้ง เลทซักชั่วโมงไปก็คงไม่ว่าไรกันหรอกเนอะ” คนถูกบ่นตอบกวน ๆ ไป ก่อนจะหยุดชะงักไปเหมือนมีอะไรที่หน้าสนใจ มากกว่า เขาเพิ่งสังเกตว่า วันนี้เซลินใส่ชุดไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ชุดกางเกงขา ยาวเสื้อกะโปโลแสนจืดชืด หากแต่เป็นชุดกี่เพ้าสี ชมพูหวานยาวถึงเข่าประดับด้วยลายดอกท้อ ช่วยดึงสีผิวให้ดูขาวเด่น รัดรูปจนเห็นเป็นร่างอรชร
“แล้วนี่นายใส่ชุดเดิมอีกแล้วเหรอ ไม่เบื่อรึไงยะ ฉันอุตส่าห์แต่งตามแบบชาววังเลยนะ”
“ก็... ไม่เบื่อน่า ผู้ชายมักมีชุดเท่ประจำตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนไป ๆ มา ๆ ให้เมื่อยแบบผู้หญิงหรอก” ราล์ฟตอบแบบเลี่ยงการมองเจ้าตัวตรง ๆ แล้วเอานิ้วเกาแก้ม
“ล่ะ... แล้ว... เป็นยังไงบ้างล่ะ..”
“หืม?”
“ก็ชุดนี้น่ะ..” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้เพิ่งตะโกนด่าเขาปาว ๆ อยู่หยก ๆ ราล์ฟขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง ก่อนจะมองอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าสีแดงเรื่อของตัวเองจนคางแทบชิดกับอก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่าย กำลังลุ้นกับคำตอบของเขาอยู่ขนาดไหน
“ก็น่ารักดี…”
“เอ๋?” รู้สึกราวกับแก้มทั้งสองข้างของตัวเองมันร้อนขึ้นกว่าเหมือนถูกไฟเผา ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้น ก่อนที่ นัยน์ตาสีฟ้าครามจะสบเข้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ
..แล้ว รีบก้มลงไปเหมือนเดิม
“หมายถึงน่ารัก.......ษานะ..”
“…หา?”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะออกมาแถมยังยิ้มหราไปที่ฝ่ายหญิงที่ตื่นเต้นกับคำตอบเมื่อกี้ เซลินทำหน้าแดงกว่าเดิม แต่เชื่อได้เลยว่าหน้าแดงคนละแบบกับเมื่อกี้แน่ ๆ ก่อนที่เธอไล่ตีแขนราล์ฟไปหลาย ๆ ที
“โอ้ย เจ็บ!! หยุด ๆๆ แค่ล้อเล่นเองน่า...” เด็กหนุ่มต้องเอามือปัดป้องแรงตบรุนแรงจากสตรีเพศ เมื่อเขาสังเกตบนใบหน้าของเซลินก็พบว่าการเล่นของเขานั้นคงจะแรงเกินไปมาก ฝ่ายหญิงเริ่มทำหน้าสะอื้นแล้วเอานิ้วปาดด้านใต้นัยน์ตา
“เฮะ..เฮ้!! ถึงขั้นร้องไห้เลยเหรอ ขอโทษ ๆ ๆ ๆ” ราล์ฟรีบก้มปะหลก ๆ ใหญ่
“เล่นแบบนี้… มันเจ็บนะ…” เสียงพูดค่อย ๆ สั่นลงเรื่อย ๆ เหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ เซลินก้มลงจนราล์ฟมองไม่เห็นหน้า “สัญญาก่อนสิว่าต่อไปนี้จะพูดดี ๆ กว่านี้อ่ะ”
“สัญญา ๆ อย่าร้องนะ ขอโทษจริง ๆ” เหงื่อราล์ฟเริ่มไหลไปตามหน้า ไม่มีอะไรที่สะท้อนความรู้สึกคนได้ดีกว่ายูโทเปีย เพราะแม้แต่เหงื่อกับน้ำตาก็ยังมีได้
แต่…
ไม่ทันไรเจ้าคนก้มอยู่ก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาด้วยความยินดี แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาทำตาแป๋ว
“วันนี้นายเป็นฝ่ายโดนมั่งซะ!! คิก ๆๆ”
...โธ่เอ้ย ไอ้เราก็อุตส่าห์สำนึกผิด ดันหน้าแตกเพล้งเพราะโดนแกล้งเองซะงั้น...
“อ่ะ... เอาเถอะ” ราล์ฟรีบพูดแก้หน้าตัวเอง แก้มเขาก็เริ่มแดงนิด ๆ เหมือนกัน “วันนี้เราจะมาฝึกต่อสู้ไม่ใช่เหรอ”
“อื้อ”
“ทีนี้เธอรู้ไหมว่าบุ๊คเล็ตใช้ทำอะไรได้บ้างนอกจากใช้เข้า มาในยูโทเปีย”
เซลินแตะต่าง หูนิดหนึ่งอย่างใจลอย “ก็ไม่มากนะ”
“อืม…” ชายหนุ่มใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดนิดหนึ่ง “บุ๊คเล็ตของแต่ละคนก็จะมีหน้าตาต่างกันไป ใช้เก็บข้อมูลของดรีมชาร์ด และถึงจะหายจากตัวแต่จะกลับหาเจ้าของทันที มีทั้งข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลบัญชีธนาคาร คำสั่งต่าง ๆ ใช้ไปนาน ๆ เดี๋ยวก็ชินเอง ไม่ต้องห่วง”
นัยน์ตาของหญิงสาวดูเลิกลั่ก แต่ก็ผงกศีรษะครั้งหนึ่งอย่างหนักแน่น
“ทีนี้ ถ้าเธอจะสู้จริงๆ…เธอต้องการอาวุธ ฉันขอดูของเธอหน่อยได้ไหม”
เธอผงกศีรษะรับอีกครั้งแล้วเอ่ยขึ้นลอยๆ “ซิลฟ์เอ๋ยจง ออกมา”
ทันใดนั้นต่างหูรูปหยดน้ำสีออกแดงของเธอก็กลายสภาพเป็นภูติจิ๋วบินออกมาอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะกวักแกว่งมือเล็ก ๆ ทำให้บุ๊คเล็ตแผ่นไม้โปร่งใสสีเขียวอ่อนปรากฎขึ้นมากลางอากาศ เซลินกดคำสั่งต่าง ๆ ด้วยท่าทีประดักประเดิดแล้วหยิบรูปตุ๊กตาหมีขนฟูน่ากอดออกมา
ราล์ฟกำลังคิดว่า หากสายตาไม่ได้กำลังเล่นตลกกับเขาอยู่ เซลินก็คงฟังอะไรผิดพลาด
“เอ่อ เซลิน…ฉันบอกว่าอาวุธนะ ไม่ใช่ของกอดเล่น”
“ก็นี่แหละ อาวุธ” เซลินจับแขนเจ้าหมีน้อยน่าขยะแขยงนั่นแล้วทำให้มันโบกมือใส่เขา
ราล์ฟจ้องลึกเข้าไปในดวงตาลูกปัดดำๆของมัน มันจ้องกลับมาด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยมอำมหิตราวกับรอยยิ้มที่ฉาบใบหน้าของสตรีเพศเอาไว้ยามโกรธเกรี้ยว
“แล้วตอนนี้มีทักษะอะไรมั่งน่ะ” เขาถาม รู้สึกราวกับไอ้หมีนั่นกำลังงับหัวเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หญิงสาวส่ายศีรษะพร้อมกับตุ๊กตาหมี
…สาระแนสิ้นดี ไอ้หมีบ้า… เขานึก ทั้งที่จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนจับให้หัวมันขยับเอง
“งั้นเริ่มจาก งานอดิเรกของเธอแล้วกัน เธอชอบทำอะไร”
“อ่านหนังสือ” เซลินตอบโดย ไม่ต้องหยุดคิด
“หนังสือแบบไหนรึ?” เขาถามออกไป โดยรู้อยู่แล้วว่าจะได้คำตอบกลับมาเป็นนิยายรักโรแมนติก
“ปรัชญาอะ”
...ความเงียบบังเกิดขึ้นพลันราวกับทั้งวัดเส้าหลินถล่ม เธอเอียงศีรษะไปทางซ้ายนิดหนึ่ง “ทำไมเหรอ... ราล์ฟ?”
“เปล่า ๆ ” ชายหนุ่มอึกอัก “สิ่งที่เป็นความชอบหรือความถนัดของคน ๆ นั้นจะกลายเป็นทักษะที่ใช้ต่อสู้น่ะ งั้นก็ลองคิดทักษะอะไรที่มันเกี่ยวกับปรัชญาดูหน่อยดีไหม เธอคิดว่าไง?”
“อ่า.... ตอนนี้เหรอ ไม่ดีมั้งอะ...” เซลินตอบแบบเลี่ยง ๆ “ว่าแต่ทักษะมันเกิดจากอย่างอื่นได้รึเปล่า”
“ก็ได้แหละ เช่นพวกบาดแผลในใจ ไม่ก็อารมณ์เก็บกดพวกนี้ ถ้าควบคุมได้ก็... อุ๊บ!!” ยังไม่ทันราล์ฟจะพูดจบเขาก็ถูกก้อนหินปาใส่หัวเข้าอย่างจัง
เมื่อทั้งสองคนหันออกไปรอบ ๆ ก็พบว่าพวกเขาถูกฝูงลิงป่าล้อมรอบ หนึ่ง...สอง...สาม... พวกมันมีมากันถึงหกตัว!! เหล่าสัตว์หน้าขนกำลังมองไปยังมนุษย์ทั้งสองด้วยสายตาอันเย็นยะเยือกราวกับสิงโตที่กำลังเพ่งเหยื่อก็มิปาน
“ชิ! ไม่ทันไรก็โดนล้อมละ” ราล์ฟสบถ
จากนั้นลิงตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสุดก็ได้พูดออกมา…เป็นภาษามนุษย์
“เฮ้! เด็กผู้หญิงน่ารักนี่หว่า ลากไอ้ผู้ชายคนนั้นไปรุมทึ้งแล้วลักพาตัวผู้หญิงไป!! เจี๊ยก!!”
…โธ่ไอ้พวกลิงหื่น พวกแกเป็นบรรพบุรุษพวกตัวร้ายตามละครน้ำเน่ารึไงวะ…
“เซลิน…” ราล์ฟค่อย ๆ ก้าวถอยหลังพร้อมกับปัดป้องมือเด็กหญิงให้ถอยไปอยู่ด้านหลังเขา “ถอยออกมาก่อน ระดับนี้เดี๋ยวฉันจัดการแปบเดียวก็เสร็จ”
“ไม่ต้องหรอกราล์ฟ…” คำตอบของเซลินสร้างความแปลกใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง “ฉันอยากจะลองสู้เอง นายให้แค่คำแนะนำฉันพอ…”
“แต่ว่า…!” ยังไม่ทันจะพูดจบเซลินก็วิ่งพุ่งเข้าใส่ลิงตัวที่อยู่ใกล้สุดพอดี
“ย้ากกกกกก!!!” เด็กสาวจับตุ๊กตาหมีของเธอเข้าไปฟาดทันที ซึ่งก็โดนอย่างจัง!
แต่... ก็ไร้ผล ลิงตัวนั้นสะดุ้งแล้ววิ่งหนีด้วยความตกใจ แต่หามีความบาดเจ็บไม่ ...ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้นแหละ ในขณะที่เซลินยังวิ่งเอาตุ๊กตาไล่ฟาดอย่างเมามันจนฝูงลิงแตกกระเจิงไป
“เซลิน!! เวลาสู้อย่าตะโกนสิฟะ!” ราล์ฟตะเบงเสียงดัง “รีบถอยออกมาก่อน เดี๋ยวโดนโจมตีกลับหรอก”
ยังไม่ทันที่คำแนะนำแกมบังคับของราล์ฟจะเห็นผล เซลินก็สะดุดเปลือกกล้วยล้มไปอีกคน แถมหัวยังกระแทกพื้นอีกต่างหาก
“เฮ่ย!!” ราล์ฟหน้าซีดอุทานยังไม่ทันสุดเสียง กลุ่มลิงอีกสามตัวก็พุ่งชาร์จใส่เขาทันที คนถูกโจมตีจึงรีบใช้แขนปกป้องตัวเองจากคมเขี้ยวและเล็บของเหล่าวานรก่อนที่จะเตะตัวนึงกระเด็นไป ลิงตัวที่สี่เข้ามาเกาะหลังเขาหมายจะเล่นงานที่ตาชายหนุ่มแต่เขาก็จับแขนทั้งสองของมันได้ทันท่วงที ก่อนที่จะขว้างสะบัดใส่พวกลิงที่เหลือ เสียงเจี๊ยก ๆ ร้องด้วยความเจ็บปวดร้องระงมอย่างต่อเนื่อง
“เซลิน เป็นไงมั่ง!” ราล์ฟรีบวิ่งไปหาเด็กสาวที่นอนอยู่พร้อมกับมองระแวดระวังว่าพวกลิงที่เหลือจะมาเล่นงานพวกเขาอีก เมื่อเขาประคองเซลินขึ้น เขาก็พบว่า...
“...ราล์ฟ...” เด็กหญิงตอบด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ สายตาเริ่มสะท้อนอารมณ์ที่รุนแรงพร้อม ๆ กับน้ำตาที่เล็ดออกมาเล็กน้อย “สอนอาวุธกับการใช้ทักษะเดี๋ยวนี้เลย... ฉันจะฆ่ามันให้เร็วที่สุด...”
ราล์ฟกลืนน้ำลายเอื๊อก ...ผู้หญิงโกรธนี่ท่าทางน่ากลัวยังไงไม่รู้ว่ะ...
“อ่า... ตอนเธอสร้างอาวุธเธอไม่ได้คิดเหรอว่ามันใช้โจมตียังไง”
“ตอนนั้นฉันคิดว่าสร้างอะไรก็สร้างมาเถอะ เลยคิดแต่แบบน่ารักอย่างเดียว ไม่ได้คิดเรื่องการโจมตีซักนิด” คำตอบที่ดุดันของฝ่ายหญิงทำเอาราล์ฟรู้สึกว่า... ตัวเธอน่ากลัวกว่าพวกดรีมชาร์ดร้าย ๆ ซะอีก!
“งั้นต่อไปนี้… ให้ลองจินตนาการถึงความทรมานไม่ก็การเก็บกดอะไรซักอย่าง ดึงออกมาให้สุดเลยนะ มองไปที่ศัตรูแล้วนึกภาพว่ามันจะต้องโดนอะไร” ราล์ฟพูดเสียงเบา ๆ เชิงยั่วยุ ถึงแม้ตัวเขาเองก็ลังเลอยู่ที่ตัวเองทำถูกหรือไม่ แต่เขาก็รู้กฎเกณฑ์แห่งยูโทเปียดี…
ราล์ฟอุ้มไหล่เซลินขึ้นมา พบว่าบัดนี้เหล่าสัตว์หน้าขนกำลังรวมตัวกันแล้วซุบซิบอะไรบางอย่างอยู่ข้างสวนดอกไม้ไกลออกไป ก่อนที่จะหันมาเขม่นหน้าเขาราวกับคิดแผนการจัดการกับเขาเสร็จสิ้นแล้ว
“พวกมนุษย์ แกบังอาจเหยียดหยามพวกเรา เดี๋ยวพวกแกจะได้จุกแน่ เจี๊ยก!!”
…ไอ้พวกหน้าขนพวกนี้มันน่าขยะแขยงได้เรื่องเลย…
“ถ้าให้พูดถึงการเก็บกดเหรอ…” เซลินเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ พลางเอามือกอดตุ๊กตาหมีของเธอ ถึงแม้น้ำเสียงจะยังคงความอ่อนหวานแต่ฝ่ายชายเริ่มไม่อยากฟังเนื้อหาเท่าไหร่ “ไม่รู้พ่อแม่ฉันคิดอะไรถึงส่งฉันมาเรียนการทหาร แล้วทุก ๆ วันฉันต้องโดนครูฝึกแกล้งทั้งลงโทษมั่งแต๊ะอั๋งมั่ง วันนี้ก็เพิ่มโดนวิ่งไปร้อยรอบ ไม่รู้ทำไมผู้หญิงธรรมดาอย่างฉัน…อย่างฉัน…”
ราล์ฟสัมผัสได้… พลังทุกอย่างในยูโทเปียนี้เกิดจากจิต ใครมีจิตที่พลังเหนือกว่าก็ย่อมสามารถคัดง้างระเบียบกฎเกณฑ์เดิม ๆ ได้ และของเซลินก็จะเป็นแบบนั้น…
“ชั้น… ทน… ไม่… ไหว… แล้ว…นะ…ย้าาาา!!!!!” สาวน้อยที่ดูอ้อนแอ้นอรชรได้ระเบิดอารมณ์ออกมา! ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองตุ๊กตาของเธอก็เปล่งแสงสีส้มออกมา ราล์ฟเริ่มเห็นท่าไม่ดีก็รีบออกห่างจากตัวเธอทันที
พลัน! ตุ๊กตาหมีตัวเล็กที่สะท้อนสีเหลืองอ่อนของแสงจันทร์และคบไฟก็ได้เปิดปากออกมา แล้วพ่นระเบิดเปลวไฟสว่างจ้าออกมา!! เปลวอัคคีอันแรงกล้าพุ่งทะยานไปยังกลุ่มวานรทันทีจนทำให้พวกมันแตกกระเจิงด้วยความร้อนเร่า เสียงเปลวไฟผสมผสานกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพวกมันได้อย่างไม่น่าทนฟังอย่างยิ่ง ราล์ฟได้แต่ยืนอึ้ง
...นี่มันโหดกว่าที่ตูคิดอีกนะนี่...
ดรีมชาร์ดเกือบทุกตัวโดนไฟคลอกจนล้มลงไปทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ตัวนึงที่มันพูดภาษามนุษย์ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นจ่าฝูงของพวกมัน ได้เผ่นแน่บไปแล้ว
เซลินอึ้งและเงียบไปซักพัก สีหน้านิ่งเฉยราวกับไร้ความรู้สึก
...ราล์ฟคิดในใจว่า มันคงจะต้องมีอะไรเพี้ยนกว่านี้แน่ ๆ...
แต่จากนั้น เซลินก็หัวเราะคิกคักออกมา ก่อนที่จะหันไปยิ้มกับชายหนุ่ม
“เอ๋... เป็นไรล่ะนั่น” ราล์ฟถามด้วยความฉงน ตอนแรกนึกว่าเซลินจะสติแตกด้วยความโกรธและความอึ้งเสียอีก
“ไม่รู้สิ” สาวเจ้าตอบอย่างเป็นมิตรแตกต่างจากเมื่อกี้มาก “พอระเบิดความรู้สึกไปเมื่อกี้ก็รู้สึกอารมณ์ดีกะทันหันเลยอ่ะ”
ราล์ฟได้แต่มองตาค้าง ยังไม่ทันหายจากภาวะอึ้ง ทึ่ง งงดี หูก็แว่วเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากทางที่เขามาตอนแรก เขาดึงเซลินให้มายืนใกล้ แม้จะแอบหวั่นกับตุ๊กตาหมีอยู่บ้างก็ตาม ทั้งสองคนมองไปทางต้นเสียงที่ยังไม่เห็นตัวอย่างระมัดระวังเตรียมพร้อม
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกว่ามันใกล้เข้ามาเต็มที จนในที่สุด เจ้าของเสียงก็ปรากฏตัว
เจ้าของเสียงฝีเท้าคือม้าขนสีแดงดุจเปลวเพลิง โดยมีผู้ขี่เป็นบุรุษร่างสูงในชุดเกราะสีทองแบบตะวันออก สวมหมวกที่มีพู่หางยาวสองเส้น มือขวาถือง้าวรูปร่างแปลกตา ใบหน้าคมเข้มบวกกับร่างกายที่กำยำทำให้เขาดูน่าเกรงขามยิ่งนัก เขาควบม้าเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ทั้งสอง ราล์ฟรีบเอาตัวบังเซลินไว้ทันทีเพราะรู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตรจากบุรุษ ผู้นี้
“เซลิน นั่นพระวัดเส้าหลินสินะ” คำพูดของราล์ฟทำเอเซลินเกือบล้มคว่ำ
“นั่นพระที่ไหนกันล่ะยะ!” ว่าแล้วเซลินก็ทุบใส่ชายจอมกวนไปเสียหนึ่งที “แต่... ฉันว่าคุ้น ๆ อยู่นะ หน้าตาแบบนี้มัน...”
ระหว่าง ที่เซลินกำลังนึกอยู่นั้น บุรุษร่างสูงก็เบิกตากว้างราวกับพบสิ่งมหัศจรรย์ของโลกก่อนจะเปล่งวาจาออกมา
“เตียว...เสี้ยน..!? นี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
...ใครคือเตียวเสี้ยน? ชายคนนี้กำลังพูดถึงใคร? ราล์ฟได้แต่ยืนทำหน้างง ผิดกับเซลินที่ตอนนี้ทำหน้าตกใจตามบุรุษร่างสูงไปอีกคน
“ฉันนึกออกแล้วราล์ฟ! ชายคนนี้คือ ‘ลิโป้’ ไง!” เซลินกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น ผิดกับราล์ฟที่ทำหน้างงยิ่งกว่าเดิมเพราะมีชื่อที่ไม่รู้จักโผล่มาอีกชื่อ
“ลิโพ...ยาชูกำลังของคนยุคก่อนเหรอ?”
“อีตาบ้า! ไม่รู้จักลิโป้เหรอ!?”
“ไม่” ราล์ฟตอบทันควัน
“เตียวเสี้ยน คนข้าง ๆ เจ้านั่นเป็นใคร? ...หรือว่า! เจ้าถูกลักพาตัวมาสินะ ข้าจะไปช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
บุรุษนามลิโป้ชักบังเหียนจนม้าขนแดงตัวนั้นยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้น ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่พวกราล์ฟอย่างรวดเร็ว! ราล์ฟผลักเซลินไปให้พ้นจากวิถีที่ม้าพุ่งมา ก่อนที่เขาจะกระโดดหลบไปอีกทาง
แต่ ปรากฏว่าลิโป้กลับอาศัยช่วงเวลาที่ราล์ฟออกห่างจากตัวเซลินชิงอุ้มตัวเธอ ขึ้นม้าไปเสียอย่างนั้น
“ข้ามาช่วยเจ้าแล้วเตียวเสี้ยน” ลิโป้เอ่ยกับเซลินด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลซึ่งตรงข้ามกับหน้าตาสุดๆ เซลินที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ยี้! ปล่อยฉันนะไอ้บ้ากาม!!!”
ทันใด นั้น ร่างของตุ๊กตาหมีที่เซลินกอดอยู่ก็เปล่งแสงสีส้มอีกครั้ง ก่อนจะอ้าปากกว้างแล้วพ่นลูกไฟออกมา!
ลูกไฟก้อนเท่าลูกปิงปองลอยอ้อยอิ่งไปถูกเกราะสีทองของลิโป้ ก่อนจะสลายหายไปราวกับอากาศธาตุ
“ง...ไหงงี้ล่ะ? ทีเมื่อกี้ยังรุนแรงกว่านี้อยู่เลย”
ราล์ฟดึงบุ๊กเล็ตออกมาจากรอยสักแล้วหยิบเอาปืนคู่ใจของเขาออกมา
“ปล่อยเซลินเดี๋ยวนี้นะไอ้บ้า!” ราล์ฟตวาดเสียงดังพร้อมกับเล็งปากกระบอกปืนไปที่ลิโป้
“ยังไม่คิดถอดใจไปจากเตียวเสี้ยนของข้ากระนั้นรึ เจ้าสวะ”
คำสบประมาทนั่น ทำให้ราล์ฟรู้สึกหงุดหงิดเป็นเท่าตัว แวบแรกของความคิดเด็กหนุ่มตั้งใจจะรัวปืนใส่ลิโป้ แต่เขาก็ต้องคิดใหม่เพราะว่าตอนนี้มีเซลินอยู่บนหลังม้ากับลิโป้ด้วย หากโจมตีไม่ระวังอาจจะทำให้หล่อนได้รับอันตรายไปด้วยได้
เขา เปิดหน้าต่าง Equipment and Belongings บนบุ๊กเล็ต แล้วหยิบแสตมป์รูปตัวตุ่นออกมา
“เดี๋ยวได้รู้กัน”
ราล์ฟแสยะยิ้มก่อนจะแปะแสตมป์แผ่นนั้นลงบนแขนของตน พลัน แสงสว่างก็วาบออกมาจากแสตมป์ ครอบคลุมแขนทั้งสองข้างของเขาไปชั่ววูบหนึ่งก่อนจะหายไป เขาสะบัดข้อมือใส่ให้บุ๊กเล็ตที่ลอยอยู่กลับมาเป็นรอยสักบนต้นแขนดังเดิม
เด็กหนุ่มเล็งแล้วยิงปืนไปที่ศีรษะของลิโป้กะจะให้เฮดช็อตแบบจัง ๆ แต่ลิโป้กลับหันศีรษะหลบอย่างง่ายดาย ทว่าพอลิโป้หันกลับมา เด็กหนุ่มกลับหายตัวไปเสียแล้ว
หายไปไหน...
ทันใดนั้น! พื้นดินใต้เท้าของลิโป้ก็กระจุยขึ้นมาพร้อมกับการปรากฏตัวอีกครั้งของเด็กหนุ่ม
“...ข้างล่างรึ!”
ราล์ฟสามารถประชิดตัวลิโป้ได้เป็นผลสำเร็จ เด็กหนุ่มตวัดดาบประหลาดในมือใส่ลิโป้สุดแรงโดยหวังจะตัดคอเสียให้ขาดสะบั้น แต่ชายบนหลังม้ากลับยกง้าวที่มีคมรูปร่างแปลกตาขึ้นมาป้องกันได้ทันอย่างเฉียดฉิว
ราล์ฟโจมตีพลาดเสียแล้ว เซลินคิดในใจ
แต่ พริบตานั้นเอง ที่จู่ๆ ลิโป้ก็มีเลือดไหลออกจากปากพร้อมกับยกมือขึ้นกุมหน้าอก ซึ่งมีร่องรอยว่ากระสุนปืนได้ถูกยิงทะลุทรวงอกของเขา ...แต่มันยิงมาจากทางไหนล่ะ?
“ลูกตะกั่วอร่อยดีไหมล่ะ? เจ้าสวะ”
ราล์ฟฉวยโอกาสที่ลิโป้กำลังชะงักชิงตัวเซลินกลับคืนมาได้เป็นผลสำเร็จ
“ราล์ฟ มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมลิโป้ถึงโดนยิงล่ะ? นายยิงตอนไหน?” เซลินรัวคำถามใส่ราล์ฟเป็นชุด
“หนึ่งในทักษะของฉันน่ะ กระสุนย้อนกลับไง”
กระสุนที่ยิงถูกลิโป้นั้น คือกระสุนนัดแรกที่ราล์ฟได้ยิงไปตั้งแต่ต้นนั่นเอง แต่กระสุนนั้นไม่ได้ยิงเสียเปล่า มันสามารถวิ่งย้อนกลับมาหากระบอกปืนได้ด้วย นี่เป็นสาเหตุที่แม้เด็กหนุ่มจะชักดาบออกมาแล้ว แต่ยังคงมีกระบอกปืนติดอยู่ที่แขนของเขา
แต่ลิโป้ก็ยังลุกขึ้นมาได้! ถ้าเป็นดรีมชาร์ดระดับล่างก็ไม่น่าจะอึดได้ขนาดนี้ ราล์ฟจึงตัดสินใจกระหน่ำกระสุนปืนใส่นักรบเบื้องหน้าอย่างไม่ปรานีจนกระเด็นจากหลังม้า เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะแน่นิ่งไป ในขณะที่เซลินหลบตัวอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม
“แปลกจัง...” สาวน้อยทำหน้าสงสัยแกมหวาดระแวง “ลิโป้น่าจะมาจากสามก๊กนี่นา แต่ทำไมโผล่มาที่นี่?”
“เป็นบั๊กหรือเปล่า?” ราล์ฟเดาคำตอบไประหว่างกำลังกระหน่ำยิงปืนพร้อมกับค่อย ๆ เดินถอยหลัง “ดรีมชาร์ดในเขตใบอนุญาตระดับ D ไม่น่าจะอึดแบบนี้”
ลิโป้โดนกระสุนซัดจนกระเด็นติดกำแพงราล์ฟเห็นแน่ใจแล้วว่าศัตรูไม่น่าจะรอดจึงได้หยุดยิงและลดปืนลง ก่อนจะเดินเข้าไปดูสภาพของเป้าหมาย
แต่นักรบเกราะทองคำกลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง! ราล์ฟรีบสะดุ้งตัวออกไปด้านหลังทันที ลิโป้ชูง้าวของเขาชี้ไปบนฟ้าแล้วตะโกนว่า
“เซ็กเธาว์ของข้า! จงเปลี่ยนร่างเป็นมังกร!”
ทันใดนั้นเองเจ้าม้าสีแดงเพลิงก็ส่งเสียงร้องฮี ๆ พร้อมกับสะบัดตัวไปมาอย่างแรง ก่อนที่ตัวมันจะเปล่งแสงสีเพลิงสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับหลอดไฟที่ค่อย ๆ เปล่งสีจากแดงเข้มไปเหลืองสว่าง กล้ามเนื้อมันค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นสนมีเสียงปริแตก ลิโป้ใช้จังหวะที่มนุษย์ทั้งสองฉงนสงสัยนี้ขึ้นไปขี่บนตัวม้าพลัน แล้วก็เกิดแสงสว่างวาบจนทั้งคู่มองทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน
พอแสงสีขาวหายไป ราล์ฟและเซลินก็กราดมองไปรอบ ๆ กลับไม่พบตัวทั้งลิโป้และม้าตัวนั้น
“จู่ ๆ มันหายไปไหน อย่างมันไม่น่าจะหนีแน่” ราล์ฟพูดเบา ๆ
“เมื่อกี้มันพูดคำว่า ‘มังกร’ นี่” เซลินเอ่ยเบา ๆ จากด้านหลัง “หรือว่า...”
เมื่อเด็กสาวเงยหน้าขึ้นไปข้างบน เธอก็พบกับ มังกรจีนเกล็ดแดงขนาดใหญ่ตัวยาวนับสิบเมตร! โดยมีลิโป้เจ้านายมันขี่อยู่ด้านหลังของส่วนหัว มันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าทั้ง ๆ ที่ไม่มีปีกที่จะบินได้ด้วยซ้ำ
“ราล์ฟ ๆ มันอยู่ข้างบน!” เซลินเริ่มทำหน้าซีดเผือด ดูจากสถานการณ์แล้วดูเหมือนโอกาสเอาชนะค่อย ๆ ริบหรี่ลง เมื่อราล์ฟมองเห็นศัตรูของตนก็หันมาพูดกับฝ่ายหญิง
“...พยายามหนีไปรอบเรื่อย ๆ แต่อย่าห่างจากฉันนะ! ไม่ก็เกตเอาต์ไปเลย เป้าหมายมันอยู่ที่ตัวเธอแต่มันก็อาจจะมาเล่นงานฉันก่อนก็ได้” พูดเสร็จเซลินพยักหน้ำรับแล้วก็รีบวิ่งไปหาที่ซ่อนทันทีตามสิ่งก่อสร้างแถวนั้น
เมื่อจัดการโค่นดรีมชาร์ดทั้งสองตนได้แล้ว ราล์ฟก็บอกให้เซลินดึงบุ๊กเล็ตออกมา
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เดี๋ยวเราก็จะ Memorize กัน” ราล์ฟพูดขณะที่เดินไปดูให้แน่ใจว่าศัตรูแน่นิ่งไปแล้ว
“เห...? Memorize คืออะไรเหรอ?” เซลินถามขณะที่เอียงคอด้วยความสงสัย ตาแป๋ว ๆ มองไปที่อีกฝ่าย
“เวรกรรม ไปอยู่บ้านนอกที่ไหนมาเนี่ยเธอ งั้นเดี๋ยวลองกดใช้คำสั่งนี้ในบุ๊กเล็ตดูก่อน” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปมาเพื่อให้เซลินหาตำแหน่งปุ่มคำสั่งเจอและกดใช้งานมัน จากนั้นก็มีแสงสีฟ้าสองเส้นยิงลงมาจากฟากฟ้า แล้วค่อย ๆ ดึงชิ้นส่วนดรีมชาร์ดทั้งสองให้หายไปทีละส่วน ๆ
“คำสั่ง Memorize มีไว้สำหรับส่งข้อมูลดรีมชาร์ดไปยังรัฐบาล และรัฐจะส่งข้อมูลที่ตีความแล้วกลับมาในบุ๊กเล็ตของเราเพื่อนำข้อมูลไปใช้หรือไม่ก็ขายต่อ” ราล์ฟแจงสี่เบี้ย “แล้วก็จะมีผลพลอยได้คือพลังงาน i2 จะใส่ในบุ๊กเล็ตด้วย ซึ่งก็ดึงไปใช้ในโลกจริงได้ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อใช้เอง”
“อ้อ... เพิ่งรู้เหมือนกันนะเนี่ย ก็ว่าทำไมคนถึงชอบมาล่าดรีมชาร์ดจัง หุหุ” ในบุ๊กเล็ตของเด็กหญิงปรากฎชื่อ ‘ลิโป้ หมายเลข 6’ และ ‘เซ็กเทาว์กึ่งมังกร’ ขึ้นมา จากนั้นเซลินก็เดินไปนั่งตรงขั้นบันไดหินข้างรูปปั้นสิงโตพร้อมกับเอามือตีพื้นแสดงการเรียกอีกฝ่ายให้เข้ามา “นายก็มานั่งพักตรงนี้ด้วยสิ”
“อื้ม ได้ ๆ” ว่าแล้วราล์ฟจึงเดินไปนนั่งข้าง ๆ เด็กสาว สายตาเขาพลางมองขึ้นไปบนฟ้าเหมือนกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เพียงชั่วครู่มือของเซลินก็เข้ามาตีขาของเขาเบา ๆ
“อ่าว มีอะไรล่ะทีนี้” ราล์ฟหันหน้ามาทางคนเรียก
“เอ่อ... ” เซลินหันออกไปทิศตรงข้ามกับที่ราล์ฟอยู่นิด ๆ พร้อมกับเอ่ยเบา ๆ “ขอบคุณนะ สำหรับวันนี้”
“โฮ่” ฝ่ายคนถูกขอบคุณกลับแสดงสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา ก่อนที่จะตอบกวน ๆ กลับไป “คนอย่างเธอขอบคุณคนเขาเป็นด้วยรึ?”
“ถ้ากับนายก็ใช่แหละ” คำตอบที่ได้รับกลับมากลับทำให้น่าประหลาดใจมากกว่า “นี่เป็นครั้งแรกสินะที่ฉันอยู่กับนายสองต่อสอง”
พอฝ่ายหญิงพูดจบก็ค่อย ๆ เอนตัวมาพิงศีรษะบนไหล่ของราล์ฟ ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มทำอะไรไม่ถูก
“อะ เอ่อ นี่เธอจะทำอะไรเนี่ย” ราล์ฟพูดกึ่งตวาดพร้อมกับทำหน้าแดง แต่เขาไม่กล้าทำอะไรมากด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะทิ้งตัวลงโขกพื้นหากไม่ได้พิงไหล่เขา ส่วนคนพิงก็หัวเราะคิก ๆ เบา ๆ ก่อนที่จะหันมามองเขา
“นี่ ราล์ฟ” เสียงใส ๆ ของเซลินทำให้ราล์ฟตั้งสติได้อีกครั้ง “นายมีความรู้สึกยังไงเวลาอยู่ในยูโทเปียแห่งนี้ สนุกสนานรึเปล่า”
“อืม...” ราล์ฟนิ่งไปซักพักก่อนที่จะตอบออกไป “ที่จริงมันก็ไม่ได้สนุกอะไรมากหรอก บางครั้งก็เครียด แต่บางครั้ง...”
“แต่บางครั้ง?”
“บางครั้งเวลารู้สึกว่าตัวเองกำลังเสี่ยงตาย มันกลับทำให้เรารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อมากที่สุด” ราล์ฟตอบเบา ๆ พลางเงยหน้าขึ้น “ทั้งเรื่องที่เรียนการทหาร ทั้งเรื่องที่มาล่าดรีมชาร์ด มันทำให้ฉันแน่ใจว่า... สนามรบคือสถานที่ที่ฉันคุ้นเคยที่สุดล่ะมั้ง”
“สนามรบเหรอ... พูดถึงเรื่องนั้น...” เด็กสาวเริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงให้หนักแน่นยิ่งขึ้น “นายรู้สึกมั้ย ว่าประวัติศาสตร์โลกของเรา เรื่องของรัฐบาลจักรวรรดิเรา มันแปลก ๆ”
“เอ? หมายความว่าไง?” ราล์ฟหรี่สายตาลงมาแล้วมองไปยังอีกฝ่าย
“เราเคยสูญสิ้นอารยธรรมไปเกือบทั้งหมด แต่ก็กู้กลับคืนมาได้ในเวลาไม่ถึงสองร้อยปีด้วยยูโทเปีย” เซลินเริ่มค่อย ๆ อธิบายไป “แต่น่าแปลกใจมั้ย เราค้นพบยูโทเปียได้ยังไงทั้งที่ตอนนั้นน่าจะไม่ต่างอะไรกับยุคมืด? แล้วทำไมอารยธรรมก่อนหน้านี้กลับไม่มีใครเคยค้นพบที่นี่เลย?”
“อืม... ไม่เคยสังเกตเรื่องนี้ซะด้วยสิ... พอดีไม่ถนัดวิชาประวัติศาสตร์เท่าไหร่ ฮา”
“ไหนจะเรื่องเผ่าคิเมร่าที่มักก่อเหตุก่อการร้ายช่วงนี้อีก ไม่มีใครรู้และไม่มีหนังสือเขียนเกี่ยวกับที่มาของเผ่านี้ซักคน อารยธรรมโลกเก่าก็ไม่ปรากฎเผ่านี้เลย” แต่ไม่ทันไรเซลินก็ชะงักไป “เอ่อ... คงไม่น่าสนใจสินะ พอดีฉันสนใจเรื่องอะไรทำนองนี้น่ะ ฮะ ๆ”
“ไม่เป็นไร เรื่องแบบนี้ไม่ค่อยเข้าหูฉันเท่าไหร่” ราล์ฟเอามือเกาหัว “ตอนนี้ในโลกจริงคงดึกแล้วมั้ง งั้นฉันขอตัวเกตเอาต์ละกัน”
“อื้ม ขอบคุณนะ เดี๋ยวฉันก็จะเกตเอาต์เหมือนกัน” เด็กหญิงหันหน้าไปทางอื่นสักพักก่อนหันกลัยมา “แต่ก่อนอื่น...”
จุ๊บ
“อะ เอ๋...” ราล์ฟอึ้งไปชั่วขณะในขณะที่เซลินทำแก้มแดงพร้อมกับหลบสายตาชายหนุ่ม <ในห้องบอกว่าไม่ต้องบรรยายเพิ่ม ให้คนไปคิดกันเอง>
“งั้นฉันไปก่อนดีกว่าเนอะ” เด็กสาวพูดพร้อมกับยิ้มแป้น จากนั้นเซลินได้เอ่ยเบา ๆ “ซิล์ฟเอ๋ยจงออกมา” จากนั้นตุ้มหูเธอกลายเป็นภูติจิ๋วที่เสกกรอบรูปขึ้นมาบนอากาศ เธอจึงใช้คำสั่งเกตเอาต์ออกไปในที่สุด ปล่อยให้เด็กชายยืนตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่คนเดียว...
“ลุง ผมกลับมาแล้ว” ราล์ฟเปิดประตูจากห้องเขามาทักทายเอลเมอร์ สีหน้าเด็กหนุ่มค่อนข้างแสดงความเหนื่อยล้าชัดเจน แต่มุมปากเขากลับยิ้มเด่น “วันนี้ผมส่งข้อมูลดรีมชาร์ดมังกรจากนิรวานะให้ลุงแล้วนะ ผมเหนื่อยละขอตัวไปนอนก่อน”
“อื้ม ขอบใจมาก” ชายวัยกลายคนในชุดกาวน์สีขาวหม่นตอบโดยไม่หันกลับมา สายตาของเขาจับจ้องที่งานวิจัยของเขาเท่านั้น ในขณะที่ราล์ฟก็กลับเข้าห้องตนไป
ราล์ฟกางแขนขานอนอยู่บนเตียง พลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาเอามือขวาเขาลูบไปที่แก้มเบา ๆ ซึ่งบัดนี้มันส่งสีชมพูเรื่อ ๆ ออกมา เด็กหนุ่มยิ้ม ก่อนที่สติเขาค่อย ๆ หายไป...
วันรุ่งขึ้นนี้คือวันพุธซึ่งเป็นวันหยุดราชการของจักรวรรดิอิมเพอราทริกซ์แห่งนี้ ทำให้ราล์ฟนอนจนตะวันสายโด่งได้สบาย ๆ กว่าจะตื่นก็เกือบเที่ยงวันพอดี เขาอาบน้ำและเปลี่ยนชุดก่อนที่ออกจากห้องมากินอาหารมื้อเช้า...หรือควรจะเรียกว่ามื้อกลางวันมากกว่า ลุงของเขาก็ยังคงทำงานอยู่หน้าเครื่องจักรรูปทรงประหลาดมากมาย แต่ก็ไม่ได้แสดงรวดเร็วเท่าตอนก่อนหน้านี้ เหมือนเอลเมอร์จะมองมอนิเตอร์เพื่อจะรออะไรบางอย่างมากกว่า ราล์ฟเพิ่งสังเกตว่าวันนี้ลุงเขาทำสีหน้าร่าเริงเสียด้วยซ้ำ
“อ้าวลุง งานวิจัยถึงไหนแล้วเหรอ” เขาถามในขณะที่กินอาหารอยู่บนโต๊ะกินข้าว
พอเอลเมอร์ได้ยินคำพูดหลายตนก็รีบเดินมาหาเขาเลยเหมือนคนกำลังตื่นเต้น “งานวิจัยลุงเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พอวันนี้ลุงลองประกาศโฆษณาตั้งแต่เช้าก็มีบริษัทมากมายเสนอราคามาเพียบเลย!”
“หา” ราล์ฟอ้าปากค้างด้วยความดีใจ แต่ก็ลังเลใจเล็กน้อยว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ “จริงเหรอลุง”
“จริงสิ ตอนนี้ราคาที่เสนอประมูลมาล่าสุดทะลุหลักล้านแล้วนะ อีกไม่กี่นาทีจะปิดประมูลแล้ว”
ว่าเสร็จเอลเมอร์จึงจูงแขนพาราล์ฟฝห้ลุกจากที่นั่งแล้วมาดูหน้าจอ “เห็นรายชื่อพวกนี้มั้ย นี่แหละพวกบริษัทที่มาประมูลงานวิจัยพันธุวิศวกรรมมังกรของเรา” ชายสูงวัยเงยหน้าขึ้นมาถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความสบายใจ ก่อนที่จะพูดเบา ๆ ให้ราล์ฟได้รับฟัง “ต่อไปนี้พวกเราก็คงจะสบายซะทีล่ะนะ พ่อกับแม่ของเจ้าก็คงจะหมดห่วงละ”
ราล์ฟตอบกลับเบา ๆ “ถึงพ่อแม่ผมจะจากไปตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็ได้ลุงรับเลี้ยงไว้ ผมก็พอใจในชีวิตแล้วล่ะที่ไม่ต้องไปเป็นกุ๊ยข้างถนน”
“อย่างไรเสียลุงก็ต้องตอบแทนผู้มีพระคุณอยู่ดี เพราะพ่อแม่ของเจ้าช่วยชีวิตลุงไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ถึงลุงจะไม่ใช่นักวิจัยที่มีเงินเหลือเฟือแต่แค่ดูแลเจ้าก็ย่อมทำได้แหละ” เอลเมอร์พูดด้วยความรู้สึกอิ่มเอม “ได้เวลาปิดประมูลละ เรารู้ผลแล้วว่าใครจะซื้องานวิจัยเรา เราเตรียมตัวไปเอ็มไพร์เรมินิสดีกว่า”
ราล์ฟสังเกตได้ชัดเจนว่าลุงเขาตื่นเต้นอย่างมาก ทำให้เขาก็ไม่อยากจะไปขัดใจอะไร “อื้ม งั้นเราเกตอินกันเลยละกัน”
ทั้งคู่ต่างไปหยิบ PLUG อุปกรณ์รูปร่างคล้ายมือถือนี้ซึ่งทำหน้าที่สำหรับการเกตอิน เมื่อทั้งสองกดใช้คำสั่งเกตอินแล้ว เยลลี่สีฟ้าโปร่งใส่ก็ค่อย ๆ ถูกปลดปล่อยออกมาจากเครื่องแล้วลอยเข้าห่อหุ่มบาง ๆ ทั่วทั้งร่างของทั้งสองคน แล้วทั้งสองคนก็หลับไป
ราล์ฟกลับมาสู่ห้องแห่งการเริ่มต้นสีขาวโพลนอีกครั้ง เหมือนเช่นเคยที่มีก้อนหินลอยอยู่เหนือเก้าอี้ซึ่งตั้งไว้กลางห้องรูปวงกลม ซึ่งในวันนี้เขาเลือกที่จะเดินทางไปสู้เอ็มไพร์เรมินิส สถานที่แห่งนี้คือข้อยกเว้นแห่งเดียวนับจากเอ็มไพร์ทั้งหมดเพราะจะไม่มีเขตต่อสู้กับดรีมชาร์ด เนื่องจากจะเป็นย่านธุรกิจและสถานที่ทางราชการที่พนักงานเงินเดือนหลาย ๆ คนก็มาทำงานไปกลับผ่านที่นี่
เมื่อราล์ฟเลือกอะไรเสร็จแล้วจึงเดินไปเปิดประตูออกไป ทิวทัศน์ภายนอกคือผู้คนมากมายคับคั่งเดินไปมาบนท้องถนนยามราตรีซึ่งส่วนมากแต่งกายแบบใส่สูทผูกไท แต่ก็มีไม่น้อยที่แต่งตัวแปลกแหวกแนวมาเหมือนกัน เช่นพวกที่ใส่หมวกแก๊ป เสื้อกล้าม ห้อยโซ่คล้องคอ กางเกงตัวใหญ่ ๆ ซึ่งหลายคนเรียกแฟชั่นนี้ว่าฮิปฮอป เป็นต้น แต่หากเงยหน้าขึ้นไปข้างบนด็จะมองเห็นตึกสูงเสียดฟ้าหลากสีหลายดีไซน์ ทางด้านขวามือของเขาคือสวนสาธารณะขนาดใหญ่นามเซ็นทรัลปาร์กที่มองเผิน ๆ ก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นป่าขนาดย่อมได้
ทันใดนั้นเอง มีเสียงเรียกจากด้านหลังของเขา ก็ไม่ใช่เสียงของใคนอื่นไกลนอกเสียจากลุงของเขา “ราล์ฟ ตัวแทนที่จะมาเจรจาแลกเปลี่ยนรออยู่ใจกลางเซ็นทรัลปาร์ก” ที่มือขวาของชายสูงวัยถือกระเป๋าโลหะเงินมาด้วย “เรารีบไปกันเถอะ อยู่ไม่ไกลนี่เอง”
ทั้งคู่เดินข้ามถนนจากฝั่งอาคารบ้านเรือนไปยังฝั่งสวนสาธารณะ ใบไม้สีเขียวสลับกับสีเหลืองอ่อนคือภาพที่เห็นได้มากที่สุดหากเดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่ปูไว้ซึ่งมีเสาไฟเป็นระยะ ผู้คนจำนวนมากเดินไปมาในบริเวณรอบ ๆ นี้ บ้างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้สาธารณะ บ้างก็ยืนชมวิวอยู่ริมสระขนาดใหญ่หากมองลึกเข้าไปในสวนอีกฝั่ง บรรยากาศราตรีท่ามกลางแมกไม้นี้ก็ทำให้ผู้มองเห็นรู้สึกสดชื่นไม่น้อย
ราล์ฟเดินไปตามเส้นทางโดยมีเอลเมอร์นำราวกับว่าเขารู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายแล้ว แต่ว่าทันใดนั้นเอง...
“กรี๊ดดด!!!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องขึ้นมา และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ทิศเบื้องหน้าของทั้งสองมีเสียงร้องมากมาย ตามมาด้วยฝูงชนที่วิ่งออกมาอย่างแตกตื่น ในทางตรงกันข้ามก็มีคนมากมายเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?” ราล์ฟพูดเบา ๆ
“ทิศนั้นมันที่ที่ตัวแทนติดต่อน่าจะอยู่นี่นา เรารีบไปดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น” ว่าเสร็จเอลเมอร์จึงได้วิ่งเข้าไปทันที
“ลุง ลุง รอก่อน!” ราล์ฟรีบวิ่งตามไปทันที ผู้คนเริ่มแตกฮือหนีออกมามากกว่าที่จะเข้าไปทำให้ตัวเขาสงสัยมากขึ้น แต่คลื่นมนุษย์เหล่านี้ก็ทำให้เขามองไม่เห็นลุงของเขาแล้วด้วยเช่นกัน
พลัน! ไกลจากตัวเขาไปคือผู้ชายคนนึงที่วิ่งหนีออกมาแล้วโดนแสงสีแดงพุ่งใส่ร่าง จนร่างกายเขาระเบิดออกมา! เลือดกระเซ็นกระจายตามพื้น ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมาได้คุกเข่าและล้มลงปล่อยให้ท่อนบนที่หายไปปลดปล่อยธารโลหิตออกมา ไม่มีแม้แต่ร่องรอยโปรเทคต์เบรกที่จะสำรองชีวิตเขาไว้
ราล์ฟชะงักชะงันทันที สมองของเขาไม่สามารถประมวลผลทันว่าเกิดอะไรขึ้นเบื้องหน้าเขา จึงมองไปยังทิศต้นกำเนิดของแสงสีแดงนั้น แล้วเขาก็มองเห็น... ผู้ชายตัวไม่สูงนัก แต่งตัวเป็นผ้าคลุมสีดำขาดหลุดลุ่ย ผมของเขาสีขาวโพลนซึ่งยาวแทบปิดใบหน้าเขา ในมือของเขาไม่ได้มีอาวุธอันใด แต่ดูจากการกางแขนชี้ไปยังผู้เคราะห์ร้ายรายเมื่อกี้ทำให้เขาแน่ใจว่าผู้ชายคนนี้คือต้นเหตุ
ยิ่งไปกว่านั้น หากมองลึกไปอีก ผิวหนังของเขามีสีขาวซีดไม่แพ้สีผม แต่กลับมีนัยน์ตาสีแดงเรืองแสงออกมา ใช่ เขาจดจำลักษณะนี้ในหนังสือเรียนและสื่อต่าง ๆ ได้ดี...
คิเมร่า!!
“แกรีบติดต่อไปยังอาร์บิเตอร์เดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่งั้นเราถูกฆ่าหมดแน่!!” ราล์ฟตั้งสติได้อีกครั้งเมื่อได้ยินคู่ชายหญิงในเครื่องแบบ รปภ. คุยกันเสียงดังขณะที่วิ่งหนีไปด้วย “แจ้งไปแล้ว! แต่ต้องรออีกตั้งสิบนา...”
ฉัวะ ฝ่ายผู้ชายถูกกรงเล็บขนาดใหญ่ฉีกเอาแขนซ้ายเขาไป เจ้าของกรงเล็บที่พุ่งเข้าโจมตีก็แต่งกายคล้ายกับคิเมร่าคนเมื่อกี้ พลันรอบตัวผู้ชายก็เปล่งเกราะแสงสีแดงแล้วแตกสลายไปรอบตัวพร้อมกับมีเกจเวลาย้อนถอยหลังอันเป็นสัญลักษณ์ของโปรเทคต์เบรก เสียงกรี๊ดร้องด้วยความเจ็บปวดและความตกใจอย่างเฉียบพลันดังสนั่นสอดคล้องไปกับเสียงร้องมากมายรอบ ๆ บริเวณ ราล์ฟรีบวิ่งไปหลบหลังเนินหินทันที เหงื่อของเขาไหลออกมาทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับใบหน้าที่เริ่มซีดลง
“พวกคิเมร่า... เอาไงดีวะ กว่าอาร์บิเตอร์จะมาก็ตั้งสิบนาที” เขาพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่เบาพอที่เขาคนเดียวจะได้ยิน เมื่อเขาเผยอตัวขึ้นเหลือบมองก็พบกับคนที่ลักษณะคล้ายกับคิเมร่าแบบนี้อีกสี่ห้าคน บางคนแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าขนาดใหญ่พุ่งเข้ากลุ่มคน บางคนพ่นไฟมาเผาผลาญผู้คน แต่ดูจากสภาพแล้วโอกาสที่จะถูกฆ่าระหว่างการหนีนั้นแทบจะร้อยเปอร์เซนต์
อาร์บิเตอร์คือหน่วยรักษาความปลอดภัยของรัฐที่ดูแลครอบคลุมทั้งยูโทเปียและเอนโทรเปีย หากจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับโปลิศในโลกเก่า แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหากถูกฆ่าด้วยพลังมหาศาลของคิเมร่าตั้งแต่ตอนนี้ เท่าที่เขารู้คิเมร่าเป็นเผ่าที่มีพลังจิตสูงมาก การโจมตีแต่ละครั้งของมันจึงอาจทำให้มนุษย์ในยูโทเปียตายทันทีโดยที่โปรเทคต์ไม่อาจช่วยอะไรได้ หากตายในยูโทเปีย จิตในโลกจริงก็ดับและร่างก็จะตายลง และยังไม่มีแพทย์คนไหนเยียวยาหรือหยุดยั้งเหตุการณ์นี้ได้
ราล์ฟตั้งสติ ถึงเขาจะเป็นห่วงลุงของเขาที่ไม่รู้อยู่ไหน แต่ตอนนี้เขาเป็นห่วงชีวิตตัวเองมากกว่า ยังไงเขาต้องมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้ แต่...
คิเมร่าตัวแรกสุดที่ราล์ฟเห็น บัดนี้เป็นฝ่ายมาพบเขาเสียเองแล้ว!
“…ฉิบหายแล้วไง”
ราล์ฟรีบพุ่งตัวออกมาจากเนินแล้ววิ่งสุดฝีเท้าทันที พร้อมกับย้อนกลับไปมองว่ามันจะทำอะไร แขนขวาของคิเมร่าตัวนั้นเปล่งแสงสีแดงก่อนที่จะชี้มาทางเขา ทำให้ราล์ฟต้องพุ่งตัวไปทางด้านข้างอย่างฉับพลัน
ตูม พื้นดินระเบิดออกมาเกิดเป็นละอองควันกระจายไปทั่วบริเวณแคบ ๆ ราล์ฟอาศัยหมอกควันนี้รีบดึงบุ๊คเล็ตออกมาทันที เขารีบติดตั้งปืนที่แขนขวาเขาพร้อมกับหยิบสแตมป์รูปชีตาห์มาเลียแล้วแปะลงที่ขาทันที เมื่ออีกฝ่ายมองเห็นเขาอีกครั้ง ราล์ฟก็หันกระบอกไปกระหน่ำยิงเป้าหมายทันทีทันที
กระสุนปืนถูกยิงออกไปจากรังเพลิงเข้าสู่เป้าหมายผู้น่าสะพรั่นพรึงต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างไร้ผล เขามองเห็นว่ากระสุนทั้งหมดของเขาเหมือนมีม่านอะไรซักอย่างที่แทบจะโปร่งใส่จนมองไม่เห็นมาป้องกันเอาไว้ เมื่อเขายิงกระสุนนัดล่าสุดก็รู้ว่าหัวกระสุนได้ “หายไป” ทันทีที่สัมผัสกับม่านนั้น ข่าวร้ายคือเขาพบว่าคนใช้ทักษะประหลาดนี้คือคิเมร่าอีกตัว ส่วนข่าวร้ายยิ่งกว่าคือมันกำลังจะเรียกคิเมร่าตัวอื่นมา “เฮ้ย อาร์บิเตอร์! อาร์บิเตอร์! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!!”
“...ไอ้ฉิบหาย ข้าไม่ใช่อาร์บิเตอร์เว้ย!” ราล์ฟตัดใจเรื่องการโจมตีไปทันที สองขาเขาโกยสุดชีวิต ด้วยความเร็วระดับชีต้าห์นี้อย่างน้อยเขาก็คิดว่าน่าจะวิ่งหนีได้ง่ายกว่าเดิม แต่เปล่าเลย...
เมื่อเขาหันไปมองด้านหลัง ก็พบว่ากลุ่มคิเมร่าวิ่งตามเขามาด้วยความเร็วสุดโต่งเช่นกัน!
จนกระทั่ง ขาของเขาได้สะดุดขั้นบันไดลง….
เสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมาไม่มีทีท่า ว่าจะหยุดลง
เส้นทางที่ถูกขนานด้วย กำแพงแมกไม้สองด้านบีบบังคับให้เด็กหนุ่มต้องวิ่งตรงไปเบื้องหน้าเท่านั้น
แสงจันทร์เต็มดวงสาดให้เห็นเงาของ ผู้ไล่ตามที่มีนับสิบ
ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเหลียวมองโฉม หน้าของพวกมันว่าเป็นใคร
สิ่งเดียวที่เขามั่นใจตอนนี้มี เพียงอย่างเดียว
...นั่นคือ...
พวก มันไม่ใช่คน!
เสียงกู่ร้องดังมาจากด้านหลังฉุด ให้เขาหันไปมองอย่างลืมตัว
มนุษย์จำนวนหนึ่งกรูเข้ามาหมายจะ ต่อสู้
แต่กลับถูกลำแสงปริศนาฉีก กระชากร่างกายแหลกละเอียดไปในคราวเดียว
ขาทั้งสองนั้นแข็งทื่อราวกับว่า สมองหยุดสั่งการให้มันขยับหนีไปไหน
ปล่อยให้สายตาจ้องมองการเข่นฆ่า มนุษย์ตรงหน้าเยี่ยงสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง
ดวงตาสีแดงฉานของพวกมันฉายแววป่า เถื่อน
ความเย็นยะเยือกพลันแล่นวาบขึ้นมา ตามสันหลัง
สองเท้าค่อย ๆ ก้าวถอยจนกระทั่งสะดุดเข้ากับบางสิ่ง
เขารู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตน กำลังพิงอยู่ต้นไม้ใหญ่
ร่างของเหยื่อถูกบางสิ่งบางอย่าง ที่ไม่อาจมองเห็นฉีกกระชากกลางอากาศ
ทั้งที่พวกมันไม่ได้แตะต้องตัว เหยื่อเลยแม้แต่น้อย
ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง
เหมือนกับว่าสติสัมปชัญญะสูญหายไป
ในดวงตาคู่นั้นมีเพียงภาพของปีศาจ กระหายเลือดที่คำรามลั่นอย่างพึงพอใจ
พึงพอใจที่ได้เข่นฆ่าผู้คน!
มันหันมามองร่างของเขาที่ยืนสั่น เทา
แล้วพุ่งเข้าหาเขา หมายจะขยี้ร่างนี้ให้แหลกสะบั้นคามือ
ไม่ต่างจาก ‘เหยื่อ’ ของมันก่อนหน้านี้
ความคิดเห็น