ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทความลับของสีแดง หืดหาด

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 1: False Becomes REAL (rewrite 95%)

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 53


    F A L S E

    โลก ลวง

     

    เสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

    เส้นทางที่ถูกขนานด้วย กำแพงแมกไม้สองด้านบีบบังคับให้เด็กหนุ่มต้องวิ่งตรงไปเบื้องหน้าเท่านั้น

    แสงจันทร์เต็มดวงสาดให้เห็นเงาของผู้ไล่ตามที่มีนับสิบ

     

    ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเหลียวมองโฉมหน้าของพวกมันว่าเป็นใคร

    สิ่งเดียวที่เขามั่นใจตอนนี้มีเพียงอย่างเดียว

    ...นั่นคือ...

    พวก มันไม่ใช่คน!

     

    เสียงกู่ร้องดังมาจากด้านหลังฉุดให้เขาหันไปมองอย่างลืมตัว

    มนุษย์จำนวนหนึ่งกรูเข้ามาหมายจะต่อสู้

    แต่กลับถูกลำแสงปริศนาฉีกกระชากร่างกายแหลกละเอียดไปในคราวเดียว

    ขาทั้งสองนั้นแข็งทื่อราวกับว่าสมองหยุดสั่งการให้มันขยับหนีไปไหน

    ปล่อยให้สายตาจ้องมองการเข่นฆ่ามนุษย์ตรงหน้าเยี่ยงสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง

     

    ดวงตาสีแดงฉานของพวกมันฉายแววป่าเถื่อน

    ความเย็นยะเยือกพลันแล่นวาบขึ้นมาตามสันหลัง

    สองเท้าค่อย ๆ ก้าวถอยจนกระทั่งสะดุดเข้ากับบางสิ่ง

     

    เขารู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตนกำลังพิงอยู่ต้นไม้ใหญ่

     

    ร่างของเหยื่อถูกบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจมองเห็นฉีกกระชากกลางอากาศ

    ทั้งที่พวกมันไม่ได้แตะต้องตัวเหยื่อเลยแม้แต่น้อย

    ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง

    เหมือนกับว่าสติสัมปชัญญะสูญหายไป

    ในดวงตาคู่นั้นมีเพียงภาพของปีศาจกระหายเลือดที่คำรามลั่นอย่างพึงพอใจ

    พึงพอใจที่ได้เข่นฆ่าผู้คน!

     

    มันหันมามองร่างของเขาที่ยืนสั่นเทา 

    แล้วพุ่งเข้าหาเขา หมายจะขยี้ร่างนี้ให้แหลกสะบั้นคามือ

    ไม่ต่างจาก เหยื่อของมันก่อนหน้านี้

    --------------------------------------------------------------

                    ID: 545879431356053240523a

                    Name: Ralf Baldwin

                    Gate-in Time: 2 hrs 23 min 45.25842 sec

                    Protect: 83%

    --------------------------------------------------------------

                    เสียงหอบเบา ๆ ดังมาจากร่างที่นั่งชันเข่าพิงหลังแนบไปกับอนุสาวรีย์หินรูปร่างแปลกตาที่ตั้งอยู่บนพื้นหญ้าสั้น ๆ หูทั้งสองเปิดโสตประสาทเตรียมรับฟังเสียงต่าง ๆ ที่อาจจะบ่งบอกว่าบางสิ่งที่อยู่เหนือจากจุดที่เขาอยู่ขึ้นไปกำลังจะทำอะไรสักอย่างลงมา โดยไม่คิดสน และไม่รับรู้ถึงรอยแผลกรงเล็บที่เฉี่ยวแขนขวาของเขาจนเป็นรอยเลือดเลยแม้แต่น้อย

                    ...ทำไมถึงซวยอย่างนี้นะ...

                    เสียงนาฬิกาบนข้อมือที่กำลังนับถอยหลังน้อยลงทุกที ทำให้ไม่มีเวลาจะคิดทบทวนอะไรมากมาย นอกจากเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น...ถึงจะไม่อยากให้มันต้องเป็นแบบนี้ก็ตาม...

                    สิบ...

                    พลัน! เสียงแปลก ๆ ดังมาจากฟากฟ้าทำให้เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองตาม แล้วต้องรีบเบี่ยงตัวออกข้างอย่างรวดเร็ว! เพราะสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือหางยักษ์ของสัตว์ร้ายที่เหวี่ยงฟาดทำลายอนุสาวรีย์หินจนล้มโครม อีกทั้งยังเลยมาเฉียดศีรษะของเขาไปอย่างหวุดหวิด

                    ...นี่ถ้าหลบช้ากว่านี้อีกนิด...ไม่อยากคิดภาพหัวตัวเองเลยจริง ๆ...

                    เจ็ด...

                    นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลจ้องมองสัตว์ร้ายที่เหวี่ยงหางมาเมื่อครู่ แล้วก็ต้องเบิกตาค้าง! ด้วยร่างขนาดมหึมาที่ดูเหมือนจะเทอะทะนั่น กลับเคลื่อนไหวไปมาได้รวดเร็วไม่ว่าจะเป็นบนฟ้าหรือพื้นดิน แถมยังเร็วจนมองตามแทบไม่ทันอีกต่างหาก ยิ่งพอมันหันมาจ้องตาแป๋วแล้วทำจมูกย่นอยู่แถว ๆ จุดที่มันโจมตีใส่เมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้สมองของเขาต้องประมวลผลอย่างหนัก ก่อนจะรีบถลันตัวออกจากจุดที่ยืนอยู่แบบไม่ต้องคิด พร้อมกับลากเอาอาวุธคู่กายที่พกติดตัวตลอดเวลาออกมาได้ทันเวลา เพราะอีกไม่กี่อึดใจต่อมาเจ้าสัตว์ร่างมหึมานั่นก็เหวี่ยงหางกระทืบเท้าลงตรงจุดเดิมที่เคยเป็นอนุสาวรีย์หินจนมันกลายเป็นเศษหินเศษทราย แหลกเละไม่เหลือเค้าเดิม

                    ราล์ฟ บาล์ดวิน ถอนหายใจยาว ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบใบหน้าขาวคม ชายเสื้อคลุมสีกรมท่าแถบแดงโบกสะบัดตามแรงลมจนเห็นเสื้อยืดแขนยาวเข้ารูปสีดำ เขาสูดลมหายใจอีกครั้ง แล้วจึงเลื่อนกลับไปหมายจะยกอาวุธคู่กายของตนขึ้นมาเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้า แต่ทว่า...

                    ...ฉิบหายแล้ว นี่มันไม่ใช่ของเรานี่หว่า...

                    ห้า...สี่...

                    ...ฉิบหายกว่า สภาพพรางตากำลังจะหมดเวลา...

                    “แล้วไอ้ไม้เกาหลังบ้านี่มันทำอะไรได้บ้างวะ!” เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งสบถ แล้วพยายามยกอาวุธไม่คุ้นมือขึ้น อาวุธนั้นมีลักษณะประหลาด ดูแล้วเหมือนไม้เกาหลังขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีด้ามจับขนาดเหมาะมือ แต่บริเวณที่เป็นอุ้งมือสำหรับเกาหลังกลับมีขนาดใหญ่กว่าหัวยุ่ง ๆ สีน้ำตาลของราล์ฟเสียอีก... “จะให้ใช้เฉพาะหน้ามันก็ได้อยู่หรอก แต่ถ้าต้องใช้รับมืออะไรแบบนี้ ให้เจ้าของมันเอากลับไปใช้ดีกว่า”

                    โทปริโอ!! อาวุธของเอ็งอยู่นี่โว้ย รีบ ๆ มาเอาไปเลย ตูหนัก” เขาตะโกนลั่นขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ แต่ก็รู้ดีว่าเจ้าเพื่อนตัวแสบที่เป็นเจ้าของอาวุธประหลาดนี่มันต้องได้ยินแน่ ๆ

                    สาม...

                    ราล์ฟปักด้ามไม้เกาหลังลงกับพื้น พยายามรวบรวมความคิดในแง่ดีว่าเจ้าเพื่อนซี้เพื่อนยากมันจะยังอยู่แถวนี้และได้ยินเสียงของเขาเมื่อครู่แล้ว เพราะทักษะสร้างสภาพพรางตาของโทปริโอนั้นมีอำนาจอยู่เพียงแค่ยี่สิบวินาที แล้วตอนนี้มันก็เหลือไม่ถึงสามวินาทีแล้วด้วย แต่คิด ๆ ดูแล้ว ไอ้สภาพพรางตานี่ก็ได้ผลดีพิลึก อย่าว่าแต่มังกรบ้านั่นจะไม่เห็นพวกเขาเลย ตอนนี้เขายังไม่เห็นพวกเดียวกันเองด้วยนี่สิ!

                    สอง...

                    หมับ! จู่ ๆ ก็มีแรงสัมผัสบางอย่างมาบีบบริเวณหัวไหล่ของเด็กหนุ่ม ทำเอาเขาสะดุ้งโหยง แทบจะตะโกนออกมาแล้วด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีอะไรบางอย่างมาปิดปาก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระซิบเบา ๆ

                    “นี่ตูเอง” เสียงเบาพร้อมกับแรงกระชากไม้เกาหลังยักษ์ที่ปักพื้นอยู่ออกไป ...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้ตัวแสบชัวร์... แล้วอำนาจของทักษะพรางตาก็กลืนไม้เกาหลังนั้นให้หายไปจากสายตาของราล์ฟ กลายเป็นดาบทรงสามเหลี่ยมที่มีด้ามจับยาวเป็นหนึ่งในด้านของสามเหลี่ยมนั้นที่ปรากฏขึ้นแทนที่อยู่ข้าง ๆ

                    หนึ่ง...

                    “ฆ่าแม่ง” โทปริโอพูดเสียงดัง

                    “แต่สภาพพรางตากำลังจะหมดเวลา” ราล์ฟแย้ง

                    “ช่างแม่ง”

                    “งั้นเอ็งก็หันไปมองละกันว่ามันเห็นแล้วล่ะว่าเราอยู่ตรงนี้” ราล์ฟพูดแล้วหัวเราะในลำคอ ในขณะที่ร่างกายใหญ่ ๆ เหมือนลิงกอริลลาเล่นกล้ามยัดอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนกุดสีดำกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินอวดกล้ามเนื้อสีเข้ม เป็นมัด ๆ เริ่มปรากฏขึ้นให้ประจักษ์แก่สายตา...ทั้งสายตาเขา...และสายตาสัตว์ร้ายนั่น!!

                    มังกรยักษ์ตัวสูงกว่าตึกห้าชั้น กางปีกกว้าง ชูคอคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เกล็ดสีแดงระยิบระยับสวยงามดุจทับทิมเจียระไน หากสายตามันที่มองมาที่พวกเขาทั้งคู่นั้น...

                    ...โคตรไร้ความเป็นมิตร...

                    “ฉิบหาย... แล้วทีนี้ทำไงดีวะราล์ฟ” ไอ้ตัวแสบเมื่อครู่ตอนนี้สั่นอย่างกับลูกนก ใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนา กับผมสั้นรองทรงสีดำเข้มพยายามทำท่าทางอ้อนวอน แถมดวงตาสีน้ำข้าวนั่นก็ไหวเป็นระริกดูน่าขำมากกว่าน่าสงสาร

                    “เรื่องของเอ็ง” พูดจบเจ้าตัวก็ชักดาบรูปร่างประหลาดของตนมาถือไว้ แล้วหันมายิ้มกวนประสาทใส่คนเคยอวดเก่งไปหนึ่งที ทำเอาโทปริโอหน้าซีด...

                    แต่ราล์ฟก็ต้องเลิกแกล้งเพื่อนซี้ เนื่องจากมังกรที่แต่เดิมก็มองพวกเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอยู่แล้ว เวลานี้มันเริ่มไม่ได้ใช้เพียงแค่สายตา แต่ปีกสองข้างเริ่มกางออกอย่างเต็มที่แล้วกระพือพัดอย่างแรง แล้วตัวของเจ้ามังกรที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ก็พุ่งทะยานเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว

                    “โดด!!” ราล์ฟตะโกน พร้อมกันกับที่โทปริโอและเขาจะกระโจนออกไปคนละทิศละทาง

                    ตูม!! เศษฝุ่นเศษดินลอยคละคลุ้งไปทั่วเนื่องจากกรงเล็บของเจ้ามังกรที่หมายจะทำร้ายร่างกายพวกเขาทั้งคู่จั่วลมและฝังลงไปบนพื้นดินตรงนั้นแทน ทั้งสองเหลียวกลับไปมองเจ้าสัตว์ร้ายที่เวลานี้กำลังพยายามย้ำกรงเล็บซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตรงจุดเดิม แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะดูเหมือนว่าฝุ่นควันเมื่อครู่จะทำให้มันไม่ทันเห็นว่าทั้งสองได้หลบพ้นคมเล็บอันคมกริบของมันไปแล้ว

                    “สโตนเฮนจ์ไม่เหลือซากเลยแฮะ” ราล์ฟยิ้มแหยกับภาพของ อดีตอนุสาวรีย์หินสโตนเฮนจ์ ที่กลายเป็นเศษหินไปเรียบร้อยโรงเรียนมังกร

                    “หนอย! ไอ้ดรีมชาร์ด แกนะแก๊!!” โทปริโอตวาดลั่น

                    “ด่าไปมันก็ไม่รู้เรื่องกับเอ็งหรอกน่า เอาเวลามาคิดดีกว่าว่าจะเอาคืนมันยังไง” เด็กหนุ่มบ่น ก่อนจะหันไปมองเจ้ามังกรที่เวลานี้เลิกบ้าขุดดินไปแล้ว และกำลังจ้องมาที่พวกเข้าอีกครั้งพร้อมกับสภาพอากาศรอบด้านที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ “แต่ตอนนี้ หลบก่อนเหอะ”

                    “หลบอะไรวะ ?” คิ้วหนาขมวดปมอยู่บนผิวเข้ม เหมือนลิงกำลังสงสัย

                    “ก็หลบลูกไฟน่ะสิโว้ย!!

                    พูดจบราล์ฟก็กระชากร่างของโทปริโอให้หลบหลังหินก้อนใหญ่ ก่อนที่ลูกไฟจะเฉี่ยวผ่านพวกเขาไป พร้อมกับความร้อนที่แทบจะลวกเนื้อพวกเขาให้สุกได้ หากพวกเขาเข้าไปใกล้กว่านี้อีกเพียงไม่กี่เซนติเมตร สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาเด็กหนุ่มผิวเข้มถอนใจยาว เพราะระดับความร้อนเมื่อครู่ หากไอ้เพื่อนตัวกวนดึงเขาหลบมาไม่ทันมีหวังได้เกตเอาท์หลุดกระเด็นออกไปในสิบวินาทีทั้งคู่แน่ ๆ คิดแล้วนึกอยากปาดเหงื่อขึ้นมาตงิด ๆ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เหงื่อมันออกท่วมทั้งตัวจนไม่รู้ว่าจะปาดตรงไหนก่อนดีนี่สิปัญหา

                    “เหลือ Protect เท่าไร” ตัวแสบเอ่ยถาม

                    “แปดสิบเปอร์เซ็นต์ พอจะโดนเฉี่ยว ๆ ได้อีกหลายที” ตัวกวนตอบพร้อมรอยยิ้ม “แต่ถ้าโดนจัง ๆ ก็คงเกลี้ยง”

                    “ถ้าโดนบังคับเกตเอาท์...”

                    “ก็แค่เกตเอาท์ แล้วก็เจ็บตัวนิดหน่อย อย่างแกมีกลัวด้วยเรอะ” ราล์ฟกระตุกยิ้ม

                    “แล้วถ้ามันเป่าไฟซ้ำพอดีตอนกำลังเกตเอาท์” โทปริโอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนพูดต่อเสียงอ่อย “ม่องเท่งเลยนะ”

                    “ไม่อยากตายก็อย่าโดน สิ้นเรื่อง”

                    สิ้นคำพูดตัดบท ราล์ฟก็ลุกขึ้นยืนมองศัตรูตัวโต ที่เวลานี้บินโฉบฉวัดเฉวียนอยู่บนฟากฟ้า ก่อนสะกิดเพื่อนตัวแสบให้ลุกขึ้นมาดูด้วย โทปริโอทำหน้างงเป็นลิงสงสัยกับอากัปกิริยานั้นของเจ้ามังกร ทั้งที่เมื่อครู่ใหญ่ มันยังทำท่าจะฟัดพวกเขาไม่ยอมเลิก แต่เวลานี้มันกลับบินวนไปเวียนมาไม่ยอมโจมตีสักที

                    หากยังไม่ทันได้ถามอะไรออกไป เจ้าเพื่อนตัวกวนก็กระชากร่างของเขาออกวิ่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนครั้งมโหฬาร พร้อมกับก้อนดินก้อนใหญ่กว่าตัวพวกเขาสองคนรวมกันสองสามเท่าปลิวกระเด็นมาตกอยู่ข้าง ๆ เพราะเมื่อครู่เจ้ามังกรแดงมันเล่นพุ่งดิ่งจากเวหา ลงมากระแทกพื้นอย่างจังหมายจะอัดพวกเขาให้แบนไปกับแผ่นดิน

                    ...โชคดีจริงที่ราล์ฟมันจมูกไว...

                    “ลองเป็นแบบนี้สงสัยต้องโจมตีสวนจังหวะมันพุ่งใส่ดู”

                    ...แสนรู้อีกต่างหาก...

                    “แต่มันเล่นโจมตีต่อเนื่องแบบนี้คงสวนไม่ได้” ราล์ฟฉีกยิ้มกว้าง ในขณะที่โทปริโออ้าปากค้าง

                    ...แต่เสียตรงที่มันกวนอวัยวะเบื้องล่างนี่แหละ...

                    โทปริโอก้มลงมองอาวุธในมือของตัวเอง พลางครุ่นคิด ก่อนจะดีดนิ้วเสียงดัง จนราล์ฟหันไปมอง จังหวะนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้ามังกรดึงหัวหลุดออกมาจากหลุมที่มันพุ่งชนลงไปเมื่อครู่แล้วบินทะยานกลับขึ้นไปบนฟ้าพอดี เจ้าตัวกวนเลยเริ่มเหงื่อตก เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนตัวแสบนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่

                    “เอ็งไปวิ่งล่อมันให้ข้า เดี๋ยวข้าจะตบข้างหลังแม่งนี่แหละ ง่ายดีมะ” เด็กหนุ่มผิวเข้มพูดอย่างมั่นใจ

                    “ก็ได้ ถ้าเอ็งมั่นใจนัก นี่มันก็แค่งานง่าย ๆ” ตัวแสบรับคำอย่างว่าง่าย แต่สายตาที่มองไปนั้นเย็นเยียบ...

                    “เนอะ แค่งานง่าย ๆ เอ๊ง”

                    ...ง่ายกับป้าเอ็งสิ! ให้ตูวิ่งล่อมังกรเนี่ยนะ!...

                    ราล์ฟเอามือกุมศีรษะ สะบัดหัวยุ่ง ๆ สีน้ำตาลไปมา คิดภาพในหัวถึงวิธีการที่จะใช้หลอกล่อเจ้ามังกรยักษ์ ก่อนมือขวาจะขยับลูบรอยสักรูปร่างแปลกตาบนต้นแขนซ้ายของตนไปมา แล้วทำท่าเหมือนจะดึงเอารอยสักนั้นออกมา... เพราะว่าหลังจากที่เขาคว้ามันไว้ รอยสักนั้นก็วูบไหวไปมาบนแขน ก่อนจะเคลื่อนตัวออกมาในอากาศ และแปรสภาพกลายเป็นแผ่นกระดาษสีหม่นขนาดใหญ่ที่มีทั้งข้อความ รูปภาพ รวมไปถึงลวดลายมากมาย

                    เจ้าตัวกวนถือโอกาสที่มังกรนั้นตั้งหลักหมายจะพุ่งเข้าใส่พวกเขาอีกครั้งวิ่งไปหลบหลังหินก่อนใหญ่ แน่นอนว่าเจ้ากระดาษสีหม่น หรือ บุ๊กเล็ต ซึ่งรวมรวมคำสั่งมากมายบนนั้นก็ลอยตามเขามาอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มหายใจหอบถี่ ก่อนจะใช้นิ้วชี้สัมผัสลงไปบริเวณช่องสี่เหลี่ยมที่เขียนไว้ว่า Equipment and Belongings บนเจ้ากระดาษบุ๊กเล็ต พลันหน้ากระดาษนั้นก็แปรสภาพเต็มไปด้วยรูปภาพสิ่งของต่าง ๆ ที่ถูกเก็บไว้ แล้วเขาก็ใช้มือหยิบรูปแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ออกมาจากหน้ากระดาษสี่หม่นนั้น...

                    ...แสตมป์เสือชีตาห์...

                    “ดูสิว่า ปีกมังกรกับขาชีตาห์ อะไรจะเร็วกว่ากัน”

                    ราล์ฟใช้ลิ้นเลียด้านหลังแสตมป์ ดึงชายกางเกงขึ้นแล้วแปะมันลงไปบนข้อเท้า ทันใดนั้นแสงสว่างก็วาบออกมาจากแสตมป์ ครอบคลุมขาทั้งสองข้างของเขาไปชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะหายไปพร้อมกับกระดาษคำสั่งบุ๊กเล็ตที่ลอยกลับมาเป็นรอยสักบนต้นแขนดังเดิมเมื่อเขาสะบัดข้อมือใส่

                    เด็กหนุ่มพุ่งออกจากที่ซ่อน ดาบประหลาดในมือถูกง้างออกไปจนสุดสองแขน แล้วตัวกวนก็เหวี่ยงมันออกไปสุดแรง ดาบนั้นหมุนคว้าง ตีโค้งเป็นวงวาดเข้าใส่กลางกระหม่อมของเจ้ามังกรอย่างแม่นยำ มิหนำซ้ำราล์ฟยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่มันตอนมันหันกลับมามองเขาอีกต่างหาก สายตาที่แต่เดิมก็ไร้ความเป็นมิตรอยู่แล้ว เวลานี้กลับเกรี้ยวกราดเพราะโดนยั่วโมโห เจ้ามังกรกางปีกทะยานขึ้นไปบนฟ้า บินวนหนึ่งรอบ แล้วตีวงหมุนกลับมาพุ่งใส่คนยั่วโมโหมันอย่างรวดเร็ว!!

                    หากคราวนี้ราล์ฟไม่วิ่งหนีหลบฉากเหมือนเคย แต่กลับถีบตัวพุ่งสวนเข้าใส่เจ้าสัตว์ร้ายเอง แถมยังเร็วกว่าความเร็วที่มันพุ่งเข้ามาอีกต่างหาก เจ้ามังกรที่หมายจะขย้ำเด็กหนุ่มด้วยกรงเล็บจึงจั่วลมไปเต็ม ๆ  ยิ่งไปกว่านั้นราล์ฟที่วิ่งเลยไปทางด้านหลัง ยังชูแขนขึ้นรับดาบที่เมื่อครู่ลอยคว้างไปกลับเข้ามืออย่างถูกจังหวะ ก่อนใช้พละกำลังทั้งหมดบิดตัวสะบัดดาบของเขาขว้างออกไปอีกรอบ และแน่นอน...

                    ...กลางกบาล...

                    มังกรแดงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด มันสะบัดหน้าหันขวับ แล้วบินตีวงโค้งกลับมาอีกรอบ ในขณะเดียวกันราล์ฟก็ลดความเร็วของตนให้เหลือแค่พอหลบไม่ให้เจ้ามังกรไล่ทันเท่านั้น แถมยังมีเวลาสอดส่องสายตาไปรอบ ๆ จนพบกับเจ้าเพื่อนตัวแสบคนสั่งให้เขามาวิ่งล่อมังกรยืนจังก้าอยู่บนเสาหินของสโตนเฮนจ์ที่ยังไม่ถูกทำลาย

                    โทปริโอเพิ่งเสร็จสิ้นจากการใช้ความพยายามปีนป่ายเสาหินนี้อยู่นานสองนาน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนสวมรองเท้าสปริงเพื่อเพิ่มแรงกระโดดอยู่ เลยกระโดดทีเดียวขึ้นมายืนอยู่บนยอดของสโตนเฮนจ์ได้อย่างง่ายดาย ในจังหวะเดียวกับที่เขาเห็นเพื่อนตัวกวนมองมาพอดี เลยรีบโบกไม้โบกมือเรียก

                    ...มันก็เก่งนะ วิ่งล่อมังกรอยู่ได้ตั้งนานสองนาน...

                    “เหอะ ๆ อยากได้มากนัก ตูจัดให้”

                    ราล์ฟแสยะยิ้มแล้วเพิ่มความเร็ววิ่งนำมังกรยักษ์ไปทางเสาหินนั้นอย่างว่องไว ในจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าสัตว์ร้ายเฉียดผ่านโทปริโอไป เขาก็ย่อตัว แล้วโจนเข้าใส่มันอย่างรวดเร็ว อำนาจของรองเท้าพิเศษเพิ่มให้เขาลอยตัวได้สูงกว่าเจ้ามังกรที่เวลานี้บินเลียดต่ำติดดินได้อย่างง่ายดาย มือทั้งสองประทับจับไม้เกาหลังยักษ์มั่น แล้วฟาดมันลงไปกลางหลังที่เต็มไปด้วยเกล็ดทับทิมนั่นสุดกำลัง

                    “ย้าก!!!

                    แล้วเด็กหนุ่มผิวเข้มก็ขยับฟาดไม้เกาหลังซ้ำลงไปอีกนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความสามารถพิเศษของไม้เกาหลังยักษ์ที่เพิ่มพลังโจมตีให้อีกหลายเท่าเมื่อโจมตีศัตรูจากด้านหลัง ทำให้แต่ละครั้งที่อาวุธประหลาดนั้นกระแทกถูกหลังของเจ้ามังกรเกิดเสียงดังสนั่น อำนาจแห่งการโจมตีต่อเนื่องไม่หยุดนั้นทำเอาเจ้ามังกรร้องคำรามโหยหวนอย่างเจ็บปวด ก่อนจะร่วงหล่นลงไปกระแทกพื้นอย่างจังจนแผ่นดินสะเทือน พร้อมกับโทปริโอที่ร่วงลงไปพร้อมกัน แต่ดูจะซวยกว่า เพราะปีกของมังกรยักษ์ดันตกพับลงมาทับร่างของเขาเข้าพอดี

                    แต่เจ้ามังกรยังไม่สิ้นฤทธิ์ มันพยายามชูคอขึ้นหมายจะพ่นไฟใส่เห็บไรที่บังอาจมาเกาหลังให้มันจนหลังแทบหัก ทว่า...ราล์ฟที่ยืนอยู่บนพื้นกลับยิ้มกว้างจนเจ้าสัตว์ร้ายยังกลัวจนผงะ ดาบทรงประหลาดนั้นถูกง้างรอพร้อมจู่โจม สายตาที่จ้องมาเต็มไปด้วยประกายแห่งความอำมหิต ทำให้มังกรยักษ์ต้องรีบเปลี่ยนเป้าหมายของการจู่โจมทันที...

                    ...หากแต่ว่า...สายไปเสียแล้ว...

                    คมดาบหมุนสะบัดโค้งเข้าไปกลางปากที่ยังไม่ทันแม้แต่จะเรียกลูกไฟขึ้นมาด้วยซ้ำ มันปั่นวนไปตามลำคอของเจ้ามังกร ทะลวงไปทั้งร่าง แล้วพุ่งทะลุออกมาตรงกลางหลัง จุดที่โทปริโอโจมตีย้ำ ๆ ลงไปจนเกล็ดมังกรสึก และตีวงโค้งกลับมาเข้ามือของราล์ฟ พร้อมกับมังกรยักษ์ที่ลงไปนอนแน่นิ่ง สิ้นฤทธิ์อย่างถาวร

                    เขายกดาบประหลาดของตนแตะที่รอยสักบนต้นแขน ดาบประหลาดนั้นก็เปล่งแสงออกมาแล้วค่อย ๆ แตกตัวกลืนหายกลายเป็นส่วนหนึ่งของรอยสักนั้นไป ราล์ฟก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปยังซากของเจ้ามังกรที่โดนทะลวงคอหอยตายคาที่ เขายิ้มมุมปากอย่างกวนประสาทเมื่อเห็นเพื่อนรักตัวแสบนอนแผ่หมดสภาพขยับตัวออกไม่ได้อยู่ใต้ปีกใหญ่ของมังกรยักษ์ จะขำก็ขำไม่ออกเพราะดูท่าทางมันจะทรมานจริง...

                    “รีบ ๆ Memorize สิวะ” โทปริโอเร่ง “ตูจะแบนเป็นกล้วยทับแล้วเนี่ย”

                    “ถ้างั้นตัวนี้ฉันขอแล้วกัน” ราล์ฟต่อรอง “หรือจะให้ปล่อยแกเป็นกอริลลาทับอยู่นี่ดีล่ะ”

                    “เออ ก็ได้! แต่ตัวหน้าต้องเป็นของฉัน” เจ้าตัวแสบยังไม่ยอมแพ้ แต่ราล์ฟหัวเราะเบา ๆ ตอบกลับเท่านั้น

                    บุ๊กเล็ตถูกดึงออกมาจากต้นแขนอีกครั้ง แต่คราวนี้สิ่งที่ราล์ฟดึงออกมาไม่ใช่แสตมป์เหมือนคราวก่อน แต่กลับเป็นวัตถุสีขาวที่มีลักษณะคล้ายกับปืนแทน โดยข้อความที่กำกับอยู่ในกระดาษยักษ์สีหม่นนั้นบอกไว้ว่ามันคือ iSender เด็กหนุ่มเล็งปืนประหลาดนั้นไปยังมังกรแดง กดสวิตช์ แล้วเก็บมันกลับไปในบุ๊กเล็ตท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนซี้

                    “ทำอะไรของแกอยู่วะ น้ำหนักที่ทับตูอยู่นี่มันของจริงนะเฟ่ย!” โทปริโอเริ่มบ่นเหมือนหมีกินผึ้ง

                    “ก็อย่าไปคิดว่ามันหนัก มันก็ไม่หนักแล้ว นี่มันยูโทเปียนะ ไม่ใช่โลกจริง” สิ่งที่เด็กหนุ่มผิวขาวตอบ ทำให้เพื่อนผิวเข้มทำหน้างง แต่เจ้าตัวกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วยกมือขึ้นจัดทรงผมยุ่ง ๆ ปรกตาขวาของเขาให้เข้าที่ ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้เลยสักนิด

                    ถึงจะทำท่าทางยั่วโมโหอย่างนั้นแต่สายตาของราล์ฟก็จ้องมองอยู่บนเมนูคำสั่งของกระดาษแผ่นยักษ์ แล้วเลิกแกล้งจัดทรงผม เอานิ้วจิ้มไปที่คำสั่ง Memorize บนนั้น พลันลำแสงสีฟ้าเส้นเล็กพุ่งลงมาจากฟากฟ้า เป้าหมายของเส้นแสงเหล่านั้นคือร่างของเจ้ามังกรแดงดุร้ายเมื่อครู่...

                    เหมือนเวลาและการเคลื่อนไหวรอบด้านจะโดนหยุดไปชั่วขณะ ร่างของมังกรยักษ์เปล่งแสงสีเดียวกับลำแสงที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วร่างกายของมันทั่วทั้งร่างก็ราวกับถูกแยกส่วนออก เหมือนกับร่างกายของมันประกอบไปด้วยลูกบาศก์ลูกเล็ก ๆ เรียงต่อกันขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างไรอย่างนั้น และเมื่อลำแสงสีฟ้าพุ่งลงมาอีกระลอก ไม่ว่าเส้นแสงนั้นจะต้องกับร่างกายส่วนไหนของเจ้ามังกรก็ตาม ก็จะนำพาให้ก้อนสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็กก็ค่อย ๆ หายไป ราวกับภาพจิ๊กซอว์ที่ถูกถอดออกไปทีละชิ้น

                    เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองตามเส้นแสงสีฟ้าอย่าเหม่อลอย เขาไม่เคยรู้สักนิดว่าลำแสงนี้มาจากที่ใด และจะส่งดรีมชาร์ตที่ต้องแสงพวกนั้นไปไว้ที่ใด รู้แต่เพียงว่า ถ้าเขาใช้คำสั่ง Memorize เจ้าแสงพวกนี้ก็จะมาพาร่างของดรีมชาร์ตให้หายไป แล้วก็จะมีสิ่งตอบแทนกลับมา...

                    ...แค่นั้นเอง...

                    เสียงสัญญาณดังมาจากบุ๊กเล็ตเรียกให้ราล์ฟหลุดจากภวังค์ความคิด เขาก้มลงมองกระดาษสีหม่น และพบว่ามีข้อความใหม่เข้ามาเหมือนเช่นทุกทีที่ใช้คำสั่ง Memorize เสร็จสิ้น พอจะเรียกเพื่อนตัวแสบมาดูด้วย ก็เห็นมันนอนแผ่หมดสภาพอยู่ตรงจุดเดิมที่โดนปีกมังกรทับอยู่เมื่อครู่...

                    ...ปล่อยมันพักก่อนแล้วกัน...

    --------------------------------------------------------------

    }รายงานผลระบบการจัดเก็บดรีมชาร์ด

    โครงการ False Awakening

     

    ยูโทเปีย } เอ็มไพร์ โอฟีเลีย } ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ - สโตนเฮนจ์แอเรีย

     

     

    คุณได้ทำการ Memorize ดรีมชาร์ดนาม อะแบร็กซัส สำเร็จแล้ว ขอขอบคุณที่ได้ใช้บริการจากโครงการ False

    Awakening นี้ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกตรวจสอบและกลั่นกรองในฐานข้อมูลรัฐบาลกลาง แล้วจะส่งกลับให้แก่ผู้ใช้บริการ

    เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

     

    ชื่อดรีมชาร์ด อะแบร็กซัส <ยังไม่มีในฐานข้อมูล>

    หมวดหมู่ทางกายภาพที่ใกล้เคียงที่สุด - มังกรแผ่นดินตะวันตก

    น้ำหนักที่เป็นไปได้ – 3561kg           สติปัญญาที่เป็นไปได้ – IQ58            อัตราความเป็นเท็จ – 86.78%

    สถานที่ค้นพบ เอ็มไพร์ โอฟีเลีย

    จำนวนดรีมชาร์ดที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน – 4

     

    ความรู้จำเพาะ:

    1)              โครงสร้างทางสรีรศาสตร์ <กดปุ่มเพื่ออ่านรายละเอียด>

    2)              ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ อ้างอิงฐานข้อมูลรัฐบาล <กดปุ่มเพื่ออ่านรายละเอียด>

    3)              ความเชื่อและตำนาน อ้างอิงฐานข้อมูลรัฐบาล <กดปุ่มเพื่ออ่านรายละเอียด>

     

    ปริมาณพลังงาน i2 ที่คุณได้รับ – 5468i

     

     

    ข้อมูลความรู้ที่ได้รับการวิเคราะห์และกลั่นกรองดรีมชาร์ดเป็นส่วนหนึ่งของบริการจากรัฐบาล

    ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นจำนวนเงิน $0.30 โดยจะหักค่าธรรมเนียมผ่านบัญชีของคุณ ราล์ฟ บาล์ดวิน โดยตรง

    ปัจจุบันเหลือเงินในบัญชีของคุณ $87651.46

     

    อนึ่ง เราได้สร้างรหัสขึ้นมาหนึ่งชุดเพื่อนำไปขึ้นรางวัลสลากกินแบ่งพิเศษของรัฐบาลได้ ซึ่งรางวัลจะมีทั้ง

    เงิน ของกำนัล และอื่น ๆ

    #5e89r99e3626536830560fkedu3e8o0rt93923893wii292#

     

    ให้บริการโดย รัฐบาลกลางแห่งจักรวรรดิอิมเพอราทริกซ์

     

     --------------------------------------------------------------

                    “ของปลอม...อีกแล้ว” ราล์ฟพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แล้วจึงหันไปตะโกนบอกเพื่อนรักที่ยังนอนแผ่อยู่กับพื้นไม่กระดุกกระดิก “เฮ้ย โทปริโอ จะนอนเป็นกอริลลาตายอีกนานมั้ยวะ ?”

                    “ก็ตูเหนื่อย” โทปริโอตอบ “กลับกันเหอะ”

                    “เอ็งอยากกลับก็กลับไป ข้ามีธุระ” ราล์ฟตัดบท “เดี๋ยวเสร็จแล้วตามไป”

                    “เออ ตามใจเอ็ง ตูไปก่อนก็ได้ฟะ”

                    พูดจบโทปริโอก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ แล้วหยิบนาฬิกาเรือนเล็กที่ห้อยคอของเขาอยู่ขึ้นมา มือใหญ่ออกแรงเพียงเล็กน้อยดึงเข็มสั้นของนาฬิกาออก เข็มที่เหลือบนหน้าปัดก็หมุนสวนทางกันไปมาอย่างรวดเร็วจนทำให้อากาศรอบกายของเจ้าตัวแสบหมุนวนตามกระแสของมัน บังเกิดเป็นริ้วม่านกระแสลมสีขาวโปร่งแสงที่มีตัวอักษรลอยนิ่งค้างอยู่บนนั้น เด็กหนุ่มผิวเข้มยื่นไม้เกาหลังยักษ์ไปสัมผัสกับม่านอากาศ ...หรือถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือสัมผัสกับบุ๊กเล็ตของเขา ก่อนที่มันจะถูกกลืนหายไปกับผนังโปรงแสงสีขาวนั้นอย่างรวดเร็ว

                    “ไปแล้วนะโว้ย โชคดี” โทปริโอตะโกนบอกเพื่อนรัก ซึ่งได้เสียง “อืม” เบา ๆ ตอบกลับมาเท่านั้น

                    มือหนาสัมผัสลงไปบนกล่องข้อความคำว่า Gate-out เบา ๆ ตัวเลขสีแดงอ่อนนับถอยหลังสิบวินาทีก็ปรากฏขึ้นบริเวณกลางลำตัวของเขา มันค่อย ๆ นับถอยหลังไปจากสิบ จนถึงศูนย์ แล้วรอบกายของเขาก็แปรสภาพกลายเป็นสีแดง ทุกส่วนของร่างกายพลันแตกตัวออกเป็นผลึกโปร่งแสงและจางหายไปตั้งแต่ปลายเท้า ไล่ขึ้นไปจรดศีรษะ พร้อมกับบุ๊กเล็ตของเขาที่หายวับไปในอากาศ...

                    ...โทปริโอกลับไปแล้ว...

                    ราล์ฟมองภาพที่เกิดขึ้นอย่างคุ้นเคย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับโลกยูโทเปียแห่งนี้ไปเสียแล้ว และป่านนี้เพื่อนตัวแสบของเขาก็คงถึงโลกจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...ส่วนตัวเขาน่ะเหรอ...เขายังมีธุระอยู่ในนี้ที่ต้องเข้าไปหาเพื่อนอีกคนที่รอเขาอยู่ใน ตัวเมือง

    --------------------------------------------------------------

                    ประตูซุ้มโค้งหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่ม มันเป็นส่วนหนึ่งในกำแพงซึ่งก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่สีเทาหม่นดูแข็งแรงทนทาน ตัวกำแพงสูงขึ้นไปจนคนเพียงแค่สองสามคนไม่อาจต่อตัวกันขึ้นไปถึง และตั้งยาวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา ราล์ฟก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปด้วยความคุ้นเคย เมืองแห่งนี้ทั้งเขา โทปริโอ และเพื่อนอีกคนหนึ่งที่กำลังรอเขาอยู่ ได้เดินเข้าออกกันบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วน ทิวทัศน์ของอาคารบ้านเรือนซึ่งสร้างจากหินสีเหลืองนวลสะท้อนแสงอาทิตย์ รวมไปถึงท้องถนนหินลาดอันแสนวุ่นวายไปด้วยผู้คนเบื้องหน้าก็เห็นบ่อยเสียจนชินตาไปเสียแล้ว

                    เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปมาในเมือง สิ่งที่เห็นจนชินตาภายในเมืองนี้ ว่ากันว่ามันเคยมีอยู่จริงในเอนโทรเปีย หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าโลกจริง และถึงแม้เขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์เท่าไรนัก แต่ก็พอจะมีความรู้อยู่บ้างว่าทั้งสิ่งก่อสร้างจากหิน รวมไปถึงรูปปั้นแกะสลักแบบหยาบเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของอารยธรรมยุโรปยุคกลาง ส่วนชื่อของอารยธรรมนั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจเท่าไร น่าจะชื่อว่าไบแซนไทน์หรืออะไรสักอย่างที่ใกล้เคียงนี่แหละ แต่ถึงจะรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ยู่ดี บนโลกจริง ซากอารยธรรมเหล่านี้ก็ไม่มีตัวตนให้เห็น ส่วนที่มีให้เห็นในยูโทเปียนี่ ก็ดำรงอยู่ในลักษณะที่แทบไม่ต่างอะไรไปจากดรีมชาร์ด...

                    ...ก็แค่สิ่งที่เกิดมาจากความทรงจำและความเชื่อของผู้คนมากมายเท่านั้น...

                    ราล์ฟทิ้งตัวนั่งลงบนบันไดหินของหอคอยตะวันออก บริเวณมุมของปราสาทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งของเมืองนี้ ที่นี่เป็นจุดนัดพบประจำของพวกเขา และปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่างเป็นสถาปัตยกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะหากจะเทียบกับในปัจจุบันการจะสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาคงเสร็จได้ในชั่วข้ามคืน หากลองคิดย้อนกลับไปในยุคที่สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมา มันก็คงไม่ได้เสร็จในวันสองวันแน่ ๆ...

                    ...นี่สินะ ความพยายามของมนุษย์...

                    “กว่าจะมาได้นะ” เสียงหวานต่ำติดจะห้าวคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง “ปล่อยสุภาพสตรีที่แสนบอบบางให้รออยู่ตั้งนานได้ยังไงกันคะคุณสุภาพบุรุษ”

                    “ประชดกันทันทีเลยนะเซลิน” ราล์ฟหัวเราะ “ก็เธอไม่ยอมไปกับพวกฉันเองนี่”

                    เพียะ! เด็กสาวฟาดฝ่ามือใส่แขนของเด็กหนุ่มอย่างแรงจนเขาต้องสะดุ้งชักแขนหนีแล้วถูแขนเบา ๆ สลับกับมองเธอด้วยสายตาขุ่นเคืองแบบจงใจ... เธอเป็นเด็กสาวที่มีเค้าหน้าติดจะหวาน ผมสีบลอนด์ยาวเป็นลอนสวย ติดจะเป็นคุณหนู กับดวงตาคู่หวานนั่น ...มันช่างขัดกับความเป็นจริงเสียนี่กระไร

                    “อยู่ ๆ ก็ตีมาได้ เธอนี่นะ” ราล์ฟชักสีหน้าก่อนผ่อนลมหายใจช้า ๆ “ช่างเถอะ แล้วไหนของล่ะ”

                    “ที่ตีไปนั่นน่ะ เพราะนายมาคิดว่าฉันจะบ้าพลังเหมือนพวกนายหรอก ใครว่าอยู่ดี ๆ ก็ตีซักหน่อย” เซลินพูดด้วยเสียงสูงเร็วจนราล์ฟชักฟังไม่รู้เรื่อง จนมาจบที่ประโยคสุดท้าย ที่น้ำเสียงของเธอกลับอ่อนและแผ่วเบาลงอย่างเห็นได้ชัด “อยากตายไปเป็นดรีมชาร์ดรึไงนะ”

                    “คนอย่างฉันไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนย้ำคำถามซ้ำ “แล้วไหนล่ะ ของ...

                    “เดี๋ยวนี้ห่วงแต่ของนะค้า คุณราล์ฟขา” เด็กสาวลากเสียงอย่างประชดประชัน แต่ก็ยอมหยิบห่อผ้าสีเทาขนาดเท่าลูกหมาออกมายื่นใส่หน้าราล์ฟ “ของน่ะซ่อมเสร็จแล้ว เที่ยวหน้าจะออกไปล่าดรีมชาร์ดอีกก็ระวังตัวหน่อยละกัน”

                    “ขอบใจ งั้นเธอก็กลับบ้านไปได้แล้ว” เจ้าตัวกวนไม่ได้ไล่เปล่า ๆ ยังทำท่าสะบัดมือไล่เด็กสาวอีกต่างหาก

                    เซลินกอดอกแก้มป่อง แล้วก้มหน้ามองราล์ฟด้วยสายตาขุ่นเคือง โดยที่เขาไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่าเธอกำลังทำท่าทางอะไรอยู่ในตอนนี้ เด็กหนุ่มมัวแต่สนใจของที่อยู่ในห่อผ้ามากกว่าเธอที่ยืนอยู่ตรงนี้เสียอีก... แค่เห็นแบบนี้เธอก็ชักอยากจะเอาอะไรใกล้มือฟาดให้ได้เลือดสักหยดสองหยด แต่คิดอีกที...

                    ...มันมีวิธีที่ดีกว่านั้นเยอะ...

                    “ฮึก ใช่สิ พอใช้งานฉันเสร็จแล้วก็ทิ้งกันเลยสินะ ฮึก ขับไสไล่ส่งฉันเลยสิ ฮึก ฉันมันหมดประโยชน์แล้วนี่” เสียงสะอึกสะอื้นพร้อมใบหน้าที่แสร้งทำเป็นจะร้องไห้นั้น ทำเอาราล์ฟสะอึก รีบท้วงทันที

                    “อย่าแกล้งกันอย่างนี้สิ ฉันเสียหมดนะเฮ้ย”

                    ...ได้ผลจริง ๆ ด้วย...

                    “ล้อเล่นหรอกน่า” เซลินหัวเราะคิกคัก ในขณะที่ราล์ฟถอนหายใจเสียงดังแบบไม่อายใคร “นี่คราวหน้าสอนฉันสู้กับดรีมชาร์ดบ้างสิ ฉันอยากสู้กับดรีมชาร์ดบ้าง”

                    “ไหนว่ามันเสี่ยงไง แล้วมาให้สอนทำไมเนี่ย” ราล์ฟพูดติดตลก ก่อนเปลี่ยนข้อเสนอเสียดื้อ ๆ “ลองไปให้โทปริโอสอนสิ หมอนั่นบ้าพลังจะตาย คงเต็มใจสอนเธออยู่”

                    “โทปริโอใช้สมองเป็นที่ไหนล่ะ สอนคนไม่เป็นหรอก นายนั่นแหละดีแล้ว”

                    “ก็ได้ ๆ” เด็กหนุ่มตอบรับอย่างเหนื่อยหน่าย “ไว้คุยกันพรุ่งนี้แล้วกัน ฉันเหนื่อยแล้ว”

                    พูดจบราล์ฟก็ดึงเอาบุ๊กเล็ตของเขาออกมาจากแขนซ้าย ก่อนจะใช้คำสั่ง Gate-out แล้วรอบกายของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ร่างกายของเขาค่อย ๆ แตกตัวเป็นผลึกโปร่งแสง และจางหายไปจากปลายเท้าขึ้นสู่ศีรษะ พร้อมกับความรู้สึกที่หายไปราวกับเป็นอัมพาต ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะหายไปในที่สุด

                    “เป็นอย่างนี้ประจำ ไม่เคยรอฉันเลย...” เซลินเอ่ยอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เธอจะใช้คำสั่ง Gate-out ตามไปอีกคน

    --------------------------------------------------------------

                    ราล์ฟรู้สึกตัวอีกครั้งบนเก้าอี้กระจกขนาดพอดีตัว ทั้งที่พักแขน พนักพิง รับกับรูปร่างของเขาได้อย่างน่าประหลาดใจ ทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มมีของเหลวเหนียว ๆ โปร่งแสง ลักษณะคล้ายเยลลี่ใสสีฟ้าจางปกคลุมอยู่ ซึ่งเวลานี้ เจ้าเยลลี่เหล่านั้นกำลังถูกดูดกลับเข้าไปในอุปกรณ์เล็ก ๆ สีงาขาวที่อยู่ในมือของเขา มันคือ Personal Linking-to-Utopia Gate หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า PLUG ซึ่งหน้าที่ของมันก็คือเป็นอุปกรณ์สำหรับทำการเกตอินเข้าสู่ยูโทเปียนั่นเอง

                    เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หลังจากที่เจ้าเยลลี่ประหลาดไหลกลับคืนไปใน PLUG จนหมดแล้ว เขารู้สึกได้ว่าร่างกายหนักอึ้ง คงเป็นเพราะแรงโน้มถ่วงในเอนโทรเปียนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ต่างจากยูโทเปียที่รู้สึกได้ว่าตัวเบากว่าเป็นไหน ๆ หลังจากที่ทำความคุ้นเคยกับแรงโน้มถ่วงที่เปลี่ยนจากเดิมได้สักพักเขาก็วางอุปกรณ์ในมือลงบนโต๊ะใกล้ ๆ พร้อมกันนั้นเก้าอี้กระจกที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ ก็แปรสภาพกลับเป็นแผ่นกระจกสีฟ้าใสรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ ลอยค้างนิ่งอยู่กลางอากาศ...เพราะมันคือเก้าอี้ที่สามารถปรับขนาดให้รับกับร่างกายของคนนั่งได้อย่างพอดิบพอดี

                    ภายในห้องของราล์ฟ ห้องขนาดเล็กที่มีแสงสลัว ๆ ห้องหนึ่งในตัวบ้าน ดูเผิน ๆ มันก็เป็นเพียงแค่ห้องของเด็กหนุ่มวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง มีของใช้วางเกลื่อนกลาดจนรก ทั้งรองเท้าผ้าใบที่ข้างหนึ่งอยู่ทาง อีกข้างอยู่ทาง โทรทัศน์โฮโลแกรมขนาดพกพาถูกตั้งไว้บนโต๊ะริมหน้าต่างกลม แถมยังตั้งในสภาพที่จะหล่นแหล่มิหล่นแหล่อยู่ข้างกองหนังสือจำนวนมากที่วางไว้แบบลวก ๆ ไม่ค่อยเป็นระเบียบ... มีแม้กระทั่งหนังสือสำหรับผู้ชายที่ซ่อนไว้ใต้เตียงอย่างหมิ่นเหม่...

                    แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ ก็จะพบบางสิ่งที่แตกต่างออกไป ในตู้เสื้อผ้าที่บานประตูเป็นกระจกใสมีรองเท้าคอมแบตหนังขัดมันวางไว้ในชั้นล่าง บนราวสำหรับแขวนเสื้อผ้านั้นเต็มไปด้วยชุดเครื่องแบบนักเรียนทหารที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เครื่องหมายต่าง ๆ ถูกติดเรียงกันเป็นแถวอยู่บนอกเสื้อ แขนเสื้อ ราวกับว่าเขาเป็นวีรบุรุษผู้ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชนคนหนึ่งก็ไม่ปาน

                    เด็กหนุ่มบินขี้เกียจไปมา ความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนยังคงเกาะกุมร่างกายของเขาอยู่ แม้จะแค่น้อยนิดก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ก้าวเดินผ่านบานประตูผลึกแก้ว ซึ่งมันแตกตัวเป็นชิ้น ๆ จากจุดศูนย์กลาง เลื่อนออกไปทุกด้าน จนเป็นช่องให้ร่างของเขาเดินผ่านออกไปได้ ก่อนที่มันจะประกอบตัวกลับเข้าไปอยู่ในสภาพเดิม

                    “หวัดดีลุง” ราล์ฟเอ่ยทักชายหนุ่มร่างเล็กที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับงานบางอย่างในความมืดของห้องขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของเขา เสียงเครื่องยนต์ดังแว่วออกมาจากห้องนั้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก “ยังทำงานอยู่อีกเหรอ”

                    “อืม...” เสียงตอบนั้นสั่นในลำคอบ่งบอกความชราภาพ เอลเมอร์ บาล์ดวิน ละสายตาจากบรรดาเครื่องจักรหน้าตาประหลาดที่ส่งแสงสีฟ้าสว่างอยู่ในความมืด แล้วเดินออกมาจากห้องนั้น “ลุงเพิ่งวิเคราะห์ข้อมูลของดรีมชาร์ดกลุ่มล่าสุดเสร็จ อีกไม่นานข้อมูลที่มีก็คงมากพอที่จะทำให้งานวิจัยนี้เสร็จสิ้นสักที”

                    ภาพลักษณ์ภายนอกของเอลเมอร์ดูจะต่างจากน้ำเสียงของเขาพอสมควร ทั้งสีผมและหนวดเครายังคงเป็นสีดำเข้ม และยังไม่มีท่าทางว่ามันจะหลุดร่วงตามความชราเลยสักนิด ทำให้ตอนนี้ถ้าใครที่ไม่รู้จักเขามาเห็นเข้า ก็คงคิดว่าอายุของชายคนนี้ไม่น่าเกินสี่สิบต้น ๆ เท่านั้น

                    “เสร็จงานนี้ เราจะรวยกันแล้วใช่มั้ยลุง” เด็กหนุ่มถามอย่างตื่นเต้น แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นลุง “ถ้าเราขายลิขสิทธิ์งานวิจัยได้ เราจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้วใช่มั้ยลุง”

                    “ใช่แล้วล่ะ” พูดจบผู้เป็นลุงก็หัวเราะร่า “แต่ตอนนี้ลุงหิวแล้ว ไปกินมื้อเย็นกันเถอะ”

                    ภายในบ้านของลุงหลานตระกูลบาล์ดวินถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ คือ ห้องส่วนตัวของราล์ฟ ห้องทำงานของเอลเมอร์ และสุดท้ายคือห้องรับแขกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มันเอาไว้ใช้สำหรับเก็บเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของบ้านหลังนี้ ถ้าพูดให้ถูกจะเรียกมันเป็นห้องเอนกประสงค์ก็คงได้ เพราะนอกจากจะเป็นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นแล้ว มันยังสามารถเป็นครัว และห้องรับประทานอาหารในตัวได้อีกด้วย

                    ทันทีที่สองคนลุงหลานเดินผ่านประตูเข้ามาระบบไฟอัตโนมัติก็ถูกเปิดขึ้น ทำให้สามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างภายในห้องรับแขกได้อย่างชัดเจน ห้องกว้างโล่งตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้และกรอบรูปวาดทำให้แลดูเป็นธรรมชาติกว่าส่วนอื่นของบ้าน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกถูกเก็บอยู่ที่มุมต่าง ๆ ของห้องอย่างเป็นระเบียบ จัดแบ่งตามหมวดหมู่การใช้งาน และบางส่วนก็อยู่ในตำแหน่งที่ต้องใช้งานในห้อง เช่นโทรทัศน์โฮโลแกรมที่ราล์ฟใช้รีโมทควบคุมแท่งเล็ก ๆ สั่งเปิดมันขึ้นมาตรงมุมหนึ่งของห้อง และเมื่อเขากดปุ่มบนรีโมทนั้นอีกครั้ง ลูกบอลสีเทาลูกเล็กก็ลอยขึ้นมาจากพื้น แล้วขยายขนาดกลายเป็นโต๊ะไร้น้ำหนักพร้อมเก้าอี้ลอยได้อีกสองตัว

                    อีกมุมหนึ่ง เอลเมอร์กำลังยืนอยู่หน้าเครื่องจักรสีขาวขนาดสูงเท่าเอวคน ที่เครื่องมีป้ายขนาดเล็กเขียนว่า อุปกรณ์ CODE สำหรับประกอบอาหาร ติดอยู่ด้านข้าง และเมื่อเขาทาบฝ่ามือลงไปบนกรอบสี่เหลี่ยมเล็กที่แยกสัดส่วนไว้บนเครื่องนั้น เจ้าเครื่องจักรสีขาวก็เริ่มทำงาน หน้าจอคำสั่งสีเหลืองอ่อนก็พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้าของเขา

     

                        โปรดเลือกเมนูอาหารที่คุณต้องการ                พลังงาน i2 ที่เหลืออยู่: 34,796i

    ชื่ออาหาร (กดเพื่อดูภาพประกอบ)

    i2 ที่ต้องการ

    VVVVVVVVVVVVVVVV

    6,000i

    NONONONONONONONO

    4,500i

    TTTTTTTTTTTTTTTTTTT

    3,200i

    eeeeeeeeeeeeeeeee

    5,680i

    น้ำเปล่า

    2,000i

                         คุณสามารถดาวน์โหลดลิขสิทธิ์สูตรอาหารได้ <กดที่นี่>

     

                    เอลเมอร์สัมผัสลงไปบนเมนูอาหารที่เขาต้องการ แล้วจอเมนูก็หายไปพร้อมกับเครื่องจักรกลก็ส่งเสียงเบา ๆ ออกมาเป็นการบอกว่ามันกำลังทำงาน เพียงไม่นานหลังจากนั้น ฝาด้านบนก็เลื่อนขึ้นมาพร้อมกับชั้นภายในจะดันตามขึ้นมาให้เห็นเป็นอาหารตามที่เขาเลือกไปเมื่อครู่นั่นเอง เจ้าเครื่องนี้ทำงานด้วยระบบของ CODE หรือก็คือเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของมนุษย์ในยุคนี้ มันมาจากคำว่า Capacity Of Data Exportation หากจะอธิบายง่าย ๆ ก็คือ การแปลงสิ่งที่มีอยู่ในความคิดและจินตนาการให้ออกมาเป็นสิ่งที่มีตัวตน แต่มีข้อแม้อยู่ว่า ต้องมีพลังงานและข้อมูลของสิ่งนั้น ๆ มากเพียงพอ ซึ่ง i2 ก็คือพลังงานที่ว่า โดยพลังงานนี้จะได้รับจากการล่าดรีมชาร์ดในยูโทเปียนั่นเอง

                    การรับประทานอาหารดำเนินไปอย่างเรียบง่าย หากเพราะมีเสียงจากโทรทัศน์ที่ดังเข้ามาทำให้ทั้งสองไม่ได้รู้สึกเงียบเหงาแต่อย่างใด จนเมื่ออาหารในจานของทั้งสองพร่องลงไปกว่าครึ่ง เอลเมอร์จึงเริ่มต้นคุยกับหลานชาย

                    “ถ้าได้ข้อมูลจากดรีมชาร์ดประเภทมังกรแถว ๆ เอ็มไพร์นิรวานะ งานวิจัยก็คงจะสมบูรณ์” สายตาของราล์ฟละออกจากจานอาหารมามองที่ใบหน้าของคู่สนทนาแทน คำว่าเอ็มไพร์ของลุงเอลเมอร์นั้นหมายถึงโซนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ที่ถูกจัดแบ่งไว้ในยูโทเปีย อย่างวันนี้ที่เขาไปปราบดรีมชาร์ดมังกรตัวนั้นก็เกิดขึ้นที่เอ็มไพร์ชื่อโอฟีเลีย “ถ้าทำสำเร็จ เราก็สามารถล้มล้างความเชื่อเดิม ๆ ว่ามังกรไม่มีตัวตนอยู่จริงได้ในทันที”

                    “หมายถึงงานวิจัยพันธุวิศวกรรมเพื่อสร้างมังกรให้มีตัวตนจริง ๆ ของลุงน่ะเหรอครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยความฉงน ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจในงานของผู้เป็นลุงสักเท่าไรนัก

                    “ใช่แล้วและลิขสิทธิ์งานวิจัยนี้ก็จะทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเรา” เอลเมอร์ทำท่าทางตื่นเต้น แต่ก็กลับชักสีหน้าจริงจังแทบจะในทันทีหลังจากนั้น “แต่หลานต้องระวังเรื่อง iSender ของเรา อย่าให้มันรั่วไหล”

                    “ครับ ผมทราบดีว่าการใช้อุปกรณ์ดึงข้อมูลดรีมชาร์ดโดยไม่ผ่านรัฐบาลมันผิดกฎหมาย” ราล์ฟตอบเสียงเอื่อย ทุกครั้งที่พวกเขาพูดถึงเรื่องงานวิจัย เอลเมอร์จะต้องเตือนให้เขาระวังเรื่องการใช้งานอุปกรณ์ที่ใช้รวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยชิ้นนี้ทุกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว”

                    แล้วเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นเก็บจานไปไว้ในเครื่องล้างจานอัตโนมัติ ก่อนจะกลับห้องส่วนตัวไปอย่างไม่อยากจะคิดมากในเรื่องที่ผู้เป็นลุงพูด ทิ้งให้ชายชรานั่งอยู่บนเก้าอี้ลอยในห้องรับแขกเพียงผู้เดียว...

                    “นี่ฉันจะเก็บความลับไว้ได้นานสักเท่าไรนะ” เอลเมอร์เปรยเบา ๆ กับตนเอง “โดยเฉพาะกับแก หลานรัก”

    --------------------------------------------------------------

                    เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ราล์ฟลุกขึ้นมาจากเตียงนอนของเขาอย่างเร่งรีบ นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาตีสี่ ซึ่งเป็นเวลาปกติที่เขาจะต้องตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปเรียน ชุดเครื่องแบบนักเรียนทหารสีขาวขลิบทองถูกสวมทับร่างหนา บ่าประดับอินทรธนูสีดำ รองเท้าคอมแบตถูกสวมเป็นชิ้นสุดท้าย ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องส่วนตัวเพื่อรับประทานอาหารเช้าก่อนออกไปโรงเรียน

                    ระบบการศึกษาบนเอนโทรเปียปัจจุบันบังคับให้ทุกคนเข้าเรียนตั้งแต่อายุสี่ปีจนถึงยี่สิบปี โดยจะมีการเลือกเรียนสายอาชีพตั้งแต่อายุสิบสี่ปีขึ้นไป โดยสาขาที่ราล์ฟเรียนอยู่ในขณะนี้คือสาขาการทหารและยุทธศาสตร์ ดังนั้นกฎระเบียบและความหนักหน่วงของการเรียนภาคสนามย่อมมากกว่าสาขาวิชาจำพวกการบริหาร หรือศิลปะศาสตร์ต่าง ๆ แน่นอน เพราะสาขาที่เขาเรียนอยู่นั้น ไม่ต่างจากโรงเรียนเตรียมทหารดี ๆ นี่เอง

                    ประตูผลึกแก้วบานใหญ่บริเวณห้องรับแขกแหวกออกเป็นช่องให้เด็กหนุ่มเดินผ่าน ด้านนอกของตัวบ้านเป็นเพียงระเบียงขนาดไม่กว้างนัก และหากมองกลับเข้าไป บ้านของเขาก็เป็นเพียงอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ เท่านั้น มิหนำซ้ำมันยังอยู่บนตึกสูงระฟ้าสีน้ำเงินที่ถูกออกแบบมาให้เป็นรูปทรงโค้งดูประหลาดตา จุดที่ราล์ฟยืนอยู่นั้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลนับพันกิโลเมตร ก้มลงไปมองพื้นแทบไม่เห็น เด็กหนุ่มหันหลังให้กับระเบียง ยานพาหนะของเขาจอดอยู่ถัดไปจากประตูเล็กน้อย มันมีรูปร่างคล้ายกับมอเตอร์ไซค์โบราณ แต่มันไม่ได้ใช้สำหรับเดินทางบนภาคพื้นดินเหมือนสมัยก่อน ไม่มีล้อ มีแต่ระบบขับเคลื่อนด้วยแรงดันอากาศ กระจกหน้าก็ถูกทำให้สูงและกว้างขึ้นเพื่อใช้กันแรงลมที่อาจพัดเอาคนขับร่วงลงไปได้ง่าย ๆ ระบบในเครื่องก็ดูจะเรียบง่ายกว่า อย่างเช่นระบบติดเครื่องที่ไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจเหมือนเก่า...

                    รหัสพันธุกรรมถูกต้อง เสียงร้องบอกของระบบดังขึ้นหลังจากที่เขาวางฝ่ามือลงไปบนหน้าจอ แล้วเสียงอันแผ่วเบาของเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น นวัตกรรมรุ่นใหม่มักจะออกแบบให้มีเสียงอยู่บ้างเพื่อให้รู้ว่าเครื่องทำงานผิดปรกติอะไรหรือไม่ แต่ก็ต้องอยู่ในกฎที่ว่าจะไม่ดังจนรบกวนผู้คน หลังจากที่ราล์ฟจัดท่านั่งของตนเรียบร้อยแล้ว สองมือของเขาก็บิดคันเร่ง พลันแอร์ไบค์สีดำก็เคลื่อนตัวออกไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่มองตามแทบไม่ทัน

                    กระแสลมแรง แม้จะถูกบานกระจกลดทอนความรุนแรงของการปะทะลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ไหลผ่านมากระทบหน้าของเด็กหนุ่ม ทั้งยังพัดพาเอาความง่วงเหงาหาวนอนไปเสียจนหมด เวลาเพียงไม่กี่นาที แอร์ไบค์ความเร็วสูงก็พาเขามาถึงสิ่งก่อสร้างทรงปีรามิดขนาดมหึมาที่สูงหลายกิโลเมตรและฐานกว้างหลายร้อยตารางกิโลเมตร มันคือศูนย์รวมของอาคารเรียนภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิอิมเพอราทริกซ์หรือรัฐบาลเพียงแห่งเดียวของโลกนั่นเอง

                    แอร์ไบค์พุ่งผ่านเข้าไปในตัวอาคารปีรามิดกว้างใหญ่ผ่านช่องทางเข้าที่เรียงรายอยู่บนผิวของปีรามิด ภายในเต็มไปด้วยอาคารต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดถูกจัดแบ่งตามสาขาวิชาที่สอนอย่างเป็นระเบียบ โดยแต่ละสาขาที่มีเนื้อหาสอดคล้องกัน ก็มักจะมีอาณาเขตของสาขาอยู่ติดกัน เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาสามารถเดินทางไปเรียนได้สะดวก และเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายยามพัก ในแต่ละเขตจึงเต็มไปด้วยร้านอาหาร สถานบันเทิง กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด

                    “รีบวิ่งเร็ว อย่าหยุดสิวะ ไอ้หมอนั่นน่ะ ถ้าร่างกายไม่ไหวก็กลับไปเปลี่ยนสาขาเรียนไป” เสียงตะโกนของครูฝึกดังขึ้นอย่างเมามันในอารมณ์ ทั้งที่นักเรียนที่วิ่งอยู่ไม่ได้รู้สึกมันด้วยเลยสักนิด ทุก ๆ เช้าที่นี่จะมีการออกกำลังกายก่อนเสมอ ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้พลังในกายของนักเรียนสาขาการทหารบางคนถูกรีดออกไปมากมายจนเรียนต่อไม่รู้เรื่องกันเลยทีเดียว

                    “มีคนช้า เพิ่มอีกสิบรอบ!!

                    “บ้าพลังแต่เช้าเลยวุ้ย ตูเหนื่อยเป็นหมาหอบแดดแล้วนะเฟ่ย” โทปริโอในชุดนักเรียนทหารแบบเดียวกับเขาบ่นอุบ

                    “ฉันว่าแกเหมือนกอริลลาหอบแดดมากกว่า” ราล์ฟไม่พูดแค่พอให้ได้ยินกันสองคน แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่อยู่ใกล้ ๆ ได้อีกด้วย

                    “ชิ แกนี่มันจริง ๆ เล้ย” โทปริโอส่ายหน้า “แต่เอาเถอะ เดี๋ยวก็จะได้เวลาส่องสาว ๆ แล้ว”

                    “เฮ้ย พวกเอ็งคุยอะไรกันระหว่างฝึกวะ ออกมาเดี๋ยวนี้!!!

                    ...ฉิบหายแล้วไง...

    --------------------------------------------------------------

                    ห้องเรียนของราล์ฟมีลักษณะเป็นก้นหอย คือจุดที่อาจารย์ยืนสอนอยู่จะอยู่ต่ำสุด ในขณะที่ที่นั่งของนักเรียนคนอื่น ๆ จะไล่ขึ้นไปจากจุดที่อาจารย์สอน ตีโค้งวนซ้อนสูงขึ้นเป็นขดเกลียว โดยประตูห้องนั้นอยู่ในจุดต่ำที่สุด และเหนือขึ้นไปจนถึงจุดสูงที่สุดก็มีประตูทางออกซึ่งจะเปิดออกต่อเมื่ออาจารย์เสร็จสิ้นการเรียนการสอนแล้วเท่านั้น โดยเมื่อเริ่มชั่วโมงเรียน แท่นที่อาจารย์ใช้ยืนสอน ก็จะลอยสูงขึ้นมาจากพื้นจนอยู่ในระดับที่นักเรียนทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างไม่ลำบาก หรือหากใครไม่ถนัดที่จะหันมองอาจารย์ บริเวณหน้าที่นั่งก็จะมีการฉายภาพโฮโลแกรมขนาดย่อให้ดูอีกด้วย

                    เวลานี้เด็กหนุ่มตัวกวนกำลังนอนฟุบด้วยความอ่อนเพลียอยู่บริเวณแถวกลาง อยู่ใต้ระดับสายตาของอาจารย์เล็กน้อย โทปริโอไม่ได้นั่งเรียนห้องเดียวกับเขา มันเป็นหนึ่งในวิธีการลดการคุยกันภายในห้องเรียน ด้วยการจับนักเรียนแต่ละคนเปลี่ยนห้องเรียนในทุกชั่วโมงเรียน ดังนั้น ตารางเรียนของแต่ละคนจึงได้เรียนไม่ซ้ำห้องกันเลย แม้จะเรียนชั่วโมงเดียวกันอีกสักกี่ครั้งก็ตาม และนั่นก็ยิ่งทำให้ราล์ฟเคลิ้มหลับเร็วขึ้น แม้อาจารย์จะบรรยายวิชาประวัติศาสตร์อยู่ก็ตาม

                    โลกปัจจุบันได้ก้าวสู่ยุคเทคโนโลยีจินตภาพ หลังจากเมื่อราวร้อยห้าสิบปีก่อนได้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นจนมนุษย์เราสูญเสียอารยธรรมไปจนหมดสิ้น และจำนวนประชากรก็มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เราจึงได้ทำการเริ่มต้นศักราชใหม่จาก 0000 นับตั้งแต่วันสิ้นสุดสงครามครั้งนั้น

                    เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มนุษย์เราเริ่มเข้าสู่ยุคมืด จนกระทั่งปี 0097 ก็มีเผ่าพันธุ์นามคิเมร่าปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกใบนี้ โดยที่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเผ่าพันธุ์นี้ ครั้งนั้นคิเมร่าเข้ามาร่วมมือกับมนุษย์ที่เหลือรอดอยู่ ในการสร้างวิทยาการที่สามารถกอบกู้ความรู้ที่หายไปให้กลับคืนมาอีกครั้ง ผลลัพธ์จากการร่วมมือครั้งนั้นก็คือวิธีการเข้าถึงโลกจินตภาพ หรือที่ปัจจุบันมนุษย์เราเรียกว่ายูโทเปียนั่นเอง ทั้งนี้เหตุการณ์นั้นยังนำไปสู่การก่อตั้งรัฐรวมของโลกนามจักรวรรดิอิมเพอราทริกซ์แห่งนี้อีกด้วย

                    ยูโทเปีย หรือโลกจินตภาพนั้น เป็นทั้งโลกแห่งความทรงจำ ความคิด และความเชื่อ ที่พวกเราใช้เครื่องมือ PLUG ในการส่งจิตของเราเข้าสู่ยูโทเปียเพื่อทำการสกัดข้อมูลจากสิ่งที่เรียกว่า ดรีมชาร์ด หรือก็คือสิ่งที่เกิดจากความคิด จินตนาการรวมไปถึงความเชื่อของผู้คนนั่นเอง แต่แล้วเมื่อมนุษย์เริ่มใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้มากขึ้น เผ่าพันธุ์คิเมร่าก็เริ่มคิดวางแผนที่จะควบคุมจิตใจมนุษย์โดยอาศัย PLUG เป็นตัวกลาง

                    จากแผนการร้ายที่กล่าวมาทำให้มนุษยชาติต้องประกาศทำสงครามกับคิเมร่า และเป็นฝ่ายชนะในที่สุด แม้สงครามครั้งนั้นจะจบลงเมื่อปี 0146 หรือเมื่อ 12 ปีก่อน แต่พวกคิเมร่าที่หลงเหลืออยู่ก็ยังคงก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้การฝึกวิชาทหารยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อ...

                    อาจารย์ประจำวิชายังคงบรรยายเนื้อหาตามรายวิชาต่อเนื่องโดยไม่คิดจะสังเกตเด็กนักเรียนที่นั่งอยู่ว่าล้มหายตายจากกันไปบ้างหรือไม่ จนแล้วจนรอด ราล์ฟก็ได้นอนหลับไปจวบจนกระทั่งหมดวิชา...

                    ปรี๊ด!!! ปรี๊ด ๆ ๆ ปรี๊ด!!! เสียงนกหวีดดังเป็นจังหวะบ่งบอกถึงเวลาสิ้นสุดการเรียนการสอนของวัน ราล์ฟเดินหาวออกจากห้องเรียนวิชาพิชัยยุทธ นี่เป็นหนึ่งในวิชาที่เขาอยากหลับก็หลับไม่ลง การได้เรียนกระบวนการสงครามมันดูจะสนุกสนานสำหรับเขามากเกินกว่าจะหลับลง เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจแล้วก้าวเดินต่อไปยังระเบียงสำหรับจอดแอร์ไบค์เพื่อที่จะกลับบ้าน แต่แล้วเซลินก็เดินเข้ามาทักเขาไว้เสียก่อน

                    “นี่ ราล์ฟ” เสียงหวานต่ำเอ่ยทัก ทำให้เจ้าของชื่อชะงักเท้า “จำสัญญาเมื่อวานได้ใช่มั้ย”

                    “เออ จริงสิ ลืมไปเลยนะเนี่ย” ราล์ฟเกาหัว “อืม...วันนี้ก็ไม่มีธุระที่ไหนด้วย จะไปเอ็มไพร์ไหนดีล่ะ”

                    “ฉันเลือกไม่ถูกอ่ะ ราล์ฟเลือกให้เลยก็แล้วกัน” เซลินยิ้มกว้างเมื่อเห็นราล์ฟไม่ได้ทำท่าปฏิเสธเธอ

                    “อืม” เด็กหนุ่มครุ่นคิด ความความทรงจำบนโต๊ะอาหารก็ผุดขึ้นมาในหัว “นิรวานะก็ดีนะ มีธุระแถวนั้นพอดี แล้วนี่เธอได้ใบอนุญาตระดับไหนล่ะ”

                    ใบอนุญาตที่ราล์ฟพูดถึงก็คือบัตรผ่านสำหรับการเข้าใช้ยูโทเปียในเขตที่มีดรีมชาร์ดดุร้าย ซึ่งมันจะถูกแบ่งระดับอันตรายออกเป็นสี่ระดับ คือ A ถึง D สำหรับใบอนุญาตของเขานั้นคือระดับ B

                    “ระดับ D น่ะ เพิ่งสอบใบอนุญาตผ่านเอง”

                    “ก็ดี แถวนั้นเหมาะกับระดับของเธอดีด้วย ไว้ถึงบ้านแล้วเธอทักฉันมาด้วยแล้วกัน” ราล์ฟตัดบท “ฉันไปก่อนล่ะ”

                    “บ๊ายบายนะ กลับบ้านดี ๆ ล่ะ”

    --------------------------------------------------------------

                    ราล์ฟนอนเอนหลังอยู่ในห้องส่วนตัวของเขาหลังจากล้างหน้าเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เก้าอี้แผ่นกระจกที่เขานั่งอยู่เป็นประจำเวลานี้ถูกปรับให้เอนลงไปมากกว่าเดิม เขารู้สึกเหนื่อยล้าจากการต้องเดินทาง แต่กลับตาสว่าง เพราะวันนี้เด็กหนุ่มได้นอนในชั่วโมงเรียนประวัติศาสตร์เสียจนเต็มอิ่ม มากเกินพอที่จะทำให้เขาตื่นตัวได้ตลอดเวลาอย่างนี้

                    ...อีกสักพักคงจะทักมา...

                    (ราล์ฟ ว่างอยู่รึเปล่า)

                    เสียงของเซลินดังก้องขึ้นในหัวของเขา มันคือสัญญาณโทรจิตผ่านอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยี CODE เช่นเดียวกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ภายในบ้านของเขา และการจะตอบกลับโทรจิตนี้ ก็ต้องเพ่งความคิดมากพอสมควรเลยทีเดียว

                    (พร้อมแล้วสินะ)

                    (อื้ม...นิรวานะใช่มั้ย ไปแถวไหนดีล่ะ)

                    (วัดเส้าหลิน ก็แล้วกัน)

                    (โอเค แล้วเจอกันในยูโทเปียนะ) จากนั้นก็มีเสียงสัญญาณดังเบา ๆ เป็นการบอกว่าสิ้นสุดการสนทนาแล้ว

                    เด็กหนุ่มควานมือหา PLUG เขากดปุ่ม Gate-in อย่างรวดเร็วด้วยความคุ้นเคยโดยที่ไม่ต้องหันมามองด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเจ้าอุปกรณ์ประหลาดก็คายเอาเยลลี่ใสออกมาครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างกายของเขา เจ้าของเหลวประหลาดนี้จะทำเพียงห่อหุ้มร่างกายของเขาบาง ๆ เพื่อทำหน้าที่รักษาร่างกายเอาไว้ไม่ให้ปลดปล่อยพลังงานมากจนเกินไปจนหิว หรือเกิดอันตรายอื่น ๆ หากเข้าใช้ยูโทเปียเป็นระยะเวลานานจนเกินไป รวมทั้งทำให้ไม่เกิดการขัดขวางสัญญาณหรือการกลั่นแกล้งด้วยวิธีการต่าง ๆ หากใช้การเชื่อมต่อด้วยวิธีอื่น

                    ความรู้สึกเย็นสบายแผ่ไปทั่วทั้งตัวเมื่อเยลลี่ใสครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างของราล์ฟ เขายังคงสามารถหายใจเข้าออกได้อย่างสบาย ๆ แม้จะมีพวกมันเคลือบอยู่ทั้งศีรษะ แล้วความง่วงก็เข้ามาแทนที่ ดวงตาสองข้างหนักลงเรื่อย ๆ จนปิดสนิท แล้วสติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ จางหายไป พร้อมกับความรู้สึกทั่วทั้งร่าง หลงเหลือเพียงความมืดมิดเท่านั้น ที่อยู่รอบตัวของเขา...

                    ฉับพลัน! แสงสว่างก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง

    --------------------------------------------------------------

    Gate-in Processing…

    Your genetic ID is 545879431356053240523a

    [ U T O P I A ]

    The world our souls are connected

    --------------------------------------------------------------

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×