คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 3 : Demonization (rewrite 95%)
สายลมพัดเพียงเอื่อยระเรื่อยลิ่ว ใบไม้ ปลิวหล่นร่วงริมธารใส
แสงจันทราแลเห็นชวนเย็นใจ แต่ต้องเวียนเปลี่ยนไปในหนึ่งการณ์
ยืนใต้ร่มพฤกษานัยน์ตาค้าง เห็นหลากร่างเร่งรัด เข้าหักหาญ
ต่างแหลกสิ้นดิ้นพล่านด้วยมือมาร ผู้รุกรานเริงร่าคร่าชีวี
เมื่อถูกล่าระรานจากมารร้าย ทั้งร่างกายส่ายสั่นยากหันหนี
หากผิดพลาดอาจสูญสิ้นชีวี ใจที่มีสั่นระรัวด้วยกลัวตาย
สายลมฟังยังเหมือนเสียงกรีดร้อง ธาราหมองดุจดั่งโลหิตสาย
แสงจันทร์สาดเงาเห็นเช่นภูตพราย ที่ทำลายหลอกหลอนกร่อนวิญญาณ
--------------------------------------------------------------
ราล์ฟ บาล์ดวิน...นั่นคือชื่อของเขา ใช่แล้ว...มันคือชื่อที่ติดตัวของเขามานับตั้งแต่ที่จำความได้ เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาในระหว่างรอยต่อของยุคมืดหลังสงครามกับยุครุ่งเรืองที่วิทยาการก้าวหน้าขึ้นจนไม่มีใครคาดเดาอนาคตต่อไปได้ พ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เล็ก ทำให้ลุงเอลเมอร์... คนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่มีความผูกพันทางสายเลือดกับเขา ต้องรับเขามาเลี้ยงดู
...คิดดูดี ๆ แล้วตัวเขาก็แค่ฝุ่นผงเล็ก ๆ เท่านั้น...
หลายครั้ง...โลกใบนี้มันก็ไม่น่าอยู่นักในสายตาของเขา แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาคิดจะก้าวเข้าไปสู่หนทางแห่งความตาย หลายครั้ง...เขาก็เคยคิดเช่นเดียวกันผู้คนมากมายที่เคยพบเห็นผ่านดวงตาทั้งสอง ผู้คนที่พยามยามกระเสือกกระสนในการแสวงหาชื่อเสียง ลาภยศ เงินทอง แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่เขาคิดจะทำตามผู้คนเหล่านั้น กลับเบื่อหน่ายกับการแข่งขันที่แสนวุ่นวายด้วยซ้ำ
โชคดีจริง ๆ ที่มียูโทเปีย...สถานที่เพียงแห่งเดียวที่ทำให้เขาสามารถสลัดความต้องการทั้งหลายทั้งมวลออกไปได้ ทำให้ในความคิดของเขาหลงเหลืออยู่เพียงความต้องการเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่มันก็เป็นเหมือนกีฬาชนิดหนึ่งนั่นล่ะ เพราะเอาเข้าจริง มันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรอยู่ดี... ทว่าตอนนี้...เขาคงต้องเปลี่ยนความคิด...ถ้าเขารู้ว่ายูโทเปียแห่งนี้สามารถทำให้เขาตายได้จริง ๆ ล่ะก็...เขาคงไม่คิดจะเข้ามาเป็นแน่... โดยเฉพาะในเวลานี้!!
...ตอนที่เขากำลังจะตาย...
เคยมีคนบอกไว้ว่า ในเวลาที่มนุษย์เรากำลังจะตาย ความคิดมักจะโลดแล่นกลับไปสู่อดีตโดยที่คนคนนั้นไม่รู้ตัว ในตอนนี้ราล์ฟกำลังคิดว่ามันเป็นจริง...และจริงที่สุด...
แผ่นหลังของเด็กหนุ่มแนบไปกับต้นไม้ใหญ่ สติสัมปชัญญะถูกความเหนื่อยล้าและความหวัดกลัวครอบงำเสียจนไม่อาจสั่งการให้ขาทั้งสองขยับไปไหนได้อีก ยิ่งความคิดในหัวกำลังตอกย้ำความเป็นจริงว่าเขาไม่อาจหลบหนีพวกปีศาจนั่นพ้นไม่ว่าจะวิ่งต่อไปอีกสักเท่าไรก็ตาม...และตอนนี้ ภาพเบื้องหน้าที่ราล์ฟเห็น...
...คือดวงตาสีแดงของมัจจุราชนับสิบตนที่หมายจะคร่าชีวิตเขา...
บรรยากาศสีคล้ำของราตรีที่มีเพียงแสงจาง ๆ จากดวงจันทร์และเสาไฟ ทำให้ภาพของอมนุษย์เหล่านี้ดูน่าหวาดกลัว และทำให้เด็กหนุ่มมองเห็นภาพทุกอย่างเคลื่อนไหวเป็นภาพช้า คิเมร่าตนที่มีกรงเล็บขนาดใหญ่กระโจนเข้าหาเขา เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าร่างกายทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างหวาดหวั่น เขาจินตนาการไปถึงความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ก่อนจะหลับตาลงเพื่อหลีกหนีความเป็นจริง
...มันคงจะเจ็บ...แต่คงไม่ทรมาน...
แต่...จนแล้วจนรอดแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราล์ฟยังรู้สึกได้ถึงอากาศอุ่น ๆ ที่ตนสูดเข้าออก คำว่า ‘ปาฏิหาริย์’ ผุดขึ้นมาในแวบแรกทันที ไม่แน่ครั้งนี้เขาอาจจะรอด นรกคงยังไม่ต้องการชีวิตของเขาไป ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลเปิดออก สิ่งที่เป็น ‘ปาฏิหาริย์’ ของเขานั้น แท้จริงคือชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีหม่น ผู้กำลังใช้แขน...ซึ่งเป็นใบมีดขนาดใหญ่ทั้งสองข้างป้องกันกรงเล็บมรณะนั้นไว้...อาบิเตอร์มาช่วยเขาทันงั้นหรือ ? ไม่สิ เขาคิดว่าเขารู้จักคนตรงหน้านี้
“ราล์ฟ!! เกตเอาท์ไปเดี๋ยวนี้!!!” เอลเมอร์ตะโกนบอกทั้งที่สายตายังจดจ้องศัตรูเบื้องหน้า เหงื่อไคลบนใบหน้าไหลจนเปียกชื้นไปทั่ว “ลุงต้านได้ไม่นานหรอกนะ!!”
เมื่อได้สติ ราล์ฟกัดฟันฝืนดึงเอาบุ๊กเล็ตของตนออกมาเพื่อใช้คำสั่งเกตเอาท์ กระดาษแผ่นยักษ์สีหม่นยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ทว่า ความเป็นห่วงผู้เป็นลุงกลับยิ่งพุ่งพล่านเมื่อเขาสัมผัสถูกปุ่มคำสั่งบนนั้น... ภาพของลุงเอลเมอร์ที่กำลังรับการโจมตีจากคิเมร่าตัวแล้วตัวเล่า จนร่างนั้นเริ่มล่าถอยเข้ามาทีละนิดทำให้เขาหนักใจ ในเวลาที่ตัวเลขสิบสีแดงลอยขึ้นกลางลำตัวของเขา เป็นจังหวะที่ชายผู้มีศักดิ์เป็นลุงถูกการจู่โจมผลักกระเด็นออกไป!
การเกตเอาท์ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะรอดตาย หากในสิบวินาทีนี้เขาถูกโจมตีจากคิเมร่าตัวใดตัวนึง ค่ามันก็เท่ากับความตายเท่านั้น แต่เหตุการณ์ยิ่งเลวร้าย เมื่อลุงเอลเมอร์ของเขาที่ถูกผลักกระเด็นลงไปโปรเทกต์เบรก! ตัวเลขสีแดงแบบเดียวกับเขาปรากฏขึ้นบนลำตัวเช่นเดียวกับราล์ฟ แต่ต่างกันตรงที่ตัวเลขนั้นไม่ได้นับตามวินาที หากนับเป็นเปอร์เซ็นต์ และที่ยิ่งกว่านั้น...
...หนึ่งในพวกมันกำลังกระโจนขึ้นไปหมายจะปลิดชีพลุงของเขา...
...เก้า...แปด...
ไม่รู้ว่าราล์ฟตาฝาดไป...หรือเกิดภาพลวงตาขึ้นตรงหน้า เพราะชั่วครู่หนึ่งเด็กหนุ่มเห็นดวงตาของผู้เป็นลุงเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงก่อนจะกลับเป็นสีเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าชีวิตญาติคนสำคัญเพียงคนเดียวของเขา ราล์ฟตัดสินใจหันกระบอกปืนบนแขนซ้ายเข้าใส่คิเมร่าตัวนั้น แล้วลั่นไกทันที
...เจ็ด...หก...
ดูเหมือนจะได้ผล แม้จะน้อยมากก็ตาม เจ้าคิเมร่าเสียจังหวะ ทำให้กรงเล็บนั้นคลาดเคลื่อนไปพอสมควร มันเฉียดลำตัวของเอลเมอร์ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กระนั้นการโจมตีของเขาก็ไม่ได้สร้างบาดแผลใด ๆ ให้กับมันเลยแม้แต่น้อย
...ห้า...สี่...
ด้วยความเป็นห่วงชีวิตของผู้เป็นลุง ทำให้ในชั่วพริบตานั้น ราล์ฟไม่ทันได้สังเกตเลยว่า มีคิเมร่าอีกสองตนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ห่างออกไปไม่ถึงสองเมตรด้วยซ้ำ แขนซ้ายของมันเป็นเหมือนคมขวานขนาดใหญ่ ดวงตาสีแดงของมันฉายประกายเกรี้ยวกราด...ในขณะที่อีกด้าน คิเมร่าตนที่พลาดเป้าหมายกลับตะโกนลั่นใส่ร่าง ‘เหยื่อ’ ที่มันไม่อาจปลิดชีพได้
“แก...กลิ่นแบบนี้...ทำไมแกถึงได้...ถึงได้!!”
...สาม...
ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้ราล์ฟกระหน่ำกระสุนปืนเข้าใส่อสูรร้ายทันที ทว่าคิเมร่าตนนี้กลับไม่คิดแม้แต่จะป้องกัน นิ้วของมันชี้ตรงมาที่เขา พร้อมกับกระสุนที่พุ่งเข้าถากตามใบหน้าและลำตัว...แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลสักนิดเดียว ตรงกันข้าม เสียงหนึ่งกลับดังก้องไปทั่วโสตประสาทของเขา...
“$@*)...รัฐบาลของพวกมันเลวระ...(&+@”
...สอง...
เสียงนั้นยังดังอย่างต่อเนื่อง แต่สมองของราล์ฟไม่อาจตีความหมายภายในนั้นได้อีกแล้ว ทุกสิ่งรอบด้านดูจะมืดบอดลงฉับพลัน สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแค่ภาพของมัจจุราชผู้โหดร้าย ที่เตรียมจะปลิดชีวิตเขาด้วยลำแสงทำลายล้าง ส่วนตัวเขาก็เป็นเหมือนคนโง่ที่พยายามดิ้นรนด้วยการกระหน่ำกระสุนปืนใส่ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่ได้ผล
...หนึ่ง...
แสงสีแดงพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของ มันใกล้เข้ามา เรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนราล์ฟเห็นขนาดมันใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนในที่สุด ภาพในสายตาของเขานั้นก็กลายเป็นสีแดงฉานไปทั้งหมด...
พลัน! ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความมืดมิด แต่ครั้งที่ราวกับว่าความรู้สึกต่อประสาททั้งห้าจะหายไปจนหมด เขาไม่อาจจะขยับร่างกายส่วนใดได้... หรือจะพูดให้ถูก มันไม่มีร่างกายให้เขาขยับมากกว่า ...หรือว่าคราวนี้...
...ตูจะตายจริง ๆ...
แสงสว่างสีขาวกระทบดวงตาของเด็กหนุ่มก่อนภาพเลือนรางจะปรากฏขึ้น และค่อย ๆ ชัดเจนจนเป็นทิวทัศน์ของ แสงไฟภายในห้องถูกเปิดขึ้นอย่างอัตโนมัติตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความเย็นของเยลลี่จางหายไปเมื่อมันไหลกลับเข้าอุปกรณ์ PLUG เขาหายใจหอบถี่อย่างเหนื่อยล้า...อย่างไม่รู้สาเหตุ...
...รอดแล้ว...งั้นเหรอ!?...
เด็กหนุ่มหันไปมองด้านข้าง ลุงเอลเมอร์ของเขาเองก็กลับมาแล้ว สังเกตได้จากเมือกเยลลี่ที่ถูกดูกลับเข้าอุปกรณ์เชื่อมต่อสู่ยูโทเปียในมือ ชายวัยกลางคนเองก็เหนื่อยหอบ ไม่ต่างไปจากเขา... แวบแรก...ราล์ฟรู้สึกยินดี ที่ทั้งเขาและลุงเอลเมอร์สามารถรอดชีวิตจากเงื้อมมือมัจจุราชนัยน์ตาแดงมาได้ แต่คำถามมากมายกลับผุดขึ้นมาในห้วงคิด ทั้งเหตุการณ์วันนี้ ทั้งคำพูดของเหล่าคิเมร่า แม้ทุกสิ่งจะดูไม่กระจ่างชัด เหมือนมีเมฆหมอกบาง ๆ ทำให้เรื่องทุกอย่างดูสับสน แต่นั่นยิ่งทำให้ราล์ฟรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีนัก...
“ราล์ฟ ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” เอลเมอร์หันไปถามหลานชายด้วยเสียงสั่นพร่ากว่าปกติ
“ยังไม่ตาย...แต่...รู้สึกไม่ค่อยดีเลยลุง”
“เอาเถอะ อย่างน้อยเราก็รอดมาได้ ถึงจะไม่ได้เจรจาติดต่องานก็ตาม” ชายสูงวัยถอนใจยาวแล้วพูดต่อ “แต่ไม่เป็นไร เงินยังไม่ได้หนีพวกเราไปไหน ค่อยติดต่อกันวันหลังก็ยังทัน”
ราล์ฟพยักหน้าเบา ๆ ก่อนหันหน้าเลี่ยงหลบไปจากผู้เป็นลุง...ทำให้เอลเมอร์รับรู้ได้ถึงอารมณ์บางอย่างในใจของหลาน แต่เขาก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่ามันคืออะไร ผู้เป็นลุงจึงได้แค่วางมือบนบ่ากว้างของหลานชายเป็นเชิงปลอบประโลมเท่านั้น
“บางที พ่อแม่ของหลานคงช่วยคุ้มครองพวกเรา”
“ไม่หรอกครับ...บางที...อาจจะไม่ใช่พ่อกับแม่หรอก...แต่เป็นลุงมากกว่า...” ท้ายเสียงนั้นลากยาว เหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง หลานชายหันมาจ้องผู้เป็นลุง ต้องการสื่ออะไรบางอย่าง แต่ลุงเอลเมอร์ของเขากลับชักสีหน้าสงสัยกลับมา “ลุงไม่ใช่ญาติแท้ ๆ ของผมนี่ ? แล้วลุงรู้จักกับพ่อแม่ผมได้ยังไง ? แล้วทำไมลุงถึงได้ใช้นามสกุลบาล์ดวินได้ นามสกุลของครอบครัวผม ?”
ความเงียบบังเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ทั้งสองลุงหลานต่างนั่งนิ่ง ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก แม้บ้านหลังนี้จะไม่ค่อยจะครึกครื้นบ่อยนัก ติดจะเงียบเพราะต่างคนต่างมีสิ่งที่ต้องทำ แต่มันก็ไม่เคยมีบรรยายกาศประหลาดแบบนี้...
...บรรยากาศที่ไม่น่าวางใจ...
“เมื่อก่อน...” เอลเมอร์เป็นฝ่ายเปิดปากออกมาก่อน “นานมาแล้วล่ะ...ตอนนั้นพ่อกับแม่ของแกเคยช่วยชีวิตลุงไว้ หลังจากนั้นลุงเองก็ช่วยพวกเขาไว้หลายเรื่อง ก็เลย...”
“ช่วยชีวิต ?” ราล์ฟถามแทรกขึ้นมาก่อนผู้เป็นลุงจะพูดจบ “ผมว่า ลุงมีอะไรปิดบังผมอยู่ คนธรรมดา ไม่มีใครสามารถรับการโจมตีของคิเมร่าตรง ๆ แบบนั้นได้แน่ แม้แต่อาบิเตอร์ก็ตาม แต่ลุงเป็นใครกันแน่ ถึงได้รับการโจมตีพวกนั้นได้ ไหนจะเรื่องตาของลุงที่เปลี่ยนสีได้ แถมยังเป็นสีแดงอีกด้วย”
เอลเมอร์นิ่งอึ้ง ได้แต่ปล่อยให้ผู้เป็นหลานซักต่อไป “แล้วทีนี้ลุงจะบอกผมได้หรือยัง ว่าพ่อแม่ผมช่วยชีวิตลุงได้ยังไงกัน!!”
“...พวกเขา...ช่วยลุงจาก...จากคนที่มาทำร้าย...”
“คนที่มาทำร้าย ?” ราล์ฟตวัดเสียงถาม “เป็นไปไม่ได้ เมืองนี้ไม่เคยมีอันธพาลมากว่าสิบปีแล้วเพราะกฎระเบียบที่นี่รุนแรงมาก แล้วใครกัน ใครที่จะทำร้ายลุงได้!”
“ทำไม ทำไมหลานถึงพูดแบบนี้ ปกติหลานไม่ใช่คนที่...”
“อย่ากลบเกลื่อนดีกว่าลุง!!” ราล์ฟตวาด “ให้ผมมั่นใจสักทีว่าลุงเป็นใคร หรือตัวอะไรกันแน่ แล้วพ่อแม่ผมช่วยลุงไว้จากอะไร จากพวกไหนกันแน่!!”
“...จากรัฐบาล”
“แล้วทำไมรัฐบาลถึงต้องมาทำร้ายลุง เพราะอะไร!!”
“...อาจเป็นเพราะ...ความผิดที่ติดตัวลุงมา...ตั้งแต่เกิด...” เอลเมอร์ผ่อนเสียงลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเขาพยายามจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด “แกก็น่าจะเดาคำตอบได้แล้วนี่ จะคาดคั้นเอาอะไรอีก ราล์ฟ”
“ลุงก็ตอบมาสิ ว่ามันคืออะไร ความผิดอะไรกันแน่!!”
“ก็ผิดที่ลุงเป็นคิเมร่าไงเล่า!!!”
เงียบ...ราล์ฟเงียบ...เอลเมอร์เองก็เงียบ...เขารู้อยู่แล้วว่าการพูดเรื่องนี้ออกไปจะต้องเป็นเช่นนี้... เขามองเห็นราล์ฟก้มหน้า ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่พูด เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาก่อน
“พอใจกับคำตอบหรือยัง...หลานรัก”
“...ทำไม...ทำไมลุงเพิ่งมาบอกตอนนี้”
“ถ้าลุงบอก...แกก็จะกลายเป็นอาชญากรทันที...” น้ำเสียงนั่นสั่นเครือน้อย ๆ “แกก็รู้ว่ากฎหมายระบุไว้ยังไง...การให้ที่หลบซ่อนแก่คิเมร่าถือเป็นความผิดร้ายแรง”
“ถ้าอย่างนั้น...พ่อกับแม่...”
“...ใช่...อย่างที่แกคิดนั่นแหละ” เอลเมอร์ถอนใจ “แต่พวกเขาก็เชื่อใจลุง มอบหลานให้ลุง...ดูแล รู้ไหมว่าหลานน่ะ..เป็นด...”
“พอเถอะ ผมไม่อยากรับฟังอะไรอีกแล้ว!!” ราล์ฟตัดบท เขาลุกขึ้นเดินตรงไปที่ห้องส่วนตัว เสียงสัญญาณล็อกประตูดังขึ้น เขาไม่ต้องการฟังอะไรตอนนี้ ไม่อยากฟังข้อแก้ตัวอะไรอีกแล้ว มันมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้วสำหรับวันที่แสนเลวร้ายนี้...
ภายในห้องเงียบสงัด...ราล์ฟนอนแผ่อยู่บนเตียง พร้อมกับความคิดที่ตีกันอยู่ในหัวสมอง ทุกสิ่งที่ประดังประเดเข้าใส่เขาในวันนี้ มันมากมาย ซับซ้อนจนเริ่มคิดไม่ตก เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันถูกหรือไม่ มันจะกระทบถึงความสัมพันธ์ของเขากับลุงแค่วันนี้พรุ่งนี้ หรือตลอดไป เขาไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย...
--------------------------------------------------------------
ตีสี่ เวลาเดิมที่ทุกวันเขาจะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวไปเรียน วันนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้ราล์ฟจะพยายามทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดก็ตาม เขากินข้าวตอนตีสี่ครึ่ง และออกจากบ้านในอีกสิบห้านาทีต่อมา โดยไม่คิดจะสนใจคนอีกคนที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเลย...
บนโต๊ะอาหารยามเที่ยงวัน ราล์ฟนั่งเขี่ยอาหารไปมา ความกังวล ความสับสนในตัวทำให้เขาไม่รู้สึกอยากอาหาร ที่มานั่งกินอยู่นี่ก็เพียงแค่ไม่อยากให้เพื่อนคนอื่น ๆ สงสัยมากมายเท่านั้น แต่ดูเหมือนการที่มานั่งเขี่ยอาหารในจานไปมาจะทำให้คนที่นั่งด้วย ล่วงรู้ถึงความผิดปกติง่ายเสียกว่า...
“วันนี้เอ็งเป็นอะไรวะ ทำตัวแปลก ๆ” โทปริโอทักขึ้น หลังจากที่เขากินข้าวเสร็จแล้ว แต่ราล์ฟยังนั่งเขี่ยช้อนไปมา
“นั่นสิ วันนี้ราล์ฟเงียบไปนะ” เซลินเสริม แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้สึกตัว เธอจึงต้องเขย่าตัวเขา...
“ห...หา...” ราล์ฟสะดุ้งตื่นจากห้วงคิด “เมื่อกี้พวกนายว่าอะไรนะ”
แต่ยังไม่ทันที่โทปริโอกับเซลินจะได้ตอบอะไรออกไป เสียงข่าวที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ดึงความสนใจจากทุกคนภายในโรงอาหารไปจนหมด ไม่เว้นแม้แต่พวกเขาทั้งสามด้วย ผู้ประกาศสาวปรากฏตัวเป็นเส้นสางสามมิติตรงกลางโรงอาหารกำลังรายงานข่าวบางอย่าง ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง...
“เมื่อวาน เวลาประมาณสิบเก้านาฬิกาสามสิบนาที ได้เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมในยูโทเปีย เอ็มไพร์เรมินิส คาสเซิลเซ็นทรัลปาร์ก โดยมีผู้ต้องหาเป็นคิเมร่าจำนวนสิบสองตน ซึ่งถูกวิสามัญฆาตกรรมไปเจ็ดตนโดยอาบิเตอร์ที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ ขณะที่อีกห้าตนที่เหลือได้หลบหนีไป เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายอย่างน้อยสองร้อยสิบเจ็ดคน ซึ่งจะตรวจสอบ...”
สายตาของราล์ฟเบิกกว้างอย่างตื่นกลัว เหตุการณ์ที่ถูกรายงานออกมาทำให้ภาพสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวของเขาฉายซ้ำขึ้นในความคิด ร่างกายเริ่มสั่นพร่า เหงื่อไคลเริ่มหลั่งไหลจนทั้งกายรู้สึกได้ถึงความเย็นชื้น จนเซลินต้องเขย่าแขนของราล์ฟอย่างแรง เพื่อให้เขาตื่นจากห้วงคิด
“ราล์ฟ นายเป็นอะไรไป ทำไมตัวสั่นอย่างนี้ล่ะ” เซลินมองหน้าที่ซีดเผือดนั้นอย่างเป็นห่วง
“ม...ไม่เป็นอะไร...” ราล์ฟตอบเสียงสั่น “ฉัน...ฉันแค่ไม่สบาย...น...นิดหน่อย...ขอตัวก่อนนะ”
สิ้นคำพูดเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโรงอาหารทันที ไม่ฟังเสียงเรียกถามอย่างเป็นห่วงของเซลิน หรือเสียงบ่นกวนประสาทของโทปริโอแม้แต่น้อย
“เป็นอะไรของเขานะ” เซลินบ่นอย่างเหนื่อยใจ
“ปล่อยไปเถอะน่า เดี๋ยวก็หาย” โทปริโอบอกเหมือนคนหยั่งรู้นิสัยของเพื่อนซี้
เซลินถอนใจยาว ก่อนส่ายหน้าเพื่อสลัดความกังวลออกจากหัว “...ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ...”
--------------------------------------------------------------
เสียงนกหวีดหลังเลิกเรียนดังขึ้น ราล์ฟวิ่งไปที่ลานจอดแอร์ไบค์โดยไม่สนใจที่จะทักใคร หรือใครทักเขาบ้าง สิ่งเดียวที่เขาต้องการในตอนนี้คือความสงบ เขาต้องการอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ คนเดียว เผื่ออะไร ๆ มันจะดีขึ้นมาบ้าง แอร์ไบค์ของเขาพุ่งด้วยความเร็วสูง มันเร็วเกินกว่าทุกครั้ง จนแม้แต่บานกระจกกันลมยังไม่อาจช่วยให้กระแสลมตีเข้าใส่ใบหน้าเขา ไม่นานเด็กหนุ่มก็มาถึงย่านพักอาศัยที่เขาพักอยู่ อาคารสีน้ำเงิน...ซึ่งเป็นที่อยู่ของเขานั้น กลับมียานจำนวนมากมายจอดเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
และยิ่งเขาเข้าไปใกล้มากเท่าไร รายละเอียดของตัวยานเหล่านั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ มันดูคุ้นตา เหมือนเคยผ่านสายตาของราล์ฟบ่อย ๆ ยิ่งเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์เส้นสีขาวขีดลากลงมาสานเป็นลายตารางกลางพื้นสีดำ สัญลักษณ์ของจักรวรรดิอิมเพอราทริกซ์ ทำให้เขามั่นใจว่าเป็นของหน่วยอาบิเตอร์แน่นอน แต่...
...พวกนั้นมาทำอะไรที่บ้านของเขา...
แอร์ไบค์จอดเทียบบริเวณระเบียงแคบ ๆ เด็กหนุ่มเริ่มหวั่นใจ ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขารู้สึกว่าไม่ควรเปิดประตูบานนี้เข้าไป แต่...ร่างกายกลับปฏิเสธในลางสังหรณ์นั้น...
บานประตูถูกเปิดออก ภาพของห้องที่ถูกรื้อค้นจนกระจัดกระจายคือสิ่งแรกที่ดวงตาสีน้ำทะเลมองเห็น ถัดมาคือร่างของทหารมากกว่าห้าคนในชุดเครื่องแบบสีดำขาวเหมือนสีของสัญลักษณ์จักรวรรดิ ยืนกระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่ ข้าวของเครื่องใช้บางส่วนบุบสลาย แต่นั่นคงไม่เท่าไร ถ้าเด็กหนุ่มไม่เหลือบไปเห็นร่องรอยการต่อสู้จำนวนมากภายในห้อง และร่างหนึ่งที่อยู่กลางห้อง...
...ร่างนั้นจมกองเลือด...
เป็นชายผมสีขาว ผิวสีซีด ริ้วรอยเหี่ยวย่นมากมายเหมือนคนอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบ อาจจะเป็นคนที่เขารู้จัก...แต่พอเห็นเสื้อกาวน์สีหม่นที่ร่างนั้นสวมอยู่...ยิ่งชี้ชัด...ว่าเป็นใครอื่นไม่ได้...นอกเสียจาก...
...ลุงเอลเมอร์!!!...
ราล์ฟนิ่งอึ้ง ความตกตะลึงปนหวาดกลัวทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ภาพความทรงจำ ทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่เขามาอยู่ในความดูแลของลุง ปรากฏขึ้นในห้วงคิด สลับเป็นฉาก ๆ ไปมา จนมาสิ้นสุดอยู่ที่เหตุการณ์เมื่อวาน... ลุงเอลเป็นเป็นคิเมร่า... แล้วที่พวกอาบิเตอร์มาอยู่ที่นี่ได้... คงเป็นเพราะ...
“ไม่จริง!!!”
ร่างกายของเด็กหนุ่มถลาเข้าหาผู้เป็นลุง คนที่เลี้ยงดูเขา สั่งสอนเขาขึ้นมาให้เป็นอย่างทุกวันนี้ ทว่าอาบิเตอร์สองคนกลับยื่นแขนออกมากันเอาไว้ ราล์ฟถูกตรึงร่างจากสองคนนั้น แล้วใช้กำลังบังคับขืนกดหัวเขาลงไปไม่ให้เคลื่อนไหวอะไรมากกว่านี้ แม้เขาจะพยายามฝืนสักเท่าไรก็ตาม...
“ลุง!! ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! ลุกขึ้นมาเซ่!!!” เด็กหนุ่มพยายามตะโกน หยาดน้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรู ใจยังหลอกตัวเอง หวังว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นแค่เรื่องโกหกล้อเล่นกันเท่านั้น “ไหนบอกว่าจะไม่ทิ้งผมไปไหนไง!! ไหนล่ะปาฏิหาริย์ที่ลุงว่า!! ลุกขึ้นมาตอบผมเดี๋ยวนี้นะ!!!”
...แต่เปล่าเลย...มันคือความจริง...
...ลุงเอลเมอร์จากไปแล้ว...
“ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...ทำไมกัน!!” ราล์ฟปล่อยโฮอย่างหมดคราบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับข้องใจ หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาเป็นสาย...ไม่มีอีกแล้ว...ไม่มีอีกแล้ว...
“ผมจะเป็นคนให้คำตอบคุณเองว่าทำไม” อาบิเตอร์ร่างกำยำ ในชุดเครื่องแบบที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น เขายืนตรงนิ่ง พร้อมน้ำเสียงที่นิ่งเรียบไม่ต่างกัน “ผม ร้อยเอก ดีคาพาร์ค รีอามุนเชน หัวหน้าหน่วยอาบิเตอร์ที่สิบเอ็ด ผู้รับผิดชอบภารกิจครั้งนี้”
ราล์ฟพยายามจะมองใบหน้าของนายทหารคนนั้น หากดวงตาที่ฉ่ำรื้นไปด้วยน้ำตาทำให้ไม่อาจมองอะไรได้ชัดนัก เขาเห็นเพียงภาพชายในชุดขาว ๆ ดำ ๆ พร่ามัว ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าใบหน้าของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลมากมาย
“จากเหตุอาชญากรรมเมื่อวาน เราได้ใช้เครื่องมือตรวจจับแหล่งพลังของคิเมร่าที่ถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เราสามารถสันนิษฐานได้ว่าใครเป็นคิเมร่าที่กำลังต่อสู้อยู่ในตอนนั้นบ้าง และใช้โปรแกรมติดตามร่องรอยเหล่านั้น” หัวหน้าอาบิเตอร์ตอบด้วยเสียงเรียบ แต่ดุดัน “แต่ที่ทำให้เราสามารถรู้พิกัดบนโลกเอนโทรเปียได้ เป็นเพราะการใช้อุปกรณ์ผิดกฎหมายของพวกคุณ”
เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก รู้ได้ทันทีว่าอุปกรณ์ผิดกฎหมายที่ถูกกล่าวถึงคือ iSender และรู้ได้ทันทีถึงเหตุผลที่ลุงเอลเมอร์กำชับนักหนาว่าห้ามใช้มันเด็ดขาดถ้าไม่จำเป็น
“อุปกรณ์ของพวกคุณส่งข้อมูลจากยูโทเปียกลับสู่โลกจริงโดยไม่ผ่านรัฐบาล ดั้งนั้นเราเพียงแค่ตรวจสอบสถานที่ที่ข้อมูลนี้ถูกส่งไป ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่เราพบสัญญาณคิเมร่าเจือจางครั้งสุดท้ายพอดี เมื่อเรามาตรวจสอบที่นี่เราก็ยังพบสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ อีก” ดีคาพาร์คยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ “โดยรวมแล้ว เอลเมอร์ บาลด์วินกระทำผิดสี่ข้อหา ข้อหาที่หนึ่งคือการปลอมแปลงเอกสารว่าเป็นพลเมืองของรัฐ ข้อหาที่สองคือการยักยอกข้อมูลโดยไม่ผ่านรัฐ ข้อหาที่สามคือการเก็บข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อรัฐ และข้อหาที่สี่...”
“...คือการดำรงชีวิตอยู่ในฐานะคิเมร่าภายในอาณาเขตของรัฐ”
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย ฝ่ายอาบิเตอร์หยุดพูดแล้ว แต่น้ำตาของราล์ฟกลับไม่มีวี่แววว่าจะหยุดไหล มันยังคงเนืองนอง ดวงตายังฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ ชายในชุดทหารหันหลังกลับ หากแต่เด็กหนุ่มที่ร่ำไห้อยู่ กลับปาดน้ำตาแล้วตะโกนถามสุดเสียงออกไป...
“แค่การมีชีวิตก็มีความผิดงั้นเหรอ!! ต่อให้ไม่เคยทำร้ายใครเลย ก็ยังมีความผิดงั้นเหรอ!!!”
“ใช่” ดีคาพาร์คตอบอย่างไม่ลังเล “กฎหมายว่าไว้เช่นไร มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น และนี่ก็ไม่ใช่เพียงกฎหมายของเมืองนี้ แต่เป็นกฎหมายสูงสุดของจักรวรรดิแห่งนี้!!”
“หึ...ฮ่า ๆๆๆ” ราล์ฟหัวเราะราวกับเป็นคนบ้า “แล้วทำไมไม่จับฉันไปอีกคนล่ะ หรือจะสำเร็จโทษกันตรงนี้ ในเมื่อฉันเป็นผู้ให้ที่หลบซ่อนแก่คิเมร่า!!”
“คุณไม่ได้กระทำผิดกฎหมายข้อใด” อาบิเตอร์คนเดิมตอบเสียงเรียบ “เราได้ยินบทสนทนาของพวกคุณเมื่อวาน และทราบว่าคุณเองก็เพิ่งรู้เรื่องลุงของคุณเช่นกัน”
“ย...อย่าบอกนะว่าแก...ดักฟัง...”
“ผลิตภัณฑ์ถูกกฎหมายเกือบทุกชิ้นจำเป็นต้องฝังชิพของรัฐบาลอยู่แล้ว เราแค่ใช้ประโยชน์จากมันเพื่อการสืบสวน” เขาทิ้งคำพูดไว้เป็นเวลานาน ก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง “อย่างชอบธรรม”
หัวหน้าอาบิเตอร์ยกมือเป็นสัญญาณบอกเหล่าอาบิเตอร์ชั้นผู้น้อย พวกเขาพากันเดินออกไปจากบ้านที่ว่างเปล่า... ไม่ใช่เพราะไม่มีข้าวของ... ไม่ใช่เพราะไม่มีเงินทอง... ไม่ใช่เพราะไม่มีผู้คน... หากแต่สิ่งที่ทำให้มันว่างเปล่านั้น...
...เพราะมันไม่มีคำว่าครอบครัวอีกแล้ว...
เสียงยานพาหนะของเหล่าอาบิเตอร์แล่นจากไปแล้ว ราล์ฟหยุดร้องไห้แล้ว...หรือจะพูดให้ถูก เขาร้องเสียจนมันไม่มีน้ำตาไหลออกมาแล้วต่างหาก... เขาเริ่มเข้าใจสาเหตุที่ลุงเอลเมอร์ปิดบังตัวตน เพราะหากพูดออกมาเมื่อใด ความตายก็จะตามมาหาในวันรุ่งขึ้น...แต่คำถาม...ที่ถามว่า ‘ทำไม!?’ กลับมีมากมายในความคิดของเขา เด็กหนุ่มทรุดตัวลงข้างศพของผู้เป็นลุง ศีรษะก้มลงไปจนติดพื้น แขนทั้งสองเริ่มระดมทุบพื้น...สองครั้ง...สามครั้ง...และยังคงทุบอยู่อย่างนั้น แม้สองมือจะปวดร้าวไปจนหมด แม้สองมือจะเป็นรอยม่วงช้ำห้อเลือดก็ตาม...
...ทุกอย่างมันเป็นเพราะเขา...
“ร...ราล์ฟ...” แต่แล้วเสียงแหบอันแผ่วเบาก็ดังขึ้น ราล์ฟเงยหน้าขึ้นมาเบิกตากว้าง เขาจำได้ดีว่าเสียงนี้เป็นของ...
“ลุงเอลเมอร์!! ลุง...ลุงไม่เป็นอะไรใช่มั้ย!!” เด็กหนุ่มได้แต่พูดเข้าข้างตัวเอง เขาโอบกอดร่างของผู้เป็นลุงขึ้นมา ร่างนั้นชุ่มเลือด...แต่เขาก็ยังคงจะเชื่อแบบนั้น...เชื่อว่าลุงของเขาไม่ได้เป็นอะไร...
“แค่ก...อีก...อีกไม่นาน...แค่ก...ลุงก็คง...ก็คง...แค่ก ๆ” แม้จะปฏิเสธอย่างไร แต่ลิ่มเลือดที่ออกมาจากปากของเอลเมอร์ก็ยังคงเป็นของจริง
“อย่าเพิ่งพูดอะไรนะลุง ผมจะพาลุงไปส่งโรงพยาบาลเดียวนี้แหละ!!”
“ไม่ต้อง...แค่ก...ลุงแค่...แค่อยากจะพูด...พูดอะไรสักประโยค...แค่ก ๆ”
ราล์ฟนิ่ง เขารู้ดีว่ายังไงผู้เป็นลุงก็ไม่มีทางรอดได้ แต่ก็ยังจะพยายาม...พยายามปฏิเสธความเป็นจริง อย่างน้อยขอให้ตอนนี้เขายังรู้สึกมีความหวังสักนิด...สักนิดที่คิดว่าลุงของเขาแค่ป่วยหนักเท่านั้น...อีกไม่นานก็จะหายดี... แต่ตอนนี้เขาคงต้องยอมรับความจริง และให้โอกาสกับคำขอครั้งสุดท้าย...ที่ผู้เป็นลุงขอร้องเขา...
“...ลุง...ลุงไม่เคยเสียใจเลย...แค่ก ๆ” เอลเมอร์ทิ้งตัวลงกับอ้อมกอดของหลานรัก ดวงตาทั้งสองหรี่ปรือลงด้วยความเหนื่อยอ่อน “ไม่เสียใจเลย...ที่รักแก...เหมือนลูก...แค่ก...เหมือนลูกแท้ ๆ”
“ผม...ผมก็เหมือนกัน...ผมขอโทษนะครับ...ขอโทษจริง ๆ กับเรื่องเมื่อวาน...” น้ำตาที่เคยหยุดไหลไปแล้ว เวลานี้กลับรื้นขึ้นมาอีก น้ำตาใสหยดลงบนคราบเลือดของผู้เป็นลุง... เอลเมอร์ยิ้ม เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายยกมือขึ้นมาลูบหัวราล์ฟ อย่างแผ่วเบาด้วยความรัก...เป็นครั้งสุดท้าย...
...ก่อนลมหายใจสุดท้ายของเขาจะจางหายไป...
--------------------------------------------------------------
หลุมศพถูกกอบดินกลบแล้ว ป้ายหินสลักชื่อ Elmer Baldwin ถูกวางทับลงไปเหนือกองดิน ที่นี่เป็นสุสานเล็ก ๆ เพียงไม่กี่แห่งที่มีมนุษยธรรมมากพอที่จะรับทำศพให้กับคิเมร่า ดังนั้นภายในสุสานแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยหลุมศพของคิเมร่าจำนวนมากมายที่ถูกสำเร็จโทษตามกฎหมาย ราล์ฟหยุดร้องไห้แล้ว อย่างน้อยก็ในวันนี้ เขาไม่อยากร้องไห้ให้คนที่เขารักเห็น...เขาไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็น...
...โดยเฉพาะลุงเอลเมอร์...
มันเป็นพิธีศพที่ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่มีแขกเหรื่อใด ๆ เพราะเขาไม่มีญาติคนใดอีกแล้วนอกจากผู้เป็นลุง...ทั้งสุสานไม่มีใครอื่นอีก เด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่หน้าหลุมศพของเอลเมอร์ เขายืนอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่พิธีเสร็จสิ้น จนถึงบัดนี้ก็ยังยืนนิ่งอยู่ทั้งที่มันผ่านไปนานพอควรแล้ว ภาพความทรงจำเก่า ๆ ยังคงย้อนไปมาอยู่ในความคิด...ภาพตั้งแต่ครั้งที่ลุงเอลเมอร์รับเขามาเลี้ยง...จวบจนถึงวันสุดท้าย...
ราล์ฟทิ้งตัวนั่งข้างหลุมศพ มือไล้ไปตามร่องรอยสลักบนแผ่นหินอย่างแผ่วเบา หวังว่าคนที่นอนหลับอยู่ใต้นั้นจะรับรู้ความรู้สึก เขาเริ่มพรั่งพรูคำพูดมากมายออกมา...
“ลุงรู้อะไรไหม...บางครั้งผมก็เคยคิดว่า...ลุงเป็นพ่อผมนะ...”
“หลายครั้ง...ที่ผมเสียใจ...ร้องไห้...ก็มีแต่ลุงที่คอยปลอบ...”
“ยังจำได้อยู่เลย...วันที่ลุงสอนผมเข้าไปในยูโทเปีย...สอนให้ล่าดรีมชาร์ด...”
...สอนให้ล่าดรีมชาร์ด...
‘นายรู้สึกบ้างรึเปล่า ทั้งประวัติศาสตร์โลก ทั้งรัฐบาลจักรวรรดิ มันแปลก ๆ’ ภาพใบหน้าของเซลินซึ่งกำลังพูดเรื่องนี้ที่วัดเส้าหลินผุดขึ้นมาในหัว ตอนนั้นเขาก็เพิ่งสอนเธอล่าดรีมชาร์ด...
“$@*)...รัฐบาลของพวกมันเลวระ...(&+@” เสียงแปลก ๆ เมื่อครั้งที่เจอกับคิเมร่าดังขึ้นแทรกคำพูดเหล่านั้น...
“เราเคยเสียอารยธรรมไปเกือบทั้งหมด แต่ก็กู้มันกลับคืนมาได้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองร้อยปีด้วยยูโทเปีย...แล้วทำไมล่ะ ทำไมก่อนหน้านั้น...ถึงไม่มีใครค้นพบที่นี่ได้เลย ไหนจะเรื่องคิเมร่า...อีก ทำไมถึงไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเผ่านี้เลย...แม้แต่ในอารยธรรมดั้งเดิมก็ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ถึงคนพวกนี้เลย”
...มีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้...
แต่แล้วความคิดของราล์ฟก็เริ่มตีกันอีกครั้ง เสียงที่เคยดังขึ้นแบบไม่เป็นภาษาเมื่อเหตุการณ์เสี่ยงตายครั้งนั้นตามมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง
...!@#แกเข้าข้างพวก#$%ทำไม แกก็น่าจะรู้ว่ารัฐบาลของพวกแกมันเลวระยำแค่ไหน ถึงขนาด!$#%กับคิเมร่าจนควบคุม#$%^$เปียได้ดังใจทุกวันนี้ มันป้ายสีพวกเราเพื่อจะที่ได้%#^%ไงล่ะ แล้วยังจะเข้าข้าง%&*%$...
...เรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่...
...ไม่เข้าใจเลย...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
“ราล์ฟ...” เสียงหนึ่งเรียกให้ราล์ฟตื่นจากภวังค์ เขาหันไปมองตามเสียงเรียกและพบกับ...
“โทปริโอ...” เพื่อนรักตัวกวนร่างสูงใหญ่ เขาสวมชุดสีดำสนิท ข้างกันนั้นยังมีหญิงสาวอีกคน “...เซลิน”
...รู้เรื่องกันแล้วสินะ...
“เรื่องใหญ่กันนี้ทำไมไม่บอกกัน” เซลินเอ่ยถามเป็นคนแรก ในขณะที่โทปริโอเพียงแค่วางมือลงบนบ่าของราล์ฟ
“คงไม่มีใครอยากร่วมงานศพอาชญากรหรอก!!”
โทปริโอขยับปากกำลังจะพูดแต่กลับไม่พูดอะไรออกมา เพราะเซลินใช้มือทำท่าเป็นสัญญาณห้ามเอาไว้ เขาส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินปลีกตัวออกไป ปล่อยให้ที่เหลือเป็นน่าที่ของเพื่อนสาว...คงจะดีกว่า
“ราล์ฟ ยังไงลุงเอลเมอร์ ก็เป็นลุงของนาย การมาร่วมงานศพลุงของเพื่อนนี่มันคงไม่ผิดกฎหมายข้อไหนหรอกนะ” เซลินอธิบายอย่างใจเย็น เธอคว้ามือของราล์ฟมาและบีบมันไว้เบา ๆ “นายก็น่าจะรู้ดี ไม่ว่ายังไง ทั้งฉันและโทปริโอก็ไม่คิดจะทอดทิ้งนาย”
“อย่ามาพูดเหมือนเธอรู้ใจฉันดีหน่อยเลย!!!” ราล์ฟตวาดกลับ “เธอไม่เคยรู้อะไรหรอก!!”
เซลินถอนใจ เวลานี้ดูเหมือนแม้แต่เธอเองราล์ฟก็คงไม่ฟัง... สิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มต้องการในตอนนี้คือเวลา... เวลาที่จะทำให้ทุกอย่างมันเบาบางลง...เวลาที่จะพาความเศร้าในใจของเขาให้จางหายไป...
...แม้ไม่รู้จะต้องเสียเวลาไปอีกนานแค่ไหนก็ตาม...
--------------------------------------------------------------
งานศพจบไปหลายวันแล้ว... เด็กหนุ่มอยู่ในห้องนอนของตัวเอง นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอนของเขา หลังพิงฝา ดวงตาเหม่อลอย ผมเผ้ายุ่งเหยิงจนดูไม่เหมือนราล์ฟคนเดิม เขามักจะมานั่งอยู่อย่างนี้ตั้งแต่กลับจากพิธีศพของเอลเมอร์ ในหัวสมองเอาแต่ครุ่นคิด ครุ่นคิด และครุ่นคิดอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น คิดอะไรก็ตามแต่ที่จะหลีกหนีไปจากความเจ็บปวดที่มีอยู่ แต่ยิ่งนานเข้าดูเหมือนความปวดร้าวในใจของเขากลับยิ่งทวีคูณ...
ติ๊ด...
(ราล์ฟ...ว่างอยู่รึเปล่า)
เสียงเรียกของเซลินผ่านโทรจิตดังขึ้นมาในหัว แต่ราล์ฟในเวลานี้กลับไม่มีกะจิตกะใจจะตอบสนอง หรือปฏิเสธด้วยซ้ำ คำตอบรับที่มาจากเขาจึงเป็นเพียงคำสั้น ๆ เท่านั้น
(อือ)
(ฉัน...รู้นะว่านายเสียใจกับการสูญเสียลุงเอลเมอร์...แต่ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้เลย...นาย...กลับมาเป็นราล์ฟคนเดิมได้ไหม...คนที่ร่าเริง...คนที่คอยกวนประสาทฉันคนนั้น...)
(เซลิน...ตอนนี้โลกใบนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว...)
(ห...หา...?)
(ฉันถามว่าตอนนี้โลกนี้มันกำลังเป็นบ้าอะไรอยู่!! ฟังไม่รู้เรื่องรึไง!!)
บทสนทนาเงียบไปสักพักใหญ่...ก่อนที่เซลินจะรวบรวมความกล้าพูดขึ้นมาอีกครั้ง
(ฉัน...ฉันไม่รู้...ฉัน...ฉ...ฉัน...ข...ขอโทษนะ)
(ทำไมลุงเอลเมอร์ต้องตาย!? ทำไมรัฐบาลต้องทำแบบนี้!? ลุงเอลเมอร์ไม่เคยทำอะไรใคร แต่ทำไมเขาต้องมาตายแบบนี้!! รัฐบาลนี้! โลกนี้! มันเป็นบ้าอะไรกันหมด!!! เธอเองก็เคยพูดไม่ใช่เหรอไง ว่าประวัติศาสตร์โลกนี้มันแปลก ๆ นั่นก็ฝีมือรัฐบาลบ้า ๆ นี่อีกล่ะสิ!!)
(อ...อือ...ใช่...ฉันเคย...พ...พูด...ต...แต่ว่า...)
(แล้วตกลงมันหมายความว่ายังไงเล่า!! อีกไม่นานเราจะต้องเป็นทหาร เป็นขี้ข้ารัฐบาลบ้า ๆ นี่!! แล้วดูสิ่งที่มันทำกันฉัน!! ที่มันทำกับฉัน!! มันฆ่าลุงของฉัน!! ได้ยินมั้ยว่ามันฆ่าลุงของฉัน!!!)
ราล์ฟกัดฟันกรอด ถ้าตอนนี้เซลินมายืนอยู่ตรงหน้า เขาคงจะตะโกนใส่เธอจนแก้วหูระเบิดไปแล้ว... แต่นี่เป็นการสื่อสารทางโทรจิต ต่อให้อารมณ์รุนแรงมากแค่ไหน แต่มันก็ไม่อาจระเบิดเสียงได้เท่ากับการตะโกนจริง ๆ
(ฮึก...ฉ...ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ...ฮึก...ย...ยกโทษ...ยกโทษให้ฉันนะ...ฮึก)
และการโทรจิตก็สิ้นสุดลงหลังจากนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองหัวเสียยิ่งกว่าเดิม แม้ในใจลึก ๆ จะรู้สึกผิดที่ตวาดใส่เซลิน แต่ไม่นานความโกรธเกรี้ยวจากเรื่องราวต่าง ๆ ก็กลับมาครอบงำความคิดของเขาอีกครั้ง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ราล์ฟยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ท่าทางเดิม ดวงตาเหม่อลอยเหมือนเดิม และในหัวสมองยังคงเต็มไปด้วยเรื่องราวให้ครุ่นคิดมากมายเหมือนเดิม จนแม้กระทั่งเสียงสัญญาณบางอย่างดังขึ้นมาจาก PLUG เขาก็ยังไม่รู้... ไม่สิ เขาทำเป็นไม่สนใจที่จะรับรู้มากกว่า... เด็กหนุ่มจำได้ดีว่าเสียงนั่นเป็นเสียงข้อความ แต่กว่าที่เขาจะยอมรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีลุกขึ้นมาเปิดมันอ่านได้นั้น ก็ปาเข้าไปอีกครึ่งค่อนชั่วโมงหลังจากนั้น
ถึง ราล์ฟ บาลด์วิน กรุณามาเจอกันที่เอ็มไพร์เรมินิส ในตึกร้าง oo-xxx ชั้นที่ 12 เมืองโตเกียว เอลเมอร์ บาล์ดวินรอคุณอยู่ที่นั่น ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม |
เด็กหนุ่มอ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อยืนยันว่าตัวเขาไม่ได้ตาฝาดไป... นั่นคือชื่อของลุง...ชื่อของลุงเอลเมอร์จริง ๆ แต่ความคิดวูบหนึ่งก็บอกเขาว่านี่อาจเป็นเพียงการกลั่นแกล้งจากใครสักคน ไม่รู้ว่าไอ้หน้าไหนที่คิดล้อเล่นกับความรู้สึกของเขาแบบนี้ ทว่าอีกใจหนึ่งกลับรู้สึกว่ามีความหวังเล็ก ๆ เหมือนแสงสว่างอันริบหรี่มาอยู่ตรงหน้า สำหรับคนที่ยืนอยู่ในอุโมงค์ที่มืดบอดแห่งนี้...ถ้าจะไขว่คว้าแสงนั้นไว้...
...มันคงจะไม่เสียหายอะไรใช่ไหม...
--------------------------------------------------------------
เบื้องหน้าของราล์ฟคือตึกสูงระฟ้า ตัวตึกเป็นสีของปูน ไม่ได้ผ่านการตกแต่งใด ๆ ให้เรียบร้อย ซ้ำร้ายยังมีวัยรุ่นมือบอนเอาสีสเปรย์มาฉีดพ่นเป็นรูปร่าง ตัวอักษร หรือแม้แต่ภาพเชิงศิลป์... ตอนนี้เด็กหนุ่มยืนอยู่ในยูโทเปีย นี่คือสถานที่นัดพบที่จดหมายลึกลับกล่าวไว้ เขาก้าวเข้าไป เดินขึ้นบันไดด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังมากมาย จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ชั้นสิบสอง...ตามที่ได้ระบุไว้...
มีคนหนึ่งคนยืนอยู่บนชั้นนั้น แสงอาทิตย์ที่สาดลงมาตรงจุดที่คนคนนั้นยืนอยู่ทำให้ไม่อาจมองออกได้ถึงรายละเอียดรูปร่างหน้าตา แต่ด้วยทรงผมกับเงาร่างคร่าว ๆ ทำให้ราล์ฟรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชาย สองขาก้าวเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนเห็นชายเสื้อกาวน์ และเมื่อก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น เขาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรที่คุ้นเคย...
“มาแล้วสินะ ราล์ฟ” ชายคนนั้นหันกลับมาทักทาย ใบหน้านั้นช่างคุ้นเคย และคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก...
น้ำตาเริ่มหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา...เขาโถมตัวเข้ากอดชายคนนั้นแน่น...คำพูดที่อยากจะพูดมากมายอัดแน่นอยู่ในความคิด แต่ไม่อาจจะเลือกได้ว่าควรพูดคำไหนออกมาก่อน สิ่งที่เขาพอจะพูดได้นั้นมีเพียงแค่... “ลุง!! นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม นี่ลุงยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”
“ก็ใช่นะ...แต่มันถูกแค่ครึ่งเดียว” คำตอบมาพร้อมกับอ้อมกอดตอบ ทำให้ราล์ฟขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม
“ส่วนที่ถูกก็คือ ใช่ ลุงยังอยู่ ยังอยู่ที่นี่ ในยูโทเปีย แต่ส่วนที่ผิดคือ ลุงไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว”
เขาเงียบ ลุงก็เงียบ เด็กหนุ่มปาดคราบน้ำตาออก แล้วเอ่ยคำถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “สรุปว่าลุงตายแล้ว...”
“ใช่แล้วล่ะ”
พูดจบเอลเมอร์ก็ผายมือขวาออก วัตถุทรงกลมสีเทาขนาดเล็กก็ลอยขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะกางตัวออกกลายเป็นชุดเฟอร์นิเจอร์แบบเดียวกับที่อยู่ในห้องรับแขกของบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่
“นั่งก่อนสิ วันนี้ดูท่าจะต้องคุยกันนาน” เอลเมอร์ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งก่อนเรียกให้หลานรักนั่งด้วย แน่นอนว่าราล์ฟไม่มีวันปฏิเสธ แม้สิ่งที่เห็นในวันนี้ พอเขาต้องออกไปจากยูโทเปียแล้ว อาจจะกลับกลายเป็นอะไรที่ไม่มีตัวตนเหมือนเคยก็ตาม... “เรื่องแรกเลยแล้วกัน เรื่องที่ว่าทำไมลุงถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ มันเป็นความลับของยูโทเปีย และตอนนี้ลุงก็เหลือเวลาอีกไม่มากนัก”
“ฟังให้ดีนะราล์ฟ ยูโทเปียแห่งนี้ ที่นี่นอกจากจะมีดรีมชาร์ด เศษของความฝันและความทรงจำแล้ว ยังมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘วิญญาณ’ อยู่ด้วย นั่นคือที่นี่รวบรวมเอาจิตของสิ่งมีชีวิตไว้เป็นส่วนหนึ่งด้วยนั่นเอง”
เรื่องที่ได้ฟังมันดูน่าเหลือเชื่อจนราล์ฟต้องครุ่นคิดอย่างหนัก แม้ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือลุงเอลเมอร์จะนั่งคุยอยู่ตรงหน้าก็ตาม
“แล้วทำไมถึง แทบไม่มีคนเคยเห็นวิญญาณคนตายในนี้เลยล่ะ”
“คำตอบก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีพลังจิตต่ำอย่างมนุษย์ ถ้าไม่มีความอาฆาตสูงจริง ๆ เวลาตายจะก่อตัวเป็นวิญญาณในนี้ไม่ถึงวินาที และถึงจะมีตัวตนอยู่ได้ หน่วยลับพิเศษของอาบิเตอร์ก็จะมาจัดการวิญญาณเหล่านี้เอง” ราล์ฟพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ส่วนเอลเมอร์เมื่อเห็นดังนั้นก็ยิงคำถามต่อเนื่องทันที
“หลานคิดว่ายูโทเปียคืออะไร”
“ก็เป็นทั้งโลกแห่งความทรงจำ ความคิด และความเชื่อ ที่พวกเราใช้เครื่องมือ PLUG ส่งจิตของเราเข้ามาเพื่อ...”
“หยุดก่อน” เอลเมอร์แทรก “แล้วหลานคิดว่าโลกแห่งนี้ มนุษย์เป็นคนสร้างขึ้นเองหรือเปล่า”
“เปล่านี่ครับ มันเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับโลกจริง แต่ว่าเพิ่งถูกค้นพบ”
“แล้วหลาน ไม่เคยคิดเหรอว่าทำไมมนุษย์เสียเวลาไปเป็นหมื่นปีก็ยังหาที่นี่ไม่เจอ แต่ว่าพอหลังสงครามโลกครั้งที่สามได้ไม่ถึงร้อยปีกลับมาเจอที่นี่ได้ แถมยังเป็นเวลาเดียวกับการปรากฏตัวของคิเมร่าครั้งแรก หลานไม่เคยคิดเลยจริง ๆ เหรอ...” ราล์ฟนิ่งไปกับคำถามนั้น...ก่อนจะตอบออกมาเสียงแผ่ว
“...เพื่อนผมก็เคยถามทำนองนี้...”
“แล้วหลานคิดจริง ๆ เหรอราล์ฟ ว่ายูโทเปียแห่งนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทั้งหมด”
“...มันอาจจะต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างควบคุมไว้ใช่มั้ยครับ อย่างบุ๊กเล็ตหรือระบบโปรเทกต์พวกนี้”
“มนุษย์ไม่อาจเข้ามาในยูโทเปียโดยไร้ซึ่งเครื่องมือ” ชายวัยกลางคนกล่าวเรียบ ๆ หากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ต่อไปนี้ ลุงจะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างยูโทเปีย สิ่งที่รัฐบาลได้ปิดบังเอาไว้ รวมไปถึง...สิ่งที่พวกมันทำกับคิเมร่าไว้ ฟังให้ดี ๆ ล่ะ...”
...ข้อมูลจำนวนมากมายถูกเล่าผ่านคำพูดของเอลเมอร์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเข้ากับสิ่งที่ติดค้างอยู่ในความคิดของราล์ฟ มันเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย จนภาพนั้นประกอบเสร็จสมบูรณ์ เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของทุกสิ่ง เขากำมือแน่น กัดฟันกรอด คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมคิเมร่าถึงมีถูกห้ามไม่ให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลก คำถามที่ว่าอะไรคือสิ่งที่รัฐบาลต้องการ และคำถามที่ว่ายูโทเปียนั้นถูกสร้างมาจากอะไร... ค่อย ๆ ถูกเฉลยออกมาอย่างลงตัว
“มันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ยครับ...” ราล์ฟถาม ตอนนี้ตัวเขารู้สึกสับสน ตกตะลึง และโกรธเกรี้ยว “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...”
“ใช่...ราล์ฟ รัฐบาลคือต้นเหตุของทุกอย่าง มันคือต้นเหตุของคำสาปร้ายบนโลกใบนี้!” เอลเมอร์ตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน “อีกไม่นานวิญญาณของลุงก็จะสลายไป หรือไม่ก็คงจะมีคนมาจัดการลุง”
ราล์ฟหน้าเปลี่ยนสี... เขารู้สึกว่ามันยังมีอะไรอีกมากมายที่ยังค้างคาใจ “แล้วผมควรทำยังไงดี...ผมควรจัดการกับเรื่องพวกนี้ยังไงดี...”
“ไม่ต้องกลัว ลุงมีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือหลานเรื่องนี้แล้ว”
กล่าวจบ ชายหญิงคู่หนึ่งในชุดสูทของนักธุรกิจธรรมดา ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาจากด้านหลังเอลเมอร์ ทั้ง ๆ ที่ตรงนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย หรือพวกเขาอาจจะยืนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เขาไม่สามารถมองเห็น... ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่อาจจะลุกหนีไปไหนได้ เพราะทั้งสองได้เดินเข้ามาอยู่ข้างโต๊ะที่เขากับลุงนั่งคุยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีครับ คุณราล์ฟ บาล์ดวิน”
“ส...สวัสดีครับ” ราล์ฟทักทายตอบอย่างหวั่น ๆ “พวกคุณเป็นใครกัน”
“บางทีการให้ดูสิ่งนี้คงตอบคำถามนั้นได้ดีกว่าคำพูด” แล้วผู้ชายในชุดสูทก็ยื่นหน้าไปใกล้เขา ดวงตาทั้งสองข้างเปลี่ยนสีเป็นสีแดงฉาน ก่อนจะกลับมาเป็นสีฟ้าอ่อนเหมือนเก่า “ได้คำตอบรึยังครับ”
“พวกเราได้รับการติดต่อจากคุณเอลเมอร์แล้ว ถ้าหากว่าคุณราล์ฟตอบรับสัญญาที่จะให้การสนับสนุนพวกเราเผ่าพันธุ์คิเมร่า ทางเราก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือคุณทุกด้านเท่าที่เราจะทำได้” คราวนี้เป็นฝ่ายหญิงที่ยื่นข้อเสนอออกมาอย่างคล่องแคล่ว ทำให้ราล์ฟมองสลับไปมา ระหว่างคิเมร่าชายหญิงคู่นั้น กับลุงของเขาที่ตอนนี้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์
“ลุงมีข้อมูลลับของรัฐบาลที่คัดลอกไว้ด้วย iSender หลานเพียงแค่หาที่เก็บมันให้เจอเท่านั้น”
ราล์ฟนั่งนิ่งเขาไม่กล้าที่จะตอบรับเรื่องสำคัญนี้ไปโดยทันที ความคิดประมวลผลข้อมูลจำนวนมากมายที่มีกำลังตีกันไปมาในหัวของเขา ที่จริงเขาคิดว่าเขาควรอยู่เฉย ๆ กับเรื่องนี้ แต่ทว่า...
“ราล์ฟ…” เอลเมอร์เอ่ยเบา ๆ พร้อมกับจ้องมองไปที่หลานด้วยประกายตามุ่งมั่น “หลานอย่าลืมสิว่าพวกจักรวรรดิมันทำกับเราไว้ยังไง อย่าลืมสิว่าพวกมันทำลายชีวิตของเรา แล้วยังทำลายชีวิตของคนนับล้านนะ!”
คำพูดนั้นทำให้ความคิดของราล์ฟเปลี่ยนไป ใช่ รัฐบาล...จักรวรรดิ...ทำให้ชีวิตของเขาต้องจมดิ่งสู่ความมืด พวกมันฆ่าลุงเอลเมอร์ คนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่พ่อแม่เสียไป คนที่รักเขาไม่ต่างจากลูก!! แค่เหตุผลนี้เพียงเหตุผลเดียวก็เพียงพอที่จะให้เขาโกรธแค้นพวกมัน และแน่นอน...นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้แก้แค้น!!
“ตกลง” ราล์ฟตอบ ก่อนที่รอยยิ้มจะผุดขึ้นที่มุมปากช้า ๆ “ฉันจะล้างแค้นพวกมัน”
...ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยังไม่รู้เลย ว่าในที่ตรงนั้นมีคนอีกหนึ่งคนแฝงตัวอยู่ เขายืนอยู่หลังเสาปูนเก่า ๆ ต้นหนึ่งของทางเดินขึ้นไปยังชั้นต่อไป เขาได้เห็นได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในชั้นที่สิบสอง และทันทีที่คำตอบนั้นหลุดออกมาจากปากของราล์ฟ เขาก็ยกเครื่องมือบางอย่างในมือขึ้นมา แล้วกล่าวเบา ๆ เพียงแค่ว่า
“ภารกิจเสร็จสิ้น ราล์ฟ บาล์ดวิน เป็นเบี้ยของเราแล้ว”
...ในจังหวะนั้นนัยน์ตาของเขาก็กลับกลายเป็นสีแดงเรืองแสงในเงามืด ก่อนที่จะหายไป...
--------------------------------------------------------------
เซลิน ไวท์กลาเซียร์...นั่นคือชื่อของเธอ ใช่แล้ว...มันคือชื่อที่ติดตัวของเธอมานับตั้งแต่ที่จำความได้ เธอเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาในระหว่างรอยต่อของยุคมืดหลังสงครามกับยุครุ่งเรืองที่วิทยาการก้าวหน้าขึ้นจนไม่มีใครคาดเดาอนาคตต่อไปได้ พ่อแม่ของเธอต้องการให้เธอเป็นอาบิเตอร์ พวกท่านจึงบังคับให้เธอเป็น ทั้งที่เธอไม่อยากเป็น และเพราะอาบิเตอร์นี่แหละ เธอถึงสูญเสียคนที่เธอแอบรักมานานให้กับความมืดมิดของโลกใบนี้
...คิด ๆ ดูแล้วตัวเธอก็แค่ฝุ่นผงเล็ก ๆ เท่านั้น...
เธอสะบัดศีรษะเอาความคิดเก่า ๆ ทิ้งไปจากหัว นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองปีที่แล้ว ปัจจุบัน ณ ขณะนี้เธอคือหัวหน้าหน่วยอาบิเตอร์ที่ยี่สิบเจ็ด ผู้ที่กำลังนำอีกสี่ชีวิตมือดีที่สุดของหน่วยในภารกิจพิเศษ ภารกิจที่แม้แต่อาบิเตอร์หน่วยอื่น ๆ ก็ไม่อาจจะทำได้
เด็กสาว...ที่เวลานี้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวผู้เข็มแข็งอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำขาว มีสัญลักษณ์ของจักวรรดิอยู่บนแขนขวา มือทั้งสองประทับปืนขนาดใหญ่สีดำมัน ผมสีบลอนด์ยาวถูกมัดเกล้าขึ้นไปเป็นมวย ใบหน้าที่เคยเนียนใสบัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของการฝึกฝน เธอโบกมือบอกอีกสามคนที่เหลือให้เคลื่อนไหวไปตามเส้นทางแคบ ๆ อย่างระแวดระวังตามวิสัยทหารที่ถูกบ่มเพาะมา ภายใต้เงามืดของค่ำคืนซึ่งไร้แสงจันทร์
“เป้าหมายอยู่บนดาดฟ้าของตึก” รองหัวหน้าหน่วยโทปริโอชี้ไปยังอาคารสูงเบื้องหน้า ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ “ไม่ได้เจอมันมาสองปีแล้วสินะ”
“อย่าพูดนอกเรื่อง!” เซลินสั่งเสียงเข้ม “ทุกคนเตรียมรองเท้าแรงโน้มถ่วง เราจะปีนขึ้นไปตรง ๆ”
เหล่านักรบก้มลงไปกดสวิตช์ที่รองเท้าของพวกเขา มันเปล่งแสงสีเทาจาง ๆ ออกมา ก่อนจะจางหายไป เซลินเดินนำผู้ใต้บังคับบัญชาไปเบื้องหน้า ก้าวแรก...เท้าเธอสัมผัสลงไปกับกำแพงตึก และก้าวต่อ ๆ ไปที่ตามมาส่งร่างของหญิงสาวให้เดินขึ้นไปตามกำแพงได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงพลรบทั้งสามที่ติดตามเธอมาด้วย พวกเธอใช้เวลาไม่นานนักในการปีน...หรือจะเรียกว่าเดินไต่ตึกขึ้นไปก็ว่าได้ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และเงียบกริบ ตึกสูงกว่ายี่สิบชั้นกลายเป็นเพียงลู่วิ่งทำเวลาของพวกเธอเท่านั้น
บนดาดฟ้าอาคารสูงเป็นพื้นปูนเรียบ ๆ อีกมุมหนึ่งของตึกเมีเงาของร่างสูงโปร่งยืนอยู่ แต่เมื่อเซลินนำกำลังพลเข้าไปใกล้ ๆ เธอยิ่งเห็นชัดว่า ชายคนนั้นกำลังยืนคุยโทรศัพท์... ชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินหันหลังให้กับพวกเธอ นี่คงเป็นโอกาสดี หากจะชิงลงมือก่อนที่เป้าหมายจะรู้ตัว...และคงดีกว่า ถ้าจะดับชีวิตของคนตรงนี้ตอนนี้ ก่อนที่จะ...
“ใครส่งพวกแกมา” เสียงเรียบฟังคุ้นหูเอ่ยขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้หันหน้ากลับมา...
...เจ็บปวด...อย่างบอกไม่ถูก...
“รู้ตัวแล้วหรือ ราล์ฟ บาล์ดวิน”
ร่างนั้นหันกลับมา ใบหน้าที่คุ้นเคยทำให้เซลินแทบจะกลั้นอารมณ์ความรู้สึกไว้ไม่อยู่ ...ใช่แล้ว...ตรงหน้าของเธอคือราล์ฟ เขาแทบไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด นอกเสียจากแววตาคู่นั้น แววตาที่จ้องมองพวกเธอนั้นไม่ต่างจากนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ ไม่หลงเหลือเค้าความเป็นมิตร...เหมือนที่เคยมี...
“ไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าเป็นเธอ” ราล์ฟพูดกลั้วหัวเราะ “อ้อ ยังมีเพื่อนเก่าตรงนั้นอีกคน”
“คิดจะมาเก็บฉันงั้นเหรอ”
“แล้วถ้าคำตอบคือใช่ล่ะ...” เซลินตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใด
“งั้นบอกสิว่าฉันทำผิดอะไร พวกเธอถึงจะมาเอาชีวิตฉัน ฉันมันก็แค่ร้อยเอกธรรมดา ๆ คนนึงเท่านั้นแหละ” น้ำเสียงกวนประสาทที่เอ่ยออกมา ทำให้เพื่อนเก่าสองคนรำลึกความหลัง...บอกชัดว่านี่คือราล์ฟ...ราล์ฟตัวจริงไม่ผิดเพี้ยน... “ถ้ายิงโดยไม่มีคำสั่งล่ะก็ รับรองว่าพรุ่งนี้พวกแกได้ลงไปอยู่เป็นเพื่อนฉันในปรโลกแน่ ๆ น่าจะรู้ว่าผู้ใหญ่หลายฝ่ายถือหางฉันอยู่”
“ความผิดงั้นเหรอ ความผิดของนายก็คือ การที่นายเป็น ‘เรดมาสก์’ ผู้นำองค์กรที่ปลุกระดมให้คนต่อต้านรัฐบาล และยังเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการก่อการร้ายของคิเมร่า ภายใต้หน้ากากนายทหารดีเด่นของกองทัพยังไงล่ะ” คำชี้แจงถูกประกาศกร้าว หากราล์ฟกลับยักไหล่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ไหนล่ะหลักฐาน?”
“...ภารกิจคราวนี้สั่งตรงลงมาจากเบื้องบน ดังนั้น...หลักฐานน่ะมีแน่... ต่อให้นายจะเส้นสายเยอะขนาดไหนก็หนีไม่พ้นหรอก” หญิงสาวประทับปืนจ่อเล็งไปยังชายหนุ่มตรงหน้า
“นี่...เซลิน...” ราล์ฟยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อไป “ยังจำว่าที่ฉันสอนเธอสู้กับดรีมชาร์ดได้มั้ย”
“เธอลืมความรู้สึกในวันนั้นไปแล้วเหรอ...”
คำพูดนั้นกลับสยบเซลินได้อย่างน่าอัศจรรย์ สองมือเธอสั่น น้ำตาที่พยายามห้ามไว้ก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวปาดน้ำตาออก ทั้งมือก็จับปืนแน่นขึ้น ...ใจบอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง...แม้ในยามที่อยู่ต่อหน้าชายคนนี้ก็ตาม...
“เซลิน!” โทปริโอเตือนสติ “รีบจัดการมันตามคำสั่งดีกว่า”
“ไม่ต้องมาสั่งฉัน!” เธอตวาด “ทุกคน! เตรียมยิง!”
ราล์ฟหัวเราะ ชายหนุ่มยังยืนนิ่งแม้เหล่าอาบิเตอร์จะพากันเล็งปืนในมือมาทางเขา เขายังสงบอยู่ มือขวายกขึ้น...ดีดนิ้ว แล้วทุกคนต่างต้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นเป็นสายตาเดียว วัตถุทรงกลมสีดำขนาดเล็กปรากฏขึ้นสองข้างกายของเขา มันเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าตกใจ แล้วมันก็เปิดออก!! เผยให้เห็นคนสองสี่ที่เดินออกมาจากวัตถุประหลาดนั้นก่อนที่มันจะหายไป ดวงตาสีแดงสว่างวาบ บอกชัดว่าสี่คนนี้เป็น...
“คิ...คิเมร่า...”
“ใช่แล้ว สมองช้าจริง ๆ นะพวกแกเนี่ย...” ราล์ฟเหยียดยิ้มมุมปาก “คิดว่าเมื่อกี้ฉันโทรหาใครกันล่ะ”
ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะลั่น ทั้งสองฝ่ายจดจ้องกันไปมาเพื่อดูเชิง สายตาของราล์ฟในเวลานี้ดูไม่เหมือนราล์ฟคนเดิม มันมีประกายตาแห่งความโกรธเกรี้ยว และแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย รอยยิ้มนั่นไม่ใช่รอยยิ้มอารมณ์ดีของคนที่เคยร่าเริง แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยเลศนัยมากมาย...
...ไม่มีอีกแล้วราล์ฟที่คอยกวนประสาทเธอ...
“เป้าหมายของนายคืออะไรกันแน่...ราล์ฟ” เซลินเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
“ก็ง่าย ๆ” ราล์ฟกดเสียงต่ำ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากพร้อมด้วยดวงตากร้าวที่ดูดุดันกว่าเดิม “ก่อการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ โลกจอมปลอมใบนี้ โลกซึ่งไร้ซึ่งความเท่าเทียมใบนี้ โลกที่มีแต่ความเผด็จการและความบ้าคลั่งใบนี้ไงเล่า!!”
...ไม่มีอีกแล้วราล์ฟที่นึกสนุกได้กับทุกเรื่อง...
สองมือกระชับแน่นกว่าเดิม แน่นกว่าเดิมด้วยความรู้สึกต่าง ๆ มากมาย สับสน... ไม่...ไม่ใช่ความสับสนอีกแล้ว...ผิดหวัง...อาจจะใช่...เธอผิดหวังในตัวเองที่ไม่อาจดึงราล์ฟคนเดิมกลับมาได้...ราล์ฟเมื่อสองปีก่อนนั่น...ไม่มีอีกแล้ว...
...ไม่มีราล์ฟคนนั้นอีกต่อไป...
เสียงคำพูดหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับเหล่าทหารและคิเมร่าที่จ้องดูเชิงกันอยู่มาต่างกระโจนเข้าเปิดศึกห้ำหั่นกันในทันที
“โจมตี!!!”
--------------------------------------------------------------
F A L S E
[โลกลวง]
นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งเท่านั้น...
ความคิดเห็น