คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 3 : Demonization (99%)
สายลมพัดเพียงเอื่อยระเรื่อยลิ่ว ใบไม้ ปลิวหล่นร่วงริมธารใส
แสงจันทราแลเห็นชวนเย็นใจ แต่ต้องเวียนเปลี่ยนไปในหนึ่งการณ์
ยืนใต้ร่มพฤกษานัยน์ตาค้าง เห็นหลากร่างเร่งรัด เข้าหักหาญ
ต่างแหลกสิ้นดิ้นพล่านด้วยมือมาร ผู้รุกรานเริงร่าคร่าชีวี
เมื่อถูกล่าระรานจากมารร้าย ทั้งร่างกายส่ายสั่นยากหันหนี
หากผิดพลาดอาจสูญสิ้นชีวี ใจที่มีสั่นระรัวด้วยกลัวตาย
สายลมฟังยังเหมือนเสียงกรีดร้อง ธาราหมองดุจดั่งโลหิตสาย
แสงจันทร์สาดเงาเห็นเช่นภูตพราย ที่ทำลายหลอกหลอนกร่อนวิญญาณ
ราล์ฟ บาลด์วิน คือชื่อที่เขาเป็นเจ้าของนับตั้งแต่จำความได้ เขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่เติบโตบนรอยต่อแห่งยุคมืดหลังสงครามและยุครุ่งเรืองที่วิทยาการก้าวหน้าจนเขาเองก็ตามไม่ทัน ยิ่งพ่อแม่เขาที่เสียชีวิตไปจนลุงที่ไม่ใช่ญาติแท้ ๆ ต้องมารับเลี้ยงดู ทำให้บางครั้งเขารู้สึกเป็นฝุ่นผงเล็ก ๆ บนโลกเท่านั้น
หลาย ๆ ครั้งที่ชายหนุ่มคิดว่าโลกใบนี้ไม่น่าอยู่ แต่เขาก็ไม่ต้องการเดินไปเส้นทางแห่งความตาย เขามองเห็นคนมากมายกระตือรือร้นแสวงหาความรู้ ชื่อเสียง ตำแหน่ง และเงินทอง ตัวราล์ฟเองก็มีความต้องการเช่นนั้น แต่เห็นการแข่งขันมากมายแล้วก็รู้สึกเบื่อหน่าย โชคยังดีที่โลกใบนี้มียูโทเปีย สถานที่เดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่ต้องการสิ่งใดทั้งมวลนอกเสียจากการมีชีวิตอยู่รอด มันก็เหมือนกีฬาอย่างนึงนั่นแหละ เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรอยู่ดี
แต่บัดนี้ ราล์ฟคงต้องเปลี่ยนใจใหม่ เพราะถ้าเขารู้ตัวว่ายูโทเปียทำให้เขาตายได้จริง ๆ เขาก็คงไม่เข้ามาหรอก... โดยเฉพาะ ณ ปัจจุบันนี้
ห้วงเวลาที่เขากำลังจะตาย
ว่ากันว่าเวลาคนเราก่อนตายความคิดมันจะโลดแล่นไปถึงอดีตรวดเร็วเป็นพิเศษ และมันก็คงจะจริง แผ่นหลังราล์ฟสัมผัสแนบแน่นกับไม้ใหญ่ ขาของเขาถูกความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวกัดกินจนไม่อาจขยับไปไหนได้อีก บวกกับความคิดในหัวที่พูดว่าถึงวิ่งไปตอนนี้ก็คงไม่ทันอยู่ดี และเบื้องหน้าเขาคือ... มัจจุราชนัยน์ตาแดงนับสิบที่พุ่งเข้ามาหมายจะบดขยี้เขาให้แหลกละเอียด
ในห้วงราตรีที่มีแสงจันทร์และเสาไฟเป็นแหล่งกำเนิดแสง กลับทำให้ราล์ฟมองเห็นอมนุษย์เหล่านี้น่าสะพรั่นพรึงมากยิ่งขึ้น เขามองเห็นภาพเป็นสโลว์โมชั่น คิเมร่าตนที่มีกรงเล็บขนาดมหึมากำลังกระโดดพุ่งเข้าหาเขา เด็กหนุ่มจินตนาการถึงความเจ็บปวดล่วงหน้าซึ่งได้แทรกไปทุกอณูของร่างก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อหลีกหนีความจริง
มันคงจะเจ็บซักหน่อย ก่อนที่ความรู้สึกทุกอย่างจะหายไป...
...แต่ผ่านไปซักสี่ห้าวินาทีก็ยังไม่ได้เจ็บอะไร
แล้วก็ยังสัมผัสลมหายใจตัวเองได้อยู่
เพียงชั่วขณะราล์ฟนึกถึงคำว่า ปาฏิหาริย์ เป็นอย่างแรก ไม่แน่เขาอาจจะมีโอกาสรอดก็ได้ จึงตัดสินใจลืมตาพลัน ภาพปรากฎเบื้องหลังคือแผ่นหลังชายหนุ่มในเสื้อกาวน์ที่ใช้แขนที่รูปร่างคล้ายใบมีดขนาดใหญ่ทั้งสองข้างรับกรงเล็บของคิเมร่าตนนั้นไว้ อาบิเตอร์มาช่วยเขาแล้วหรือ? ไม่สิ เขารู้จักกับผู้ชายคนนี้ดี...
“ราล์ฟ!! เกตเอาต์เดี๋ยวนี้!!” เอลเมอร์หันหลังตะโกนใส่เขา เหงื่อบนใบหน้ากระเซ็นออกมาสะท้อนกับแสงไฟ “ลุงต้านมันได้ไม่นานหรอกนะ!!”
ไม่ทันที่ตัวราล์ฟเองจะได้าสติ มือขวาเขารูดแขนซ้ายโดยสัญชาตญาณเพื่อดึงบุ๊กเล็ตออกมา รอยสักเปล่งแสงก่อนที่จะขยับเขยื้อนออกมาสู่อากาศกลายรูปเป็นแผ่นกระดาษสีหม่นที่เขาคุ้นเคย สายตาเขายังจับจ้องอยู่เพียงข้างหน้า เอลเมอร์รับการโจมตีจากคิเมร่าตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่...สี่ จนชายกลางคนกระเด็นออกไป ตรงกับจังหวะที่ราล์ฟกดใช้คำสั่งเกตเอาต์พอดี แต่ต้องรออีกถึงสิบวินาที!?
ตัวเลข 10 สีแดงอ่อนลอยขึ้นบนกลางตัวเขา แต่หากถูกฆ่าในระหว่างนี้เขาก็ตายอยู่ดี ในช่วงเวลาเดียวกันลุงเขากระเด็นออกไปจนล้มกับพื้น เกราะสีแดงหุ้มรอบตัวเขาชั่วพริบตาก่อนแตกกระจายออก เป็นเครื่องหมายว่าไม่มีสิ่งใด ๆ พิทักษ์ชีวิตเขาได้อีก ตัวเลขสีแดงอ่อนก็ขึ้นบนตัวเขาเช่นกันแต่เป็นรูปแบบเปอรเซ็นต์ คิเมร่าที่มีกรงเล็บขนาดใหญ่ก็กระโดดขึ้นไปบนอากาศหมายปลิดชีพเอลเมอร์ให้เสร็จสรรพ
เก้า…แปด
ราวกับภาพลวงตา ราล์ฟเห็นนัยน์ตาของลุงเขาเปล่งแสงสีแดงชั่วขณะก่อนจะหายไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญไปกว่าชีวิตญาติคนสุดท้ายของเขา เด็กหนุ่มตัดสินใจหันกระบอกปืนบนแขนซ้ายแล้วยิงใส่มารร้ายบนอากาศทันที
เจ็ด… หก…
ดูเหมือนจะได้ผลขึ้นมาหน่อย เจ้าคิเมร่าตนนั้นกระเด็นออกไปตามแรงยิงเล็กน้อยจนทำให้ฟาดฟันกรงเล็บคลาดเคลื่อน ถึงราล์ฟจะมองไม่เห็นรอยแผลใด ๆ ก็ตาม
ห้า… สี่…
เวลาชั่วพริบตานี้ทำให้เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวว่า คิเมร่าอีกตนอยู่เบื้องหน้าเขาแค่สองเมตรเท่านั้น แขนซ้ายมันเปล่งแสงสีแดงเรื่อ สายตาสีแดงมันมองมาที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว
อีกด้านนึงคิเมร่าที่โจมตีคลาดไปจากเอลเมอร์ก็ได้ตะโกนใส่ศัตรูที่หมายปลิดชีพ
“แก...กลิ่นแบบนี้...ทำไมแกถึง...!!”
สาม…
ด้วยญาณแห่งการเอาตัวรอด ราล์ฟกระหน่ำกระสุนไปยังอสูรที่หมายคร่าชีวิตเขาทันที คิเมร่าตนนี้กลับไม่แสดงการป้องกันใด ๆ กระสุนทุกนัดสัมผัสใบหน้าและลำตัวเป้าหมายแม้อีกฝ่ายจะไม่แสดงอาการคันแม้แต่น้อย ขณะที่อีกฝ่ายก็ชี้นิ้วมาที่เขาแล้ว
ในขณะที่หูทั้งสองของราล์ฟยังได้ยินเสียงตะโกนดังกึกก้องแม้จะเข้าใจได้ไม่หมด
“$@*)…รัฐบาลของพวกมันเลวระ…(&+@”
สอง…
สมองของราล์ฟไม่อาจตีความหมายของเสียงใด ๆ ได้อีกแล้ว ราวกับโลกทั้งโลกมืดลงฉับพลัน เขามองเห็นเพียงแค่มัจจุราชที่กำลังจะปลดปล่อยแสงทำลายล้างเขาให้กระจุย และเขาเองก็ได้แต่ยิงปืนไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันไม่ได้ผล
หนึ่ง…
แสงสีแดงพุ่งจากแขนคิเมร่ามาที่ตัวราล์ฟ เขาไม่อาจกะมิติใกล้ไกลได้จากการจ้องมอง รู้แต่มันใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนในที่สุด เขามองเห็นแต่แสงสีแดงเท่านั้น…
ฉับพลัน ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความมืดมิด แต่ครั้งนี้ราล์ฟเหมือนสูญเสียความรู้สึกไปจริง ๆ เขาไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้ ไม่สิ เหมือนไม่มีให้ขยับเขยื้อนมากกว่า …หรือว่าคราวนี้จะได้ต…
แสงสีขาวสว่างจ้ากระทบดวงตาของเด็กหนุ่มก่อนที่จะค่อย ๆ ปรับตัวเป็นทิวทัศน์ภายในบ้านเขาเอง แสงไฟสีขาวภายในห้องเปิดอัตโนมัติตั้งแต่เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความเย็นจากเยลลี่ค่อย ๆ หายไปเมื่อมันถูกดูดกลับ PLUG ราล์ฟหายใจหอบออกมาด้วยความเหนื่อยล้าอย่างไม่รู้สาเหตุ เหงื่อไหลออกมาทั่วใบหน้า
...เรารอดแล้วสินะ...
ชายกลางคนที่นั่งข้าง ๆ เขาบนโต๊ะกินข้าวตัวเดียวกันก็แสดงความเหนื่อยหอบฉับพลันหลังจากหลับไป เอลเมอร์สูดหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อทำใจให้สงบลง PLUG ของเขาก็กำลังดูดเยลลี่กลับเช่นกัน
แวบแรกที่ราล์ฟนึกคือความยินดีที่ทั้งเขาและลุงของเขายังมีชีวิตรอด แต่ก็ตามมาด้วยคำถามผุดขึ้นมาบนหัวมากมาย ทั้งเรื่องเหตุการณ์วันนี้ ทั้งเรื่องคำพูดของคิเมร่า แม้เขาจะยังนึกไม่ค่อยออกนักแต่ก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี มือของเขายังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวที่หลงเหลืออยู่
“ราล์ฟ เป็นไงมั่ง” เอลเมอร์หันไปถามเด็กหนุ่มทั้งเสียงหอบ
“ยังไม่ตายอ่ะลุง แต่รู้สึกแย่ยังไงไม่รู้แฮะ...”
ชายสูงวัยหันหน้ากลับมามองด้านหน้าก่อนที่จะถอนหายใจแล้วพูดต่อ “เอาเถอะ ถึงวันนี้การเจรจางานจะยกเลิกไป แต่โชคยังดีที่เราสองคนยังรอดกลับมาได้”
ราล์ฟไม่ได้ตอบกลับ เขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนที่จะหันหน้าเลี่ยงไปจากลุงเขา
“ไม่ต้องเป็นห่วงน่า วันอื่นยังมี เงินมันยังไม่หลุดไปจากมือเราหรอก” เอลเมอร์พูดต่อไป “อย่างไรเสียพ่อแม่ของเจ้าก็คงช่วยเจ้าจากบนสวรรค์แหละ พวกเราถึงยังมีปาฎิหาริย์...”
"บางทีพ่อกับแม่อาจจะอยากให้ผมทำอะไร ๆ ด้วยตัวเองก็ได้ ในเมื่อลุงต้องแทบจะตามเช็ดตามล้างทุกอย่างให้ผม..." จู่ ๆ ราล์ฟก็เอ่ยแทรกบท
“เอ๋...?”
“ลุงไม่ใช่ญาติแท้ ๆ ผมนี่? ใช่ไหม? ไปรู้จักพ่อแม่ผมได้ยังไง?” เขาพูดต่อ “ผมรู้แค่ว่าลุงไม่ใช่ญาติแท้ ๆ แล้วลุงไปทำยังไงถึงได้นามสกุลบาลด์วินมาจากพ่อแม่ผม?”
บรรยากาศเงียบฉับพลัน แม้ตัวห้องมันจะเงียบอยู่แล้ว แต่ความเงียบนี้มันเจือปนไปด้วยความกดดันอย่างน่าประหลาด
“ก็... ” เอลเมอร์เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน น้ำเสียงฟังก็รู้ว่าเขาไม่เต็มใจพูดนัก “ก็เมื่อก่อนโน้นพ่อแม่เจ้าเคยช่วยชีวิตลุงไว้ และลุงเองก็ช่วยพวกนั้นหลายอย่างเหมือนกัน เลยสนิทกันม...”
“ช่วยชีวิตเรื่องอะไรเหรอครับ...” ราล์ฟพูดเสียงเบาแต่กดดันความรู้สึกอย่างยิ่ง ขณะเลี่ยงไม่หันไปมองลุงเขา “ผมไม่อยากพูดนะครับ คนธรรมดาน่ะ ไม่มีใครหน้าไหนรับการโจมตีของคิเมร่าตรง ๆ ได้แบบนั้นหรอกนะครับ แม้แต่อาบิเตอร์ก็เถอะ”
เอลเมอร์เป็นฝ่ายเงียบ ปล่อยให้ราล์ฟยิงคำถามต่อไปอีก
“ทำไมตอนนั้น ตาของลุงมันเปลี่ยนสีได้ล่ะ แถมยังเป็นสีแดงเสียด้วย” ทุก ๆ คำที่เด็กหนุ่มพูด เขารู้สึกว่าสิ่งที่คิเมร่าพูดไว้ที่ยูโทเปียที่เขานึกไม่ออก บัดนี้มันกลับลื่นไหลอยู่ในหัวเขาอีกครั้ง “ว่าแต่ลุงตอบคำถามได้ยังครับ ว่าพ่อแม่ผมช่วยชีวิตอะไรลุงไว้? มันเกี่ยวอะไรกับสาเหตุการตายของพ่อแม่ผมรึเปล่า?”
“...พ่อแม่เจ้าเคยช่วยชีวิตลุง ด้วยการให้ที่หลบซ่อนจากคนที่มาทำร้ายน่ะ”
“เห... คนที่มาทำร้าย? ใครเหรอครับ? ในเมืองนี้ไม่น่ามีอันธพาลอยู่นี่นา กฎระเบียบที่นี่รุนแรงมานับสิบกว่าปีแล้ว”
“แล้วจู่ ๆ ทำไมเจ้าพูดเรื่องนี้ ปกติเจ้าไม่ใช่คนที่...” เอลเมอร์พยายามแย้ง
“อย่ากลบเกลื่อนเลยครับ ตอบคำถามผมมาตรง ๆ จะดีสุดดีกว่า” ราล์ฟกล่าวด้วยน้ำเสียงรุนแรงมากขึ้น “แล้วผมจะได้มั่นใจซักทีว่าลุงคือใครกันแน่ พ่อแม่ผมช่วยชีวิตลุงจากอะไรครับ?”
“...จากรัฐบาล”
“ทำไมรัฐบาลถึงคิดจะมาทำร้ายล่ะ ลุงทำผิดอะไรไว้” เด็กหนุ่มรุกต่อเรื่อย ๆ
“...อาจเพราะเป็นความผิดตั้งแต่เกิดของลุงเอง...” เอลเมอร์ก็เริ่มพูดหนักแน่นขึ้นเช่นกัน “เจ้าก็เดาคำตอบได้แล้วนี่ ยังจะเค้นอะไรอีก”
“ลุง! ตอบมาสิ ความผิดอะไร!?”
“ก็ความผิดที่ข้าเกิดมาเป็นคิเมร่ายังไงเล่า!!!” ชายกลางคนตะคอกกลับ
เงียบ... ราล์ฟเงียบ... เป็นอย่างที่เอลเมอร์คาดคิด
“พอใจกับคำตอบรึยัง ราล์ฟ”
ราล์ฟอึกอักอยู่นานกว่าจะตอบออกมา “...ทำไมลุงเพิ่งจะมาบอกตอนนี้”
“ลุงบอกเจ้าเมื่อไหร่ เจ้าก็จะเป็นอาชญากรทันที” เอลเมอร์ตอบกลับมา น้ำเสียงเขากลับมาเบาลงอีกครั้ง “การให้ที่หลบซ่อนแก่คิเมร่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เจ้าก็คงรู้”
“งั้นก็แปลว่าพ่อแม่ผม...”
“...ใช่” ชายกลางคนถอนหายใจออกมา “แต่พ่อแม่เจ้าเชื่อใจลุง และมอบเจ้าให้ลุงเลี้ยงดู ลุงก็ร...”
“พอได้แล้วล่ะ ผมไม่ต้องการฟังอะไรมากไปกว่านี้” ราล์ฟลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วรีบเดินกลับห้องตนทันที เสียงล็อกประตูบ่งบอกว่าเขาไม่ต้องการข้อแก้ตัวอะไรมากกว่านี้
ภายในห้องนั้นเงียบสงัด ราล์ฟนอนอยู่บนเตียงหมดความต้องการที่จะเกตอินสู่ยูโทเปีย และได้แต่รำลึกถึงเหตุการณ์ทุกสิ่งอย่างที่ประดังเข้ามาในชีวิตเขา เขาชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาทำถูกหรือไม่ น้ำตาลูกผู้ชายเอ่ออยู่ในดวงตาเขา แต่ก็ถูกปาดทิ้งออก บางทีหากเขาหลับไปเสียตอนนี้ อะไร ๆ มันคงจะดีขึ้น
ตีสี่ของวันต่อมาคือเวลาที่ราล์ฟต้องตื่นขึ้นมาเพื่อไปโรงเรียนอีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงแต่ก็ต้องจำใจไป เมื่อเขาเตรียมตัวเสร็จแล้วก็เปิดประตูจากห้องส่วนตัวเขาออกมา เด็กหนุ่มพยายามไม่มองไปยังบุคคลอีกคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ก่อนที่จะรีบออกจากบ้านไป
“เฮ้ยราล์ฟ ได้ข่าวว่ามะรืนก่อนไปเดทกับเซลินเหรอวะ กี๊ว ๆ” คำทักทายของโทปริโอยังคงไว้ซึ่งความกวนประสาท ชายผิวคล้ำเดินเข้ามาทักราล์ฟในตอนพักกลางวันซึ่งทั้งคู่มักจะไปกินข้าวด้วยกันบ่อย หากแต่วันนี้อีกฝ่ายกลับไม่เล่นด้วย ชายหนุ่มก้มหน้าลงหลบสายตาไม่มองใครทั้งสิ้น
“อ่าว เงียบทำไมวะนั่น เออ ไปกินข้าวกันเถอะ”
ทั้งคู่ไปนั่งกินข้าวในโรงอาหารซึ่งมีคนมากมายใช้บริการที่นี่ จนอีกซักพัก เซลินก็เดินมาพร้อมกับกล่องปิ่นโต แต่เมื่อเธอเห็นโทปริโอก็ทำหน้ามุ่ยทันที
“คนอย่างนายไม่นึกว่าจะยังนั่งกินข้าวกับผู้ชายด้วยกัน” สาวน้อยผมบลอนด์กล่าว “เห็นปกติต้องไปนั่งกินข้าง ๆ สาว ๆ ไม่ใช่เหรอ”
“เธอจะสื่อว่าตัวเองไม่ใช่สาวก็บอกมาตรง ๆ ดิ ไม่เห็นต้องมาอ้อมค้อมเลย”
“ปากอย่างนายเดี๋ยวจะได้ลองกินสปาเกตตี้ทางจมูกดูซักรอบนะ” เด็กสาวถือคติว่ากวนมาก็กวนตอบเสมอ “ว่าแต่...ราล์ฟวันนี้เงียบจัง ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” เซลินสังเกตว่าตอนนี้ราล์ฟมองไปทางอื่นตลอดเวลา และไม่พูดหรือแม้แต่แสดงสีหน้าตอบโต้คนอื่นเลย “ราล์ฟ ๆ ได้ยินหรือเปล่า”
“อ่ะ... อ๋อ ได้ยิน ๆ” ราล์ฟหันมาตอบอย่างตะกุกตะกัก
“วันนี้นายเป็นอะไรน่ะ” เซลินถามพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นขณะที่ตัวแสบกำลังกินโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น
“ก็... คิดอะไรนิดหน่อย ดูข่าวด้วย” ราล์ฟพูดโดยที่หันหน้าไปยังโทรทัศน์โฮโลแกรมขนาดใหญ่ใจกลางโรงอาหาร ซึ่งตอนนี้มันเปิดข่าวพอดี ภาพโต๊ะขนาดใหญ่ที่มีนักข่าวสาวในชุดสูทกำลังรายงานข่าวลอยขึ้นมาจากพื้นในทุกคนได้มองเห็น ด้านหลังจากนักข่าวคือภาพประกอบที่จำลองเหตุการณ์จริงแบบสามมิติ
“...เมื่อเวลา 19.32 น. ได้เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมภายในยูโทเปีย เอ็มไพร์เรมินิส คาสเซิลเซ็นทรัลปาร์ก โดยมีผู้ต้องหาเป็นคิเมร่าจำนวน 12 ตน ซึ่งถูกวิสามัญฆาตกรรมไป 7 ตนโดยอาบิเตอร์ที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ ขณะที่อีก 5 ตนได้หลบหนีไป เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายอย่างน้อย 217 คน ซึ่งจะตรวจ...”
สายตาราล์ฟเบิกกว้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานถูกรายงานผ่านข่าวจนทำให้ภาพต่าง ๆ ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
จนกระทั่งเซลินเข้ามาเขย่าแขนเขา “ราล์ฟ เกิดอะไรขึ้นกับนายน่ะ ทักหลายทีก็ไม่ตอบ”
“อ่ะ...เอ่อ ฟังอยู่ ๆ ไม่มีอะไรหรอก” เขาหันไปตอบ
“ข่าวฟังแล้วน่ากลัวว่ะ ถ้าเจอคิเมร่าจริง ๆ ก็คงต้องโกยแนบสินะ” โทปริโอพูดไปกินไปโดยไม่ได้มองมาที่ราล์ฟเท่าไหร่
“เออ เดี๋ยวจะไปทำธุระซักแปบ ไปก่อนนะ” พูดยังไม่ทันขาดคำราล์ฟก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากโรงอาหารทันที
“เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ... ไปซะละ” เด็กหญิงพูดเบา ๆ พลางมองไปที่ด้านหลังของราล์ฟ เธอรู้สึกเย็นยะเยือกในอกขึ้นมาราวกับเป็นลางร้ายอะไรซักอย่าง
“ปล่อยหมอนั่นไปเถอะน่า วันต่อมาเดี๋ยวก็หายงอน” ชายผิวคล้ำตอบอย่างไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรนัก
เซลินถอนหายใจ ก่อนที่จะส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อสลัดความกังวลออกจากหัว “...ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ...”
เสียงเป่านกหวีดเป็นสัญญาณของการเลิกเรียน ราล์ฟรีบเดินไปเอาแอร์ไบค์ของเขาโดยไม่สนใจว่าจะมีใครทักทั้งสิ้น เขาหวังเพียงแต่ว่าการหลบหน้าคนไปคิดอะไรซักพักจะทำให้เขาดีขึ้น บนท้องฟ้าเหนือน้ำทะเลนับพันฟุต เด็กหนุ่มขี่แอร์ไบค์ด้วยความเร็วสูงจนลมกระแทกตัวเขาอย่างรุนแรง เบื้องหน้าเขาคือตึกสูงมากมายเรียงรายประชันความสวยงามกัน แต่ที่ตึกสีเงินที่เขาพักอาศัยวันนี้ บริเวณชั้นกลางตึกซึ่งหน้าจะเป็นห้องของเขากลับมียานอะไรซักอย่างจอดอยู่
เมื่อแอร์ไบค์เข้าใกล้บ้านราล์ฟมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็มองเห็นยานนั้นชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน เขารู้สึกคุ้นเคยรูปร่างของมันดีเหมือนกับเคยเห็นมาหลายครั้ง ตราสัญลักษณ์ของรัฐบาลบนตัวยานยิ่งทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเป็นยานของอาบิเตอร์แน่นอน แต่ว่า...พวกนี้มาทำอะไรที่บ้านเขา?
ราล์ฟรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ขนลุกตั้งชันไปทั่วร่างกายพร้อมกับความเย็นยะเยือกบนแผ่นหลัง จึงรีบจอดยานนี้บนระเบียงแล้ววิ่งไปเปิดประตูทันที แล้วเขาก็ได้เห็น...
ทหารในชุดเครื่องแบบเฉพาะจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนพร้อมกับอาวุธครบมือยืนกระจัดกระจายในห้องที่มืดสลัว หากมองไปรอบ ๆ ก็จะเห็นเศษข้าวของเครื่องใช้มากมายที่แตกละเอียดไม่ก็บุบสลายอยู่บนพื้น มีร่องรอยการต่อสู้อยู่ตามกำแพง และ... บริเวณพื้นตรงกลางกลุ่มอาบิเตอร์เหล่านั้น...
มีคนนอนจมกองเลือดอยู่...
เป็นผู้ชายผมสีขาวและหนังสีซีด ผิวเหี่ยวย่นราวกับอายุเกินหกสิบแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่คนที่เขารู้จัก แต่...เสื้อกาวน์สีขาวหม่นแบบนี้คงจะมิใช่ใครอื่น...
นอกจากลุงของเขา!!
เขายืนอึ้ง แขนขาสั่นเทา ความทรงจำเมื่อวานย้อนกลับเข้ามาให้หัวเขาชั่วพริบตา ใช่ ลุงเขาคือคิเมร่า และที่พวกอาบิเตอร์พวกนี้มาก็เพราะ…
“ไม่จริง!!!” ราล์ฟตะโกนลั่น สายตาเขาเบิกโพล่งจับจ้องไปยังทิศทางที่เอลเมอร์นอนอยู่ เขาวิ่งพุ่งพรวดเข้าไปทันทีแต่พวกอาบิเตอร์สองคนก็เข้ามากันไว้ แขนสองข้างเขาถูกตรึงและถูกกดหัวลงไม่ให้เคลื่อนไหวมากกว่านี้
“ลุง!! นอนอยู่ทำไม!! รีบลุงขึ้นมาเซ่!! ลุง!!” เด็กหนุ่มยังคงตะโกนต่อเนื่อง หวังแต่ว่าทุกอย่างจะเป็นแค่เรื่องตลก “ไหนบอกว่าจะไม่ทิ้งผมไปไง!! ไหนล่ะที่บอกว่าปาฏิหาริย์!! ลุง!! ลุกขึ้นมาตอบเดี๋ยวนี้!!”
น้ำตาเขาไหลเอ่อท่วมเบ้าตาทั้งสอง แขนขาเริ่มไร้เรี่ยวแรงจนต้องคุกเข่าลงกับพื้นเมื่อรู้ว่าทุกอย่างเป็นความจริง เหล่าทหารรอบตัวราล์ฟได้แต่จ้องมองเขา
“ทำไม... ทำไมถึงเป็นแบบนี้... ฮึก” เสียงเด็กหนุ่มแผ่วเบาลงไปเรื่อย ๆ แก้มของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมา “ฮึก พวกแก... พวกแกรู้ได้ไงว่าพวกเราอยู่ที่นี่...”
“ผมจะเป็นคนตอบคำถามให้เอง” อาบิเตอร์ร่างกำยำในเครื่องแบบที่ต่างจากคนอื่นได้เดินเข้าไปพร้อมกับเสียงพูดอันน่าเกรงขาม “ผม ร้อยเอก ดีคาพาร์ค รีอามุนเซน หัวหน้าหน่วยอาบิเตอร์ที่ 11 คือผู้รับผิดชอบภารกิจนี้”
ราล์ฟหันขึ้นไปมองผู้ชายในเครื่องแบบเบื้องหน้านี้ ใบหน้าของเขามีร่องรอยแผลเป็นมากมาย หากแต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาไม่อาจทำให้ราล์ฟมองเห็นสิ่งเหล่านั้นชัดนัก
“จากเหตุอาชญากรรมเมื่อวาน เราได้ใช้เครื่องมือตรวจจับแหล่งพลังของคิเมร่าที่ถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เรารู้ว่าใครเป็นคิเมร่าที่กำลังต่อสู้อยู่ในขณะนั้น และใช้โปรแกรมสะกดรอยไป” อาบิเตอร์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ดุดัน “แต่ที่ทำให้เรารู้พิกัดในโลกความจริงได้ นั่นก็เพราะการใช้อุปกรณ์ที่ผิดกฎหมายของพวกคุณ”
เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก อุปกรณ์ที่ผิดกฎหมายที่เขาพูดถึงก็คือ iSender นั่นเอง มิน่าทำไมลุงเขาถึงสั่งนักสั่งหนาว่าไม่ควรใช้โดยไม่จำเป็น
“อุปกรณ์ของพวกคุณส่งข้อมูลจากยูโทเปียกลับสู่โลกจริงโดยไม่ผ่านรัฐบาล เราเพียงแค่ตรวจสอบสถานที่ที่ข้อมูลนี้ถูกส่งไป ซึ่งก็เป็นสถานที่เดียวกับที่เราพบสัญญาณคิเมร่าเจือจางครั้งสุดท้ายพอดี เมื่อเรามาตรวจสอบที่นี่เราก็ยังพบสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ อีก” ดีคาพาร์คยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ “โดยรวมแล้ว เอลเมอร์ บาลด์วินกระทำผิดสี่ข้อหา ข้อหาที่หนึ่งคือการปลอมแปลงเอกสารว่าเป็นพลเมืองของรัฐ ข้อหาที่สองคือการยักยอกข้อมูลโดยไม่ผ่านรัฐ ข้อหาที่สามคือการเก็บข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อรัฐ และข้อหาที่สี่...”
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อก เมื่อจะถึงเวลาได้ยินความผิดที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด
“...คือการมีชีวิตอยู่ในฐานะคิเมร่าในอาณาเขตของรัฐ”
ฝ่ายอาบิเตอร์หยุดพูดต่อ ปล่อยให้ราล์ฟส่งเสียงร่ำไห้เบา ๆ ตัวเขาเองก็รู้ว่าผู้ชายร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นมันน่าเกลียดยังไง แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรบนโลกแล้วทั้งนั้น
“...แค่มีชีวิตก็ผิดกฎหมายแล้วหรือ? ต่อให้ไม่เคยทำร้ายใครก็ยังผิดกฎหมายใช่มั้ยที่เกิดมา!?”
“ใช่” ดีคาพาร์คตอบโดยไม่ลังเล “กฏหมายว่าเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น และนี่ไม่ใช่กฏหมายของเมืองนี้เท่านั้น นี่คือกฏหมายสูงสุดของจักรวรรดิแห่งนี้!”
...ไม่มีคำถามใด ๆ ที่ราล์ฟต้องการที่จะถามต่อ เขาก้มหน้าลงกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ ทหารทั้งสองยังคงตรึงแขนเขาไว้
“ฮึก เอาสิ จับข้าไปอีกคนสิ หรือจะสำเร็จโทษตรงนี้ล่ะ!? ไหน ๆ ข้าก็เป็นผู้ให้ที่หลบซ่อนคิเมร่าด้วยนี่!” เด็กหนุ่มพูดอย่างประชดประชัน
“คุณไม่ได้ทำผิดกฎหมายอันใด” อาบิเตอร์คนเดิมเป็นผู้ตอบอีกครั้ง “เราได้ยินบทสนทนาเมื่อวาน และทราบแล้วว่าคุณก็เพิ่งรู้เรื่องลุงของคุณเช่นกัน”
“แก... อย่าบอกนะว่าแกแอบดักฟังพวกเรา...”
“ผลิตภัณฑ์เกือบทุกชิ้นที่ถูกกฎหมายจำเป็นต้องฝังชิพของรัฐบาลอยู่แล้ว เราก็แค่ใช้ประโยชน์จากตรงนั้นโดยชอบธรรม เอาเถอะ เราเสร็จสิ้นภารกิจตรงนี้แล้ว พวกเรากลับยานได้” ว่าแล้วเหล่าทหารทั้งหมดก็พากันเดินออกไปจากห้องของราล์ฟ เสียงขับเคลื่อนยานดังขึ้นจากภายนอกก่อนที่จะเงียบหายไป
ราล์ฟหยุดร้องไห้พร้อมกับก้มหน้าคุกเข่าแล้วหลับตาครุ่นคิด เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมลุงเขาถึงต้องบิดบังเรื่องตัวตนที่แท้จริง เพราะยามใดที่พูดออกมาก็จะมีคนมาปลิดชีพในวันถัดไป...
“ว้ากกกกก!!” เด็กหนุ่มตะโกนพร้อมกับเอาหัวโขกพื้นอย่างแรง สองครั้ง สามครั้ง หน้าผากเขาเริ่มมีเลือดห้อ เขาทำใจไม่ได้ที่ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา ถ้าเขาไม่เค้นถามเอลเมอร์วันนั้นก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้ อารมณ์ชั่ววูบที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายทำให้ราล์ฟเกลียดชังตัวเองเหลือเกิน คำถามว่า ‘ทำไม’ เต็มอยู่ในหัวของเขา
“ระ.... ราล์ฟ...” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแหบเบา ๆ ดังขึ้น ราล์ฟจดจำเสียงนี้ได้ดี จึงรีบลุกขึ้นไปยังต้นเสียงทันที
“ลุง!! ลุง!! ยังไม่เป็นไรใช่มั้ย!!!” ราล์ฟได้แต่พูดเข้าข้างตัวเอง แขนทั้งสองประคองชายชราผมสีขาวที่มีคราบเลือดเต็มตัว นัยน์ตาสีแดงถูกหรี่ลงจนแทบมองไม่เห็น
“..แค่ก...อีก..ไม่นาน ลุงก็คง...แค่ก” เอลเมอร์ไอออกมาเป็นเลือด
“ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้แล้วลุง เดี๋ยวผมจะพาไปส่งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!”
“ไม่...ต้อง... ลุงแค่อยาก...แค่ก...พูดอะไรซักประโยค...”
ราล์ฟนิ่งพร้อมกับน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ เขาไม่ต้องการขัดความต้องการครั้งสุดท้ายของลุงเขา
“...ลุง....ไม่เสียใจเลยซักนิด... แค่ก....” เอลเมอร์หยุดพูดไปซักพัก ตัวเขาไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจ “...ที่...รักเจ้า....เหมือนลูกแท้ ๆ...”
“...ผม...ผมก็เหมือนกันครับ...ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เรื่องเมื่อวาน ฮึก...” น้ำตาราล์ฟไหลจนไปเจือจางคราบคราบบนเสื้อของลุงเขา เอลเมอร์ยิ้ม พร้อมกับใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายมาลูบหัวเขา
ก่อนที่ลมหายใจเอลเมอร์จะหยุดลง...
ราล์ฟขังตัวเองไว้ในห้องส่วนตัวของเขา นั่งกอดเข่าหลังพิงข้างฝาอยู่บนเตียง ดวงตาเหม่อลอย ผมเพ่ายุ่งเหยิงต่างจากราล์ฟคนเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาได้แต่นั่งครุ่นคิด ครุ่นคิด และครุ่นคิด... หวังว่าทำอย่างนี้แล้วเขาจะรู้สึกดีขึ้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไปดูเหมือนเขาจะปวดร้าวยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่ง...
ตื๊ด
...(ฮัลโหล ราล์ฟว่างอยู่รึเปล่าจ๊ะ)...
เสียงจากโทรจิตนั่นเอง ด้วยตัวเขาตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะตอบตกลงหรือปฏิเสธใด ๆ คำตอบรับของเด็กหนุ่มจึงเรียบง่ายยิ่ง
...(อือ)...
...(ฉันอยากจะแสดงความเสียใจอีกรอบจริง ๆ นะ ฉัน...ฉันไม่อยากเห็นนายเศร้ามากกว่านี้ นายช่วยกลับมาเป็นราล์ฟที่ร่าเริงคนเดิมได้มั้ย?)...
...(เซลิน... ตอนนี้โลกใบนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว)...
...(เอ๋ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะจ๊ะ?)...
...(ฉันถามว่าตอนนี้โลกใบนี้มันเป็นบ้าอะไรไปแล้ว?!! ฟังไม่รู้เรื่องรึไง!!)...
บทสนทนาเงียบไปซักพัก ตอนที่ฝ่ายเซลินจะเริ่มพูดอีกรอบ
...(ฉัน... ฉันไม่รู้... ขะ ขอโทษ)...
...(ทำไมลุงฉันต้องตาย!? ทำไมรัฐบาลต้องทำแบบนี้?!! ลุงฉันไม่เคยทำร้ายใคร แต่ทำไมต้องมาตายแบบนี้ด้วย?! รัฐบาลนี้! โลกใบนี้เป็นบ้าอะไรกันหมด!! เธอเองก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าประวัติศาสตร์โลกนี้มันแปลก ๆ นั่นก็ฝีมือรัฐบาลใช่มั้ยล่ะ?!)...
...(... อือ ใช่)...
...(แล้วตกลงมันหมายความว่าไรกันเล่า!! อีกไม่นานเราก็ต้องเป็นทหาร เป็นขี้ข้ารัฐบาลนี่!! แล้วดูสิ่งที่มันทำกับฉัน!! มันฆ่าลุงฉัน!! ได้ยินมั้ย มันฆ่าลุงฉันโว้ยยย!!)...
ราล์ฟกัดฟันกรอด ถ้าเขาตะโกนใส่หูเซลินให้แก้วหูระเบิดได้เขาทำไปแล้ว เสียงสะอื้นเริ่มดังมาจากอีกฝ่ายนึง
...(ฮึก... ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฮึก... ฉันขอโทษจริง ๆ นะ ยกโทษให้ฉัน..ฮึก..นะ)...
การโทรจิตยุติลง เด็กหนุ่มรู้สึกหัวเสียยิ่งกว่าเดิม ในใจลึก ๆ เขารู้สึกผิด แต่ความเกรี้ยวโกรธกลับครอบงำทุกอย่างในเวลาต่อมา
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ราล์ฟยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ในห้อง ดวงตาเหม่อลอยเช่นเคย จนกระทั่งมีเสียงสัญญาณดังขึ้น เสียงมาจากอุปกรณ์ PLUG เขาจำได้ดีว่าเป็นเสียงข้อความใหม่เข้ามาแต่ด้วยอารมณ์ตอนนี้ทำให้เขาไร้ความต้องการที่จะไปเปิดอ่าน จนกระทั่งอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเด็กหนุ่มถึงจะรวบรวมแรงลุกขึ้นมาเปิดอ่านจนได้
ถึง ราล์ฟ บาลด์วิน กรุณามาเจอกันที่เอ็มไพร์เรมินิส ในตึกร้าง oo-xxx ชั้นที่ 12 ในเมืองโตเกียว เอลเมอร์ บาล์ดวินรอคุณอยู่ที่นั่น ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม |
ราล์ฟเพ่งไปที่ข้อความอีกรอบแล้วอ่านให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาดไป ใช่ มันเขียนชื่อลุงของเขาจริง ๆ แต่ว่าจะเป็นคนแกล้งหรือเปล่า ไอ้หน้าไหนมันมาส่งข้อความพรรค์นี้ให้เขาเวลานี้... แต่หัวใจราล์ฟเริ่มเต้นตึกตัก ๆ เหมือนกับว่าในจิตใจอันมืดมิดและสับสนได้มีความหวังอันเล็กน้อยก่อตัวขึ้นมา ราล์ฟปิดเครื่องแล้วเปิดเครื่องมาอ่านข้อความอยู่สี่ห้ารอบจนมิอาจอดใจไหวอีกต่อไป ในที่สุดเขาก็กดคำสั่งเกตอินจนได้...
เมื่อเขามาถึงกรุงโตเกียว ราล์ฟเปิดบุ๊คเล็ตแล้วกางแผนที่ขึ้นมาเพื่อดูพิกัดสถานที่นัดพบตามที่ข้อความเขียนไว้ มันอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อราล์ฟมาถึงเขาก็เห็นตึกร้างสีเทาปนน้ำตาลตามแบบปูนที่ยังไม่ได้ทาสี อาคารนี้ยังไม่มีกำแพงรอบรอบสุดและหลังเหลือเหล็กเส้นอยู่ตามรอยต่อของปูน เด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ ในแต่ละชั้นจะมีเลขชั้นสีแดงเขียนไว้ชัด จนกระทั่งมาถึงชั้นที่สิบสองตามที่นัดกันไว้...
มีคนหนึ่งคนยืนอยู่กลางชั้นนี้ ผู้ซึ่งบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาจนทำให้เห็นรายละเอียดไม่ชัดเจนมากไปกว่าเงารูปคน แต่จากทรงผมที่สั้นก็ทำให้ราล์ฟค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นผู้ชาย เขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ชายคนนี้ใส่เสื้อกาวน์แม้จะยังไม่แน่ใจว่าสีอะไร แต่ทุกก้าวที่เดินไปใกล้นั่นทำให้ราล์ฟรู้สึก...
“อ้าว มาแล้วสินะราล์ฟ” ชายคนนั้นหันหน้ากลับมาพร้อมกับทักทาย ใบหน้าหนุ่มวัยกลางคนแบบนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก...
ราล์ฟจ้องมองแล้วแน่นิ่ง น้ำตาค่อย ๆ เอ่อไหลมาจากดวงตาทั้งสอง ก่อนในที่สุดเขาจะวิ่งไปกอดชายเบื้องหน้าทันที “ลุง!! ลุงจริงใช่มั้ย!! ลุงยังอยู่ใช่มั้ย!!”
เอลเมอร์รับกอดจากหลานชายเขา ก่อนที่จะพูดออกมา “...ถูกครึ่งนึงละกันนะ”
ราล์ฟเงยหน้าขึ้นมาแล้วถาม “...หมายความว่าไงเหรอลุง”
“ส่วนที่ถูกก็คือ ลุงยังอยู่ ใช่ ยังอยู่ที่นี่ ในยูโทเปียแห่งนี้ แต่ส่วนที่ผิดก็คือ ลุงไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มเงียบ พร้อมกับถอยห่างออกมาเล็กน้อย แล้วเอามือปาดแก้ม “...สรุปว่าลุงตายแล้วจริง ๆ สินะ”
“ใช่แล้วล่ะ”
ว่าเสร็จเอลเมอร์ก็วัตถุกลม ๆ สีเงินออกมาแล้วกดที่สวิตซ์ตรงกลาง มันค่อย ๆ เปลี่ยนรูปและแตกตัวเป็นโต๊ะและเก้าอี้สองตัวเหมือนกับเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านราล์ฟไม่มีผิด
“เอ้า นั่งก่อนสิ วันนี้ลุงอยากคุยกันนานหน่อย” เอลเมอร์นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมยื่นมือเชื้อเชิญหลานเขาให้นั่งด้วย ราล์ฟยังรู้สึกตื่นเต้นและยินดีที่ได้เจอลุงเขา ต่อให้เป็นภาพลวงตาหรือความเพ้อฝันเขาก็ยังยินดี
“เริ่มแรก ลุงอยากขอบอกความลับของยูโทเปียก่อนเลย เพราะนั่นเป็นเหตุที่ว่าทำไมราล์ฟถึงมาเจอลุงอีกครั้งได้ เวลาลุงเหลือไม่มาก”
“เอาล่ะราล์ฟ ฟังให้ดี ยูโทเปีย ก็มีทั้งดรีมชาร์ด เศษของความฝันและความทรงจำ และยังรวมไปถึงจิตของสิ่งมีชีวิต นั่นก็หมายความว่าในยูโทเปีย ปรากฎการณ์ที่เรียกว่าวิญญาณเป็นเรื่องปกติ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่นึกว่าในยูโทเปียจะมีวิญญาณได้ แต่การที่ลุงมาอยู่เบื้องหน้าเขาได้ก็แปลว่าเป็นเรื่องจริง
“แล้วทำไมถึงแทบไม่มีคนเคยเห็นวิญญาณคนตายในนี้เลยล่ะ”
“คำตอบข้อแรกก็คือ สิ่งมีชีวิตที่พลังจิตต่ำว่ามนุษย์ ถ้าไม่มีความอาฆาตสูงจริงจะก่อตัวเป็นวิญญาณในนี้ไม่ถึงวินาที คำตอบข้อที่สอง หน่วยลับพิเศษของอาบิเตอร์จะมาจัดการกับวิญญาณพวกนี้เอง”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”
ชายกลางคนตั้งคำถามกับเขาต่อ “เจ้าคิดว่ายูโทเปียคืออะไร?”
“ก็... เป็นทั้งโลกแห่ง ความทรงจำ ความคิด และความเชื่อ ที่พวกเราใช้เครื่องมือ PLUG ในการ ส่งจิตของเราเข้ามาเพื่อ...”
“หยุดก่อน” เอลเมอร์แทรกกลางคัน “แล้วโลกแห่งนี้ มนุษย์สร้างขึ้นหรือเปล่า”
“เปล่าครับ มีมาพร้อมกับโลกความจริงแต่มนุษย์เพิ่งค้นพบ”
“แล้วไม่คิดเหรอว่าทำไมมนุษย์เสียเวลาไปหมื่นปีก็หาที่นี่ไม่เจอ แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สามได้ไม่ถึงร้อยปีกลับเจอที่นี่ได้ แถมยังเป็นช่วงเวลาที่คิเมร่าปรากฏครั้งแรกเสียด้วย ไม่เคยสงสัยเลยเหรอ?”
ราล์ฟนิ่งไปซักพักก่อนตอบออกมา “...เพื่อนผมก็เคยถามอะไรทำนองนี้”
“คิดจริง ๆ เหรอราล์ฟ ที่ว่ายูโทเปียเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทั้งหมด?”
“ก็... มันต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างควบคุมใช่มั้ยล่ะครับ เช่นบุ๊กเล็ตหรือระบบโพรเทคต์อะไรแบบนี้”
“เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่อาจเข้ามาในยูโทเปียโดยไร้ซึ่งเครื่องมือ” ชายกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “และต่อไปนี้ ลุงจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างยูโทเปีย สิ่งที่รัฐบาลได้ซ่อนเร้นไว้ และ… สิ่งที่พวกมันทำกับคิเมร่า ฟังให้ดีล่ะ”
เอลเมอร์ค่อย ๆ พูดอธิบายต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อราล์ฟฟังมาถึงจุดหนึ่ง เขาก็เข้าใจ…ตัวตนที่แท้จริงของทุกสิ่ง เขากำมือแน่น มีเสียงดังกรอดมาจากในปาก คำตอบที่ว่าทำไมคิเมร่าถึงถูกห้ามมีชีวิตอยู่ คำตอบที่ว่าอะไรคือสิ่งที่รัฐบาลต้องการ และคำตอบที่ว่า ยูโทเปียนั้นถูกสร้างมาจาก…อะไร ค่อย ๆ ถูกเฉลยออกมาอย่างลงตัว
“เรื่องจริงใช่มั้ยครับ…”ราล์ฟถามด้วยความรู้สึกตะลึงงันและโกรธเกรี้ยว “งั้นก็แปลว่า…”
“ใช่ ราล์ฟ รัฐบาลคือต้นเหตุแห่งทุกสิ่ง ต้นเหตุแห่งคำสาปร้ายบนโลกใบนี้!” เอลเมอร์ตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน “อีกไม่นานวิญญาณลุงจะสลายไป ไม่ก็มีคนมาจัดการลุง แต่ลุงได้ติดต่อกลุ่มคนที่พอจะช่วยเหลือเรื่องนี้แล้ว”
ว่าเสร็จก็มีคนสองคนปรากฎตัวออกมาจากสภาพล่องหนด้านหลังเอลเมอร์ ทั้งสองคือผู้ชายและผู้หญิงที่ใส่ชุดนักธุรกิจทั่วไป “สวัสดีครับคุณราล์ฟ”
“อ่า... สวัสดีครับ” ราล์ฟตอบรับ “พวกคุณเป็นใครกัน?”
“บางทีให้ดูนี่คงจะตอบได้ดีกว่าคำพูด” ว่าแล้วผู้ชายในชุดสูทก็ยื่นหน้าไปใกล้เด็กหนุ่ม ตาทั้งสองข้างเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเรื่อ ก่อนที่จะกลับมาเป็นสีฟ้าอ่อน “ได้คำตอบแล้วสินะครับ”
“พวกเราได้รับเรื่องจากคุณเอลเมอร์แล้ว ถ้าคุณราล์ฟตอบสัญญาที่จะสนับสนุนพวกเราเผ่าพันธุ์คิเมร่า เรายินดีที่จะให้การช่วยเหลือคุณทุกด้านที่เราทำได้” ฝ่ายหญิงยื่นข้อเสนออย่างคล่องแคล่ว
“ลุงเก็บข้อมูลลับของรัฐบาลไว้มากมายด้วย iSender เจ้าก็เพียงแค่หาที่เก็บมันเท่านั้น”
ราล์ฟนั่งนิ่งเพื่อครุ่นคิด เขาไม่กล้าที่จะตอบรับเรื่องอะไรที่สำคัญโดยทันที
“ราล์ฟ” เอลเมอร์เอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปที่หลาน “อย่าลืมสิว่าพวกรัฐบาลของจักรวรรดิทำอะไรกับเราไว้ พวกมันทำลายชีวิตของเรา ทำลายชีวิตของคนนับล้านนะ!”
คำพูดของลุงทำให้ความคิดของราล์ฟโลดแล่นขึ้นมาอีกครั้ง ใช่ รัฐบาลทำให้ชีวิตเขาต้องจมดิ่งสู่ความมืด เหตุผลที่จะแค้นมีนับร้อยแปด และ...นี่คือโอกาสที่จะแก้แค้น!! เสียงมากมายที่สะท้อนอยู่ในหัวของราล์ฟกำลังผลักดันเขาให้ตัดสินใจ…
ราล์ฟลุกขึ้นยืนก่อนที่จะนิ่งไปสักสองสามนาที จนในที่สุด
“ตกลง” ราล์ฟตอบ ก่อนที่จะยิ้มแยกเขี้ยวออกมา “ฉันจะล้างแค้นพวกมันแทนโลกใบนี้เอง…”
…
ที่เสาปูนเบื้องหลังคนทั้งสี่ ชายในชุดสูทสีน้ำตาลกำลังมองพวกเขาอย่างซ่อนเร้น ในมือถืออุปกรณ์บางอย่าง เขาหยิบขึ้นมาจ่อติดกับปากก่อนพูดขึ้น
“ภารกิจของเราเสร็จสิ้น ราล์ฟเป็นเบี้ยของเราแล้ว”
นัยน์ตาของเขากลับกลายเป็นสีแดงเรืองแสงในเงามืด ก่อนที่จะหายไป…
เซลิน... เซลิน ไวท์กลาเซียร์ คือชื่อของเธอ ใช่แล้ว... มันคือชื่อที่ติดตัวของเธอมานับตั้งแต่ที่จำความได้ เธอเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาในระหว่างรอยต่อของยุคมืดหลัง สงครามกับยุครุ่งเรืองที่วิทยาการก้าวหน้าขึ้นจนไม่มีใครคาดเดาอนาคตต่อไปได้ พ่อแม่ของเธอก็ยังต้องการให้เธอมาเป็นอาบิเตอร์ทั้งที่เธอไม่อยากจะเป็น และเพราะอาบิเตอร์ เธอจึงสูญเสียคนที่เธอแอบรักมานานให้กับความมืดมิดของโลกใบนี้
...คิด ๆ ดูแล้วตัวเธอก็แค่ฝุ่นผงเล็ก ๆ เท่านั้น...
เซลินสะบัดศีรษะเอาความคิดเก่า ๆ ทิ้งไป นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองปีที่แล้ว และปัจจุบันตรงหน้านี้เธอคือหัวหน้าหน่วยอาบิเตอร์ที่ 27 ที่กำลังนำพลพรรคอีกสี่ชีวิตไปสู่ภารกิจพิเศษ ภารกิจที่แม้แต่อาบิเตอร์หน่วยอื่น ๆ ก็ไม่อาจมาปฎิบัติการได้
เด็กสาวใส่ชุดเครื่องแบบสีขาวสลับดำ มีตราสัญลักษณ์ของจักรวรรดิอยู่บนแขนขวา เธอถือปืนขนาดใหญ่สีดำเหลื่อมโลหะ ผมสีบลอนด์ถูกรวบมัดไว้เป็นหางม้า ใบหน้าที่เคยเนียนใสบัดนี้มีร่องรอยผ่านการฝึกฝนมากมาย เซลินวิ่งนำพลรบที่ใส่ชุดคล้าย ๆ กันไปตามเส้นทางแคบ ๆ ยามค่ำคืน
“เป้าหมายอยู่บนดาดฟ้าของตึกนี้” รองหัวหน้าหน่วยโทปริโอชี้ไปยังอาคารเบื้องหน้าพวกเขา “ไม่ได้เจอหน้ามันมาสองปีแล้วสินะ”
“อย่าพูดนอกเรื่อง” เซลินสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ทุกคนเตรียมใช้รองเท้าแรงโน้มถ่วง เราจะปีนขึ้นไปตรง ๆ”
เหล่านักรบทุกคนก้มลงไปกดสวิตซ์ที่รองเท้าพวกเขาโดยที่มันเปล่งแสงสีเทาอ่อนก่อนจางหายไป จากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นไปบนผนังตึกสูงชันอย่างรวดเร็วโดยไร้ซึ่งความกลัวแม้แต่น้อย จนกระทั่งไปถึงยอดตึกซึ่งเป็นพื้นเรียบ และที่มุมดาดฟ้าอีกด้าน คือภาพเงาคนที่ตัดกับแสงจันทร์ยืนอยู่
เมื่อเซลินเข้าไปใกล้มากขึ้น ภาพชายในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินก็ยิ่งปรากฎแจ่มชัด เขากำลังหันหลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ กลุ่มอาบิเตอร์เริ่มคิดว่านี่เป็นโอกาสของเขาที่จะได้จัดการกับเป้าหมายให้เร็วที่สุด แต่แล้วโอกาสที่ว่าก็หายไปฉับพลัน ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ลงพร้อมกับหันกลับมา
“ใครส่งแกมา?”
เสียงที่แสนคุ้นเคย ใบหน้าที่แสนคุ้นเคย ทำเอาเซลินเผลอน้ำตาซึมออกมา แต่เธอไม่อาจหนีหน้าที่สำคัญไป
“รู้ตัวแล้วหรือ ราล์ฟ บาลด์วิน”
ใช่แล้ว คนที่อยู่เบื้องหน้าเธอคือราล์ฟ เขาแทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ นอกเสียจากแววตาของเขาที่มองพวกเธอราวกับเหยี่ยวจ้องมองเหยื่อ สักพักราล์ฟก็หัวเราะออกมาก่อนที่จะถามกลับไป
“เธอเองเหรอนี่ โฮ่ มีเพื่อนเก่าแก่ตรงนั้นอีกคน ว่าแต่คิดจะมาทำอะไรล่ะ มาเก็บฉันงั้นรึ”
“ถ้าตอบว่าใช่ล่ะ...” เซลินตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“แล้วฉันทำผิดข้อหาอะไรล่ะถึงคิดจะมาเด็ดหัวฉัน ฉันมันก็แค่ร้อยเอกธรรมดา ๆ คนนึงเท่านั้นแหละ” เสียงกวน ๆ แบบนี้ทำให้เพื่อนเก่าทั้งสองรำลึกความจำ ว่านี่คือราล์ฟตัวจริงแน่นอนไม่ผิดเพี้ยน “ถ้าคิดยิงโดยที่ไม่มีคำสั่งมาล่ะก็ รับรองวันรุ่งขึ้นพวกแกได้ตามไปกับฉันที่ปรโลกแน่นอน น่าจะรู้ว่าผู้ใหญ่หลายฝ่ายเข้าข้างฉันอยู่”
“หน้าฉากนายคือทหารดีเด่น แต่หลังฉากนายคือ ‘เรดมาสก์’ ผู้นำองค์กรปลุกระดมตามสื่อให้คนต่อต้านรัฐบาล และยังเป็นผู้มีส่วนรู้ร่วมคิดกับการก่อการร้ายของคิเมร่าอีกด้วย”
ราล์ฟยักไหล่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “แล้วไหนล่ะหลักฐาน”
“...หลักฐานน่ะมีแน่ ถึงพรรคพวกนายจะมีเส้นสายเยอะขนาดที่ว่าอาบิเตอร์ทั่วไปเอาผิดไม่ได้ก็เถอะ แต่ภารกิจลับนี้ถูกสั่งการมาจากเบื้องบนโดยตรง” เด็กหญิงพูดเสร็จพร้อมยกปืนขึ้นมาเล็งเป้าหมายเบื้องหน้า
“นี่ เซลิน” ราล์ฟยังคงพูดต่อไปอย่างไม่รู้ร้อน “ยังจำวันที่เราสองคนไปฝึกสู้ดรีมชาร์ดกันได้มั้ย เธอลืมความรู้สึกของตัวเธอเองเมื่อวันนั้นแล้วเหรอ” คำพูดของเขากลับสยบฝ่ายตรงข้ามได้อย่างน่าอัศจรรย์ เซลินก้มหน้าลง ก่อนที่จะใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าของเธอ
“เซลิน... รีบจัดการกับมันดีกว่า” โทปริโอเอ่ยขึ้น
“มะ... ไม่ต้อง...” เด็กหญิงค้านพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง “ทุกคน! เล็ง!”
อาบิเตอร์ทุกนายหันกระบอกปืนไปยังเด็กหนุ่ม
ราล์ฟยังคงยิ้ม ก่อนที่จะพูดออกไป “ชักช้าจริง ๆ นะพวกเธอเนี่ย” ว่าแล้วเขาก็ดีดนิ้ว แล้วด้านข้างเขาก็มีลูกบอลสีดำข้างซ้ายสองลูกและข้างขวาสองลูก มันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็ปรากฎบุคคลข้างในก่อนที่จะสลายไปเหลือเพียงคนในชุดแปลกประหลาดสี่คนยืนเรียงรอบราล์ฟ และทั้งสี่คนต่างก็มีนัยน์ตาแดงก่ำเสียทั้งสิ้น “คิดว่าเมื่อกี้ฉันโทรศัพท์หาใครล่ะ?”
“คิ...คิเมร่า!!”
ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันอยู่นาน ต่างฝ่ายต่างยังไม่ลงมือก่อน จนกระทั่ง...
“เป้าหมายของนายคืออะไรกันแน่ ราล์ฟ...” เซลินเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ก็ง่าย ๆ” ราล์ฟตอบรับด้วยเสียงดุยิ่งขึ้น รอยยิ้มของเขากลายเป็นค่อย ๆ แยกเขี้ยวออกมา “ก่อการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกจอมปลอมใบนี้ไงล่ะ โลกที่ไร้ซึ่งความเท่าเทียม โลกที่มีแต่ความเผด็จการและความบ้าคลั่งแห่งนี้!!”
สาวผมบลอนด์เงียบไปชั่วขณะ แต่บัดนี้เธอสูญสิ้นความลังเลทั้งหมดไปแล้ว ข้างหน้าไม่ใช่ราล์ฟที่เธอรู้จักอีกต่อไป “...นายมันกู่ไม่กลับไปแล้ว”
ทั้งฝ่ายอาบิเตอร์และฝ่ายคิเมร่าต่างพร้อมที่จะบดขยี้อีกฝ่าย เหลือเพียงแค่คำสั่งจากผู้เป็นนายเท่านั้น
และทั้งราล์ฟ และเซลิน ต่างก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“โจมตี!!!!”
F A L S E
[โลกลวง]
จบบทนำ
นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งเท่านั้น...
ความคิดเห็น