คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 12 เปิดภาคเรียน (1) (รีไรท์)
บทที่ 12 เปิดภาคเรียน (1) (รีไรท์)
“อรุณสวัสดิ์ สาวๆ”
เสียงทักจากซีซาร์ดังขึ้นแทบจะทันทีที่สามสาวเดินเข้ามาร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆในชั้นปี สายตาของเด็กหนุ่มจ้องมองเพื่อนสาวทั้งสามที่มีสีหน้าแตกต่างกัน จนน่าขัน ด้วยคนหนึ่งนั้นมีสีหน้าสงบนิ่ง ส่วนอีกคนมีอาการจะหลับไม่หลับแหล่ ส่วนคนสุดท้ายนั้นกลับแย้มรอยยิ้มส่งมาให้อย่างสดใส ไม่มีเค้าของคนต้องตื่นมาฝึกแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย
“อรุณสวัสดิ์”
จีน่าเป็นตัวแทนเพื่อนเอ่ยทักทายซีซาร์ พร้อมส่งยิ้มให้เพื่อนคนอื่นๆที่อยู่บริเวณนั้น ด้วยเวลานี้เจนน่าที่ง่วงนอนจนแทบจะหลับทั้งยืนคงไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ ส่วนลอร่านั้นนางไม่เคยกล่าวทักทายใครก่อนอยู่แล้ว แค่นางไม่แช่แข็งคนทั้งหมดก็บุญแล้ว
“เมื่อคืนฉลองกันหนักรึไง ทำไมเจนน่าถึงได้พร้อมจะหลับทุกเมื่ออย่างงี้”
มากรีสเอ่ยกลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นอาการของเจนน่า ที่ตอนนี้ยึดลอร่าเป็นเสาในการหลับเป็นที่เรียบร้อย ส่วนคนที่ต้องเป็นเสาให้เพื่อนหลับก็ไม่ได้บ่น หรือแสดงสีหน้าไม่พอใจอะไร
“เปล่าหรอก เจนน่าแค่ไม่เคยตื่นก่อนตะวันขึ้นเท่านั้นเอง นี้กว่าพวกข้าจะแงะนางออกจากเตียงได้ ก็แทบตายแน่ะ”
จีน่าบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ขณะที่เริ่มต้นเล่ากิจกรรมยามเช้ามืด ที่นางต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว และไปเคาะห้องลอร่า เพื่อขอให้ลอร่ามาช่วยนางหาวิธีเอาเจนน่าออกจากเตียง ก่อนที่พวกนางทั้งหมดจะมาฝึกภาคเช้าสายตั้งแต่วันแรกของเทอม ซึ่งวิธีการปลุกของลอร่านั้น...สาบานได้ว่านางจะไม่ยอมตื่นสายต่อหน้าลอร่าเด็ดขาด
“ฮ่าๆ เชื่อเลย....”
เสียงพูดคุยของคนทั้งหมดเป็นต้องเงียบลง เมื่อได้ยินเสียงออกคำสั่งให้เข้าแถวของพี่ลาซูลี พร้อมกับการปรากฏตัวของเหล่าสภานักเรียน ที่รีบเร่งสร้างแถวให้นักเรียนแต่ละชั้นปี ก่อนที่เหล่าครูฝึกจะลงมาฝึกภาคเช้า
“ทั้งหมดตรง!”
ลาซูลีสั่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าครูฝึกที่รับผิดชอบการฝึกภาคเช้ามาถึงแล้ว ทำให้นักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารทุกชั้นปีต้องตบเท้าค้อมกายลงทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง จะมีก็เพียงเหล่านักเรียนปีหนึ่ง ที่มีสีหน้าอิดโรย แถมบางคนยังมีอาการเหมือนไม่ตื่นดีอีกด้วย ทำให้สายตาของครูฝึกทั้งหมดปรายไปมองนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง พร้อมคำสั่งลงโทษต้อนรับการเปิดภาคเรียน ที่สามารถเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของเหล่ารุ่นพี่ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากนี้ถือเป็นธรรมเนียมแห่งโรงเรียนเตรียมทหารก็ว่าได้ ที่นักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ทุกรุ่นจะต้องได้รับคำสั่งลงโทษเป็นการต้อนรับการเปิดภาคเรียน
“ปีหนึ่ง ลุกนั่งยี่สิบครั้ง ปฏิบัติ!”
คำสั่งผ่านไปนานเกินนาทีกว่าที่นักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง จะตอบรับคำสั่ง ด้วยพวกเขายังมีอาการมึนงง และสมองยังทำงานได้ไม่ดีนัก ทำให้การประมวลผลเป็นไปอย่างเชื่องช้า
“ลุกนั่งยี่สิบครั้ง…”
เสียงทวนคำสั่งยานคางจนน่าขัน ทำให้เหล่านักเรียนชั้นปีอื่นๆที่ยืนรวมอยู่ที่สนามด้วย ต้องพยายามกลั้นหัวเราะไว้เต็มที ด้วยพวกเขายังไม่อยากถูกสั่งซ่อมตั้งแต่วันแรกของการเปิดภาคเรียน
“1..2..”
ร่างของเด็กปีหนึ่ง ลุกนั่งด้วยสีหน้าอิดโรย ไร้เรี่ยวแรง จนทำให้เหล่ารุ่นพี่เผลอกระตุกยิ้มที่มุมปาก อย่างขบขัน กระนั้นกลับไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมา ด้วยรอบการพรวกเขายังมีครูฝึกยืนอยู่เต็มไปหมด แถมดูเหมือนวันนี้จะมีครูฝึกลงมาฝึกภาคเช้ามากเป็นพิเศษอีกด้วย ทำให้ไม่มีนักเรียนคนใดกล้าออกนอกระเบียบแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงเหล่านักเรียนปีหนึ่ง ที่ยังไม่เคยรับรู้ถึงความโหด และบทลงโทษของการฝึกภาคเช้า
“ปวกเปียก เริ่มใหม่!”
ครูฝึกคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง ทำให้นักเรียนปีหนึ่ง ที่กำลังลุกนั่งตามคำสั่งบางคนถึงกับสะดุ้ง ล้มลงกับพื้น เดือดร้อนเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ต้องรีบดึงขึ้นมาให้ยืนอยู่ในระเบียบแถวตามเดิม แต่กลับไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย เวลานี้ทุกคนเริ่มมองหน้ากันอย่างขอความเห็น พร้อมหันไปสะกิดปลุกเพื่อนบ้างคนที่สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเสียเท่าไร แม้ว่าเวลานี้จะมีครูฝึกหน้าโหดยืนคุมอยู่ก็ตาม
“ปีหนึ่ง เรี่ยวแรงหายไปไหนหมด ยังไม่ตื่นกันใช่มั้ย”
ครูฝึกคนหนึ่งถามเสียงเข้ม หากคนที่มีหน้าที่ต้องตอบคำถามอย่างปีหนึ่ง ก็ยังคงยืนตัวแข็งทือทำอะไรไม่ถูก จนมีเสียงครูฝึกอีกคนแทรกเข้ามา
“สงสัยแค่ยี่สิบครั้งจะยังปลุกกันไม่ตื่น งั้นห้าสิบครั้ง ปฏิบัติ!”
คำสั่งเสียงเข้มคราวนี้ทำให้เหล่านักเรียนที่ถูกหาว่ายังไม่ตื่นดีต้องรีบขานรับคำสั่งกันอย่างพร้อมเพรียง ด้วยทุกคนกลัวว่าพวกครูฝึกจะเพิ่มจำนวนครั้งเข้าไปอีก
“ลุกนั่งห้าสิบครั้ง!”
“ปฏิบัติ!”
การลงโทษของปีหนึ่งดำเนินต่อไปท่ามกลางสายตาขบขันของเหล่ารุ่นพี่ ที่แอบเหลือบสายตามามองเหล่ารุ่นน้อง ที่ถูกสั่งลงโทษให้ทำใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้กว่าจะครบตามจำนวนที่สั่ง ก็เล่นเอาพวกปีหนึ่งแต่ละคนถึงกับแข้งขาสั่นไปหมด กระนั้นมันก็ทำให้พวกปีหนึ่งทุกคนหายง่วงเป็นปริบทิ้ง
เมื่อนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งกลับมาเข้าแถวตามเดิมเป็นที่เรียบร้อย หัวหน้าครูฝึกก็หันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณการเริ่มฝึกกับลาซูลีที่ต้องทำหน้าที่นำนักเรียนคนอื่นๆออกวิ่งรอบโรงเรียน โดยเริ่มตั้งแต่แถวของพวกปีสี่ไล่ลงมาจนปิดท้ายด้วยปีหนึ่ง
“ลอร่า เจ้าไม่เป็นไรน่ะ”
เสียงเจนน่าที่วิ่งอยู่ด้านข้างลอร่าดังขึ้น เมื่อนางสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของเพื่อนคนข้างๆ ตั้งแต่ที่พวกนางเริ่มออกวิ่งไปได้สักพัก
“นั้นสิ หน้าเจ้าซีดมาก”
จีน่าสำรับ ขณะมองหน้าลอร่าด้วยความเป็นห่วง ด้วยเวลานี้ดวงหน้าของลอร่านั้นซีดเผือด แถมการหายใจก็ถี่เกินกว่าคนที่พึ่งวิ่งไปได้ไม่นาน สภาพลอร่าตอนนี้ไม่ต่างไปจากคนที่พร้อมจะเป็นลมทุกเมื่อ
“ไม่เป็นไร”
คำตอบเสียงแผ่วของลอร่า ไม่ได้ทำให้เจนน่า และจีน่ารู้สึกวางใจแม้แต่น้อย ด้วยตอนนี้พวกนางมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าลอร่านั้นไม่โอเคอย่างที่ปากพูด แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามฝืนวิ่งตามคนข้างหน้าให้ทันก็ตาม กระนั้นความเร็วของลอร่าก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมแม้แต่น้อย แถมขณะวิ่งลอร่ายังเซไปเซมา จนเจนน่าต้องเอื้อมมือไปดึงอยู่หลายครั้ง
“อย่าฝืนเลย เจ้าวิ่งต่อจนครบไม่ไหวหรอก”
เจนน่าเอ่ย พร้อมจับร่างบางของลอร่าไว้ไม่ให้ล้ม กระนั้นลอร่ากลับแกะมือของนางออก แล้วพยายามวิ่งตามคนข้างหน้าต่อไป แต่ยังไม่ทันที่ลอร่าจะได้ไปไหนไกล ร่างบางก็ซวนเซล้มลง ดีที่จีน่าไหวตัวทันดึงลอร่าไว้ทัน
“ลอร่า...”
จีน่าเอ่ยเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ทำให้เจนน่ารีบวิ่งเข้ามาดู พร้อมก้มลงมองลอร่าที่เวลานี้ตาทั้งสองข้างปิดสนิท อย่างคนไม่ได้สติ
“ซีซาร์! มากรีส!”
เจนน่าเรียกเพื่อนที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเลยพวกนางไปไม่มากเสียงดัง ทำให้คนทั้งคู่หันมามองด้วยความตกใจ พร้อมวิ่งกลับมาหากลุ่มสามสาว เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงเรียกของเจนน่านอกจากจะเรียกความสนใจจากเพื่อนแล้ว ยังเรียกความสนใจจากครูฝึกที่อยู่บริเวณนั้นให้เข้ามาดูอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น”
ครูฝึกคนหนึ่งเดินเข้ามาดู สายตาจ้องมองกลุ่มเด็กปีหนึ่งที่เวลานี้นั่งกับพื้น พร้อมก้มมองอะไรบ้างอย่าง ซึ่งพอเขาเดินเข้าไปใกล้ก็พบเด็กสาวคนหนึ่งนอนอยู่ตรงกลางวงด้วยสภาพไร้สติ
“ลอร่าเป็นลมค่ะ”
เจนน่าเป็นตัวแทนคนทั้งกลุ่มตอบคำถามครูฝึกคนนั้น
“พวกเจ้าไปฝึกต่อ เดี๋ยวทางนี้ข้าจัดการเอง”
ครูฝึกคนนั้นสั่ง พร้อมอุ้มร่างบางของลอร่าเดินออกไปบริเวณริมสนาม ทำให้เด็กที่เหลือจำต้องกลับไปฝึกต่อ อย่างไม่มีทางเลือก
“ไปคุมการฝึกต่อเถอะ เดี๋ยวข้าดูแลเด็กคนนี้เอง”
ขณะที่ครูฝึกที่อุ้มลอร่าออกไป แล้ววางร่างของลอร่าพิงกับต้นไม้แถวนั้น เพื่อให้ลอร่าสามารถนอนได้สบายขึ้น เสียงของคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินก็ดังขึ้น ทำให้เขาต้องรีบชิดเท้า แล้วค้อมกายลงทำความเคารพคาริม ที่พึ่งเดินเข้ามา
“ ครับผม!”
ครูฝึกคนนั้นรับคำ และเมื่อเห็นว่าคาริมพยักหน้าก็รีบเดินกลับไปดูแลการฝึกต่อ ซึ่งการกระทำที่เกิดขึ้นเรียกสายตาสยองจากเหล่านักเรียนที่เหลือบตามาเห็นได้เป็นอย่างดี
“มองใกล้ๆแล้วน้องเจ้านี้ ก็น่ารักดีเหมือนกันแหะ”
คาริมนั่งพิงกับต้นไม้ข้างลอร่า จากนั้นก็ช้อนศีรษะของลอร่าขึ้นมาวางไว้บนตักของตนเอง ดวงตาคู่คมมองพินิจดวงหน้าหวานน่ารัก ที่เวลานี้ดูซีดเซียว พร้อมเปรยเสียงเรียบ ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะวางฝ่ามือไว้เหนือหน้าผากมนของลอร่า ให้กระแสน้ำเย็นซึมผ่านชั้นผิวหนังเข้าไป เพื่อรักษาอาการแปรปรวนของพลังเวทในตัวลอร่า เพราะเท่าที่เขาพินิจดูอาการนั้น สาเหตุที่ทำให้ลอร่าเป็นลมล้มไป คงเป็นผลมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถปรับสมดุลของพลังเวทได้ทัน จนไปกระทบระบบไหลเวียนโลหิตภายในร่างกาย ทำให้เกิดอาการหน้ามืด ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ลอร่าฝืนใช้ร่างกายเกินขีดจำกัดเมื่อวานนี้ ร่วมกับการต้องตื่นมาฝึกแต่เช้า
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่กว่าที่ลอร่าจะเริ่มรู้สึกตัว ดวงตาคู่งามกระพริบถี่เพื่อปรับแสง ก่อนจะค่อยๆลืมขึ้น แล้วค่อยๆกวาดมองโดยรอบ แต่แล้วนางก็ต้องตกใจเมื่อมองตรงขึ้นไปเห็นดวงหน้าคมเข้มของใครบางคนกำลังจ้องมอง อาการตกใจทำให้ลอร่ารีบลุกขึ้น ด้วยทั้งชีวิตนางไม่เคยสัมผัส หรือใกล้บุรุษแปลกหน้าคนใดมากเท่านี้ การรีบลุกขึ้นทั้งๆที่สติยังไม่กลับมาดี ทำให้ลอร่าเซไปด้านหลังเล็กน้อย
“จะตกใจอะไรนักหนา”
คาริมเอ่ย อย่างขบขัน ขณะเงยหน้าขึ้นมองดวงหน้าตื่นตระหนกของลอร่า ที่ยิ่งดูตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อเห็นหน้าเขาชัดๆ
“ท่าน คือ ท่านผู้บังคับบัญชาการกองเรือแห่งไอริส คาริม แรทลูเอิร์ก”
ลอร่าเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเรียบ ด้วยสีหน้าที่กลับมาราบเรียบเช่นปกติ
“เรียกซะเต็มยศเชียว เรียกแค่ท่านครูคาริมเฉยๆก็ได้ อีกอย่างดูเหมือนเจ้าจะลืมการพบกันครั้งแรกของเราไปแล้วนะ ลอร่า”
คาริมลุกขึ้นยืน พลางมองลอร่าด้วยความขบขัน พร้อมรอยยิ้มชวนขนลุก ที่ลอร่าต้องพยายามทำใจแข็ง และนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายพูด ซึ่งนางก็ใช้เวลาไม่นานในการระลึกความหลัง เมื่อครั้งที่พี่หญิงพานางมาเที่ยวที่โรงเรียนเตรียมทหารครั้งแรก
“ไม่ได้ลืมค่ะ ท่านครูคาริม”
“งั้นรึ ก็ดี เพราะเจ้ายังต้องเจอข้าอีกนาน”
คำเอ่ยแฝงนัยที่ลอร่ารู้สึกหวาดเสียวอย่างบอกไม่ถูก ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างบอกนางว่าท่านครูคาริมคนนี้ ไม่ใช่คนที่นางควรเข้าใกล้แม้แต่น้อย อีกอย่างจากข่าวลือที่พวกเจนน่ามักจะนำมาเล่าให้นางฟัง นางก็พอจะรู้ว่าท่านครูตรงหน้าเป็นคนประเภทที่นางชอบน้อยที่สุด และถ้าเลือกได้นางจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด
“ขอตัวค่ะ”
ลอร่าทำทีเป็นไม่สนใจคำพูดประโยคหลังของท่านครูคาริม นางค้อมกายลงก่อนจะเตรียมกลับไปร่วมการฝึกภาคเช้ากับเพื่อนๆ หากไม่มีเสียงรั้งของท่านครูคาริม
“แค่วิ่งไม่กี่รอบก็เป็นลม แล้วจะไปฝึกรวมกับคนอื่นได้หรอ”
คาริมเปรยเสียงเรียบ ซึ่งคำพูดของคาริมทำให้ลอร่าหันกลับมาจ้องเขาเขม็ง และแม้ดวงหน้างามจะราบเรียบหากดวงตาคู่นั้นกลับเป็นประกายกล้า อย่างดื้อดึง จนคาริมกระตุกยิ้มที่มุม ราวกับว่าเหยื่อได้ติดกับเขาแล้ว
“ข้าทำได้ค่ะ”
ลอร่าเอ่ยแบบเน้นย้ำทุกถ้อยคำ ด้วยสีหน้า และท่าทางจริงจัง โดยไม่รู้เลยว่าตนนั้นติดกับท่านครูจอมเจ้าเล่ห์ตรงหน้าเข้าเต็มเปา ชนิดที่ไม่สามารถถอนตัวได้
“งั้นก็แสดงให้ข้าเห็นสิ่ง ว่าเจ้าสามารถทำได้อย่างที่พูดจริง”
“ยังไงคะ”
ลอร่าจ้องคาริมด้วยสายตาแข็งกร้าว ขณะเอ่ยถามถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้นางพิสูจน์
“ไม่ยาก วันนี้เจ้ากลับไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ข้าจะรอเจ้าที่นี้ตอนตีสี่ เพื่อพิสูจน์สิ่งที่เจ้าพูด”
คำแนะนำ และข้อเสนอของคาริม ทำให้ลอร่าเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจในความคิดอีกฝ่าย กระนั้นลอร่าก็ไม่มีทางเลือกมากนัก นางจึงต้องรับคำ แล้วค้อมกายลงทำความเคารพอีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับไปทางหอพัก
“ทราบค่ะ”
“อย่าสายล่ะ เพราะถ้าสายวิดพื้น นาทีละสิบครั้ง...”
คำสั่งเชิงขบขู่ไม่ได้ทำให้ลอร่านึกกลัวมากไปกว่า การที่นางหันกลับมามองท่านครูคาริมอีกครั้ง พร้อมค้อมกายลงรับคำสั่ง ก่อนจะเดินกลับไปยังหอพัก ตามคำแนะนำ
“ช่างแกล้ง...”
คำเปรยของใครบางคนที่ดังขึ้น หลังจากที่ลอร่าเดินจากไปแล้ว ไม่ได้ทำให้คาริมตกใจ ด้วยเขารู้สึกถึงการมาเยือนของท่านครูใหญ่แห่งโรงเรียนเตรียมทหารได้สักพักแล้ว
“ก็มันน่าแกล้งนิครับ ท่านซีอุส”
“ระวังเถอะ ท่านข้าหลวงจะบุกมาจัดการถึงนี้”
ซีอุสเตือนอย่างไม่จริงจังนัก ด้วยเขารู้อยู่แล้วว่าต่อให้ท่านข้าหลวงดักลาสบุกมาจริง ชายหนุ่มตรงหน้าเขาก็สามารถหาทางเอาตัวรอดได้ แถมยังสามารถโยนความรับผิดชอบให้คนอื่นได้อีกด้วย
“อย่างไรคนที่โดนก็ไม่ใช่ข้า...”
หลังการฝึกภาคเช้าที่กินเวลากว่าสองชั่วโมงครึ่งจบลง พวกนักเรียนก็รีบแยกย้ายกันกลับไปทำกิจวัตรส่วนตัว และรับประทานอาหารเช้าที่หอพักกันอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคาบเรียนแรกจะเริ่มเวลาแปดโมงครึ่ง และคงไม่มีนักเรียนคนไหนอยากเข้าห้องเรียนสายตั้งแต่คาบแรกของเทอม แล้วต้องโดนเรียกไปซ่อมวินัยกับท่านเนรีสตั้งแต่เปิดเทอมแน่ ด้วยใครก็รู้ว่าการสั่งซ่อมของท่านเนรีสนั้นเป็นอะไรที่น่าขยะที่สุด เพราะนอกจากจะโดนซ่อมแล้ว พวกเขายังต้องนั่งคัดกฏระเบียบของโรงเรียนอีกเป็นสิบรอบ และเขียนรายงานความผิดอีกด้วย
เมื่อเสียงระฆังเข้าเรียนดังขึ้น นักเรียนที่กำลังเดินลอยชายกันอยู่ตามระเบียงทางเดินก็รีบวิ่งเข้าไปประจำที่ทันที วิชาแรกตามตารางเรียนของนักเรียนปีหนึ่งห้องหนึ่ง คือ วิชาประวัติศาสตร์อาณาจักร ซึ่งเป็นวิชาที่ชวนให้ง่วงนอนตั้งแต่เริ่มเรียน ทำให้มีหลายคนที่ตั้งหนังสือเล่มหนาขึ้นเพื่อใช้ในการแอบนอน แบบไม่เกรงใจครูฝึกที่สอนอยู่หน้าห้องแม้แต่น้อย จนครูฝึกที่สอนอยู่หน้าห้องเริ่มทนไม่ไหว ปาชอล์กที่ใช้สำหรับเขียนกระดานไปปลุกเจ้าพวกที่คิดนอนในห้องเรียนเขาอย่างไม่เกรงใจ
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อาณาจักรกันดีเหลือเกินน่ะ ถึงได้กล้าหลับในวิชานี้”
คำประชดจากครูฝึกหน้าห้องดังขึ้นให้นักเรียนในห้องทั้งที่หลับ และไม่ได้หลับได้ร้อนๆ หนาวๆ กระนั้นลอร่าก็เพียงเงยหน้าจากหน้าหนังสือที่กางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเท่านั้น
“เอริค!”
เสียงเรียกชื่อจากครูฝึก ทำให้เจ้าของชื่อต้องรีบลุกพรวดยืนขึ้นแทบไม่ทัน
“ชนเผ่าโบราณใดบ้างที่มีอิทธิพลต่อระบบการปกครองของไอริส”
สายตาของครูฝึกจ้องเขม็งมาที่เอริค ทำให้เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น พร้อมส่งยิ้มจืดชืดไปให้ครูฝึก สายตาสอดส่ายมองหาตัวช่วยไปทั่วห้อง กระนั้นเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้กันก็ทำเพียงส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ ส่วนบางคนทำหน้าทำตาเป็นเชิงบอกว่าให้เขาหันไปถามคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ริมห้อง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขอความช่วยเหลือจากเด็กสาวคนเดียวในห้องก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง
“โจเซฟ!”
เสียงเรียกชื่อที่สองดังขึ้น จนคนที่กำลังหาวิธีช่วยเพื่อนสะดุ้ง รีบลุกพรวดยืนขึ้นทันที
“รู้คำตอบมั้ย”
คำถามย้ำจากครูฝึก ยิ่งทำให้คนที่ต้องหาคำตอบช่วยเพื่อนหน้าซีดเผือด ครันจะให้เขาหันไปขอคำตอบจากลอร่าที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ทำไม่ได้ เพราะหากเขาทำครูฝึกหน้าห้องจะต้องรู้แน่
“อะเอ่อ....”
“เจ้าล่ะ โคบัส!”
แล้วตัวช่วยที่สามก็ถูกเรียก ทำให้เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อ จำใจลุกขึ้นยืนแม้ว่าเขาจะไม่รู้คำตอบก็ตาม ก็เขาจะไปรู้ได้ไงล่ะ ในเมื่อตั้งแตเริ่มคาบเรียนเขาก็หลับมาตลอด พึ่งจะมาตื่นก็ตอนที่โดนชอล์กปาใส่หัวนิแหละ
“ไม่ทราบครับ”
“งั้นนี้ล่ะ ใครเป็นวีรบุรุษผู้รวบรวมอาณาจักร และแยกส่วนไอริสออกจากชนเผ่าโบราณ รวมถึงต่อมาบุคคลเหล่านั้นมีความสำคัญอย่างไร”
“ไม่ทราบครับ”
โคบัสต้องพยายามก้มหน้าลงไม่สบสายตากับครูฝึกที่เวลานี้กวาดตามองนักเรียนทั่วทั้งห้องด้วยสายตาไม่พอใจ
“มีใครให้คำตอบข้าได้บ้างมั้ย ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องทำรายงานทั้งสองเรื่องนี้ส่งในคาบถัดไป”
คำคาดโทษของครูฝึก ทำให้นักเรียนที่จะต้องทำรายงานส่งถึงสองเรื่องตั้งแต่คาบแรกต้องรีบมองหาคำตอบที่น่าจะอยู่ในหนังสือเล่มที่พวกเขาเปิดกางไว้
“ลอร่า...ช่วยหน่อยสิ”
โจเซฟอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังขะมักเขม้นหาคำตอบในหนังสือ และครูฝึกกำลังหันไปมองเพื่อนอีกด้าน หันมากระซิบถามลอร่าที่นั่งนิ่งมองเพื่อนหาคำตอบกันโดยไม่คิดจะชำเลืองตามองที่หนังสือเรียนแม้แต่น้อย ซึ่งนั้นก็อยู่ในสายตาของเอริคที่เหลือบตามามอง และบอกได้ไม่ยากว่าหากเขาไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อนสาวคงเอาแต่นั่งนิ่ง ไม่คิดช่วยพวกเขาแน่ ทำให้เขาจำต้องยกมือขึ้นขออนุญาตครูฝึก เพื่อหาทางรอดให้ตนเอง และเพื่อนร่วมห้อง
“ขออนุญาตครับ!”
เสียงขออนุญาตที่ดังขึ้น ทำให้นักเรียนทั้งห้องหันไปมอง ร่วมถึงโจเซฟด้วยที่ละสายตาออกจากลอร่า หันไปมองเอริคที่กำลังยืนยกมือขออนุญาต
“รู้คำตอบแล้วรึ”
“เปล่าครับ แต่ลอร่ารู้คำตอบของสองคำถามนั้น”
ลอร่าหันขวับไปมองคนหาเรื่องที่กำลังยิ้มร่าที่สามารถคิดหาทางเอาตัวรอด จากการโยนเรื่องมาให้นางถึงที่ แล้วนางต้องรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเสียงเรียกชื่อนางดังขึ้น
“ลอร่า ในเมื่อรู้คำตอบทำไมไม่ตอบแต่แรก ทำไมถึงเอาแต่เงียบไม่คิดช่วยเพื่อน หรือคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดจนไม่เห็นหัวใคร”
คำตำหนิของครูฝึกไม่ได้ทำให้สีหน้าของลอร่าเปลี่ยนไป นางเพียงรับคำตำหนินิ่ง โดยปราศจากคำแก้ตัว จนคนที่พึ่งโยนระเบิดให้เพื่อนเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ
“สรุปคำตอบคืออะไร”
“ชนเผ่าโบราณที่มีอิทธิพลต่อการปกครองของไอริสเสมอมาคือ ชนเผ่าอัคคี ผู้ควบคุมดูแลหุบเขาภูเขาไฟทางทิศใต้ ชนเผ่าศิลาผู้ดูแลเขตรอยต่อระหว่างชายแดนฟาจิแลนด์ และไอริสทางทิศเหนือ ชนเผ่าวิหค ดูแลเทือกเขาเลวินวา และชนเผ่าวารีดูแลผืนสมุทร และผืนน้ำรอบเขตแดนไอริสค่ะ”
คำตอบของลอร่าทำให้สีหน้าของครูฝึกดีขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สายตานั้นจ้องมองพินิจเด็กสาวผู้โด่งดังตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในโรงเรียนอย่างสนใจ ด้วยยังไม่เคยมีเด็กคนไหนสามารถตอบคำถามเขาได้ชัดเจนเช่นนี้มาก่อน หากสิ่งที่เขายังไม่รู้คือ ลอร่านั้นรู้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้มากกว่าที่มันเขียนในหนังสือประวัติศาสตร์เสียอีก นางรู้ว่านอกจากสี่ชนเผ่าที่ตอบไปนั้น ยังมีอีกสองชนเผ่าที่เป็นเงามืดของการปกครอง ชนเผ่าที่ถูกห้ามไม่ให้มีการพูดถึง
“แล้วอีกคำถาม?”
“ผู้ที่รวบรวม และแยกการปกครองของไอริสออกมาจากชนเผ่าโบราณคือ ท่านเฮนรี่ คาสเตอร์ ท่านดาร์เลียส สแตรนเรียร์ ท่านโดนาแกน ลิงคอล์น และท่านอัลเบอร์ริก ดักลาส ซึ่งต่อมาท่านเฮนรี่ คาสเตอร์ได้ขึ้นเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไอริส ส่วนอีกสามท่านเป็นข้าหลวงผู้ปกครองประจำเขตคฤหาสน์ทั้งสาม ส่วนเขตคฤหาสน์ตะวันตกในเวลานั้นมีท่านฮัพเวิร์ธ คาสเตอร์ผู้เป็นน้องชายดูแล”
ลอร่าสามารถตอบคำถามนี้อย่างไม่ยากเย็นเช่นคำถามอื่นๆ ด้วยเรื่องนี้คือสิ่งที่นางถูกสอนมาตลอด ประวัติศาสตร์ราชวงศ์เป็นสิ่งที่เชื้อพระวงศ์ทุกคนต้องรู้ นอกจากนั้นยังต้องรู้ด้วยว่าหลังการขึ้นครองบัลลังค์ขององค์กษัตริยเฮนรี่ ทำให้เกิดคำมั่นสัญญาระหว่างสี่ตระกูลขึ้น เพื่อเป็นการเชื่อมโยงทั้งสี่ตระกูลเข้าด้วยกันในฐานะของราชวงศ์ไอริส
คำตอบคราวนี้ก็สามารถทำให้ครูฝึกพอใจได้เพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึง แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เด็กทั้งหมดนั่งลง และเริ่มสอนต่อ เขากลับกราดมองเด็กทั่วทั้งห้อง ก่อนจะมาหยุดมองที่ลอร่า ด้วยสายตาเรียบเฉย พร้อมคำถามที่ยากที่สุดที่เขาคิดว่าเด็กสาวตรงหน้าจะตอบไม่ได้
“เหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อรัชสมัยขององค์กษัตริย์คาสซาน ลิงคอล์นทำให้ระบบการปกครองของไอริสเปลี่ยนไปอย่างไร”
คำถามคราวนี้ทำให้ลอร่าต้องลอบระบายลมหายใจออกมาน้อยๆ ก่อนตอบคำถามที่นางไม่ได้รู้สึกถึงความยากสักนิด ซึ่งนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่าครูฝึกตรงหน้าลืมไปรึเปล่าว่านางเป็นเชื้อพระวงศ์ ถึงได้ถามคำถามพวกนี้กับนาง และหวังว่านางจะไม่รู้คำตอบ ใช่...ลอร่ารู้ว่าตอนนี้นางกำลังโดนครูฝึกตรงหน้าลองเชิง และเขาก็กำลังหวังว่านางจะตอบคำถามเขาไม่ได้ เพื่อที่เขาจะได้สั่งการบ้านพวกที่อยู่ในห้องนี้ที่ไม่ตั้งใจเรียนในคาบเรียนนี้ได้ถนัด
“หลังการปฏิวัติครั้งนั้นทำให้ราชบัลลังค์เปลี่ยนมือมาเป็นขององค์กษัตริย์มาเซนล์ ลิงคอล์นผู้เป็นพระอนุชาค่ะ เมื่อองค์กษัตริย์มาเซลล์ขึ้นครองราชย์ได้จัดตั้งให้มีคณะปราชญ์ทั้งสิบสอง และปราชญ์หลวงเลโมธีเป็นที่ปรึกษา เพื่อดูแลอาณาเขตเวท และคัดสรรรัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังค์ นอกจากนั้นยังมีการจัดทำสนธิสัญญาความร่วมมือกันระหว่างอาณาจักร กับชนเผ่าโบราณทั้งสี่ เพื่อป้องกันเหตุการณ์การปฏิวัติด้วยค่ะ”
ลอร่าตอบ และสามารถอธิบายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้อย่างครบถ้วน ไม่มีติดขัดประหนึ่งนางได้กินตำราประวัติศาสตร์เข้าไปทั้งเล่ม แต่ก่อนที่ครูฝึกหน้าห้องจะมีโอกาสตั้งคำถามมาถามนางต่อ เสียงระฆังหมดคาบเรียนก็ดังขึ้น ทำให้เด็กทั้งห้องกลับมาหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่านอกจากลอร่าแล้ว เรื่องพวกนี้จะไม่มีใครในห้องนี้รู้เลยสักคน แถมพวกเจ้ายังตั้งอกตั้งใจเรียนคาบนี้กันมาก ดังนั้นในฐานะที่พวกเจ้าตั้งใจเรียนกันเป็นอย่างดี ก็ไปเขียนสรุปสิ่งที่เพื่อนพวกเจ้าอธิบายไปเมื่อครู่มาส่งในคาบเรียนหน้า”
สิ้นเสียงคำสั่งสีหน้าที่ดูดีขึ้นของนักเรียนในห้องก็กลับมาซีดอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อครู่ตอนที่พวกเขาโยนปัญหาไปให้ลอร่า และตอนที่นางกำลังตอบคำถามนั้น ไม่มีใครในห้องจดไว้สักคน แล้วทีนี้พวกเขาจะทำการบ้านส่งในคาบเรียนหน้ายังไงล่ะ
“โทษที ลอร่า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าเดือดร้อน”
เอริคที่เป็นตัวต้นเรื่องในการโยนระเบิดมาให้ลอร่าเอ่ยอย่างสำนึกผิด กระนั้นลอร่าก็เพียงหันมองเพื่อนด้วยสายตาราบเรียบ ไม่มีแม้แต่แววตำหนิ
“ครูฝึกท่านนั้นตั้งใจทดสอบข้าแต่แรกแล้ว ฉะนั้นต่อให้เจ้าไม่ทำ ยังไงชื่อต่อไปที่เขาจะเรียกก็คือข้า แต่ถ้าเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ คาบเรียนหน้าก็ควรตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้”
คำกล่าวนี้ทำให้คนฟังแทบน้ำลายติดคอ
“แต่ยังไงเจ้าก็จะช่วยพวกข้าทำการบ้านใช่มั้ย”
โจเซฟถาม เพราะหากลอร่าไม่ช่วยพวกเขาในครั้งนี้เห็นทีพวกเขาจะไม่มีการบ้านวิชาประวัติศาสตร์ส่งในคาบหน้าเป็นแน่
“คำตอบทั้งหมดอยู่ในหนังสือ ถ้าพวกเจ้าอยากหาคนช่วยจริงๆ ก็หาเอาจากในหนังสือ”
คำกล่าวแบบตัดความหวังของลอร่าทำให้เด็กทั้งห้องแทบอ้าปากค้าง ด้วยเขาไม่คิดว่านางจะเล่นไม้นี้ แถมยังแนะนำให้พวกเขาไปอ่านหนังสือชวนง่วงเล่มนั้นอีก กระนั้นพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรีบกลับไปนั่งที่เนื่องจากครูฝึกท่านต่อมาเดินเข้ามาแล้ว วิชาที่สองเป็นวิชากลยุทธซึ่งสอนโดยครูฟิเดสที่เป็นครูที่ปรึกษาของพวกเขา ทำให้คาบเรียนนี้ไม่มีใครกล้าแอบหลับสักคน อีกอย่างจากประสบการณ์การลงโทษเมื่อคาบเรียนที่แล้วก็ทำให้พวกเขาขยะไม่คิดอย่างลองดีอีก กระนั้นคนที่จำต้องรับศึกหนักในการตอบคำถามของครูฟิเดสก็คงหนีไม่พ้นลอร่า ที่ต้องค่อยตอบคำถามแทบจะทุกคำถามที่ครูฟิเดสส่งมา การเรียนวิชาที่สองจบลงแบบเรียบง่าย และต่อด้วยวิชาการใช้อาวุธขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นส่วนของทฤษฎี ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายในช่วงเช้า ก่อนที่พวกเขาทั้งหมดจะต้องลงไปทำการทดสอบสมรรถภาพร่างกายก่อนเข้าเรียน เพื่อใช้วัดผลระหว่างต้นเทอมและปลายเทอม
ความคิดเห็น