ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~Because I am the princess~

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 10 ติวเข้ม (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 63


    บทที่ 10 ติวเข้ม (รีไรท์)

                  ก๊อก! ก๊อก!

                  เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้ลอร่าที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ริมหน้าต่างเหลือบสายตาไปมองทางบานประตู พลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ด้วยความประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าจะมีใครมีธุระกับนางแต่เช้าเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันที่ลอร่าจะเอ่ยอนุญาต หรือลุกออกไปเปิดประตู ใครบางคนก็เดินเข้ามาในห้องนอนนาง อย่างถือวิสาสะเสียแล้ว

                  “อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนนอนหลับมั้ย”

                  จีน่าเดินเข้ามาในห้องของลอร่า พร้อมด้วยเจนน่าที่เดินตามเข้ามา พลางมองหาที่นั่งภายในห้อง แล้วเดินไปนั่งที่ปลายเตียง ทิ้งให้จีน่าเป็นผู้เอ่ยทักผู้เป็นเจ้าของห้อง ที่ยังคงนั่งมองมาทางพวกนางด้วยสีหน้า และแววตาเฉยชา

                  “ชอบอ่านหนังสือหรอ”

                  เมื่อเห็นว่าคำถามแรกของตนไม่ได้รับความสนใจ จีน่าจึงลองเปลี่ยนคำถามใหม่ เผื่อว่ามันจะเรียกความสนใจจากเพื่อนใหม่นางได้ กระนั้นคนที่ควรมีปฎิกิริยาตอบสนอง กลับเพียงมองด้วยสายตาที่ไม่เปลี่ยนแปลง

                  “มีธุระอะไร”

                  คำถามราบเรียบ พร้อมด้วยสีหน้า และแววตาไร้อารมณ์ ทำให้เจนน่าที่เป็นผู้ร่วมรับบรรยากาศเย็นยะเยือกนี้ลอบประณามเพื่อนใหม่ตรงหน้าเบาๆ ว่าเป็นพวกไร้มนุษยสัมพันธ์ จนถึงขั้นตายด้าน และนางสาบานได้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะจีน่าชวนเข้ามา นางจะไม่มีวันเหยียบเข้ามาในนี้เป็นอันขาด

                  “ต้องพูดว่า อรุณสวัสดิ์สิ เวลาเจอหน้าเพื่อนตอนเช้า”

                  เป็นอีกครั้งที่จีน่าต้องสอนสิ่งที่คนปกติเขาทำกันให้กับลอร่า ด้วยนางตัดสินจากท่าทีเฉยชาจนเกินเหตุของลอร่าว่าเป็นเพราะลอร่าไม่รู้วิธีทักทายเพื่อนในยามเช้า

                  “ทำไมข้าจะต้องพูด ในเมื่อพวกเจ้าเข้ามาในห้องข้า ก็ต้องมีธุระกับข้าสิ ไม่งั้นจะเข้ามาทำไม”

                  คำถามเสียงเรียบ ด้วยสีหน้า และแววตาที่ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ ทำให้จีน่าถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ อย่างอ่อนใจ ด้วยนางไม่รู้จริงๆว่าตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาลอร่าใช้ชีวิตอย่างไร กระนั้นคนที่เมื่อครู่กำลังแอบด่าเพื่อนใหม่ในใจ ก็ต้องพยายามกลั้นหัวเราะไว้สุดฤทธิ์ ยิ่งเมื่อเห็นท่าทีจริงจังขณะถามของลอร่า ยิ่งทำให้เจนน่าชักจะเชื่อเรื่องที่จีน่าเล่าให้ฟังเมื่อคืนมากขึ้น

                  “ถ้าเจ้าจะหัวเราะ ก็มาช่วยกันหน่อยไม่ได้รึไง เจนน่า”

                  จีน่าที่รู้สึกว่าครั้งนี้นางไม่สามารถรับมือกับความอ่อนต่อโลกจนเข้าขั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยของลอร่าได้ เริ่มร้องโว้ยขึ้น เมื่อเห็นว่าเจนน่าเอาแต่นั่งกุมท้องอยู่บนเตียง

                  “ก็ได้ๆ”

                  เจนน่าต้องใช้ความพยายามโดยการไม่หันไปมองหน้าลอร่าตรงๆ จึงจะสามารถหยุดหัวเราะได้ นางสูดหายใจเข้าปอดลึก อย่างทำใจ ก่อนจะลองหันไปมองหน้าลอร่าอีกครั้ง พร้อมหาคำอธิบายที่นางคิดว่ามันดูดี และเข้าใจง่ายที่สุด

                  “ฟังนะ บางครั้งการที่เพื่อนเข้ามาในห้องก็ไม่ได้แปลว่าต้องมีธุระอะไรเสมอไปหรอก อาจจะแค่เข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบ หรือไม่ก็คุยเล่นธรรมดาก็ได้ อย่างเช่นเมื่อกี้ ที่จีน่าถามเจ้าว่านอนหลับมั้ย เจ้าก็ควรตอบนางไปว่าเจ้านอนหลับหรือนอนไม่หลับ อ้อ! แล้วเวลาคนพูดว่าอรุณสวัสดิ์กับเจ้า เจ้าก็ควรทักตอบด้วย”

                  “จำเป็นด้วย?

                  ลอร่าย้อนถาม อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมนางจะต้องทำเรื่องที่ฟังดูวุ่นวายเช่นนี้ ก็ปกตินางไม่เห็นจะต้องมาทักทายคนโน้นคนนี้เลยนิ อีกอย่างเวลาท่านพ่อเข้ามาหานางก็จะมีเรื่องให้นางทำทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นท่านก็ไม่ถามหา

                  “แน่นอน อีกอย่างเจ้าไม่ควรเที่ยวถามใครว่ามีธุระอะไร ด้วยสีหน้าอย่างนั้นนะ น่ากลัวชะมัด ไปเถอะ ข้าหิวแล้ว”

                  จีน่าเอ่ย ขณะที่ชวนคนทั้งหมดลงไปหาอะไรกินด้านล่าง ซึ่งทั้งเจนน่า และลอร่าก็ไม่ได้ขัดคล่องอะไร ทั้งหมดจึงเดินลงบันไดไปยังห้องอาหาร ที่เวลานี้เต็มไปด้วยเหล่านักเรียนที่หิวโหย

                  “นั้นสิ จริงๆเจ้าน่าจะทำสีหน้าให้ดูมีชีวิตชีวามากกว่านี้นะ แล้วก็เลิกแช่แข็งชาวบ้านด้วยบรรยากาศน่าขนลุกนั้นด้วย ไม่สิ เจ้าควรเปลี่ยนสายตาที่ใช้มองคนอื่น นี้ไงอย่างตอนนี้ น่ากลัวชะมัด”

                  เจนน่าเสริม พร้อมทำท่าขนลุกขนพองประกอบ ขณะที่หันไปมองสายตานิ่งของลอร่า ที่ตอนนี้เลิกคิ้วขึ้น อย่างไม่เข้าใจสิ่งที่เจนน่าพูด กระนั้นมันก็เรียกเสียงหัวเราะอย่างขบขันได้จากคนที่เข้าใจสิ่งที่เจนน่าพูดเป็นอย่างดี อย่างจีน่า

                  “จะพยายามแล้วกัน”

                  สุดท้ายลอร่าก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เจนน่าพูดอยู่ดี กระนั้นนางก็ทำเพียงระบายลมหายใจ พลางรับคำอีกฝ่าย  ก่อนจะเดินตามจีน่าเข้าไปในห้องอาหาร ที่เวลานี้บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารเช้าหลากหลายชนิด แถมยังเต็มไปด้วยเหล่ารุ่นพี่ที่ลงมาจับจองที่นั่ง แล้วหาอะไรใส่ท้อง

                  สำหรับเวลาเช้า และเย็นของช่วงปิดเทอม นักเรียนทุกคนจะยังรับประทานอาหารกันที่หอพักที่ตนเองสังกัด แต่ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอม มื้อเช้า และมื้อกลางวันนักเรียนจะต้องไปรับประทานอาหารร่วมกันที่โรงอาหารกลางของโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อฟังการอบรม และฝึกระเบียบวินัย จากครูฝึกภายในโรงเรียน ส่วนในตอนเย็นจะกลับมารับประทานอาหารที่หอพัก ซึ่งนั้นถือเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุด  

                  เมื่อน้องใหม่ทั้งสามเดินเข้ามา ก็สามารถตกเป็นเป้าสายตาของเหล่ารุ่นพี่ที่ยังคงเห่อน้องใหม่ได้เป็นอย่างดี เมื่อมีมือหลายมือโบกเรียกให้น้องๆทั้งสามเข้าไปนั่งตรงที่ว่างใกล้ๆ กับที่ตนนั่งรับประทานอาหารเช้า ซึ่งจีน่า และเจนน่าก็ต้องชะงักไปหลายนาที เมื่อไม่สามารถเลือกได้ว่าควรจะไปนั่งที่ตรงไหนดี แต่แล้วความลังเลใจก็สิ้นสุดลง เมื่อลอร่าเดินนำไปนั่งตรงที่นั่งที่ว่างแถวๆกลางโต๊ะ ซึ่งว่างอยู่สามที่พอดี       

                  “คืนแรกหลับสบายกันมั้ย”

                  คำถามจากรุ่นพี่สาว ที่นั่งอยู่ข้างจีน่าดังขึ้น แทบจะทันทีที่เด็กทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้

                  “สบายดีค่ะ”

                  จีน่าเป็นตัวแทนของเพื่อนตอบ พลางรับตะกร้าขนมปังจากรุ่นพี่ แล้วหยิบขนมปังชิ้นหนึ่งใส่จาน ก่อนส่งให้เจนน่า และลอร่า

                  “วันนี้ต้องทำอะไรบ้างคะ”

                  เจนน่าเอ่ยถามขณะที่มือก็หยิบขนมปัง และส่งตะกร้าต่อไปให้ลอร่า ที่ละมือจากสลัดผักกลางโต๊ะ หันมารับตะกร้าขนมปังจากเจนน่าแทน หากสายตากลับเหลือบมองการสนทนาของจีน่า เจนน่า และรุ่นพี่สาว อย่างสนใจ
                  “มีกิจกรรมรับน้องอีกนั้นแหละ แต่จะเป็นอะไรไว้พวกเจ้าเจอก็จะรู้เอง รีบกินเถอะ ไปสายมีหวังโดนพี่ลาซูลีเล่นงานแน่”

                  คำเตือนนั้น มีผลให้น้องใหม่ทั้งสาม ต้องรีบจัดการกับอาหารเช้าตรงหน้าตนเองให้เสร็จ และไปยังสถานที่นัดหมายในวันนี้ ด้วยพวกนางยังไม่อยากโดนพี่ประธานนักเรียนเล่นงานตั้งแต่วันแรก

                  สิบนาทีต่อมา พวกลอร่าก็เดินมาถึงบริเวณลานกว้าง อันเป็นสถานที่นัดหมายในการทำกิจกรรมของวันนี้ เวลานี้มีนักเรียนชั้นปีที่ 1 มากันจนเกือบครบ ทำให้ทั่วทั้งบริเวณเกิดเสียพูดคุยดังจอแจ เนื่องจากเวลานี้ยังไม่มีรุ่นพี่คนไหนลงมาที่สนาม จะมีก็เพียงพวกพี่ลาซูลีที่กำลังพูดคุยอะไรบ้างอย่างกับพี่พาเซอร์ และพี่ราเมียด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง จากนั้นไม่กี่นาทีร่างสูงของเหล่าพี่ปีสองก็เดินตรงเข้ามาในสนาม ด้วยสีหน้าบึงตึง

                  “มัวรออะไร มากันแล้วก็เข้าแถวสิ”

                  เสียงรุ่นพี่ปี 2 ดังก้องไปทั่วทั้งสนามให้เหล่านักเรียนปี 1 ที่กำลังยืนกระจัดกระจายรีบตะลีตะลานเข้าแถว กระนั้นก็ใช้เวลาไปมากโขกว่าที่มันจะกลายเป็นแถวตอนเรียงสิบ

                  “นับ!”

                  เมื่อเห็นว่านักเรียนใหม่เข้าแถวกันเรียบร้อยแล้ว พี่ปี 2 ที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าชั้นปีก็สั่งให้ปี 1 นับจำนวน ในขณะที่พี่ปี 2 คนอื่นๆก็พากันเดินล้อมกรอบปี 1 ไว้

                  “ไม่ได้ยิน!

                  “ดังๆ ให้นับจำนวนไม่ได้ให้กระซิบกัน ทีตอนคุยกันนี้เสียงดังไปถึงหน้าโรงเรียน”

                  แม้พวกปี 1 จะรู้สึกว่าเสียงนับดังก้องไปทั่วสนาม กระนั้นมันก็ไม่ดังถูกใจรุ่นพี่ปี 2 ทำให้เสียงนับจำนวนดังก้องสลับไปกับเสียงคำสั่งให้นับใหม่

                  “สองร้อยครบครับ!”

                  คนที่ยืนอยู่ท้ายแถวก้าวออกมาด้านข้างแล้วตบเท้ายืนตัวตรงก่อนรายงานจำนวนเพื่อนทั้งชั้นปีเสียงดัง ขณะที่พี่ที่เป็นหัวหน้าชั้นปีสองเดินตรวจแถวน้องปีหนึ่ง ด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาคมปรายมองตั้งแต่หัวแถวไปจนถึงท้ายแถวที่ขดเป็นงูเลื้อย ขณะที่แถวหน้ากระดานก็สลับขึ้นลงอย่างกับคลื่น

                  “อะไรกัน! จัดแถวแค่นี้ยังไม่เป็นแถว เวลาจัดแถวนี้เคยมองเพื่อนคนข้างๆบ้างมั้ย หรือมองแต่ตัวเอง”

                  เหล่าปีหนึ่งที่เข้าแถวไม่เป็นแถวเริ่มรับรู้ชะตากรรมตัวเองว่าอีกไม่อีกนาทีข้างหน้าพวกเขาคงโดนสั่งลงโทษจากรุ่นพี่ตรงหน้าแน่

                  “ปีหนึ่ง สิบวิ! จัดแถวปฏิบัติ!

                  เสียงคำสั่งจากหัวหน้าชั้นปีสองดังก้องไปทั่วสนามจนเหล่าปีหนึ่งที่จัดแถวไม่เป็นแถวต้องรีบตะลีตะลานขยับไปมาภายใต้เสียงตะโกนกดดันจากเหล่าปีสองที่ยืนล้อมกรอบอยู่ ก่อนที่การจัดแถวจะเสร็จสิ้นดูเหมือนความอดทนของพี่ปีสองจะถึงขีดสุด เมื่อหัวหน้าชั้นปีสองสั่งให้น้องปีหนึ่งกอดคอกันลุกนั่งโทษฐานจัดแถวไม่เป็นแถว ซึ่งจำนวนก็ไม่ได้มากมายอะไรก็แค่ทำเอาแต่ละคนถึงกับขาสั่นเท่านั้นเอง  

                  “ปีหนึ่งจัดแถว!

                  หลังจากที่ปีหนึ่งโดนลงโทษไปเป็นที่เรียบร้อยหัวหน้าปีสองก็สั่งให้น้องปีหนึ่งจัดแถวอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มีเหล่าปีสองลงไปควบคุมกระนั้นมันก็ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายเมื่อน้องปีหนึ่งมีจำนวนเยอะ และแต่ละคนก็ยังไม่เคยชินกับการเข้าแถวตอน จนในที่สุดลาซูลีและพี่ปีสี่ที่ตอนแรกยืนอยู่ตามศาลาบริเวณขอบสนามเริ่มทนไม่ไหวต้องเดินเข้ามาในสนามด้วยสีหน้าถมึงทึง ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มทำเอาน้องปีหนึ่งบางคนที่เหลือบไปเห็นถึงกับหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว

                  “พอ!

                  ลาซูลีสั่งเสียงเข้ม ก่อนที่เขาจะเดินมาหยุดยืนตรงหน้าน้องปีหนึ่ง คำสั่งของเขามีผลให้การกระทำทั้งหมดในสนามหยุดนิ่ง น้องปีหนึ่งหยุดขยับหาแถว ในขนาดที่ปีสองก็รีบวิ่งกลับไปยืนล้อมน้องปีหนึ่งตามเดิมด้วยสีหน้าราบเรียบ

                  “ปีสองแถวตอนเรียงสิบ ปฎิบัติ!

                  นักเรียนปีสองต่างพากับวิ่งเข้าแถวตามคำสั่งของลาซูลีอย่างรวดเร็ว และเป็นระเบียบขณะที่เสียงนับเลขจากราเมียยังไม่ทันไปถึงสิบ เรียกรอยยิ้มที่มุมปากน้อยๆจากราเมียที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการฝึกระเบียบวินัยให้รุ่นน้อง กระนั้นสีหน้าของลาซูลีก็ยังคงราบเรียบ   

                  “แค่สอนให้ปีหนึ่งจัดแถวยังทำไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องสอน ปีสองยึดพื้นพร้อมกันจนกว่าน้องปีหนึ่งจะจัดแถวเสร็จ ปฏิบัติ”

                  สายตาของลาซูลีปรายมองเหล่าน้องปีหนึ่งก่อนจะเลยมาทางปีสอง แล้วสั่งเสียงเข้ม ทำให้ปีสองต้องรีบหาที่ว่างเฉพาะตัวก้มหน้าก้มตายึดพื้นตามคำสั่งของลาซูลี อย่างพร้อมเพรียง จากนั้นลาซูลีก็หันกลับมามองเหล่าปีหนึ่งที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ด้วยสายตาเอาเรื่อง

                  “จะยืนนิ่งไปถึงเมื่อไร จะให้พี่ปีสองยึดพื้นไปถึงพรุ่งนี้เช้ามั้ย ถึงจะจัดแถวกันได้”

                  ลาซูลีเตือนสติน้องปีหนึ่งให้รับรู้ว่าถ้าวันนี้ปีหนึ่งยังจัดแถวกันไม่เป็นแถว ปีสองก็จะต้องยึดพื้นต่อไปจนกว่าปีหนึ่งจะจัดแถวเสร็จ ซึ่งการเตือนสติครั้งนี้ก็ทำให้ปีหนึ่งรีบขยับเขยื้อนไปทางซ้ายทีขวาที

                  “แค่มองเพื่อนคนข้างๆมันยากนักรึไง”

                  ราเมียที่เดินสำรวจการจัดแถวของปีหนึ่งตะโกนออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่าแถวยังไม่เป็นเส้นตรง และเป็นระเบียบอย่างที่ควร จนในที่สุดก็มีน้องปีหนึ่งสามคนวิ่งออกมาจากแถว และคอยตะโกนกำกับเพื่อนในการจัดแถวให้ตรง ทำให้ปีสี่ที่มองการทำงานของปีหนึ่งยิ้มน้อยๆ กับการแก้ปัญหาของปีหนึ่งในครั้งนี้

                  “พอ!”

                  เมื่อเห็นว่าปีหนึ่งจัดแถวเป็นระเบียบดีแล้ว ลาซูลีก็สั่งให้ปีหนึ่งยืนนิ่ง ก่อนจะหันไปทางปีสองพร้อมออกคำสั่งให้หยุดยึดพื้นได้ ทำให้ปีสองสามารถกลับมายืนเข้าแถวตามเดิมได้

                  “นี้เป็นแค่การเตือน ถ้าครั้งหน้าน้องปีหนึ่งยังไร้ระเบียบกันอีก ปีสองจะต้องรับผิดชอบ ทราบ!”

                  ลาซูลีหันไปเอ่ยกับปีสอง ที่กลับมายืนเข้าแถวตามเดิม พร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาจ้องมองปีสองอย่างเอาเรื่องข้อหาไม่สามารถสอนระเบียบวินัยให้ปีหนึ่งได้

                  “ทราบครับ/ค่ะ”

                  ปีสองตอบรับประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง

                  “ดี ก่อนที่จะเริ่มกิจกรรม ลอร่า ออกมาสิ”

                  คำสั่งคราวนี้เรียกสีหน้าประหลาดใจจากปีหนึ่ง ด้วยไม่มีใครรู้ว่าทำไมอยู่ๆพี่ลาซูลีจะต้องเรียกหาลอร่า กระนั้นลอร่ากลับตบเท้า แล้วเดินออกไปด้านข้างตามคำสั่ง ด้วยสีหน้าราบเรียบ ปราศจากความประหลาดใจ

                  “ตามข้ามา”

                  ลาซูลีปรายตามองราเมีย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ราเมียพาลอร่าออกไปได้จากบริเวณลานกิจกรรม

                  “พี่ราเมียจะพาลอร่าไปไหน”

                  จีน่ากระซิบถามเจนน่าที่ยืนอยู่ข้างๆกันเสียงแผ่ว ด้วยพวกเขายังเกรงพี่ลาซูลีที่ยืนหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหน้า กระนั้นทั้งสองก็อดสงสัย แกมเป็นห่วงเพื่อนใหม่ไม่ได้

                  “ข้าไม่รู้” 

                  "ข้าคงต้องบอกว่าเสียใจที่เพื่อนพวกเจ้าคงไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย เพราะตั้งแต่วันนี้ท่านครูขอจองตัวนาง"

                  คำอธิบายของลาซูลีเรียกสีหน้าสยองขวัญจากปีหนึ่ง โดยเฉพาะพวกนักเรียนชายที่เมื่อคืนพวกเขาได้สัมผัสความโหดมหาโหดของครูฝึกที่ได้ชื่อว่าท่านครูแบบถึงทรวง ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร พวกเขาก็แค่ถูกสั่งให้พุ่งหลังกับนั่งตบฉากจนปวดเมื่อยไปทั้งตัวแค่นั้นเอง

                  “ถ้าเป็นท่านครูคาริมนางตายแน่”

                  ซีซาร์เปรยเสียงแผ่ว ให้เด็กสาวอีกสองคนที่อยู่ในแถวได้ยิน

                  “ไม่ใช่ท่านครูคาริมหรอก ดูโน้นสิ”

                  จีน่าหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าซีซาร์ แล้วมองตามสายตาของเด็กคนนั้นไปทางมุมตึกด้านหนึ่ง ก็เห็นร่างสูงของท่านครูคาริมยืนอยู่ พร้อมด้วยท่านครูอลาสทอลที่ยืนมองมาทางนี้นิ่ง

                  “ถ้าอย่างนั้นก็ต้อง...”

                  “ท่านครูโซเฟีย”

                  เจนน่าต่อ พลางหันหน้ามองจีน่าอย่างสื่อความ ด้วยพวกนางคิดว่าหากเป็นท่านครูโซเฟียลอร่าก็อาจจะไม่โดนอะไรมาก แต่อีกใจก็นึกเป็นห่วง เนื่องด้วยข่าวที่ลอยมาตามลมปากของรุ่นพี่ แบบคนต่อคน บอกให้รู้ว่าครูฝึกที่ได้ฉายาว่าท่านครู ล้วนแล้วแต่มีดีกรีความโหดมากกว่าครูฝึกทั่วไปหลายเท่า ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ท่านเอ็นดูเป็นพิเศษ ซึ่งนี้เป็นสาเหตุที่พวกนางทำหน้าสยองขวัญเมื่อวานตอนเวลาอาหาร ตอนที่ท่านครูโซเฟียบอกว่าจะเอ็นดูพวกนาง เช่นน้องสาวท่าน

                  “ปีหนึ่งใครสั่งให้คุยกัน”

                  เสียงตะโกนถามของพี่ลาซูลีทำให้ปีหนึ่งที่กำลังนึกเป็นห่วงเพื่อนสะดุ้ง เริ่มหันกับมานึกเป็นห่วงในสวัสดิภาพของตัวเองแทน หลังจากที่พวกเขาถูกพี่ลาซูลีสั่งในกอดคอกันยึดพื้นจนแขนขาอ่อนแรง

                  ทางด้านลอร่าที่เดินตามราเมียไป ก็ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกัน มีเพียงสายตาที่ชำเลืองมองร่างบางของรุ่นน้องสาวเป็นระยะเท่านั้น กระนั้นคนถูกมองกลับนิ่งเงียบ ราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระนั้นราเมียพาลอร่าเดินมาถึงสนามหญ้าที่ตั้งอยู่หน้าหนึ่งในอาคารเรียนย่อย ที่ซึ่งโซเฟียกำลังยืนรออยู่
                  "ขอบใจมาก เจ้าไปได้แล้ว"
                  โซเฟียพยักหน้ารับการทำความเคารพของทั้งราเมีย และลอร่า ก่อนเอ่ยปากไล่ราเมียไป ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงค้อมกายลง แล้วเดินออกไป ทำให้เวลานี้เหลือเพียงโซเฟีย และลอร่าเท่านั้น โซเฟียปรายตามองสภาพโชกเหงื่อของน้องสาวก็พอจะรู้ว่าก่อนที่ราเมียจะพาลอร่ามาหานางนั้น พวกปีหนึ่งคงถูกเหล่ารุ่นพี่เล่นงานมาไม่น้อย

                  “หวังว่าเมื่อคืนจะเตรียมใจมาแล้วนะ เพราะวันนี้เจ้าเจอหนักแน่”

                  คำเปรยของโซเฟียไม่ได้ทำให้สีหน้าของลอร่าเปลี่ยนไปจากเดิม ด้วยลอร่ารู้อยู่แต่แรกแล้วว่า หากนางต้องการผ่านการทดสอบภาคปฏิบัติจริงๆ นางคงต้องใช้ความพยายมอย่างมาก ด้วยนางแทบจะไม่พื้นฐานด้านการต่อสู้เลย

                  “ค่ะ” 
                  "ก็ดี การสอบภาคปฏิบัติ จะแบ่งเป็นการต่อสู้ระยะประชิด และการต่อสู้ระยะไกล ทำให้ประเภทการทดสอบแบ่งออกเป็นสองจำพวกใหญ่ คือ การต่อสู้ด้วยมือเปล่า ดาบ มีดสั้น และปืน"
                  โซเฟียอธิบายขณะพาลอร่าเดินลัดสนามไปทางด้านที่มีเป้ารูปคนสีดำตั้งอยู่ ซึ่งอยู่มุมด้านหนึ่งของสนาม ด้านข้างของบริเวณนั้นรายล้อมไปด้วยต้นไม้ขนาบข้าง และที่ลำต้นของต้นไม้แต่ละต้น มีตัวเลขบอกระยะห่างระหว่างเป้า กับจุดที่ใช้ปา
                  "วันนี้เราจะเริ่มจากสิ่งที่เจ้าเคยเรียนมาก่อน"
                  เมื่อพาลอร่าเดินมาถึงบริเวณที่อยู่ห่างจากเป้ารูปคนระยะหนึ่ง โซเฟียก็หันไปหยิบมีดสั้นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะด้านข้างที่นางยืนอยู่ส่งให้ลอร่า ที่รับมีดนั้นแล้วยกขึ้นพินิจขนาด และน้ำหนัก
                  "ตรงนี้ห่างจากเป้าประมาณ 3 เมตร ลองปาให้เข้าเป้าดู คิดว่าทำได้มั้ย"
                  "แล้วต้องใช้พลังเวทเหมือนตอนนั้นมั้ยคะ"
                  ลอร่าถามขณะลองขยับตัวมีดดู เพื่อกะน้ำหนักของมีดที่อยู่ในมือตัวเอง ก่อนจะหันไปมองโซเฟียเป็นเชิงถาม
                  "ไม่ต้อง ลองใช้แค่แรงของเจ้าก่อน"
                  สิ้นคำตอบของโซเฟีย ลอร่าก็จับด้ามมีดยกขึ้น พลางออกแรงปาแบบสะบัดข้อมือเล็กน้อย พร้อมโน้มตัวไปข้างหน้าโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเล็งเป้า กระนั้นมีดกลับพุ่งไปปักเป็นแนวตั้งบริเวณตำแหน่งหัวใจอย่างสวยงาม เรียกสีหน้าพออกพอใจจากโซเฟีย
                  "ไม่เลวเลย ไม่คิดว่าท่านลุงจะมีรสนิยมให้ลูกสาวใช้อาวุธอันตรายจนชำนาญขนาดนี้"
                  โซเฟียชม ขณะมองมีดที่ปักอยู่ที่เป้า ที่เวลานี้กำลังจางหายไป แล้วมาปรากฏที่โต๊ะตามเดิมอย่างพอใจ
                  "ที่จริงวิธีการใช้มีดสั้นท่านแม่เป็นคนสอนข้าค่ะ ท่านแม่บอกว่าถึงเป็นผู้หญิงก็ควรจะรู้ไว้ป้องกันตัวบ้าง"
                  คำอธิบายของลอร่าดูจะไม่น่าเชื่อถือนักในความคิดของโซเฟีย แม้ว่านางจะเชื่อเต็มร้อยว่าลอร่าไม่ได้โกหก แต่ที่นางไม่เชื่อถือคือเหตุผลที่ท่านป้าเลเนียสให้กับลอร่าตังหาก เพราะจากลักษณะการจับหรือการถือมีดของลอร่าบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เกินกว่าคำว่าใช้ป้องกันตัว ยิ่งวิธีการปาเป้าแบบไม่ต้องเสียเวลาเล็งยิ่งทำให้โซเฟียค่อนข้างมั่นใจในความคิดตนเอง
                  "งั้นลองทำอะไรที่ยากขึ้นมาอีกนิดแล้วกัน"
                  คราวนี้โซเฟียยกมือขึ้น พร้อมพึมพำอะไรสองสามคำ เป้ารูปวงกลมซ้อนกันสี่วงสามสี่เป้าก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะลอยขึ้นไปบนอากาศ เคลื่อนที่ไปทั่วบริเวณอย่างไร้ทิศทาง จากนั้นโซเฟียก็หันมามองลอร่า เป็นเชิงบอกให้ลอร่าใช้มีดปาใส่เป้าที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าดู

                  ลอร่ามองโซเฟียอย่างต้องการยืนยันความต้องการอีกครั้ง ดวงตาสีม่วงอมแดงปรากฏรอยกังวลเล็กน้อย กระนั้นเมื่อโซเฟียพยักหน้ารับ เป็นเชิงบอกให้รู้ว่า ไม่ว่ายังไงงานนี้นางก็ต้องลองทำดู ทำให้ลอร่าต้องสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนเอื้อมมือไปหยิบมีดสั้นที่วางอยู่บนโต๊ะที่เดิม ข้อมือบางสะบัดลงรวดเร็วขณะที่โน้มตัวไปด้านหน้า และปล่อยมีดที่อยู่ในมือไปที่เป้าซึ่งลอยอยู่บนฟ้าอย่างแม่นยำ และมันก็ไม่ใช่แค่เป้าเดียว เมื่อมีดสั้นอีกสองเล่มถูกส่งตรงเข้าไปที่เป้าในเวลาต่อมา
                  "ใช้ได้มั้ยคะ"
                  โซเฟียพยักหน้ารับคำถามของลอร่า หลังจากเห็นฝีมือการใช้มีดสั้น ตอนนี้นางชักเริ่มสงสัยแล้วว่านอกจากฝีมือการปามีดสั้นที่ไม่ธรรมดา ฝีมือการใช้มีดสั้นในระยะประชิดของลอร่าจะเป็นเช่นไร กระนั้นโซเฟียก็ได้แต่สงสัย เพราะเวลานี้ยังมีสิ่งที่ลอร่าต้องทำอีกมาก
                  "ข้าคงไม่ต้องห่วงการทดสอบการใช้มีดสั้นแล้ว ต่อไปมาดูกันว่าฝีมือการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของเจ้าจะเป็นยังไง"
                  โซเฟียเอ่ย พลางพาลอร่าเดินเข้าไปยังตัวอาคารที่อยู่ใกล้ๆกัน ทำให้ลอร่ารู้ว่าตัวอาคารที่นางเห็นในครั้งแรกนั้น แท้จริงเป็นโรงฝึกในที่ร่ม ด้านในมีห้องอีกสามสี่ห้อง ที่มีอุปกรณ์ และอาวุธในการฝึกซ้อมครบครัน
                  เวลานี้โซเฟียพาลอร่าเดินเข้าไปยังห้องๆหนึ่งที่มีกระสอบทรายแขวนเรียงกันกว่าสิบอันอยู่กลางห้อง ลักษณะของกลุ่มกระสอบทรายที่แขวนดูไร้ระเบียบแบบแผน และเมื่อโซเฟียเดินเข้าไปกลางกลุ่มของกระสอบทราย และออกแรงผลัก เจ้ากระสอบทรายที่ตั้งอยู่ทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนไหว ชนกันไปชนกันมาอย่างไร้ทิศทาง ความแรงที่พวกมันชนกันเองนั้น แรงจนลอร่าคิดว่าหากนางโดนแรงปะทะขนาดนั้นเข้าไปตรงๆคงได้ลงไปนั่งจุกกับพื้นหลายนาทีแน่ แต่ก็เพราะเป็นโซเฟีย จึงสามารถเอี่ยวตัวหลบกระสอบทรายที่พุ่งเข้ามาชนได้ มีบ้างบางครั้งที่นางต้องออกแรงต่อย และเตะให้กระสอบทรายเคลื่อนที่ไปอีกทาง ก่อนที่โซเฟียจะหาจังหวะแทรกตัวออกมาจากกลุ่มกระสอบทราย เมื่อกระสอบทรายไมได้รับแรงกระตุ้น มันจึงค่อยๆเคลื่อนไหวช้าลง ช้าลง และหยุดนิ่งตามเดิม
                  "หลักการต่อสู้มี 2 อย่าง คือโจมตี และป้องกัน ซึ่งข้าคิดว่าท่านลุงคงสอนวิธีการป้องกันตัวให้เจ้าบ้างแล้ว ฉะนั้นตอนนี้จะมาดูกันว่าเจ้ามีพื้นฐานแค่ไหน"
                  โซเฟียอธิบาย หลังจากเดินออกมาจากกลุ่มกระสอบทราย อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วยใดใด ดวงตาจ้องมองลอร่าที่ยังตีสีหน้าเรียบเฉย หากดวงตามีแววหวาดเสียวฉายชัด ราวกับรับรู้ว่าพี่หญิงจะต้องให้นางเข้าไปเล่นอยู่ภายในกลุ่มกระสอบทรายเหล่านั้น

                  "ท่านพี่คงไม่ให้ข้าไปยืนกลางกลุ่มกระสอบทรายนี้หรอกนะคะ"
                  คำถามของลอร่าเรียกรอยยิ้มน่ากลัวจากโซเฟีย พร้อมการพยักหน้ารับ เป็นการยืนยันสิ่งที่ลอร่ากลัว ทำให้จากตอนแรกที่สีหน้ายังคงเป็นปกติ เริ่มเบ้หน้าลง อย่างหวาดกลัวเต็มที่ ด้วยเมื่อครู่ลอร่าลองคำนวณแรงที่ปะทะกันแล้ว และสรุปได้ว่าห่างนางหลบไม่พ้นคงได้จุกจริงๆแน่ เพราะนางคงไม่มีปัญญาไปเตะ หรือต่อย ให้กระสอบทรายเปลี่ยนทิศทางเช่นพี่หญิงแน่

                  “เลิกถ่วงเวลาได้แล้ว เข้าไปลองซะ”

                  โซเฟียราวรู้ทันว่าลอร่าต้องการจะถ่วงเวลาไม่เข้าไปในกลุ่มกระสอบทรายให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่เมื่อโดนนางจับได้ตรงๆ เลยทำให้ลอร่าจำต้องแทรกตัวเข้าไปยืนกลางกลุ่มกระสอบทราย แล้วออกแรงผลักกระสอบทรายข้างๆออกไป

                  ทันทีที่กระสอบทรายได้รับแรงกระตุ้น กลไกการทำงานก็เริ่มขึ้น ทำให้เวลานี้ลอร่าตกอยู่ภายใต้การโจมตีแบบไร้ทิศทางอันดุเดือนของกระสอบทราย ร่างบางต้องพยายามจับจังหวะการเคลื่อนที่ของกระสอบทรายแต่ละอัน พร้อมๆกับหลบกระสอบทรายที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ตัวนางเกินไป บ่อยครั้งที่ลอร่าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกแรงอันน้อยนิดที่นางมีต่อย และเตะกระสอบทรายให้เปลี่ยนทิศไป เนื่องจากนางไม่สามารถหลบพ้น แต่มันก็สามารถเปลี่ยนทิศทางไปได้นิดเดียวเท่านั้น ด้วยแรงที่ใช้เตะ และต่อยของนางน้อยเกินไป ทำให้ลอร่าต้องเน้นการเคลื่อนตัวเพื่อหลบเลี่ยงแทน การโจมตีที่ดูจะไร้ผล เวลาผ่านไปการเคลื่อนไหวของลอร่ากลับดูช้าลง จนจำนวนครั้งที่นางโดนกระสอบทรายอัดเข้าตรงๆ เพิ่มขึ้น กระนั้นร่างบางก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงไปนอนจุกอยู่กับพื้น มีเพียงอาการหอบหายใจแรงๆ และรอยฟกช้ำตามแขนขา ตรงบริเวณที่โดนกระสอบทรายอัดเข้าไปตรงๆ 

                  เมื่อโซเฟียเห็นการเคลื่อนไหวในภาพรวม และอาการหอบหายใจของลอร่า นางก็เอ่ยเรียกลอร่าออกมาจากกลุ่มกระสอบทราย

                  “เอาล่ะ ออกมาได้”

                  ลอร่าก้าวออกมาจากกลุ่มกระสอบทรายตามการเรียกของโซเฟีย ดวงหน้างามซับเหงื่อ พร้อมด้วยสีหน้าอิดโรย นอกจากนั้นริมฝีปากยังอ้าหอบหายใจออกมาถี่ๆ แสดงให้รู้ว่าเมื่อครู่เป็นการทดสอบที่หนักเอาการสำหรับนาง

                  “หลบได้ไม่เลว แถมยังมีไหวพริบ ทำให้การเคลื่อนไหวเกินจำเป็นไม่ค่อยมี แต่ลักษณะการชก เตะ ต่อยไม่หนักหน่วงสักนิด คงต้องฝึกกันหนักหน่อย”

                  โซเฟียวิเคราะห์ ขณะมองดูสภาพที่แทบจะเรียกว่าหมดสภาพเต็มที่ของลอร่า ด้วยนางคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านลุงคงสอนให้ลอร่ารู้จักแค่การหลบลี้ และป้องกันตัวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้ทักษะการป้องกันของลอร่าค่อนไปทางดี ในขณะที่ทักษะการโจมตีค่อนไปทางแย่  แต่อย่างน้อยลอร่าก็พอมีทักษะอยู่บ้าง คิดว่าถ้าสามารถแก้ปัญหาเรื่องความหนักหน่วงของการชก เตะ ต่อยได้ ลอร่าคงพอจะสามารถผ่านการทดสอบได้

                  “เมื่อรู้จุดอ่อนแล้วก็รีบแก้ไขซะ สำหรับคำสั่งคราวนี้คือให้เจ้าอยู่ในวงล้อมของกระสอบทรายเหล่านั้น หลบ และจู่โจมกลับไปเรื่อยๆ ห้ามออกมาจนกว่าข้าจะสั่ง คงอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง”

                  คำสั่งนี้ทำให้ลอร่าที่เวลานี้เหนื่อยมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เงยหน้าขึ้นมองพี่หญิงอย่างไม่เชื่อหู ว่าท่านจะออกคำสั่งที่เสมือนการสั่งให้นางเข้าไปเป็นกระสอบทรายให้กลุ่มกระสอบทรายเหล่านั้นเสียเอง แต่เมื่อมองนางก็ไม่เห็นแววล้อเล่นในสายตาของพี่หญิงแม้แต่น้อย

                  “เอาจริงรึคะ”

                  “จริง และต่อให้เจ้าไม่ไหว หรือล้มลงไปในนั้น ก็อย่าคิดว่าจะหนีออกมาได้ เพราะข้าจะสร้างกรงแก้วครอบเจ้าไว้อีกชั้น ฉะนั้นถ้าไม่อยากช้ำในตายก่อนวัยอันควร ก็พยายามให้มากกว่าเมื่อกี้ เอาล่ะเข้าไปได้แล้ว”

                  โซเฟียยืนยันความต้องการเดิม ซ้ำยังเอ่ยเป็นเชิงข่มขู่ด้วยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็ไม่คิดจะให้ลอร่าหนีออกมาจากกลุ่มกระสอบทราย ฉะนั้นทางเดียวที่ลอร่าจะออกมาได้ คือต้องอยู่ให้ครบตามเวลาที่นางกำหนด และต้องเอาชีวิตรอดจากการโจมตีอันดุเดือนของกลุ่มกระสอบทรายนั้น

                  “รีบเข้าไปได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจจาก 2 ชั่วโมง เป็นครึ่งวัน....”

     

                  ชายป่าสุดเขตแดนอาณาจักรไอริส ฝั่งที่ติดกับเขตแดนสหราชอาณาอังกฤษ เวลานี้มีร่างสูงของชายคนหนึ่ง ยืนจ้องม่านพลังใสด้วยสีหน้าครุ่นคิด ขณะที่มือหนายื่นออกไปด้านหน้าเพื่อสัมผัสกับม่านพลังนั้น ริมฝีปากขยับเป็นถ้อยมนตราหนึ่ง พลันแสงสีฟ้าอ่อนก็เรืองขึ้นครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ปิดทับช่องโหว่ของม่านพลังเมื่อครู่
                  เมื่อเสร็จสิ้นการซ่อมแซมม่านมนตราโบราณเจ้าปัญหา เขาก็ถอนมือออก พลันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ด้วยเขารู้ดีแก่ใจว่าการซ่อมแซมครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่เขาทำ มันเป็นเพียงการปิดรูโหว่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นการซ่อมโครงสร้างของข่ายเวทมนตร์ที่มันเสื่อมลงตามกาลเวลา กระนั้นนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่เขาจะทำเพื่อน้องหญิงได้
                  "โซเฟียส่งข่าวอะไรมาอีกล่ะ"
                  คำถามที่ดังขึ้น ไม่ได้ทำให้หญิงสาวที่พึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังเขาประหลาดใจ ด้วยนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนตรงหน้ารู้ถึงการมาเยือนของนางก่อนที่นางจะทันส่งเสียง
                  "ท่านโซเฟียให้บอกท่านว่า ตอนนี้สิทธิในการดูแลท่านลอร่าอยู่ที่กองทัพค่ะ แต่ท่านอาเชอร์จะต้องทำอะไรเพื่อแย่งสิทธิ์นั้นคืนแน่"
                  ซีเวลค้อมกายลงทำความเคารพชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนรายงานสิ่งที่ผู้เป็นนายสั่ง
                  "แล้วยังไง นางต้องการให้ข้ากลับไปเป็นไม้กันท่านลุงรึไง"
                  เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็อดที่จะเอ่ยอย่างประชดไม่ชันไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเมื่อไรโซเฟียก็มักจะโยนเรื่องน่าเบื่อที่นางไม่อยากทำมาให้เขาตลอด ไม่ว่าจะเมื่อก่อน หรือตอนนี้
                  "นั้นก็แล้วแต่ท่านจะคิด แต่ข้าเชื่อว่าท่านจะสามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง"
                  ซีเวลเอ่ยราวกับรู้คำตอบของชายหนุ่มดี ด้วยนางรู้ว่าชายหนุ่มรัก และห่วงท่านลอร่ามาก มากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องนาง มิเช่นนั้นเขาคงไม่ยอมรับหน้าที่ดูแลมนตราโบราณไกลถึงที่นี้หรอก ซึ่งนั้นเรียกสีหน้าขัดอกขัดจากจากคนที่ถูกรู้ทันความคิด
                  "หึ ช่างเป็นพี่หญิงที่เอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน"
                  เขาแสร้งถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากับซีเวล ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม พร้อมรอยยิ้มกวนประสาท ที่เจ้าตัวมักใช้ปกปิดความคิด

                  “รู้มั้ยบางครั้งผู้ชายก็ไม่ชอบผู้หญิงที่รู้ทันไปซะทุกเรื่องหรอกนะ บางครั้งเจ้าก็ต้องแกล้งโง่บ้าง ไม่งั้นระวังจะขึ้นคานอย่างโซเฟีย”

                  แม้ปากจากเอ่ยเป็นเชิงสั่งสอนหญิงสาวที่ไม่มีเสน่ห์ความผู้หญิง แต่เขาก็ยังไม่วายจิกกัดคนที่อยู่ไกลกันคนละอาณาจักร ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย อย่างสนุก

                  “ทำเหมือนท่านเคยมีคนรัก?

                  คำย้อนของซีเวลไม่ได้ทำให้คนที่แท้จริงก็ไม่เคยมีคนรักสะทกสะท้านแต่อย่างไร ซ้ำเขายังคงปั้นหน้ายิ้ม อย่างกวนประสาทส่งให้อีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น พร้อมคำกล่าวที่ทำเอาซีเวลเริ่มรู้ซึ้งถึงฉายาเจ้าชายจอมกะล่อนที่ท่านโซเฟียเคยบอกนาง

                  “ข้าน่ะมีแค่น้องหญิงสุดที่รักก็พอแล้ว อีกอย่างผู้ชายยิ่งอายุมากยิ่งมีเสน่ห์รู้มั้ย ไม่เหมือนผู้หญิงที่ยิ่งอายุมาก แล้วจะโรยรา”
                   “หากท่านไม่มีเรื่องอะไรแล้วข้าขอตัว”

                  คำขอตัวด้วยสีหน้าที่แม้จะไม่ได้แสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน กระนั้นคนช่างยั่วก็รู้ได้ไม่ยากกว่าคนตรงหน้าหมดความอดทนแล้ว เขาจึงยอมเลิกแซวนาง แล้วเปลี่ยนไปถามคำถามที่แลดูมีสาระขึ้นเล็กน้อย   

                  "ว่าแต่พวกชนเผ่าต้องสาป มันยังตามรังควานน้องหญิงข้าอยู่มั้ย"
                  คำถามคราวนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากที่ซีเวลคาดการณ์แม้แต่น้อย ด้วยทุกครั้งที่นางนำข่าวจากท่านโซเฟียมาให้ คนตรงหน้าเป็นต้องถามถึงความเคลื่อนไหวของชนเผ่าต้องสาป และท่านลอร่า
                  "ตอนนี้พวกนั้นกำลังพุ่งเป้าไปที่สภาการปกครองกลาง คงไม่มีเวลายุ่งวุ่นวายกับท่านลอร่าไปสักพัก แต่ต่อให้อยากตามยังไงก็คงทำไม่สะดวกนัก เพราะเวลานี้ท่านลอร่าอยู่ที่โรงเรียนเตรียมทหาร อีกอย่างการหายตัวไปของท่านเลเนียสคงพอทำให้พวกนั้นเลิกสนใจท่านลอร่าไปอีกสักพัก"
                  ข่าวที่ได้รับทำให้คีเรสรู้สึกเบาใจไปเล็กน้อย กระนั้นเขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าพวกชนเผ่าต้องสาปจะวางมือเพียงแค่นี้ ในเมื่อคนพวกนั้นอยากรู้ความเคลื่อนไหวของราชวงศ์จนตัวสั่น ด้วยหมายจะล้มล้างราชบัลลังก์
                  "ซีเวลรึ ไม่เจอกันนาน คราวนี้เอาข่าวอะไรจากโซเฟียมาอีกล่ะ"
                  เสียงทุ้มของใครบ้างคนที่พึ่งเดินเข้ามาในบริเวณ ทำให้ซีเวลต้องหันไปมอง พร้อมค้อมกายลงทำความเคารพ แล้วตอบคำถามอีกฝ่ายสั้นๆ ส่วนคีเรสนั้นเพียงเหลือบสายตามองชายผู้เดินเข้ามาใหม่ อย่างไม่ใคร่สนใจ
                  "เรื่องเดิมๆค่ะ ชนเผ่าต้องสาป กับท่านลอร่า"
                  "งั้นรึ แล้วคีเรสก็คงสนใจแต่เรื่องของน้องหญิงสุดที่รักอีกสิท่า"
                  คำถามเชิงเย้า สามารถเรียกเสียงหัวเราะอย่างขบขันจากคนโดนแซวได้ ส่วนคนที่มีหน้าที่ตอบคำถามก็เพียงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ
                  "ค่ะ หมดธุระข้าแล้ว ขอตัว"
                  คราวนี้ซีเวลไม่รอให้ใครมาขัดขวางการจากไปของนาง เพราะเพียงนางเอ่ยจบประโยคร่างบางก็เลือนหายไปจากบริเวณทันที ทำให้ในเวลานี้เหลือเพียงคีเรส และนาธานที่พึ่งเดินเข้ามาใหม่เท่านั้น
                  "นางยังเย็นชาไม่เปลี่ยน"
                  นาธานเปรยหลังจากที่ซีเวลหายตัวไปจากบริเวณสักพัก ซึ่งคำเปรยนั้น ทำให้คีเรสมองอีกฝ่ายด้วยสายตาล้อเลียน พร้อมคำแซวที่ทำให้นาธานถึงกับขนลุก
                  "ทำไม ถ้านางไม่เย็นชาเจ้าจะจีบนางรึไง"
                  "ข้าไม่มีรสนิยมจีบลูกศิษย์ตัวเอง ที่พูดก็เพราะห่วงว่าจะไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้าใกล้นางตั้งหาก"
                  นาธานปฏิเสธทันควัน ด้วยไม่อยากให้คนตรงหน้าเสียเวลาจินตนาการไปไกล แม้ว่าเขาจะรู้ว่าป่านนี้คนตรงหน้าคงคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ตาม
                  "ตราบที่นางอยู่ข้างโซเฟีย ก็ไม่มีทางได้แต่งงานหรอก เจ้าหญิงบ้าอะไร งานบ้านงานเรือนไม่เคยแตะ ปากงี้คมยิ่งกว่ามีด แถมยังซาดิสไม่มีใครเกิน ใครได้เป็นเมียมีหวังชำในตาย"
                  คีเรสบ่นด้วยสีหน้าจริงจัง แววตามีประกายความแค้น ราวกับแค้นเคืองกับเจ้าของชื่อมาแต่ชาติปางก่อน ชนิดที่ไม่สามารถให้อภัยกันได้  
                  "ยังไม่หายโกรธโซเฟียอีกรึ เรื่องก็ผ่านมาตังนานแล้ว"
                  นาธานเอ่ยอย่างปลงๆกับคนที่มีความแค้นฝังใจตั้งแต่เมื่อยังเยาว์
                  "แน่ละ นั้นหนังสือเล่มโปรดข้าเชียวนะ แต่โซเฟียก็ยังเผามันซะเป็นเถ้า ข้าไม่มีทางญาติดีกับนางหรอก"

                  คีเรสเอ่ยอย่างโมโหเต็มที ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่เขายังเป็นแค่เด็กชาย และโซเฟียเป็นเด็กหญิง ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ดูไม่ออกมาว่านางเป็นเจ้าหญิงตรงไหน ด้วยแต่ละอย่างที่นางชอบเล่นทำเอาหัวใจเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม อย่างงี้แหละเขาถึงได้ไม่คิดจะญาติดีกับนาง สำหรับเขาโซเฟียไม่มีความเป็นผู้หญิงสักนิด สู้น้องหญิงสุดที่รักเขาก็ไม่ได้ ที่เรียบร้อย อ่อนหวาน แถมยังช่างเจรจา
                  "แต่นางเป็นพี่หญิงเจ้าไม่ใช่หรอ อีกอย่างเรื่องนั้นมันก็ตั้งแต่พวกเจ้าอายุ5ขวบ"
                  นาธานเอ่ยอย่างรู้ทัน ด้วยความแค้นของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวผู้เคยเป็นลูกศิษย์เขานั้น เป็นเรื่องที่เขารับรู้มานานแล้ว แต่ไม่ว่าจะฟังอีกรอบ เขาก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องเด็กทะเลาะกัน อีกอย่างตอนนี้คนทั้งคู่ก็อายุตั้งเท่าไรแล้ว ยังจะโกรธกันเป็นเด็กๆไปได้

                  "แล้วยังไง ทำเหมือนหลังจากนั้นนางจะไม่แกล้งนิ จำได้ว่าตอนเรียนฟันดาบนางก็เอาดาบมาไล่ฟันข้า เสียจนถลอกไปทั้งตัว ตอนเรียนหนังสือนางก็ปล่อยให้ข้าโดนท่านอาจารย์เล่นงานคนเดียว แม้แต่ตอนฝึกเวทมนตร์นางก็ยังไม่วานใช้ข้าเป็นหนูทดลองเวทมนตร์ประหลาดของนาง"
                  ความแค้นฝังลึกแบบร่ายยาวที่นาธานฟังไม่ต่ำกว่าสิบครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา ทำให้เขารู้สึกระอาเจ้าชายไม่รู้จักโต แถมยังมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่เด็ก จนอดประชดอีกฝ่ายไม่ได้
                  "เรื่องอื่นกัดกันจะเป็นจะตาย ทีเรื่องน้องหญิงสุดที่รักนี้เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว"
                  "ข้าก็ไม่ได้อยากญาติดีกับนางนักหรอก ถ้ากลับไปเมื่อไรจะไม่ให้นางได้แตะต้องน้องหญิงสุดที่รักของข้าเลย"

                  แล้วคนชอบเอาชนะก็ว่าไปโน้น ทำให้นาธานยิ่งรู้สึกระอาเจ้าชายพระองค์โตที่ไม่เคยทำตัวให้เหมือนเจ้าชายพระองค์โตสักนิด ไม่สิถ้าจะให้ถูกคือ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายพระองค์โต อย่างคีเรส หรือเจ้าหญิงพระองค์โตอย่างโซเฟีย เขาก็ยังไม่เห็นความเป็นผู้ใหญ่ในคนทั้งคู่ ซ้ำนิสัยของทั้งคู่ก็ทำให้เขาอดเป็นกังวลในอนาคตของราชบัลลังก์ไม่ได้ ว่าหากตกไปอยู่ในมือของทั้งสองคนแล้ว อาณาจักรจะวิบัติขนาดไหน แต่นาธานก็ปัดความสงสัยของตนเอง แล้วหวังใจลึกๆว่าผู้ที่จะสืบทอดราชบัลลังก์จะเป็นเจ้าชายเวนรอน พระโอรสในองค์กษตริย์ พระองค์ปัจจุบันแทน ด้วยแม้จะเป็นเจ้าชายพระองค์รอง แต่ด้านวุฒิภาวะนั้นมีมากกว่าคีเรส
                  "เอาละ ดูเหมือนตอนนี้ท่านข้าหลวงคาสเตอร์จะให้โอกาสเจ้าได้กลับไปดูแลน้องหญิงสุดที่รักแล้ว"
                  "หมายความว่าไง"

                  คำเอ่ยคราวนี้ทำให้คีเรสเลิกคิ้วขึ้น พลางหันมองอีกฝ่ายไม่วางตา
                  "จดหมายเรียกตัวเจ้ากลับพึ่งส่งมาถึงเมื่อกี้เอง และดูเหมือนว่าเย็นนี้สมเด็จพระราชินีจะทรงอยากเสวยพระกระยาหารเย็นร่วมกับเจ้า ข้าได้ยินแว่วๆว่า พระนางจะทรงแนะนำพระราชธิดาพระองค์โตให้เจ้ารู้จัก"

                  นาธานเอ่ย พร้อมจดหมายที่ลงตราประทับประจำเขตคฤหาสน์ตะวันตกที่ปรากฏขึ้นในมือ ที่คีเรสรีบฉกไปจากมือเขา เปิดออกอ่าน อย่างไม่วางใจในเนื้อหาภายในนั้น แต่ความหงุดหงิดใจของคีเรสก็มีมากขึ้นเมื่อได้ยินหมายกำหนดการดูตัวที่สมเด็จพระราชินีมีมากรายๆ
                  "น่ารำคาญชะมัด รู้งี้ไม่น่าหลงเชื่อคำแนะนำของเจ้าพ่อบ้าๆ ที่ให้เปิดเผยฐานะกับเจ้าพวกนั้นเลย"

                  คีเรสเอ่ยอย่างหัวเสีย ด้วยเขาไม่เคยนิยมชมชอบผู้หญิงสักครั้ง โดยเฉพาะกับคนพวกนั้น ที่ไม่เคยมีความจริงใจสักนิด จนเขาคิดว่าผู้หญิงคนเดียวที่เขาจะยอมลงให้ตลอดไป คือ น้องหญิง
                  "น่าทุกอย่างก็เพื่อปกป้องน้องหญิงที่เจ้ารักหนักหนาไม่ใช่รึ"
     
                  แสงสุดท้ายของวันกำลังลาลับขอบฟ้าขณะที่ลอร่ายังคงฝึกยิงปืนอยู่ภายในสนามยิงปืน ที่อยู่ถัดออกมาอีกสองสามห้องของสถานที่ฝึกการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เสียงกระสุนเวทที่วิ่งออกจากกระบอกปืนส่งเสียงให้ได้ยินทุกครั้ง ที่นิ้วเรียวเหนี่ยวไกออกไป
                  "เล็งเป้าไว้ที่ศูนย์กลาง...ยิง"
                  เสียงพึมพำในลำคอราวกำลังท่องบทสวดดังซ้ำไปซ้ำมา เพื่อเน้นย้ำกระบวนการยิงที่ถูกต้อง ดวงตาเพ่งเล็งตรงไปยังเป้า หลับตาข้างหนึ่ง ขณะที่พยายามเล็งให้ยอดศูนย์หน้าอยู่กึ่งกลางช่องบากของศูนย์หลัง แล้ว...
                  ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
                  กระสุนเวทมนตร์วิ่งออกจากลำกล้องผ่านออกมาจากปากกระบอกพุ่งตรงไปที่เป้าวงกลมที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 300 เมตร และในเวลาอีกเพียงอึดใจ เสียงปืนครั้งที่สอง สาม สี่ก็ดังขึ้น โดยที่ผู้ยิงไม่ทันได้มองดูให้ดีๆด้วยซ้ำว่ากระสุนเวทนั้นตรงเข้าเป้าหรือไม่
                  "เป็นไงบ้างคะ"
                  ลอร่าเงยหน้าขึ้นจากปืน พร้อมยืดกายขึ้นมายืนเต็มความสูง ก่อนหันไปมองโซเฟียที่เมื่อครู่พึ่งโบกมือเรียกเป้ากระดาษวงกลมให้เข้ามาอยู่ในมือ
                  "ไม่แย่เกินไปสำหรับครั้งแรก สิบนัด ออกนอกเป้าสาม เข้าตรงกลางจริงๆสี่นัด ส่วนที่เหลือติดขอบด้านบนหมด"
                  โซเฟียตอบ พลางส่งเป้าที่ลอร่าฝึกยิงเมื่อครู่ให้ลอร่าดู ซึ่งลอร่าก็เพียงรับไปดู และส่งกลับคืน
                  "วันนี้พอแค่นี้ก่อน เวลาหลังจากนี้เจ้าต้องเตรียมตัวสำหรับภาคทฤษฎี และตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เจ้าต้องฝึกปามีดให้เข้าเป้า 100 เป้าใน 1 ชั่วโมง แล้วถ้าใน1ชั่วโมงได้ไม่ถึง100 เป้า ต้องวิ่งรอบสนามตามส่วนต่างของจำนวนเป้า ต่อจากนั้นซ้อมต่อสู้กับกระสอบทราย 2 ชั่วโมง ฝึกเตะ และต่อยอย่างละชั่วโมง ตอนบ่ายฝึกฟันดาบ แล้วก็ยิงปืน"
                  คำแจกแจ้งตารางการฝึกตั้งแต่วันพรุ่งนี้ทำเอาลอร่า ที่แทบจะไม่เคยต้องออกแรงหนักๆเช่นนี้แทบลมจับ กระนั้นสิ่งเดียวที่ลอร่าทำได้ คือรับคำ อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แม้สีหน้าจะซีดลงไปเล็กน้อยจนโซเฟียสังเกตได้ก็ตาม
                  "ค่ะ"
                  "ว่าไง ยังเปลี่ยนใจล้มเลิกตอนนี้ทันนะ"

                  โซเฟียถามย้ำ ถึงความตั้งใจของน้องหญิง หลังจากเจอการฝึกที่ไม่เคยเจอมาก่อนตลอดวัน กระนั้นนางก็มั่นใจเหลือเกินว่ามันจะไม่ทำให้เด็กดื้ออย่างน้องหญิงนางนึกเปลี่ยนใจ
                  "ไม่ค่ะ"

                  และก็เป็นอย่างที่โซเฟียคาด เมื่อคนที่ควรท้อ และล้มเลิกความคิดที่จะเดินในเส้นทางที่ยากลำบากกว่า ยังคงมีสายตาแน่วแน่ ปราศจากความลังเลใจแม้แต่น้อย ทำให้โซเฟียทำได้เพียงถอนหายใจน้อยๆ แล้วนัดแนะการฝึกในวันพรุ่งนี้
                  "ก็ดี งั้นเจอกันพรุ่งนี้ที่นี้เวลาเดิมนะ"
                  "ค่ะ"
                  ลอร่ารับคำ พร้อมค้อมกายลงลาโซเฟีย ก่อนจะหายตัวกลับไปที่หอพัก โดยนางเลือกที่จะหายตัวกลับไปที่ห้องพักเลย ด้วยตอนนี้นางเหนื่อยเกินกว่าที่จะตอบคำถามของใคร เรื่องที่นางหายหน้าไปตลอดวัน อีกทั้งรอยฟกช้ำตามแขนขาก็คงทำให้คนอื่นสนใจกันไม่น้อย ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือการหายตัวกลับเข้าไปที่ห้องนอนของนางภายในหอพักเลย เพื่อเลี่ยงการเจอหน้าใครทั้งสิ้น

                  ร่างบางของลอร่าค่อยๆปรากฏขึ้นภายในห้องนอนที่มืดสนิท เนื่องจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้สักพักแล้ว ทำให้ลอร่าต้องเดินไปทางผนังฝั่งห้องน้ำ เพื่อควานหาแผงวงจร แล้วใช้มือแนบลงไป ก่อนที่ไฟเวททั่วทั้งห้องจะสว่างขึ้น ตามอุณหภูมิฝ่ามือ เมื่อภายในห้องสว่างลอร่าก็กวาดตาไปรอบห้อง แล้วต้องสะดุดที่กองหนังสือตั้งใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ จึงเห็นกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆ ซึ่งเขียนด้วยลายมือหวัดๆว่า ตั้งใจอ่านให้สนุกนะ และเมื่อเลื่อนสายตาลงมาอีกนิด จากเห็นชื่อของโซเฟียที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆอยู่ด้านล่าง ทำให้ลอร่าไม่ต้องเสียเวลาเดาให้ยากว่าใครเป็นคนนำมันมาไว้ที่นี้ ลอร่าถอนหายใจออกจากกองหนังสือตั้งใหญ่ แล้วเปิดลิ้นชักบนสุดก็เห็นซองจดหมายสีขาวที่จ่าหน้าซองถึงนางด้วยลายมือเป็นระเบียบที่นางคุ้นเคยวางอยู่ ลอร่าได้รับซองจดหมายดังกล่าวมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น ก่อนที่นางจะลงไปรับประทานอาหารเย็น และก่อนที่โซเฟียจะเอ่ยถามนางเรื่องนั้น

                  ก๊อก! ก๊อก!

                 เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ลอร่าต้องละสายตาออกจากจดหมายฉบับนั้น แล้วปิดลิ้นชักลงตามเดิม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้คนที่เคาะประตูหน้าห้องนางเวลานี้ ซึ่งร่างบางสองร่างที่ยืนอยู่หน้าห้อง ก็ทำให้ลอร่าเลิกคิ้วขึ้น เป็นเชิงถามว่ามีธุระอะไรกับนางเวลานี้

                  “เห็นไฟเปิดอยู่นะ เลยคิดว่าเจ้ากลับมาแล้ว ว่าแต่ไปโดนอะไรมานิ อย่าบอกนะว่าโดนท่านครูเล่นงานตั้งแต่วันแรก”

                  เจนน่าเอ่ย พร้อมกับร้องถามด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นรอยถลอกที่หัวคิ้ว และรอยฟกช้ำที่ปรากฏตามร่างกาย และนางก็ไม่รอให้ลอร่าได้มีโอกาสตอบ เมื่อนางลากผู้เป็นเจ้าของห้องไปนั่งบนเตียง ก่อนจะหันไปสั่งให้จีน่าที่เดินตามมาด้วยไปเอายามาจากห้องพยาบาล

                  “จีน่าช่วยไปเอายาให้ที”

                  “เอ่อ...ไม่ต้องหรอก ในตู้เสื้อผ้ามีกล่องยาอยู่”

                  ลอร่าเอ่ยขัด เนื่องจากไม่อยากให้ใครต้องมายุ่งยาก อีกอย่างถ้าจีน่าลงไปเอายาที่ห้องพยาบาลมาให้นางตามที่เจนน่าบอก คงต้องมีรุ่นพี่ถามแน่ ว่าเอายาพวกนี้ไปทำไม       

                  “เตรียมพร้อมจริงนะ”

                  เจนน่าแซวคนที่มีกล่องยาประจำตัว ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าตนเองจะต้องมีโอกาสได้ใช้แน่ นางรับกล่องยาที่จีน่าหยิบออกมาจากตู้เสื้อผ้าของลอร่า พร้อมเปิดออก แล้วต้องมองอย่างตะลึง เพราะภายในกล่องมียาบรรจุไว้อย่างครบครัน พอๆกับตู้ยาขนาดย่อม

                  “พี่อลิธเตรียมไว้ให้น่ะ”

                  ลอร่าอธิบายหลังจากเห็นสายตาของเจนน่า และจีน่า ที่มองมาทางนางอย่างไม่เชื่อสายตาว่านางจะเป็นคนเตรียมพร้อมขนาดนี้ และเมื่อได้ยินคำอธิบายของนาง ทั้งสองก็ถึงกับถอนหายใจ ราวกับเรื่องที่นางบอกเป็นไปตามที่ทั้งสองคนคิด

                  “เจ้าเอาจริงหรอ เรื่องหลักสูตรเร่งรัดอ่ะ”

                  คำถามนี้มาจากจีน่า ที่เป็นลูกมือช่วยเจนน่าทายาให้คนที่โดนท่านครูเล่นงานตั้งแต่วันแรก นางเหลือบมองกองหนังสือบนโต๊ะสลับกับลอร่า ซึ่งยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามนาง ซ้ำยังย้อนถามนางกลับ

                  “เจ้ารู้ได้ไง”

                  “วันนี้พวกรุ่นพี่พูดถึงแต่เรื่องของเจ้า แถมพวกเอริคยังเอาเรื่องที่องค์กษตริย์เสด็จมาหาเจ้าที่โรงเรียนไปพูด ยำกันมั่วจนไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ อีกอย่างวันนี้เจ้าก็หายหน้าไปทั้งวัน ทำให้ทุกคนยิ่งสงสัย”

                  เจนน่าเล่าเรื่องที่พวกเพื่อน และรุ่นพี่เม้าท์กันวันนี้ให้ลอร่าฟัง ขณะที่มือก็หยิบผ้าพันแผลออกมาพันที่แขนให้ลอร่า ก่อนจะหยุดดูฝีมือการทำแผลของตัวเอง พร้อมแย้มยิ้มภาคภูมิใจเต็มที่

                  “โทษของการนินทาองค์กษัตริย์ และราชวงศ์ คือ ตัดลิ้นน่ะ”

                  คำเปรยเสียงราบเรียบด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาคนกำลังจะเป็นใบ้ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ แต่เมื่อตั้งสติว่าพวกนางจะไม่ใช่แค่สองคนที่จะเป็นใบ้หากว่าคนตรงหน้าคิดจะเอาโทษจริง ทำให้เจนน่าเอ่ยหาพวกที่จะเป็นใบ้ด้วยทันที

                  “งั้นเจ้าคงได้ตัดลิ้นคนทั้งโรงเรียนแหละ รึว่าเจ้าจะอยากได้เพื่อนเป็นใบ้ล่ะ”

                  “เอาน่า ถ้าเจ้าไม่พูดองค์กษัตริย์ไม่มีทางรู้หรอก”

                  จีน่าเอ่ย ทำให้ลอร่าต้องเลือนสายตาจากเจนน่ามาที่จีน่า นางจ้องอีกฝ่ายเป็นเชิงถามว่าไม่รู้จริงๆรึ ว่าองค์กษัตริย์นั้นมีหูตาไปทั่ว อีกอย่างต่อให้องค์กษัตริย์ไม่สนใจ แต่หูตาของท่านพ่อที่อยู่ในโรงเรียนนี้คงรอดไปได้หรอก ตอนนี้นางก็ได้แต่ภาวนาให้ท่านพ่อปล่อยผ่านเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นนางอาจจะได้เพื่อนเป็นใบ้จริงๆ

                  “ทำไมถึงเรื่องตัดลงตัดลิ้นได้นิ เจ้านี้เปลี่ยนเรื่องเก่งชะมัด สรุปว่ายังไง  เจ้าคิดจะเรียนหลักสูตรเร่งรัดจริงหรอ”

                  คนถูกหาว่าพาไปนอกเรื่องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ก่อนถอนหายใจอย่างปลงตกกับนิสัยของเพื่อนคนแรกที่นางควรจะชินได้แล้ว พลางตอบคำถามที่เหล่าเพื่อนๆอยากรู้นัก

                  “จริง ทำไม?

                  “เจ้าจะไม่รอดเอาสิ พวกรุ่นพี่บอกว่าตอนนี้เจ้าเป็นที่หมายตาของท่านครู ขืนเจ้าเรียนหลักสูตรเร่งรัดก็ต้องเจอพวกท่านครูมากกว่าคนอื่น ดูอย่างตอนนี้สิ แค่ท่านครูโซเฟียคนเดียวก็ทำเจ้าเละซะขนาดนี้”

                  เจนน่าเอ่ยด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของเพื่อน ที่หากไปลงเรียนหลักสูตรเร่งรัดจริงๆ คงไม่แคล้วต้องมีสภาพเช่นนี้กลับมาทุกวัน ไหนจะข่าวลือเรื่องความโหดของท่านครู ไหนจะความเอ็นดูที่พวกท่านมีต่อน้องสาวของท่านครูโซเฟียเป็นพิเศษ ทั้งหมดนี้ทำให้ชีวิตต่อจะนี้ของลอร่าไม่ราบเรียบแน่

                  “มีแค่นี้ใช่มั้ย ออกไปได้แล้วข้ายังต้องอ่านหนังสือต่ออีก”

                  ลอร่าเอ่ยไล่เพื่อนทั้งสองออกไปจากห้อง ด้วยนางยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากคืนนี้ และขืนเพื่อนนางทั้งสองไม่กลับออกไป นางคงไม่มีสมาธิอ่านหนังสือที่กองอยู่บนโต๊ะทั้งหมดแน่ ซึ่งดูเหมือนทั้งเจนน่า และจีน่าก็ดูจะเข้าใจ เมื่อทั้งสองมองไปทางกองหนังสือตั้งใหญ่ แล้วเบ้หน้าลง ก่อนเดินกลับออกไป ลอร่ามองบานประตูที่เพื่อนทั้งสองพึ่งเดินออกไปนิ่ง พลางคิดถึงเหตุผลที่นางจำเป็นต้องเรียนในหลักสูตรเร่งรัด เหตุผลที่เพื่อนทั้งสองคนของนางไม่มีวันเข้าใจ

                  ...เพราะมันเป็นทางเดียวที่ข้าจะได้มาซึ่งอิสรภาพ...


    จบบทที่ 10 ติวเข้ม (รีไรท์)
    ___________________________________________


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×