ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~Because I am the princess~

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 โรงเรียน (1) (รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.67K
      11
      15 เม.ย. 63

    บทที่ 9 โรงเรียน (1) (รีไรท์)

                ประตูเหล็กบานใหญ่ที่เชื่อมติดกับกำแพงหินสีขาว เปิดกว้างเผยให้เห็นสนามหญ้าเขียวขจีบริเวณหน้าอาคารเรียนรวมหลังใหญ่ บนตัวอาคารมีธงไอริส และธงประจำเหล่าทัพทั้งสามโบกสะบัด ด้านข้างมีกลุ่มอาคารเรียนตั้งอยู่อีกสามสี่หลัง รวมทั้งหากมองลึกเข้าไปจะเห็นสนามฝึกขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างโรงอาหาร และส่วนของหอพัก ที่มีประตูกั้นสองบานแยกซ้ายขวาระหว่างหอพักหญิง และหอพักชายอย่างชัดเจน

                  วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคการศึกษาของโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลิตกำลังทหารที่มีคุณภาพให้แก่อาณาจักรไอริส ซึ่งแต่ละปีจะมีเด็กจำนวนมากที่คาดหวังว่าจะได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ แต่กว่าครึ่งก็ต้องผิดหวัง เมื่อไม่ผ่านการทดสอบพื้นฐานที่ทางกองทัพเป็นผู้กำหนด

                  ตอนนี้บริเวณสนามหญ้าหน้าอาคารเรียนรวมเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนออกันอยู่ภายในสนาม บ้างกำลังมองหาปลายแถวที่ทอดเหยียดออกไปเรื่อยๆจนเกือบถึงหน้าประตู บ้างกำลังยืนรอลูกที่กำลังต่อแถวลงทะเบียนเพื่อบอกลาก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกหลายเดือน นักเรียนส่วนใหญ่ที่สามารถผ่านการทดสอบของปีนี้ กำลังยืนเรียงแถวเพื่อลงทะเบียนก่อนเข้าสู่ห้องโถง เพื่อเข้าพิธีปฐมนิเทศ ในขณะที่นักเรียนชั้นปีอื่นๆ บ้างยืนต้อนรับนักเรียนใหม่ บ้างนั่งรับลงทะเบียน และก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่รอบบริเวณโรงเรียน ตอนนี้เด็กทุกคนอยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ต่างกันเพียงเข็มกลัดตัวเลขแสดงชั้นปีเท่านั้น

                  “ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”

                  คำถามที่ดังขึ้นแทบจะทันทีที่ลอร่าเดินออกมาจากบริเวณโต๊ะลงทะเบียน ทำให้ลอร่าหันหน้าไปมองโซเฟีย ที่ยืนรอนางอยู่บริเวณใกล้โต๊ะลงทะเบียนมาแต่แรก

                  “ค่ะ ว่าแต่ท่านพี่ไม่ต้องรีบไปทำธุระรึคะ”

                  ลอร่าเดินเข้าไปหาโซเฟียด้วยความสงสัย ก็โซเฟียบอกเองว่าวันนี้นางต้องเข้ามาทำธุระที่โรงเรียนเตรียมทหารก็เลยอาสาไปรับนางถึงคฤหาสน์ใต้จะได้มาที่โรงเรียนพร้อมกัน

                  “ว่าจะรอส่งเจ้าก่อนนะ ขืนทิ้งไว้คนเดียวมีหวังท่านลุงเอาข้าตายแน่”

                  โซเฟียเอ่ยติดตลก ขณะที่ก้มตัวลงจัดเนคไทสีเขียวที่อยู่ด้านในเสื้อสูทตัวนอกของลอร่าให้เข้าที่ แล้วพินิจชุดเครื่องแบบนักเรียนของลอร่าอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้ววางมือไว้บนศีรษะของลอร่า เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี วันนี้ลอร่ามัดผมเป็นหางม้าน่ารัก ผูกริบบิ้นสีเขียวเข้มเข้ากับสีของเนคไท แลดูน่ารักให้สายตาของโซเฟีย  ดวงหน้างามได้รูปกำลังส่งยิ้มน่ารักให้นาง ทำให้โซเฟียรู้สึกไม่อยากปล่อยลอร่าไว้คนเดียว กระนั้นนางก็จำเป็นต้องละมือออกจากศีรษะ แล้วเลื่อนลงมาวางที่ไหล่มน อย่างตัดใจ ก่อนเอ่ยถามสิ่งที่นางย้ำนักย้ำหนากับลอร่า

                  “จำที่ข้าบอกได้มั้ย”

                  “ห้ามออกไปข้างนอกก่อนที่ท่านพี่จะอนุญาต แล้วก็อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าใช่มั้ยคะ”

                  ลอร่าเอ่ยทวนอย่างมั่นใจ เพราะตลอดทางที่มาโรงเรียน ท่านพี่เอาแต่พูดประโยคที่ว่านี้ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าที่นี้เต็มไปด้วยคนน่ากลัว

                  “เก่งมาก แล้วถ้ามีใครรังแก ให้รีบมาบอกข้ารู้มั้ย”

                  โซเฟียพยักหน้ารับ เมื่อลอร่าสามารถจดจำสิ่งที่นางบอกได้ สาเหตุที่นางเป็นห่วงเป็นใยลอร่ามากขนาดนี้ แม้ว่าความเป็นจริงโรงเรียนเตรียมทหารจะไม่ใช่สถานที่อันตรายอะไร แต่เพราะตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา ลอร่าไม่เคยมีโอกาสได้ก้าวเท้าออกมาจากตัวคฤหาสน์ใต้ ไม่เคยมีโอกาสแม้แต่พูดคุยกับคนแปลกหน้า ไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกัน  เช่นนี้จะให้นางไม่ห่วงก็คงทำไม่ได้ ทำให้โซเฟียจำต้องเอ่ยย้ำด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง

                  “อย่าห่วงเลยค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ท่านพี่รีบไปทำธุระเถอะ”

                  ลอร่าโบกมือลาโซเฟีย เตรียมจะเดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อโซเฟียเอื้อมมือมารั้งข้อมือนางไว้ ทำให้ลอร่าต้องหันกลับไปมองโซเฟียด้วยความสงสัย ลอร่าเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของโซเฟียแล้วต้องถอนหายใจ เพราะดูท่าว่าพี่หญิงคนดีของนาง จะคิดว่านางไม่สามารถเผชิญสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ด้วยตัวคนเดียว

                  “ข้าทำได้จริงๆค่ะ ท่านพี่ไม่เชื่อใจข้ารึคะ”

                  สายตา และคำพูดเน้นย้ำหนักแน่นของลอร่า ทำให้โซเฟียไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยมือออกจากข้อมือบาง และยืนมองลอร่าโบกมือลานางอีกครั้ง ก่อนเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่อยู่ด้านใน ด้วยความเป็นกังวล

                  “ถ้าห่วงน้องขนาดนั้นทำไมถึงให้มาเรียนที่นี้ล่ะ”

                  หลังจากที่คาริมเห็นร่างบางของลอร่าเดินเข้าไปภายในห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่ปฐมนิเทศแล้ว เขาก็เดินออกมาจากมุมตึกที่เขาใช้แอบมองสองพี่สองคุยกันเมื่อสักครู่ ทำให้โซเฟียต้องเหลือบสายตามอง อย่างไม่ชอบใจนัก

                  “ไม่รู้สักเรื่องจะตายมั้ย”

                  โซเฟียเอ่ยเสียงแข็ง ก่อนเดินเข้าไปยังห้องโถงใหญ่เช่นกัน ด้วยจริงๆธุระของนางที่ต้องมาถึงที่นี้มันก็คือธุระอย่างเดียวกับของลอร่านั้นแหละ เพียงแต่นางยังไม่อยากบอกให้ลอร่ารู้เท่านั้นเอง นางอยากทำให้ลอร่าแปลกใจเล่น

                  “งั้นข้าคงต้องไปถามเอาจากน้องเจ้ากระมั้ง”

     

                  “ลงทะเบียนเสร็จแล้วก็มาเข้าแถวทางนี้!

                  เสียงรุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนแข็งกับเสียงพูดคุยของนักเรียนใหม่ที่เริ่มเข้ามาให้ห้องโถงกันมากขึ้น จนตอนนี้ห้องโถงใหญ่มีสภาพไม่ต่างจากตลาดสดดีๆนี้เอง

                  “นักเรียนใหม่เงียบ!”

                  คำสั่งเฉียบขาดที่ดังลั่นไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ผ่านลำโพงที่ตั้งอยู่รอบห้อง ทำให้นักเรียนใหม่ที่กำลังยืนคุยสร้างมิตรสหายใหม่เงียบเสียงลงแทบจะทันที ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งยืนอยู่หน้ายกพื้นด้วยสีหน้า และท่าทางที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างแรง และหากใครทำให้เขาอารมณ์เสียไปมากกว่านี้จะเจอดีตั้งแต่วันแรก

                  “จัดแถวตอนเรียงสิบ ปฏิบัติ!”

                  คำสั่งของเด็กหนุ่มด้านหน้าทำให้เหล่ารุ่นน้องรีบวิ่งวุ่นหาแถวจนเกิดเสียงดังยิ่งกว่าเดิม เดือดร้อนรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ตามจุดต่างๆ ต้องเข้ามาช่วยกันจัดแถวให้ ไม่งั้นอาจได้เริ่มงานปฐมนิเทศภาคการศึกษาใหม่กันพรุ่งนี้เช้า

                  “ลาซูลี ท่านซีอุสฝากบอกว่าพวกท่านผู้บังคับบัญชาการเหล่าทัพมาถึงกันแล้ว”

                  เด็กหนุ่มคนใหม่เดินขึ้นมากระซิบที่ข้างหูของเด็กหนุ่มที่กำลังยืนมองความวุ่นวายของการจัดแถว ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ

                  “ฝากบอกท่านซีอุสทีว่าพิธีจะเริ่มอีกสิบนาที แล้วไปบอกพาเซอร์ให้รีบจัดการพวกเด็กใหม่ให้เรียบร้อยก่อนพวกท่านครูจะมาหาแถวให้ด้วยตนเอง”

                  ลาซูลีพยักหน้ารับเป็นเชิงรับรู้ ขณะที่สายตาก็ยังมองความวุ่นวายด้านล่าง พร้อมเอ่ยปากสั่งคนเป็นเพื่อนทีเล่นทีจริง กระนั้นราเมียที่อาสาขึ้นมาบอกก็เพียงยักไหล่ อย่างเข้าใจความหมายของเพื่อน พลางมองเจ้าพวกเด็กใหม่ด้วยสายตาสยองขวัญ ก่อนเหลือบสายตาไปทางด้านหลัง ที่มีร่างสูงของท่านครูคาริมยืนมองอยู่หลังม่าน ข้างกันนั้นมีท่านครูโซเฟียมองนิ่ง เป็นเชิงปรามไม่ให้ออกมาด้านนอกก่อนเวลาอันควร

                  “ท่านครูคาริมคงทำไรเจ้าพวกนี้มากไม่ได้หรอก ข้าได้ยินว่าปีนี้มีน้องสาวท่านครูโซเฟียมาเรียนด้วย”

                  ราเมียเปรยให้ลาซูลีฟัง ตามข่าวลือที่เจ้าพวกรุ่นน้องที่ยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้าโรงเรียนบอกมา ว่าเห็นท่านครูโซเฟียเดินมากับเด็กผู้หญิงที่สวมเครื่องแบบโรงเรียนเตรียมทหาร แถมยังมีคนเห็นอีกว่าท่านถึงกับเดินมาส่งเด็กคนนั้นถึงหน้าห้องโถงด้วยตนเอง

                  “คนนั้นใช่มั้ย”

                  ลาซูลียิ้มรับข่าวที่เพื่อนนำมาบอก ก่อนจะเหลือบตามองร่างบางของเด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในแถวที่สองจากซ้ายมือ เส้นผมสีชมพูอ่อนแปลกตาที่มัดเป็นหางม้า ดวงหน้าขาวนวลน่ารักน่าทะนุถนอมราวตุ๊กตากระเบื้องชั้นดี ทำให้เด็กสาวคนนั้นดูโดดเด่นกว่าใครๆ โดยเฉพาะเมื่อปีการศึกษานี้มีเด็กผู้หญิงผ่านการทดสอบเข้ามาเพียงสามคนเท่านั้น

                  “คนนั้นแหละ”

                  ราเมียรับ หลังจากกวาดตามองเด็กสาวอีกสองคนที่ยืนอยู่แถวถัดไปแล้ว ก็จำได้ลางๆว่าทั้งสองคนเป็นลูกสาว และหลานสาวครูจีเดส ฉะนั้นเด็กสาวผมสีชมพูอ่อนอีกคนก็น่าจะเป็นน้องสาวของท่านครูโซเฟียตามที่เจ้าพวกรุ่นน้องบอกมา แม้สีผมของเด็กคนนั้นจะเป็นคนละสีกับท่านครูโซเฟีย แต่จากท่าทางการยืน และแววทะนงในตัวที่บ่งบอกว่าได้รับการอบรมมาอย่างดี ตามแบบราชสำนักก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าเด็กคนนั้นต้องเป็นน้องสาวของท่านครูโซเฟียไม่ผิด

                  “ดูเหมือนจะเรียบร้อยแล้ว”

                  ลาซูลีมองแถวตอนทั้งสิบแถวที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ แล้วเดินลงจากยกพื้น เขาเดินเข้าไปหาท่านซีอุสที่ยืนอยู่ใกล้ๆบริเวณยกพื้น ก่อนตบเท้าค้อมกายลงทำความเคารพ จากนั้นก็พาดมือออกเป็นเชิงเชิญให้ขึ้นไปบนยกพื้น เพื่อกล่าวอะไรบ้างอย่างกับนักเรียนใหม่

                    ซีอุสเดินขึ้นไปยืนบนยกพื้นด้านหน้านักเรียนใหม่ทุกคน พร้อมยิ้มกว้างส่งให้นักเรียนทุกคน ราวกับว่าไม่มีอะไรที่ทำให้เขาพอใจได้มากไปกว่าการเห็นนักเรียนใหม่ก้าวเข้ามาสู่โรงเรียน และเห็นเหล่านักเรียนเก่ากลับเข้ามาที่โรงเรียนอีกครั้ง

                  “ยินดีต้อนรับทุกคน”

                  เสียงที่เปร่งออกมาของซีอุสก้องกังวาลไปทั่วบริเวณห้องโถงใหญ่ แม้ว่าเขาจะล่วงเลยช่วงวัยกลางคนไปมาก แต่น้ำเสียงเขาก็ไม่ได้แหบแห้งเช่นชายสูงวัย สีหน้าท่าทางของเขาดูกระฉับกระเฉงเกินวัย โดยเฉพาะเมื่อยามที่เขาสวมเครื่องแบบทหารบกสีกากี ที่กระเป๋าเสื้อด้านขวามีเหรียญตราห้อยลงมาสามเหรียญ ส่วนด้านซ้ายมีสายยงยศสีทองห้อยลงมาสามเส้น บ่งบอกว่าเขาคงมีตำแหน่งใหญ่โตไม่น้อยในกองทัพ เสื้อคลุมสีแดงเลือดนกที่ซีอุสสวมแสดงถึงสังกัดการปกครองระดับคฤหาสน์ ยิ่งทำให้เขาดูเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามยิ่ง

                  “ยินดีต้อนรับทุกคนสู่ภาคการศึกษาใหม่ และขอแสดงความยินดีกับนักเรียนใหม่ทุกคนที่ผ่านการทดสอบเข้ามาได้”

                  ซีอุสกวาดตามองนักเรียนใหม่ที่ยืนเข้าแถวอยู่กลางห้องโถงแบบเรียงตัว ด้วยสีหน้าชื่นบาน ก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อเริ่มพูดอีกครั้ง

                  “แต่อย่าพึ่งดีใจไป เวลาอีกสี่ปีข้างหน้าภายในรั้วโรงเรียนเตรียมทหาร จะไม่ใช่สี่ปีที่สบายนัก แต่พวกเจ้าทุกคนจะผ่านร้อนผ่านหนาวไปพร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่รอบด้านของพวกเจ้า ฉะนั้นจงรักกันให้มากๆ”

                  เมื่อซีอุสเอ่ยจบประโยคเขาก็ก้าวออกไปด้านข้าง เพื่อเปิดทางให้เหล่านักเรียนใหม่มองเห็นบรรดาท่านผู้บังคับบัญชาการเหล่าทัพทั้งสามที่เดินขึ้นมาพร้อมท่าน และยืนรออยู่ด้านหลังให้เต็มตา

                  “บุคคลทั้งสามท่านที่พวกเจ้าเห็น คือ ผู้บังคับบัญชาการของทั้งสามเหล่าทัพ ซึ่งพวกเจ้าจะต้องทำความรู้จักกันต่อไป แต่สำหรับวันนี้ข้าจะให้ทั้งสามท่านกล่าวอะไรกับพวกเจ้าสักเล็กน้อย”

                  ซีอุสเอ่ย พร้อมพาดมือไปทางผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งสวมเครื่องแบบประจำเหล่าทัพแตกต่างกันไป โดยชายที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือส่วนเครื่องแบบทหารบกสีกากีเช่นเดียวกับซีอุส ต่างกันก็ตรงที่ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งเป็นสีประจำเขตคฤหาสน์เหนือ แทนที่จะสวมเสื้อคลุมของเขตคฤหาสน์ใต้  ถัดมาหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียว ที่ยืนอยู่ระหว่างชายทั้งสอง นางส่วนเครื่องแบบนักบินสีฟ้าเข้ม คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม ด้านหน้าของเสื้อคลุมมีเส้นเชือกสีทองถักเชื่อมระหว่างสาบเสื้อคลุมทั้งสองด้าน และคนสุดท้ายชายหนุ่มผิวสีคว้ำแดด ผู้สวมเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ อันเป็นเครื่องแบบของเหล่าราชนาวี คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มติดกระดุมสีทองเม็ดใหญ่เพียงเม็ดเดียวที่ด้านบนของเสื้อคลุม

                  “ข้าอลาสทอล คลอนเมล ขอเตือนพวกเจ้าเพียงว่า หากไม่แข็งจริง ก็อย่าคิดที่จะเลือกทหารบก”

                  ท่านผู้บังคับบัญชาการทหารบกเป็นคนแรกที่ก้าวขึ้นมาพูดอะไรบางอย่างกับนักเรียนใหม่ ก่อนจะเดินกลับไปยืนด้านหลังตามเดิม โดยไม่สนใจอาการนิ่งอึ้งของนักเรียนใหม่ ที่ยืนฟังอย่างคนไม่ค่อยมีสติ

                  “ขอต้อนรับนักเรียนใหม่ทุกคน ข้าโซเฟีย สแตรนเรียร์...”

                  โซเฟียก้าวออกมาด้านหน้าต่อจากอลาสทอล ดวงตาสีมรกตกวาดมองนักเรียนใหม่ทั้งหมด นางมองสายตาตื่นตกใจของลอร่า ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัว และเพียงแค่ได้ยินนามสกุล เสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารย์ก็ดังขึ้นทั่วห้องโถง เรียกสีหน้าเอื้อมระอาจากโซเฟีย และท่านครูคนอื่นๆ เนื่องจากไม่ว่าจะกี่รุ่นต่อกี่รุ่น พอได้ยินชื่อตระกูล สแตรนเรียร์ ซึ่งเป็นตระกูลผู้ปกครองคฤหาสน์ตะวันออก และเป็นตระกูลผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ก็พากันตื่นตกใจ

                  “อะแฮ่ม...”

                  เสียงกระแอ้มกระไอของซีอุสเรียกสติให้นักเรียนใหม่กลับสู่ความสงบ และหันมาตั้งใจฟังสิ่งที่โซเฟียจะพูดต่อไป

                  “แม้ข้าจะเป็นคนของสแตรนเรียร์ แต่นักเรียนใหม่ทุกคนจำไว้ให้ดี อยู่ที่นี้ข้าคือ ท่านครูโซเฟียของพวกเจ้า ภายในโรงเรียนจะไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น หรือตระกูล ทุกคนคือพี่ น้อง และเพื่อน ฉะนั้นอย่าให้ข้าได้ยินเรื่องไร้สาระพวกนี้ในโรงเรียน ไม่เช่นนั้นข้าจะเล่นงานตัวก่อเรื่องให้หนัก” 

                  โซเฟียกล่าว พลางกวาดตามองนักเรียนทุกคน ด้วยสายตาจริงจัง นางเห็นเด็กหลายคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยสีหน้าท่าทางยากลำบาก และก็มีบางคนที่ทำท่าขนลุกขนพอง ยามเมื่อนางกวาดตาไปมอง ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวก็สร้างความพอใจให้กับโซเฟีย เพราะหลังจากนางมองดูนักเรียนจนทั่วห้องแล้ว ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปยืนด้านข้างของอลาสทอลตามเดิม

                  เมื่อโซเฟียกลับไปยืนที่เดิม ก็เป็นคราวของชายหนุ่มในเครื่องแบบราชนาวีที่ต้องเดินออกมากล่าวอะไรบางอย่างกับนักเรียนใหม่ เขาคนนั้นเดินออกมาด้านหน้าด้วยสีหน้าไม่สื่ออารมณ์ใดใด แถมออกจะไปทางบึ่งตึงน่ากลัว เขาเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าโซเฟีย ตรงตำแหน่งที่ท่านผู้บังคับบัญชาการคนอื่นๆ ใช้กล่าวให้โอวาทแก่นักเรียนใหม่ จากนั้นก็มองนักเรียนใหม่ที่อยู่ด้านล่างนิ่ง จนทำให้คนถูกมองแทบหยุดหายใจ

                  “ยินดีต้อนรับทุกคน และขอให้โชคดี”

                  เวลาผ่านไปหลายอึดใจก่อนที่คาริมจะเริ่มกล่าวอะไร กระนั้นเขาก็เพียงกล่าวต้อนรับสั้นๆ โดยไม่คิดจะแนะนำชื่อตัวเองอย่างที่คนอื่นทำ ด้วยเขามั่นใจว่าไม่เกินวันนี้เจ้าพวกเด็กใหม่ที่อยู่ด้านล่างต้องรู้จักเขาแน่ ผ่านทางเจ้าพวกนักเรียนชั้นปีอื่นๆ แถมอาจจะรู้ไปถึงฉายาและกิตติศัพท์ ที่เจ้าพวกตัวแสบพวกนี้มันสรรหามาให้เขาอีกด้วย

                  “และหากโชคดี เราคงมีโอกาสพบกันในชั้นเรียนตั้งแต่ปีแรก”

                  เมื่อกล่าวเสร็จ เขาก็มองพวกนักเรียนที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง แล้วเลยไปทางนักเรียนชั้นปีอื่นๆ ที่ยืนเรียงแถวถัดไปจากแถวนักเรียนใหม่ที่ทำหน้าหวาดกลัวเต็มที่ ยามเมื่อเขาพูดว่าจะไปหาที่ชั้นเรียน โดยเฉพาะยามเมื่อเขาเหลือบตาไปมอง เขาก็เห็นนักเรียนบางคนถึงกับแข้งขาอ่อน เซไปชนกับเพื่อนด้านข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ นั้นทำให้คาริมถึงกับหัวเราะในลำคอ ก่อนเดินกลับเข้าไปที่เดิม เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านซีอุสออกมาแนะนำอะไรให้นักเรียนใหม่ต่อ

                  ซีอุสเดินกลับขึ้นมายืนด้านหน้าต่อหน้านักเรียนทุกคนอีกครั้ง พลางส่งยิ้มไปให้นักเรียนทุกคนในห้องโถง ทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดเมื่อครู่จางหายไป

                  “เอาล่ะ หลังจากนี้พวกเจ้าทุกคนจะต้องแยกย้ายกันไปตามห้องเรียน ที่ระบุไว้หลังชื่อตอนพวกเจ้าลงทะเบียนเมื่อเช้านี้ เพื่อไปรู้จักกับครูที่ปรึกษา จากนั้นจะมีรุ่นพี่ชั้นปีที่ 2 พาไปสำรวจสถานที่รอบโรงเรียน”

                  เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ซีอุสก็ได้ยินเสียงพูดคุยกระซิบกระซากกันดังไปทั่วห้องโถงใหญ่ เช่นตอนที่โซเฟียออกมาแนะนำตัว กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากว่ากล่าวอะไร เขามองดูสีหน้าตื่นเต้นของนักเรียนใหม่ทุกคนด้วยรอยยิ้ม และรอจนกว่าเสียงพูดคุยเหล่านั้นจะเงียบลงไปเอง ก่อนจะกล่าวต่อ

                  “สำหรับสัมภาระของพวกเจ้าทุกคน ตอนนี้ถูกส่งไปที่หอพักเรียบร้อยแล้ว และเมื่อเดินสำรวจรอบโรงเรียนเสร็จ ช่วงบ่ายจะเป็นกิจกรรมของทางหอพัก สุดท้ายจงจำไว้ว่า ที่นี้รุ่นพี่คือกฏ ทุกการกระทำของพวกเจ้าจะอยู่ภายใต้สายตาของคณะครู และรุ่นพี่ทุกคนในโรงเรียน หากพวกเจ้ากระทำตัวไม่เหมาะสม ครูฝึกและรุ่นพี่ทุกคนมีสิทธิ์สั่งลงโทษตามความเหมาะสม ขอให้โชคดี”

                  เมื่อกล่าวสิ่งที่ต้องพูดเสร็จซีอุสก็เดินนำท่านผู้บังคับบัญชาการทั้งสามเหล่าทัพลงจากยกพื้น กลับไปยังม่านด้านหลัง พร้อมหันไปพยักหน้าให้ลาซูลีขึ้นไปรับหน้าที่ต่อ ซึ่งลาซูลีก็เพียงค้อมศีรษะลงรับ แล้วเดินขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้เดินกลับขึ้นมาคนเดียว เขาเดินขึ้นไปพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน

                  “สวัสดีนักเรียนใหม่ทุกคน ก่อนจะแยกย้ายกันไปที่ห้องเรียน ข้าขอแนะนำตัวเล็กน้อย ข้าชื่อ ลาซูลี ฮิลตัน เป็นประธานนักเรียน ส่วนอีกสองคนที่เหลือ คือ ราเมีย เมอร์สัน และพาเออร์ คาร์เมอรอน ซึ่งทั้งคู่มีตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่ายกิจกรรม และฝ่ายวิชาการ”

                  เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ลาซูลีกล่าวแนะนำตนเอง และเพื่อนทั้งสอง โดยเริ่มจากราเมียที่ยืนอยู่ทางด้านขวา แล้วตามด้วยพาเออร์ ซึ่งทั้งสองคนก็เพียงยิ้มบางๆส่งให้เจ้าพวกรุ่นน้อง แล้วรอให้เสียงพูดคุยเงียบหายไปเอง

                  “ดูเหมือนรุ่นนี้จะมาพร้อมเสียงจริงน่ะ เอาล่ะข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว คิดว่าที่เหลือรุ่นพี่แต่ละกลุ่มคงบอกเจ้าทีหลัง ตอนนี้ก็แยกย้ายได้”

                  สิ้นเสียงอนุญาตจากลาซูลีทุกคนทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ที่เคยเงียบเสียงลงไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ก็กลับมาดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง นักเรียนชั้นปีที่ 1 ต่างหันมาพูดคุยขณะทะยอยเดินตามพวกรุ่นพี่ที่อยู่ตามทางออกออกไปด้านนอก เสียงพูดคุยฟังไม่ได้ศัพท์ทำให้ลาซูลีที่ยังคงยืนมองอยู่บนยกพื้นสั่นหัวน้อยๆ แล้วเดินตบไหล่เพื่อนอีกสองคน พลางเอ่ยเป็นเชิงหยอกล้อกับเพื่อนก่อนลงไปด้านล่าง เพื่อดูความเรียบร้อยของพวกนักเรียนใหม่

                  “ปีนี้ได้ซ่อมกันสนุกแน่”

                  คำเปรยของลาซูลีเรียกรอยยิ้มเย็นจากราเมียที่เป็นผู้รับผิดชอบการฝึกวินัยให้พวกนักเรียนใหม่โดยตรง ผิดกับพาเออร์ที่ยังคงมีรอยยิ้มพิมพ์ใจประดับบนใบหน้า หากดวงตาฉายแววระริก ทำให้ลาซูลีรู้ว่าอีกฝ่ายก็คงตื่นเต้นกับการซ่อมเจ้าพวกนักเรียนใหม่ไม่ต่างกัน แต่แล้วสายตาของลาซูลีก็เหลือบไปเห็นร่างบางของท่านครูโซเฟีย ที่ยืนมองออกมาจากม่านด้านหลัง สายตาจ้องมองไปทางเด็กสาวผมสีชมพูอ่อน ด้วยสายตาเป็นกังวล อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

                  “ดูเหมือนนอกจากจะได้ซ่อมพวกเด็กใหม่กันสนุกแล้ว พวกเราอาจเห็นอะไรดีๆก็ได้”

                  รอยยิ้มมีเล่ห์สนัยของลาซูลีทำให้ทั้งราเมีย และพาเออร์ต้องมองตามสายตาเพื่อนไป แต่ก็ต้องรีบหันกลับมา เมื่อเจอเข้ากับสายตาคมกริบของท่านครูคาริมที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน พวกเขาเดินตามหลังเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของนักเรียนปีหนึ่งออกไปจากห้องโถงใหญ่ ขึ้นไปยังชั้นที่เป็นห้องเรียนของพวกนักเรียนปีหนึ่ง

                  “จีน่า นั้นน้องสาวท่านครูโซเฟีย ที่เขาพูดถึงกันใช่มั้ย”

                  เด็กสาวผมสีฟ้าคนหนึ่งหันไปหาเพื่อนผู้เป็นญาติที่เข้ามาเรียนด้วยกัน พลางเหลือบตามองเด็กสาวอีกคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ด้วยสายตาตื่นเต้น ทำให้เพื่อนผู้มีสีผมเดียวกันมองตามสายตาไป แล้วเอ่ยรับง่ายๆ

                  “ถ้าเจ้าได้ยินมาไม่ผิดนะน่ะ”

                   “แต่ท่าทางหยิ่งๆยังไงก็ไม่รู้ ดูสีหน้านางสิ เย็นซะอย่างกะจะไปแช่แข็งใคร”

                  เจนน่าวิจารณ์ขณะเพ่งพินิจดวงหน้าด้านข้างของลอร่าที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย นางไม่รู้ว่าคนตรงหน้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร แต่จากแวบแรกที่นางเห็นก็บอกได้ทันทีว่าคนดังกล่าวไม่ได้เป็นคนประเภทที่นางอยากคบด้วยแม้แต่น้อย

                  “เจ้ายังไม่ทันลองคุยกับนางเลยไม่ใช่หรอ ไม่แน่ว่านางอาจจะน่าคบกว่าที่เจ้าคิดก็ได้ อีกอย่างเจ้าก็รู้ว่าพวกเชื้อพระวงศ์ก็มีท่าทางอย่างงี้กันทั้งนั้น”

                  เสียงวิพากษ์วิจารย์อุปนิสัยของเชื้อพระวงศ์ทำให้คนที่เดินอยู่ใกล้ๆกันหันมามอง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าคนเป็นเชื้อพระวงศ์ที่โดนนินทาระยะเผาคน ดวงตาราบเรียบเย็นยะเยือกปรายมองคนช่างนินทา ทำให้เจนน่ารู้สึกเสียวสันหลังวาบ แล้วยิ้มเจื้อนๆ จนเมื่อเจ้าของสายตาหันกลับไปมองด้านหน้าตามเดิม และมีเสียงจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู

                  “เจ้านี้กล้าเป็นบ้าเลย รู้อยู่ไม่ใช่หรอว่าลอร่าน่ะ เป็นน้องสาวท่านครูโซเฟีย แถมยังเป็นเชื้อพระวงศ์อีก การนินทาเชื้อพระวงศ์มีโทษถึงตัดลิ้นเชียวนะ”

                  เจนน่าหันไปมองเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีส้ม และเส้นผมสีแดงเพลิงที่ตัดสั้นไล่ระดับ พร้อมถูกเซตไว้อย่างดี ก่อนจะมองเลยไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินคู่กันมา

                  “ไม่ได้ตั้งใจน่ะ อีกอย่างเจ้ารู้ได้ไงว่านางชื่อลอร่า”

                  “ถ้าพวกเจ้าตั้งใจฟังเสียงพูดคุยที่ลอยมาตามลมสักนิด ก็รู้ได้ไม่ยากหรอก ตอนนี้ใครๆก็พูดถึงเรื่องของลอร่า”          

                   เด็กหนุ่มแย้มยิ้มอย่างขบขันในสีหน้าประหลาดใจของเจนน่า พลางเหลือบสายตาไปทางเจ้าพวกที่กำลังจับกลุ่มคุยอย่างสนุกปาก แล้วหันกลับมามองเจนน่าอีกครั้ง

                  “งั้นเห็นทีข้าคงไม่ต้องถูกตัดลิ้นคนเดียว”

                  คำพูดของเจนน่าทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนขยับยิ้มกว้าง พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

                  “เจ้าเป็นคนน่าสนใจกว่าที่ข้าคิดจริงๆ เจนน่า”

                  เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อนเอ่ยอย่างสนุกปาก การเอ่ยเรียกของเด็กหนุ่มคนนั้นทำให้เจนน่าต้องเลิกคิ้วขึ้น อย่างประหลาดใจที่เขารู้ชื่อของเธอ

                  “เจ้ารู้จักข้าได้ยังไง?”

                  “ไม่มีใครไม่รู้จักลูกสาวครูจีเดสหรอก ส่วนนั้นก็จีน่าหลานสาวครูจีเดสใช่มั้ย พวกเจ้าควรจะรู้นอกจากเรื่องของลอร่าแล้ว อีกหัวข้อหนึ่งที่มีคนพูดถึงเยอะไม่แพ้กันคือเรื่องของพวกเจ้า”

                  จีน่า และเจนน่าที่กลายเป็นหัวข้อสนทนายอดนิยมไม่แพ้ลอร่าทำหน้าประมาณไม่อยากเชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร คนทั้งคู่ก็ไม่ได้มีสีหน้าล้อเล่นแม้แต่น้อย

                  “อ้อ ข้าชื่อ ซีซาร์ อยู่ห้อง 5 ส่วนเจ้านั้นชื่อ มากรีส อยู่ห้อง 3 หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้”

                  ซีซาร์ยื่นมือให้เจนน่า และจีน่าเป็นเชิงแสดงความยินดีที่คนทั้งคู่ได้รู้จักกัน ซึ่งเด็กสาวทั้งคู่ก็จับมือของอีกฝ่ายน้อยๆ พร้อมแย้มยิ้มขึ้น

                  “แน่นอน อย่างน้อยเจ้าก็ดูน่าคบล่ะน่ะ”

                  เจนน่าเอ่ย ตามนิสัยชอบต่อล้อต่อเถียง แล้วเหลือบตาไปมองตามเสียงเรียกเข้าห้องของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าของแต่ละห้องเรียน ที่ทอดตัวยาวเต็มระเบียงทางเดิน กระนั้นเธอก็ยังไม่คิดที่จะเดินเข้าไปในห้องเรียน 

                  “ได้ยินว่าห้อง 1 เป็นห้องของพวกที่ผ่านการทดสอบเข้าโรงเรียนด้วยคะแนนสูงสุดยี่สิบอันดับแรก”

                  จีน่าเปรย ขณะสายตาเหลือบไปมองทางห้องเรียนที่ติดป้าย 1-1 ไว้ด้านบนประตูทางเข้าห้องเรียน

                  “อือ พนันได้เลยว่าสมาชิกหนึ่งในนั้นต้องเป็นลอร่า”

                  ซีซาร์เอ่ยด้วยความมั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อเขาหันไปมอง และเห็นร่างบางของลอร่าเดินเข้าไปในห้อง เขาก็ถึงกับดีดนิ้ว ราวกับว่าตนเองถูกหวยรางวัลที่ 1

                  “เจ้ารู้ได้ยังไง”

                  คนที่ถามคราวนี้เป็นจีน่าที่มองตามสายตาของคนอื่นๆไป ด้วยความประหลาดใจ เพราะใช่ว่าการเป็นน้องสาวของท่านครู จะทำให้เข้าไปอยู่ในห้องนั้นได้เสียเมื่อไร

                  “ก็เพราะนางเก่งมากน่ะสิ พวกรุ่นพี่บอกว่านางเป็นคนแรก และคนเดียวในโรงเรียนที่ทำข้อสอบก่อนเข้าเรียนได้คะแนนเต็ม”

                  มากรีสเอ่ย แล้วเหลือบสายตาไปมองทางเข้าห้องเรียน ที่ตอนนี้ไม่มีร่างบางของลอร่ายืนอยู่แล้ว มีเพียงกลุ่มเด็กหนุ่มสามสี่คนกำลังจับกลุ่มกันเม้าท์เท่านั้น

                  “เป็นไปไม่ได้ ข้อสอบที่ว่านั้นยากจะตาย ถามแต่เรื่องน่าปวดหัว”

                  จีน่าแย่งขึ้น อย่างไม่เชื่อถือ เพราะตอนทำข้อสอบที่ว่านางแทบจะมั่วมันทุกข้อ เนื่องจากมันถามแต่คำถามจำพวกประวัติศาสตร์ไอริสบ้างล่ะ คณิตศาสตร์บ้างล่ะ และที่น่าปวดหัวที่สุดคงเป็นหัวข้อภาษาโบราณที่ไม่รู้มันจะถามหาพระแสงอะไร ที่สามารถผ่านเข้ามาเรียนได้นี้ก็บุญโขแล้ว

                  “มันเป็นไปแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจจะเป็นอัจฉริยะก็ได้”    

                 

                  ตอนนี้นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งเริ่มทะยอยกันเข้าไปในห้องเรียน หลังจากที่พวกเขาเห็นครูฝึกบางท่านเริ่มทะยอยกันเข้าไปในห้องเรียนบ้างแล้ว ภายในห้อง 1-1 เด็กหลายคนที่เข้ามาจับจองที่นั่งก่อน กำลังยืนบ้างนั่งบ้างจับกลุ่มคุยรอเวลา และแน่นอนว่าหัวข้อสนทนาที่เป็นที่นิยมที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของน้องสาวท่านครูโซเฟีย ที่ตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนรวมห้องของพวกเขา นั้นทำให้สายตาของคนเกือบทั้งห้องเหลือบมองร่างบางที่นั่งอยู่แถวที่สามบริเวณริมหน้าต่างเป็นระยะๆ โดยไม่สนใจว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้คนโดนนินทาระยะเผาขนรู้สึกอึดอัดมากเพียงใด
                  "สวัสดี"
                  เสียงทักที่ดังขึ้น ทำให้ลอร่าหันมามองด้วยสายตาราบเรียบ ดวงหน้างามยามนี้สงบนิ่งไม่สื่ออารมณ์ใดใด จนทำให้คนที่เริ่มเข้ามาทักหน้าเสีย กระนั้นเด็กหนุ่มใจกล้าก็ยังต้องพยายามฝืนทำใจกล้าต่อไป ด้วยการเอ่ยแนะนำชื่อของตนเอง โดยหวังว่ามันจะทำให้บรรยากาศที่แสนจะอึดอัดนี้หายไปได้
                  "ข้าชื่อจัสเปอร์ยินดีที่รู้จัก"
                  เด็กหนุ่มคนนั้นเอ่ยพร้อมยื่นมือออกไปด้านหน้า ซึ่งการกระทำของเขาสามารถเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มคนอื่นๆในห้องให้หันมามองได้ ส่วนคนโดนทักอย่างลอร่า กลับเพียงจ้องมือที่ยื่นออกมานิ่ง ด้วยสีหน้าและท่าทางที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม นางจ้องมองคนที่ยื่นมือออกมาให้นานหลายนาทีจนทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าเสีย
                  "ยื่นมือมาทำไม"
                  ในที่สุดลอร่าก็เลิกจ้องมืออีกฝ่าย เปลี่ยนมาเป็นมองหน้าอีกฝ่ายแทน ดวงตาสีม่วงอมแดงจ้องอีกฝ่ายนิ่ง พร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบไม่สื่ออารมณ์ นั้นยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลง และอึดอัดมากขึ้น ไม่มีใครกล้าขยับตัว หรือส่งเสียงใดใดออกมา ดีที่ครูที่ปรึกษาเดินเข้ามาทำลายบรรยากาศดังกล่าว
                  "นั่งที่ให้เรียบร้อย"
                  ชายผู้เข้ามาใหม่ปรายตามองทั่วทั้งห้อง แล้วต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางโล่งอกของคนทั้งห้อง จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งเสียงดัง ขณะเดินไปที่หน้ากระดาน ในมือถือเอกสารกองย่อมๆ เขาวางเอกสารกองนั้นลงบนโต๊ะตัวหน้าสุด พร้อมส่งให้เด็กคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น ส่งเอกสารไปให้เพื่อนร่วมห้อง
                  ลอร่าหันไปมองชายผู้เข้ามาใหม่ด้วยความสนใจ พลางยื่นมือไปรับเอกสารที่ถูกส่งมาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้านาง ลอร่าก้มลงมองเอกสารที่เป็นตารางเรียนคร่าวๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมาสนใจชายที่ยืนอยู่หน้าห้องที่ตอนนี้เริ่มพูดอีกครั้ง
                  "ข้าฟิเดส เป็นครูที่ปรึกษาของพวกเจ้า หากมีข้อสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลืออะไร ข้าจะอยู่ที่ห้องพักครูชั้น 3 นอกจากนั้นข้ายังสอนวิชายุทธศาสตร์เบื้องต้น ซึ่งพวกเจ้าจะได้เรียนในเทอมนี้ และข้าหวังว่าจะไม่มีใคร ทำให้ท๊อปคลาสของชั้นปีเสียหน้า ด้วยการสอบตกในวิชาใดใด"
                  คำกล่าวแนะนำตัว พร้อมด้วยความคาดหวังของฟิเดส ทำให้เด็กในห้องที่รู้บ้างไม่รู้บ้างเรื่องท๊อปคลาสกลืนน้ำลายอึกด้วยความสยอง
                  "กระดาษที่อยู่ในมือทุกคนคือตารางเรียนของเทอมนี้ การเรียนการสอนจะเริ่มในสัปดาห์หน้า และข้าจะไม่พูดอะไรมาก เพราะรู้ว่าวันนี้ทั้งวันพวกเจ้าคงต้องเหนื่อยกับกิจกรรมปฐมนิเทศจากทางสภานักเรียนอีกยาวเหยียด ฉะนั้นข้ามีเรื่องจะเตือนพวกเจ้าอีกแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ชาติตระกูล หรือยศศักดิ์ทางสังคมอะไรก็ตามขอให้ลืมมันซะเมื่ออยู่ที่นี้ ตอนนี้ทุกคนมีฐานะเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารเท่ากันหมด ทราบ!"
                  คำเตือนของฟิเดสทำให้ลอร่าที่สู้นั่งนิ่งเป็นเวลานานตกเป็นเป้าสายตาจากคนทั้งห้องอีกครั้ง ด้วยตอนนี้ทุกคนรู้ถึงฐานะน้องสาวของท่านครูโซเฟีย ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ดี ฉะนั้นคนที่ว่าก็ต้องมีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยเช่นกัน และโอกาสที่พวกเขาจะได้สัมผัสกับเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ได้มีบ่อยๆ ฉะนั้นพวกเขาจึงควรใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับเด็กสาวคนดังกล่าวให้มากๆ หากแต่คนที่ใครต่อใครอยากรู้จักในเวลานี้ กลับทำเพียงนั่งตีหน้านิ่งไม่ทุกข์ร้อนกับการตกเป็นเป้าสายตาไม่รู้ครั้งที่เท่าไรของวัน
                  "ว่ายังไง?"
                  เมื่อเห็นทุกคนยังคงเงียบ ฟิเดสจึงถามย้ำ ทำให้คนทั้งห้องจำต้องตอบรับ

                  “ทราบครับ/ค่ะ!
                  "ดีมาก อีกสิบห้านาทีจะมีรุ่นพี่พาไปชมรอบโรงเรียน ระหว่างนี้พวกเจ้าก็ทำความคุ้นเคยกันไปพลางๆแล้วกัน"
                  เมื่อฟิเดสได้ยินสิ่งที่เขาต้องการ ก็เดินกลับออกไปจากห้องเรียน หากก่อนที่จะไปก็ยังไม่วายปรายสายตาไปทางลอร่า ที่ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าจะตกเป็นเป้าของครูที่ปรึกษาตั้งแต่วันแรก
                  "พวกเรามาทำความรู้จักกันหน่อยมั้ย"
                  เด็กหนุ่มดวงตาสีเขียวภายใต้กรอบแว่นตาสี่เหลี่ยมสีดำ หันหลังไปหาลอร่าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวด้านหลัง ผมสีน้ำตาลของเขาตัดสั้นชี้โด่งชี้เด่ตามสมัยนิยม กระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็ทำให้เขาคนนี้ดูดีในระดับหนึ่ง
                  เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเห็นอาการนิ่งเฉยของลอร่า เขาก็หันไปมองเพื่อนคนที่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้าง และโต๊ะถัดๆไปอย่างขอความเห็น ทำให้คนที่เคยนั่งอยู่เดินเข้ามาล้อมกรอบรอบโต๊ะเรียนของลอร่า ที่มองการกระทำของคนทั้งหมดด้วยสีหน้านิ่งเฉย หากแววตาแสดงถึงความประหลาดใจ
                  "พวกเจ้าก็รู้จักชื่อข้าแล้ว ข้ายังต้องแนะนำตัวซ้ำทำไมอีก"
                  ลอร่าเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ ก็ในเมื่อพวกเขาก็รู้จักนางกันหมดแล้ว นางยังต้องแนะนำตัวอะไรอีกล่ะ คนพวกนี้ตังหากที่ต้องบอกชื่อนาง แถมเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่อยู่ๆก็ยื่นมือมาให้นางทำไมก็ไม่รู้นางไม่เห็นจะเข้าใจ ตอนนี้ลอร่ารู้สึกว่าการกระทำของคนทั้งหมดช่างเป็นอะไรที่เข้าใจยากสำหรับนางเหลือเกิน
                  "การแนะนำตัวไม่ใช่แค่ข้ารู้จักชื่อเจ้า หรือเจ้ารู้จักชื่อข้าหรอกนะ แต่ต้องพยายามรู้ว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร ต้องมีความรู้สึกอยากพยายามเป็นเพื่อนกันด้วย"
                  เด็กหนุ่มคนเดิมเอ่ยอย่างใจเย็น พลางพยายามฝืนยิ้มอย่างเป็นมิตรกับลอร่า อย่างใจเย็น
                  "เพื่อน?"
                  เสียงเอ่ยทวนด้วยความสนใจปนประหลาดใจของเด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้อง ยิ่งทำให้คนทั้งห้องสนใจร่างบางมากขึ้น ด้วยนอกจากลอร่าจะมีท่าทางเย็นชาไร้อารมณ์แล้ว บางอย่างแสนแปลกประหลาดในตัวของลอร่าที่พวกเขาพึ่งสัมผัสได้เมื่อสักครู่ยิ่งทำให้เขาสนใจใคร่รู้ว่าเชื้อพระวงศ์ทุกคนมีนิสัยเช่นนี้หมดรึไม่ มันเป็นความรู้สึกราวกับว่าโลกของพวกเขากับโลกของอีกฝ่ายเป็นโลกคนละใบกัน ทั้งๆที่ความเป็นจริงพวกเขาก็เกิดและเติมโตมาให้ฐานะของคนไอริสเช่นเดียวกัน
                  "แล้วอะไรที่มากกว่าชื่อที่ต้องแนะนำก่อนจะเป็นเพื่อน"
                  คำถามประโยคนี้ของลอร่าทำให้ห้องเงียบไปชั่วอึดใจ เด็กหนุ่มทุกคนหันซ้ายแลขวา เพื่อขอความคิดเห็นของกันและกัน ด้วยไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนปกติคนไหนถามคำถามนี้ออกมา สุดท้ายเด็กหนุ่มคนเดิมก็จำต้องตอบคำถามที่แสนยากนั้นแบบขอไปที
                  "เอาเป็นว่าวันนี้เจ้าแค่พยายามจำชื่อพวกเราทุกคนให้ได้ก่อนแล้วกัน"
                  ขอเสนอของคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า ทำให้ลอร่าจำต้องพยักหน้ารับ อย่างเสียไม่ได้ ซึ่งนั้นทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นแย้มยิ้ม พร้อมเอ่ยแนะนำตัว
                  "ข้าชื่อโจเซฟ ยินดีที่ได้รู้จัก"
                  "ข้าโคบัส"
                  เมื่อโจเซฟหันไปมองเด็กหนุ่มผมน้ำตาลแดง ดวงตาสีแดงเข้ม เขาก็รีบเอ่ยแนะนำตัว พร้อมยิ้มให้ลอร่าเล็กน้อย
                  "อีริค ส่วนนั้นก็เอริค เจ้านั้นเป็นน้องชายฝาแฝดข้า"
                  เด็กหนุ่มผมสีครามเอ่ย พลางเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มอีกคนที่มีเส้นผมสีเดียวกัน แต่สวมแว่นตากรอบรูปวงกลมสีดำจ้องมองหนังสือเล่มบางอยู่ที่โต๊ะเรียน ที่อยู่ถัดไปอีกสองโต๊ะ แถวที่สองนับจากหน้าห้องเรียน เมื่อเอริคได้ยินพี่ชายตนเองเอ่ยแนะนำ เขาก็เงยหน้าขึ้นจากหน้าหนังสือ วางมันลงข้างๆ แล้วส่งยิ้ม พร้อมโบกมือทักทายเด็กสาวเพียงคนเดียวในห้องอย่างเป็นมิตร กระนั้นลอร่ากลับมองการกระทำนั้นด้วยสายตานิ่งเฉย
                  "ดูเหมือนจะหมดเวลาทักทายกันแล้ว ออกไปกันเถอะ"
                  โคบัสเอ่ย พลางเหลือบสายตาไปทางหน้าประตูที่เปิดค้างไว้ ทำให้เห็นร่างสูงของรุ่นพี่สองคนยืนอยู่ด้านหน้า เขาลุกขึ้นยืนพลางเร่งให้ทุกคนเดินออกไปหน้าห้อง
                  "ไปเถอะทุกคน"
                  เด็กนักเรียนทั้งหมดต่างทะยอยลุกขึ้นเดินออกไปต่อแถวที่หน้าห้อง เพื่อรอให้รุ่นพี่พาเดินดูบริเวณรอบโรงเรียน เมื่อเด็กทั้งหมดเริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง เสียงพูดคุยกันจ๊อกแจกจอแจก็ดังไปทั่วบริเวณทางเดินหน้าห้องเรียน รุ่นพี่ที่เป็นคนนำชมโรงเรียนของกลุ่มห้องเรียนที่ 1-5 พาเด็กทั้งหมดขึ้นบันได แล้ววนดูจนทั่วทั้งชั้น พร้อมคำอธิบายถึงสถานที่แต่ละแห่ง ก่อนจะพากลับลงมาที่ห้องโถงใหญ่ห้องเดิม ซึ่งติดกับประตูทางเข้าตัวอาคาร แล้วพาเดินออกไปด้านนอก
                  ถัดจากอาคารเรียนรวมก็เป็นพื้นที่โลดๆ ด้านหน้าอาคารเป็นสนามหญ้าสีเขียวขจี รอบด้านมีต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงา ใกล้กันนั้นเป็นสนามฝึกขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะจุคนได้มากกว่าพันคน ตัวสนามถูกปูด้วยหญ้าสีเขียวอ่อน รอบด้านมีสนามดินแดงขนาดเล็กอยู่สามสี่สนาม และกรอบรอบนอกตรงส่วนของลู่วิ่งถูกราดยางไว้อย่างดี ใกล้กันนั้นเป็นโรงอาหารขนาดใหญ่ มีโต๊ะกินข้าวตัวยาวเหยียดที่นั่งได้โต๊ะละเกือบยี่สิบคนต่อโต๊ะ วางเรียงกันไปกว่าสิบตัว ตัวโต๊ะทำจากแผ่นไม้อัดขนาดใหญ่ มีโครงเป็นโครงเหล็กยาวลงมาถึงส่วนของขาโต๊ะดูแข็งแรง สภาพภายนอกของโต๊ะบอกได้ว่าผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน ด้วยสารที่ใช้เคลือบตัวโต๊ะบางส่วนหลุดลอกออกมาบ้างแล้ว พวกเขาเดินตามรุ่นพี่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงสนามฝึกอีกด้านหนึ่ง ที่ถูกกั้นด้วยรั้วดัดอย่างดี ด้านหนึ่งมีป้ายสีแดงตัวหนังสือสีทองเขียนว่าหอพักชาย ในขณะที่อีกด้านเขียนว่าหอพักหญิง
                  "คงต้องแยกกันตรงนี้ พวกเจ้าสามคนเดินเข้าไปฝั่งนี้ ด้านในจะมีรุ่นพี่รออยู่"
                  รุ่นพี่ที่เป็นคนนำเด็กทั้งหมดทัวร์โรงเรียนเอ่ยกับน้องๆผู้หญิงสามคน พลางมองเข้าไปทางด้านที่เขียนว่าหอพักหญิง
                  "ค่ะ"
                  จีน่าลากญาติผู้มีอายุเท่ากันออกมา พร้อมดึงในอีกฝ่ายเดินเข้าไปทางประตูฝั่งห้องพักหญิง ในขณะที่ลอร่าพยายามมองเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นทางเดินทอดยาวสุดลูกตา ทำให้นางมองไม่เห็นอาคารส่วนของหอพัก สุดท้ายนางจำต้องเดินตามเด็กสาวอีกสองคนเข้าไป อย่างไม่มีทางเลือก
                  บริเวณหอพักถูกประดับตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ไม้ดอกและไม้ยืนต้นขึ้นอย่างเป็นระเบียง แลดูงดงาม ตรงกลางของสวนหน้าตัวหอพัก มีสระน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ พร้อมด้วยรูปปั้นปลายักษ์สองตัวกำลังพ่นน้ำแข่งกัน มุมด้านหนึ่งของสวนมีรูปปั้นนางฟ้าตัวน้อยกำลังเริงระบำประดับอยู่ มุมหนึ่งใกล้ๆกันนั้นมีชุดเก้าอี้และโต๊ะน้ำชาตั้งอยู่ใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ ส่วนอีกด้านที่อยู่ติดกับทางเดินที่ทอดตัวเข้าสู่หอพัก มีม้านั่งตั้งไว้ริมทางเดินสองสามตัว ให้สมาชิกในหอได้ออกมาพักผ่อน สุดทางเดินมีร่างบางของรุ่นพี่สาวคนหนึ่งยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้ม พร้อมกล่าวต้อนรับอย่างใจดี
                  "ยินดีต้อนรับสู่หอพักหญิง โรงเรียนเตรียมทหาร"
                  "ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสถานที่เช่นนี้ในโรงเรียน..."
                  เจนน่าเปรย ขณะที่สายตายังไม่ละออกจากสวนสวย
                  "พวกเจ้ายังมีเวลาสำรวจในสวนอีกนาน ตอนนี้เข้าไปด้านในก่อนเถอะ ข้าจะพาชมภายในหอและแนะนำให้รู้จักกับสมาชิกคนอื่นๆ"
                  "ค่ะ"
                  จีน่าและเจนน่ารับคำแทบจะพร้อมๆกันด้วยความตื่นเต้น จากนั้นทั้งสองก็มองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะ ที่ทั้งคู่คิดอะไรตรงกัน
                  "ข้าชื่อริน อยู่ปี4 ห้อง1 เป็นหัวหน้าหอพักหญิง"
                  รินมองน้องทั้งสองอย่างเอ็นดู พลางเดินนำน้องปี1ทั้งหมดเข้าไปในหอพัก นางพาน้องทั้งสามเดินผ่านบริเวณส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่นรวม ซึ่งมองจากด้านนอกก็รู้ว่าห้องนี้เป็นห้องที่มีสมาชิกเข้ามาใช้แน่นขนัดทุกวัน เสียงพูดคุยของคนด้านในดังสนั่นหวั่นไหวออกมาถึงด้านนอก เรียกความสนใจจากเด็กน้อยผู้มาใหม่ได้ชะงัก มีหลายครั้งที่รินต้องหยุดยืนรอตรงทางเดิน เพื่อให้เด็กสาวสองคนที่ดูตื่นตากับสถานที่สามารถเดินตามทัน ขณะที่เด็กสาวอีกคนเจ้าของดวงหน้าไร้อารมณ์กลับเดินเรื่อยตามนางแบบไม่มีสะดุ้ง จะมีบ้างบางครั้งที่ดวงตาสีม่วงอมแดงปรายมองรูปประดับบนผนังด้วยสีหน้า และดวงตาสงบนิ่ง
                  "ที่พักของพวกเจ้า คือบริเวณชั้นสาม และอย่างที่พวกเจ้าเห็นเมื่อสักครู่ ว่าชั้นล่างประกอบไปด้วยห้องนั่งเล่นร่วม ห้องครัว ห้องอ่านหนังสือรวม และห้องกินข้าว ส่วนชั้น 2 จะเป็นห้องประชุมใหญ่ และห้องประชุมย่อย ชั้นสามสี่ห้า เป็นส่วนของห้องพัก ห้องนอนข้าอยู่ที่ชั้นห้า ติดกับบันไดทางขึ้น ถ้ามีปัญหาอะไรก็ไปหาได้ ส่วนชั้นหกเป็นห้องพัก และห้องทำงานของท่านครูโซเฟีย ซึ่งเป็นครูประจำหอพักหญิง ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นก็ไม่ต้องขึ้นไป"
                  รินอธิบายขณะพาเด็กทั้งหมดขึ้นบันไดไปบนชั้นสาม เพื่อแบ่งห้องนอนให้สมาชิกใหม่
                  "ถึงแล้ว เดี๋ยวข้าจะเอากุญแจห้องให้แต่ละคน โดยจะอยู่หนึ่งคนต่อห้อง ซึ่งพวกเจ้าต้องดูแลรักษาห้องพักกันให้ดี เพราะพวกเจ้าจะอยู่ที่ห้องนี้ตลอด4ปี ที่พวกเจ้าเรียนที่นี้ อีกเรื่องหนึ่ง ที่นี้มีกฎห้ามนำอาหารขึ้นมารับประทานในห้อง ยกเว้นแต่ได้รับอนุญาต และห้ามออกมาเดินเพ่นพ่านนอกห้องนอนในช่วงห้าทุ่มถึงตีสี่ ฉะนั้นพวกเจ้าต้องระวังเอาไว้ด้วย"
                  คนทั้งหมดหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าห้องที่ติดป้ายชื่อว่า 'ลอร่า' ก่อนที่รินจะยืนกุญแจห้อง และประกาศชื่อเจ้าของห้อง
                  "ลอร่า นี้เป็นห้องของเจ้า อีกสิบนาทีเจอกันที่ด้านหน้านี้นะ"
                  ลอร่ารับกุญแจห้องจากริน แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ ก่อนหยุดลงที่กองสัมภาระที่วางไว้ข้างตู้เสื้อผ้า
                  ขนาดห้องพอเหมาะกับการอาศัยอยู่คนเดียว ด้านในมีเตียงขนาดเล็กพอนอนได้สบายหนึ่งคนตั้งอยู่ด้านซ้ายมือติดกับผนังห้อง มีผ้าปูที่นอน และปลอกหมอนสีขาวลายตราสัญลักษณ์โรงเรียน และคลุมด้วยผ้าห่มสีม่วงลาเวนเดอร์ ใกล้กับตู้เสื้อผ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ตั้งติดกับผนังฝั่งห้องน้ำ ใกล้ๆกันนั้นเป็นโต๊ะเครื่องแป้งตัวเล็ก โต๊ะทำงานไม้สีเดียวกับเตียง และตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ติดกำแพงข้างหน้าต่าง นอกนั้นก็ไม่มีเฟอร์นิเจนอะไรอีก แม้ว่าห้องนี้จะดูเล็กกว่าห้องนอนของลอร่าที่คฤหาสน์ใต้มาก แต่กลับมีอากาศโปร่งเย็นสบาย สายลมอ่อนๆผ่านเข้ามาภายในห้อง ทำให้ม่านสีน้ำตาลอ่อนกระพรือเบาๆต้อนรับเจ้าของห้องคนใหม่
                  ลอร่าลากสัมภาระเข้ามาวางไว้ที่ปลายเตียง ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง ที่เปิดออกตั้งแต่แรก ลอร่ามองสนามหญ้าสีเขียวด้านหน้าหอพัก ก่อนจะมองเลยไปทางด้านซ้ายมือก็เห็นป่าที่ตั้งอยู่นอกบริเวณหอพัก ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส พร้อมสายลมอ่อนๆ พัดเอากลิ่นหญ้ามาตามกระแสลมทำให้ลอร่ารู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอออกมานอกคฤหาสน์ แถมยังต้องอยู่เพียงลำพัง ทำให้ตลอดวันลอร่ารู้สึกหวาดระแวงทุกคนที่เข้าใกล้ แม้นางจะบอกกับโซเฟียว่าไม่เป็นไร แต่จริงๆภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
                  ลอร่าระบายลมหายใจเล็กน้อย ก่อนเดินไปที่ปลายเตียง พร้อมเปิดกระเป๋าสัมภาระ เพื่อควานหาผ้าขนหนู เพื่อเช็คหน้า นางกะว่าจะเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำสักเล็กน้อยก่อนเดินออกไปด้านนอก ภายในกระเป๋าถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ สมกับที่พี่อลิธเป็นคนลงมือจัดด้วยตนเอง เสื้อและของใช้ที่จำเป็นถูกเตรียมไว้อย่างครบถ้วน หรือออกจะครบเกินไปเสียด้วยซ้ำ ภาพกระเป๋าตรงหน้าทำให้ลอร่าอดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าไม่ได้ ที่พี่อลิธ พี่เลี้ยงที่คอยดูแลนางมาตลอดตั้งแต่เด็กร้องไห้โฮ ราวกับว่านางจะไม่ได้กลับไปที่บ้านอีก พร้อมเอ่ยกำชับถึงเรื่องต่างๆมากมาย แถมเมื่อพี่หญิงเดินออกมาจากตัวคฤหาสน์พร้อมด้วยท่านพ่อ พี่อลิธก็ยังไม่วายฝากให้พี่หญิงดูแล และส่งนางให้ถึงโรงเรียนอย่างปลอดภัย จนพี่หญิงจำต้องรับคำ พร้อมให้สัญญาหนักแน่น ว่าจะดูแลนางอย่างดี จนพี่อลิธยอมปล่อยมือจากนาง
                  เมื่อลอร่าสามารถหาผ้าขนหนูเจอ นางก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แล้วล้างมือ ก่อนจะกลับออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินออกมานอกห้อง ซึ่งเวลานี้นอกจากพี่รินที่เป็นผู้นำทางเข้ามาในหอพักแล้วยังมีเด็กสาวอีกคนรออยู่ด้วย ลอร่าจำได้ว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนที่แอบพูดถึงนางบนระเบียงทางเดินที่อาคารเรียนรวมเมื่อช่วงเช้า ลอร่าสังเกตเห็นว่าเด็กสาวคนดังกล่าวดูร่าเริงแข็งแรง รูปร่างของเด็กคนนั้นแม้จะไม่ผอมบางอย่างนางแต่ก็ไม่ได้อ้วน รอยยิ้มที่ประดับบนหน้าเสมอ ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกอยากเข้าไปคุยด้วย
                  "มายืนด้วยกันสิ"
                  จีน่าที่เหลือบไปเห็นลอร่าเดินออกมาจากห้องเอ่ยชวนอย่างมีไมตรี รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า อย่างเป็นมิตร
    ลอร่ายืนนิ่ง มีแววลังเลอยู่ในทีจนจีน่าต้องเดินมาฉุดร่างบางของลอร่าให้เข้าไปยืนด้วยกัน
                  "เชื้อพระวงศ์ทุกคนต้องมีท่าทางลังเลใจเหมือนเจ้ามั้ยนิ"
                  จีน่าล้อ ด้วยตั้งแต่นางเห็นลอร่ามา นางก็สังเกตเห็นแววลังเลใจจากเด็กสาวคนนี้เสมอ จนนางอดคิดไม่ได้ว่าพวกเชื้อพระวงศ์เป็นพวกขี้ระแวด
                  "ข้าชื่อจีน่า ยินดีที่รู้จัก"
                  จีน่าแนะนำพร้อมกับยื่นมือออกไปด้านหน้า กระนั้นลอร่ากลับมองมือนางนิ่ง คิ้วเรียวเลิกขึ้นน้อยๆ การกระทำของลอร่ายิ่งทำให้จีน่ามั่นใจมากขึ้นว่า วิถีชีวิตของพวกเชื้อพระวงศ์กับพวกนางมันคงต่างกันมากพอดู
                  "ทำไมทุกคนถึงต้องยื่นมือ ตอนที่แนะนำตัวด้วย"
                  คำถามด้วยน้ำเสียง และสีหน้าจริงจังของลอร่าทำให้ทั้งจีน่า และรินที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันนั้นหัวเราะ อย่างขบขัน ก็จะไม่ให้ขำได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องง่ายๆอย่างการจับมือทักทายกัน ลอร่ายังไม่รู้เลย
                  "ตลกเป็นบ้า เจ้าไม่รู้จริงๆรึ ว่าทำไมข้าถึงยื่นมือให้เจ้า"
                  คำถามย้ำด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะของจีน่า ไม่ได้ทำให้ดวงหน้าสงบนิ่งของลอร่าเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย หากนางก็ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
                  "จะว่ายังไงดีล่ะ คงคล้ายกับการแสดงความยินดีที่รู้จักกันมั้ง แล้วเวลาที่พวกเจ้าทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าพวกเจ้าทำยังไง"
                  จีน่าเกาหัวพลางพยายามนึกหาคำอธิบายที่เข้าท่าที่สุด นางไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งอธิบายความหมายของการจับมือทักทายให้ใครฟัง ด้วยนางคิดว่ามันเป็นสามัญสำนึกของคนปกติ สงสัยจะมีก็แต่คนตรงหน้านี้แหละที่ไม่ปกติ และย้อนถามถึงสิ่งที่นางอดสงสัยไม่ได้
                  "บอกชื่อแล้วถอนสายบัว"
                  คำตอบด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไป ทำให้ทั้งจีน่า และรินเชื่อหมดใจว่าลอร่าพูดความจริง จากท่าทีที่เห็นพวกนางก็บอกได้เลยว่านอกจากลอร่าจะไม่เคยจับมือทักทายแล้ว นางก็คงไม่เคยพูดล้อเล่นด้วย
                  "เจ้าถอนสายบัวให้เพื่อน? ให้คนอายุเท่ากัน?"
                  จีน่ายังคงสงสัยในวัฒนธรรมการทำความรู้จักคนแปลกหน้าที่แปลกประหลาดแม้ว่าคนทั้งคู่จะอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน
                  "ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยมีเพื่อน หรือรู้จักกับคนที่อายุเท่ากัน"
                  คำตอบคราวนี้ยิ่งทำให้จีน่าอึ้งกับวิถีการใช้ชีวิตของลอร่าตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาก ด้วยนางไม่เคยเจอใครที่ไม่เคยมีเพื่อน หรือไม่เคยแม้แต่พูดคุยกับคนอายุเท่ากัน
                  "พระเจ้า ข้าไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่ไม่มีเพื่อนอยู่ในโลก"
                  "แปลกมากหรอ"
                  คำถามเสียงเรียบ ด้วยสีหน้านิ่งๆของลอร่า ราวไม่เห็นว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องน่าแปลกอะไร กลับทำให้ทั้งจีน่า และรินหันมองหน้ากัน อย่างรู้ความหมาย
                  "เอางี้ งั้นข้าจะเป็นเพื่อนคนแรกของเจ้า โอเคมั้ย"
                  จีน่าถามเสียงใส ขณะมองหน้าลอร่าที่ยังมีสีหน้าลังเลใจ พร้อมทั้งยื่นมือไปด้านหน้าอีกครั้ง

                  “ถ้าตกลงก็จับมือทักทายกันหน่อยสิ”

                  จีน่าเร่ง เมื่อเห็นว่าลอร่าเอาแต่มองมือนาง ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

                  ...เจ้าหญิงไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน...

                  คำสอนของผู้เป็นบิดาที่แว๊บเข้ามาในหัว ทำให้มือบางของลอร่าที่กำลังยกขึ้นหมายจะสัมผัสมือของจีน่าชะงัก

                  ...ไม่มีใครสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตให้ใครได้ตลอดไปหรอกนะ มีแต่ต้องกำหนดมันด้วยตนเอง...

                  คำพูดของพี่หญิงแล่นเข้ามาขัดคำสั่งของท่านพ่อ ที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตปี และโดยไม่รู้ตัว มือที่ชะงักค้างไว้กลางอากาศก็เอื้อมไปจับมือจีน่า ความรู้สึกของการสัมผัสมือคนแปลกหน้าเป็นสิ่งที่ลอร่าไม่คุ้นเคย ทำให้เวลานี้นอกจากสีหน้าลังเลใจแล้ว แววตาที่มักจะสงบนิ่งกลับแฝงความรู้สึกประหลาดใจไว้ในที

                  “งั้นคำแนะนำแรกในฐานะเพื่อนนะ เจ้าควรเริ่มจากการทำหน้าให้มีความรู้สึก และยิ้มให้คนอื่นบ้าง อ้อ! แล้วก็เลิกทำหน้าลังเลใจตลอดเวลาเสียที เห็นแล้วตลกชะมัด”

                  คำแนะนำของจีน่าไม่ได้ทำให้สีหน้าของลอร่าเปลี่ยนไปจากเดิมสักเท่าไร นอกจากคิ้วเรียวที่เลิกขึ้นเล็กน้อย การกระทำของลอร่าทำให้จีน่าต้องถอนหายใจออกมา อย่างอ่อนใจ

                  “เอาเถอะ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วกัน จะให้เปลี่ยนทันทีคงไม่ไหวหรอก”

                  “ทำไมออกมาเร็วนักล่ะ ว่าแต่คุยอะไรกันอยู่หรอ”

                  เจนน่าที่พึ่งเดินออกมาจากห้องเห็นจีน่ากำลังคุยกับลอร่า ด้วยสีหน้าอ่อนใจน้อยๆ ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆ แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของพี่รินด้วยแล้ว นางเริ่มอยากรู้ว่าคนทั้งหมดคุยอะไรกัน ถึงทำให้ทั้งจีน่า และพี่รินมีสีหน้าเช่นนี้

                  “ทำความรู้จักกันนิดหน่อยน่ะ อ้อ...นี้ เจนน่าเป็นญาติข้าน่ะ ส่วนนี้ก็ลอร่า”

                  จีน่าบอกปัด ด้วยรอยยิ้มเหนื่อยๆ ก่อนจะหันมาแนะนำคนทั้งคู่ ซึ่งเจนน่าก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากหันไปมองลอร่า พร้อมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม และยื่นมือออกไปด้านหน้า

                  “ยินดีที่รู้จัก”

                  “อะ...อือ”

                  ลอร่ามือมองที่ยืนออกมาอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่าย ด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย จนคนที่ถูกจับมืออดสงสัยไม่ได้ว่า คนตรงหน้ายินดีที่จะเป็นเพื่อนนางแน่หรอ กระนั้นเมื่อเหลือบไปมองจีน่า นางก็จำต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อน

                  “ไหนๆก็มากันครบแล้ว ไปเถอะ เดี๋ยวจะแนะนำสมาชิกคนอื่นในหอให้รู้จัก”

                  รินกล่าวตัดบท เมื่อเห็นว่าหากรอนานไปกว่านี้ อาจเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ นางเดินนำเด็กทั้งสามลงไปที่ชั้นล่าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องนั่งเล่นร่วม ที่คิดว่าตอนนี้คงมีสมาชิกของหอพักมาร่วมกันแล้ว เนื่องจากสมาชิกทุกคนในหอพัก ต่างตั้งตารอที่จะพบสมาชิกใหม่ของหอพัก

                  เมื่อเข้ามาในห้องนั่งเล่น กลุ่มของรินก็สามารถเรียกสายตาของคนในห้องได้ไม่ยาก เสียงพูดคุยที่เคยดังสนั่นเงียบลง เช่นเดียวกับที่ทุกสายตามองตามร่างของคนทั้งสี่ ที่เดินไปยืนอยู่บนยกพื้นด้านหน้าห้อง ซึ่งมีแกรนเปียโนตัวใหญ่ตั้งอยู่ เมื่อทั้งสี่เดินไปถึงทุกคนก็รีบมองหาที่นั่งบริเวณที่สามารถมองเห็น และได้ยินเสียงคนที่อยู่หน้าห้องได้ชัดๆ

                  “คิดว่าทุกคนคงรอเวลาได้รู้จักสมาชิกใหม่กันนานแล้ว นี้คือน้องใหม่ที่เข้ามาปีนี้ ขอให้ทุกคนตบมือต้อนรับน้องหน่อย”

                  เมื่อรินกล่าวแนะนำน้องใหมทั้งสามจบ เสียงตบมือก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องนั่งเล่น รอยยิ้มด้วยความยินดีปรากฏอยู่บนดวงหน้าของสมาชิกทุกคนในหอพัก ทำให้สีหน้าของจีน่า และเจนน่าที่ดูกังวลในคราแรกดูสดใสขึ้น

                  “เอาล่ะ จะแนะนำน้องแต่ละคนให้รู้จักนะ”

                  รินแนะนำตัวทั้งสามคน อย่างคล่องแคล่ว ด้วยนางแอบไปดูชื่อนักเรียนหญิงที่สามารถผ่านการทดสอบเข้ามาในปีนี้ที่สภานักเรียนตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้สามารถจดจำชื่อน้องทั้งสามได้ แถมจากการพบหน้ากันเมื่อครู่ ก็ทำให้นางเริ่มรู้จักน้องทั้งสามมากขึ้น

                  ขณะที่รินแนะนำชื่อของน้องใหม่ คนที่ถูกแนะนำก็ก้มศีรษะลงโค้งรับการแนะนำ จนกระทั่งถึงคราวของลอร่า ซึ่งกล่าวเป็นข่าว และหัวข้อสนทนายอดนิยมตั้งแต่ก้าวเข้ามาในโรงเรียน จากฐานะน้องสาวของท่านครูโซเฟีย ก็เรียกเสียงฮือฮาจากคนให้ห้อง

                  “เจ้าเป็นน้องสาวของท่านครูจริงๆสินะ”

                  คำถามที่ดังขึ้น พร้อมด้วยสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาที่นาง ทำให้ลอร่าทำหน้าไม่ถูก ดวงหน้างามราบเรียบ ผิดกับในใจที่กำลังหวาดกลัว ลอร่าไม่รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้นางควรจะตอบ หรือพูดอะไร แต่ขณะที่นางกำลังสับสน และตื่นตกใจอยู่นั้น ก็มีมือบางของใครบางคนเอื้อมมากุมมือนางไว้

                  “ใจเย็นๆสิ ทุกคนก็แค่อยากรู้จักเจ้า ไม่มีอะไรหรอกน่า เจ้าก็แค่ต้องยิ้มให้ทุกคนเท่านั้น”

                  เสียงกระซิบ และไออุ่นที่ส่งผ่านมาจากมือของจีน่า ทำให้ลอร่าต้องเหลือบสายตาไปมองเพื่อนคนแรกในชีวิต แล้วพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะหันกลับมามองรุ่นพี่ภายในห้องนั่งเล่นร่วมอีกครั้ง พร้อมตอบคำถามที่ทุกคนอยากรู้

                  “ค่ะ ข้าเป็นน้องสาวของท่านพี่โซเฟีย ฝะ...ฝากตัวด้วยค่ะ”

                  คำกล่าวด้วยสีหน้าลังเลของลอร่า ยิ่งเรียกเสียงฮือฮาจากคนในห้อง ที่ตีความสีหน้าลังเลของลอร่าเป็นอาการขวยเขิน แถมแก้มนวลที่เริ่มขึ้นสีแดงจางๆ ยิ่งทำให้คนที่ไม่ชอบแสดงสีหน้าอะไร ดูน่ารักจนพี่ในหอแทบอดใจไม่ได้ ต่างกรูเข้ามาทำความรู้จัก จนไม่มีใครสนใจฟังสิ่งที่รินกำลังจะเอ่ยต่อไปแม้แต่น้อย กระนั้นรินก็ไม่คิดจะว่าอะไร ด้วยเรื่องที่ว่าก็ไม่ได้สำคัญอะไรมาก และคิดว่าอีกสักพักพวกน้องใหม่ก็คงได้รับการบอกเล่าจากเหล่ารุ่นพี่ที่ตื่นเต้นกับน้องใหม่ปีนี้เอง 


    จบบทที่ 9 โรงเรียน (1) (รีไรท์)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×