ตอนที่ 21 : HEAVY WEIGHT: 18 KG. (100%)
บทที่ 18
พอเข้าอาทิตย์ที่สองร่างกายมันก็เหมือนจะเริ่มปรับตัวได้ ผมเลยลดข้าวเย็นไปเลยครับ เหลือแค่อาหารเช้ากับอาหารกลางวันแทน
“ทำไมพุกไม่กินข้าว?” วันนี้ไอ้โรห์มากินข้าวด้วยกัน มันถามผมที่นั่งดูดน้ำเปล่าแก้หิวไปเรื่อยเปื่อยหลังจากรีบยัดฟักทองนึ่งเข้าท้องจนหมด
“เอ่อ...กูกินอิ่มแล้ว”
คิ้วเข้มขมวดมุ่นเพราะมันเพิ่งจะพักได้ไม่นานแล้วผมเอาเวลาที่ไหนไปกินข้าวกันแน่ รีบหัวเราะแหะก่อนจะแตะขาไอ้ปองกุลใต้โต๊ะปึกๆ
“คือวันนี้อาจารย์ปล่อยเร็วน่ะ” ไอ้ปองกุลสำลักเส้นก๋วยเตี๋ยวก่อนจะรีบเออออไปกับผม “ใช่มั้ยมึง?”
“เออๆ ใช่ๆ”
“เออๆ ตามนั้นแหละ” ผมหัวเราะก่อนจะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์
“แล้วทำไมปองกุลเพิ่งกินล่ะ?” ไอ้คนกินข้าวผัดยังไม่ยอมแพ้ คราวนี้ไอ้คนโดนถามถึงถึงกับสำลักลูกชิ้น ไอ้ปองกุลไอค่อกแค่ก
ก็รู้อยู่ว่าฉลาดมาก แต่ไม่ต้องมาฉลาดตอนนี้ได้มั้ยพ่อยอดขมองอิ่ม!
“มัน...เอ่อ...เพิ่งหิวน่ะ” แม่ง! เหตุผลส้นตีนมากเลยครับ ไอ้ฟาโรห์ทำหน้านิ่งจนผมไม่กล้าสบตามัน สุดท้ายก็ยิ่งเกร็งเมื่อมันถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อืม…”
ผมเม้มปาก ใจมันแป้วไปเลยครับ ไม่ค่อยเจอมันทำแบบนี้ใส่ตอนนี้รู้สึกใจหวิวชะมัด ไอ้ปองกุลมันทำปากขมุบขมิบบุ้ยใบ้ไปทางพ่อยอดชาย
เออ! กูเห็นแล้วว่ามันโกรธ
ผมได้แต่ยิ้มแหยตอนที่ไอ้แขกมันเดินกลับไปที่คณะของมันทั้งที่หน้าตายังดูดุเหมือนไปโกรธใครมา...เอ่อ โกรธผมนี่แหละ
หนูพุกแห่งเยาวราชถึงกับหงอยเป็นแป้งเปียก แต่ก็ยังดีที่ไอ้ปองกุลมันตบหลังให้กำลังใจปึกๆ
หลังเลิกเรียนผมกับไอ้ปองกุลแล้วก็เพื่อนอีกสามคนถูกอาจารย์เรียกไปช่วยขนพวกเอกสารในตึกของคณะให้ไปส่งที่ห้องธุรการครับ
“เพราะมึงเลย” ไอ้ปองกุลมันบ่นกระปอดกระแปด มันหาว่าผมมัวแต่เหม่อเก็บของช้าทำให้อาจารย์เรียกใช้งานตอนเลิกเรียน
“เอ้า...” ผมขมวดคิ้วหงุดหงิด ตอนเรียนมันก็ไม่ค่อยมีกระจิตกระใจจะเรียน ทั้งหิว ทั้งกังวลเรื่องไอ้ฟาโรห์จนจดอะไรไม่ทัน
ของที่ให้ขนก็ไม่รู้จะมีเยอะไปถึงไหน ขนไปขนมาไม่รู้กี่รอบแล้วแถมระยะทางจากตึกถึงอีกตึกมันก็มไม่ได้ใกล้กันเท่าไหร่เลยครับ
“เชี่ย! หมดซะที” อาจารย์ขอบใจพวกผมพร้อมกับซื้อน้ำมาเลี้ยง ผมได้ชาเขียวแบบหวานน้อยมาถือไว้ก่อนจะค่อยๆเดินลากขากลับมาที่คณะตัวเอง
เดินเช็ดเหงื่อตามหน้าผาก รู้สึกหลังเปียกชื้นจนเหนียวเหนอะหนะไปหมด โคตรไม่สบายตัวเลยแถวอากาศตอนนี้ถึงจะไม่มีแดดแต่ลมก็ไม่โกรกเลย หายใจไม่ออกฉิบหายเลยครับ
พอรู้สึกเริ่มหายใจไม่ค่อยออกเลยรีบกระพือเสื้อให้พอมีลมแต่อยู่ๆภาพที่เห็นก็เป็นสีดำๆ เห็นภาพดำสลับกับความวูบวาบแปลกๆ ขามันเริ่มเซไปเซมาจนต้องทรงไม่อยู่
“เฮ้ยๆๆ ไอ้พุก!” ผมได้ยินเสียงปองกุล แต่มันฟังดูห่างไกล แต่เมื่อกี้มันยังยืนข้างผมอยู่เลยไม่ใช่หรือไงนะ? “มึงอย่าเพิ่งเป็นลมนะเว้ย”
ใครเป็นลมวะ?
“มึงๆ ไอ้พุก กูแบกมึงไม่ไหวนะเว้ย”
หาว่ากูอ้วนหรือไงวะ เดี๋ยวก็กระโดดทับแม่งเลยนี่ แต่ทำไมร่างกายมันหนักจนขาไม่มีแรงเลยทิ้งตัวลงแต่มีมือแห้งๆพยายามฉุดผมเอาไว้ ผมพยายามจะตะเกียกตะกายไปพิงกำแพงให้ได้ ตอนนี้รู้สึกตาพร่าไปหมดแล้ว หายใจก็ไม่ค่อยออก
“ฉิบหาย!” ผมได้ยินเสียงไอ้ปองกุลตะโกนเรียกใครสักคน
ประโยคที่ผุดขึ้นมาในสมองตอนนั้นก็คือ…
...โรห์ พุกอยากได้กวางลุ้งมากเลยอะ…
กลิ่นเย็นนที่ทำให้จมูกรู้สึกสดชื่นพร้อมๆกับแสบจมูกไปด้วยทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว ย่นจมูก พลางส่งเสียงอืออาออกไป พยายามจะลืมตาขึ้นแต่มันแสบตาจนต้องหลับลงไปใหม่ รู้สึกเหมือนร่างกายจะพิงกำแพงแข็งๆอยู่ มีลมพัดเบาๆมาเป็นระยะ
สุดท้ายผมพยายามงัดเปลือกตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก รอบข้างมีเสียงอื้ออึงจนผมหยีตา รู้สึกเหมือนช่วงนี้จะดวงอับโชค หลายเดือนก่อนก็ขาแพลง ต่อมาก็เกือบโดนรถชนเพราะมัวแต่ดูโทรศัพท์ นี่ยังมาเป็นลมไปอีก หรือว่าต้องไปสะเดาะเคราะห์ที่วัดเล่งไนยี่ซะหน่อยแล้วว่ะกู...
“ไอ้พุก” ไอ้เพื่อนตัวแห้งมันเรียกชื่อผมเสียงดัง พยายามจะยัดหลอดยาดมเข้าจมูกให้ได้ เฮ้ย! แล้วใครเขาจะกล้าใช้ต่อวะเนี่ย “ฟื้นแล้วเหรอวะ? ไหวมั้ยเนี่ย หน้ามึงซีดมาก” มันลูบหน้าลูบตาผมไปมา
มีเพื่อนในคณะอีกคนยื่นขวดน้ำเย็นให้ พวกมันดูกังวลกับอาการของผมมาก อีกอย่างตอนนี้ผมยังคงนั่งอยู่ที่พื้น พวกมันให้ผมนั่งพักอยู่ตรงนั้นอีกพักหนึ่ง ดีว่าแถวนั้นไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมาเลยไม่ต้องสนใจว่าจะมีใครมอง
ผมนั่งหายใจเข้าลึกๆพยายามปรับสภาพร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ ตอนนี้อาการที่หายใจไม่ออกเริ่มดีขึ้น ผมคว้าแผ่นกระดาษที่ไอ้ปองกุลโบกๆเอามาพัดเอง จนคิดว่าตัวเองน่าจะเดินไหวแล้วถึงค่อยๆลุกขึ้น
“มึงไหวแน่นะ?” เพื่อนในคณะมันถามผม
“เออ ขอบใจมาก พวกมึงไปก่อนเถอะ กูเดินช้า” ผมมีไอ้ปองกุลที่คอยจับแขนเอาไว้เผื่อผมจะหน้ามืดอีก
นี่อาจจะเป็นผลมาจากที่ผมอดอาหารรวมถึงอากาศที่ร้อนอบอ้าวจนทำให้หน้ามืดเป็นลมไป ปกติผมไม่ค่อยมีอาการแบบนี้เท่าไหร่ เดินจนมาถึงใต้ตึกคณะก็ท้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้แถวนั้นก่อนจะนวดขมับตัวเอง ผมยังคงหายใจแรงอยู่บ้างจนหน้าอกกระเพื่อมไปมา พยายามจะสูดลมหายใจให้ลึกและปล่อยออกมา ทำซ้ำๆหลายครั้ง
“มึง...เรื่องกูเป็นลม...” ผมพูดเสียงเบากับไอ้แห้ง “อย่าบอกไอ้โรห์” ผมไม่อยากให้มันเป็นห่วงไปมากกว่านี้
“เอ่อ...” ไอ้ปองกุลทำหน้าอึกอัก
“เข้าใจนะ” ถลึงตาย้ำมันอีกรอบ
“กูว่า...” มันกลืนน้ำลายเอือก ดวงตาหลังแวน่ของมันหลุกหลิกไปมาเหมือนคนกำลังตื่นตระหนกอะไรบางอย่าง ผมหรี่ตามอง “มันอาจจะรู้แล้วก็ได้มั้ง...”
“ถ้ามึงไม่พูด กูไม่บอกแล้วมันจะรู้ได้ไง” บ๊ะ! เดี๋ยวก็กระโดดทับไส้แตกเลยนี่ไอ้แห้ง
ไอ้ปองกุลมันหลับตาก่อนที่จะชี้มือไปที่ด้านหลังของผม ตอนแรกจะอ้าปากด่ามันอีกรอบแต่กลับกลายเป็นตัวเองที่เริ่มเหงื่อแตกพลั่กเมื่อรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไอ้ปองกุลกำลังบอก ตอนนี้ทำได้แค่หลับตาแล้วหมุนตัวกลับไปมองด้านหลัง
แม่งเอย...ขออย่าให้เป็นเหมือนที่ผมคิดเลยนะ…
ไอ้หยา...
ค่อยหยีตามองแล้วก็ได้แต่หลุบตาลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ผิวสีน้ำผึ้งยืนหน้าถมึงทึง นัยน์ตาคมกริบฉายแววโกรธจัดแบบที่ผมไม่ค่อยได้เห็นเพราะปกติเจ้าตัวเป็นคนอารมณ์ดียิ้มหวานอยู่เสมอ ยอมรับเลยว่าคนหน้าตาใจดียิ้มแต่พอเวลาโกรธแล้วน่ากลัวกว่าคิดมาก
ตอนนี้ได้แต่ยืนก้มหน้ามองปลายรองเท้าก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมา
“โรห์...” เรียกมันเสียงแผ่วเบา
“...” มันไม่ตอบแต่มือที่อยู่ข้างตัวกำแน่น
“เอ่อ...” พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ยิ่งเห็นมันเงียบ หัวตาก็เริ่มร้อนขึ้นมา
ฟาโรห์เม้มปากแน่นก่อนที่มันจะหมุนตัวหันหลังกลับไป ผมตาโตอ้าปากจะเรียกแต่ดันไม่มีเสียงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมไม่ชอบเลยที่โรห์หันหลังหนีแบบนี้ ไอ้ปองกุลดันหลังให้ผมรีบตามไป ไม่รอช้าพยายามก้าวขาตามอีกฝ่ายให้ทัน
“โรห์ๆ รอด้วย!”
วิ่งตามมันมาจนถึงที่ที่มันจอดรถ คนหน้านิ่งสนิทเปิดประตูขึ้นไปนั่งที่คนขับ ผมรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งตาม ร่างสูงใหญ่หลับตานิ่งจนมองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ มือใหญ่สีน้ำผึ้งยังคงกำแน่น ตอนนี้ผมรู้สึกใจเสียไปหมด ไม่อยากจะให้มันเกิดเรื่องแบบนี้เลยสักนิด เราสองคนเพิ่งจะเข้าใจกันได้ไม่นานเอง มาลองนึกๆดูแล้วเรื่องทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นจากความไม่มั่นใจของผมเอง
ทั้งไม่มั่นใจในความรู้สึก…
ไม่มั่นใจในตัวมันและ…
...ไม่มีความความมั่นใจในตัวเองเลยสักนิด…
รวบรวมความกล้าเอามือไปกุมมือใหญ่นั่นเอาไว้ ใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าไอ้โรห์มันไม่ได้สะบัดออกแต่อย่างใดแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่พูดอะไรอีกเลย หน้าตาคมเข้มยังคงนิ่งสนิท ผมกัดปากแน่น กี่ครั้งแล้วที่ผมทำให้มันต้องเสียใจกับการกระทำบ้าบอของตัวเอง
ตอนนี้ผมขอ...ขอให้มันยังรู้สึกกับผมเหมือนเดิมก็แค่นั้น
“กลับคอนโดกันนะ” ผมจรดริมฝีปากไปที่หลังมือสีน้ำผึ้งแล้วเอามาแนบแก้ม
อีกฝ่ายไม่ตอบแต่เปลี่ยนเป็นสตาร์ทเครื่องยนต์แทน ภายในรถเงียบสนิท มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศ จนมาถึงห้องแล้วเราสองคนก็ยังคงมีแต่ความเงียบงัน
มองใบหน้านิ่งขรึมที่มองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากมองหน้าผม ค่อยๆก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆเหมือนกลัวว่ามันจะเตลิดหนีผมไปอีก มือทั้งสองข้างจับแก้มให้มันหันกลับมามองกันก่อน นัยน์ตาคมกริบที่สั่นระริก
“พุก...ไม่มีอะไรจะแก้ตัว...” ผมสบตามันอย่างแน่วแน่ “อยากบอกแค่ว่าขอโทษนะ” ไม่อยากพูดคำว่าขอโทษพร่ำเพื่อเลย แต่ตอนนี้คำนี้มันสื่อความรู้สึกของผมได้ดีที่สุด
“...”
“พุกงี่เง่าอีกแล้ว โรห์อย่าเพิ่งเบื่อกันได้มั้ย” พยายามจะยิ้มแต่ก็กัดปากไม่ได้มันหลุดสะอื้น “พุกแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรเหมาะกับโรห์เลยสักนิด ทั้งที่โรห์เคยบอกให้เชื่อใจกันแต่พุกก็ยังทำไม่ได้” ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้มันยังเหมือนมีตะกอนขุ่นที่ตีขึ้นมาอยู่เสมอ
เขย่งเท้าขึ้นจนจมูกผมจนกับจมูกโด่งสวยของอีกฝ่าย ปัดป่ายไปมาเป็นเชิงขอโทษ
“พุกอยากจะลดน้ำหนักเพราะเอ่อ...อาย ไม่อยากให้โรห์เห็น กลัวโรห์รังเกียจ มันกลัวไปหมดเลย”
“ทำไมถึงกลัว?” ใบหน้าคมเข้มเริ่มอ่อนลง นัยน์ตาคมกริบอ่อนแสงตาม “ที่โรห์พูดไปมันไม่เคยทำให้พุกเชื่อได้เลยเหรอ?”
ผมกะพริบตาเมื่อน้ำใสๆไหลออกมา
“Can you believe me? Believe me that I love you, no matter what, no matter how you look...” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบข้างหู “I love you. Not for how you look, just for who you are”
ผมค่อยๆจรดริมฝีปากลงกับริมฝีปากของอีกฝ่ายหลังจากที่มันพูดจบ ใจผมยังคงเต้นแรงแต่มันก็เป็นจังหวะที่หนักแน่นกว่าเดิม
“ขอโทษจริงๆ แล้วก็...รักนะ...” รู้สึกถึงแรงกอดรัดแน่นแต่ผมกลับไม่อึดอัดเลยสักนิดเดียว “รักมาก...” นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่พูดคำว่า...รัก...มันเป็นคำสั้นๆแต่มีความหมายมากกว่าที่เห็น
คำว่า รัก...ที่เต็มไปด้วยคำขอโทษและขอบคุณไปพร้อมๆกัน
“ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบอีกครั้ง มันช่วยพัดเอาตะกอนขุ่นๆในใจออกไปจนหมดสิ้น “ขอบคุณ...”
“โรห์...” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ติดอยู่ในใจมาโดยตลอด “เป็นแฟนกันนะ”
นัยน์ตาคมเข้มเบิกกว้างแล้วมันก็ยิ้มออกมา ผมเห็นมันยิ้มบ่อยๆแต่ผมคิดว่านี่เป็นรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุดของมันเลย และแน่นอนว่า...ผมก็ยิ้มเต็มใบหน้า
“อา...ให้ตายสิ” มันพูดเสียงแผ่ว “จะทำให้ฉันรักไปถึงไหนนะ หนูอ้วนของโรห์...”
“เป็นแฟนแล้วก็ให้รักมากกว่าเดิมนะ” ผมกลั้นใจพูดออกมา แอบเลี่ยนเหมือกกัน แต่หุบยิ้มไม่ได้เลยอ่ะ
“แค่นี้ก็รักมากกว่าทั้งโลกแล้ว” นี่สาบานว่าไอ้แขกไม่แตกฉานภาษาไทยคนนั้นจะอะไรแบบนี้ออกมา ทำเอาผมอมยิ้มแก้มอูม
“ฮื้อ แล้วไหนคำตอบล่ะ?” ผมหลับหูหลับตาถาม
“เป็นสิ”
ริมฝีปากอุ่นจัดประกบมาที่ปากของผม หนักแน่นและมั่นคง เป็นผมที่แขนกอดร่างแข็งแกร่งเอาไว้เท่าที่จะทำได้ ผมหลับตาแน่นเมื่อจมูกโด่งฝังลงที่ซอกคอตัวเอง ลมหายใจของโรห์ทำให้ขนลุก ถึงร่างกายจะสั่นแต่ไม่ได้กลัวอีกแล้ว
ร่างสูงไล้ริมฝีปากไปที่ซอกคอนุ่มๆ ความหนุบหนับทำให้อดไม่ได้ที่จะงับเบาๆจนผมสะดุ้ง มันรู้สึกแปลกๆ เหมือนร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งที่น้ำหนักก็ไม่น้อยแต้รู้สึกเหมือนตัวกำลังล่องลอยไร้ทิศทาง ถ้าไม่มีอ้อมแขนรัดเอาไว้ผมอาจจะลอยไปไหนต่อไหนแล้ว
ฝ่ามืออุ่นลูบไล้ที่แผ่นหลัง ลามมาถึงข้างหน้าทำให้ผมเผลอค้อมตัวลง มือสีน้ำผึ้งขยำเนื้อนุ่มหนุบหนับติดมืออย่างเพลิดเพลิน ทำเหมือนหนูพุกคนนี้เป็นตุ๊กตาตัวอ้วนไปได้
กูไม่ใช่ตุ๊กตายางยืดนะเว้ย!
ทำได้แค่แยกเขี้ยวกับตัวเองในใจแต่ก็ยังปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจ แต่ก็ต้องตาเหลือก ร่างกายกระตุกกระทันหันเมื่อนิ้วเรียวยาวไล้วนที่หน้าอก
“อื้อ โรห์...” ไม่รู้เลยว่าเสียงที่ส่งเสียงออกไปเป็นแบบไหนถึงได้ทำให้นัยน์ตาสวยคู่นั้นหวานเยิ้มจนไม่กล้ามองสบ
“ครับ?” กระซิบเสียงพร่า แต่ยิ่งขยับนิ้วไปอยู่ที่ตุ่มไตเล็ก สะกิดเบาๆผ่านเนื้อผ้า เล่นเอาผมกระตุกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต หัวสมองขาวโพลน “นุ่มมาก...”
มือคล้องคออีกฝ่ายอย่างเผลอไผล ดึงรั้งให้มันก้มลงมาก่อนจะจุ๊บเบาๆที่ปลายคาง ใบหน้าเห่อร้อน แดงก่ำไปทั่ว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆในลำคออีกฝ่ายแล้วก็กัดปาก รู้อยู่ว่าขี้เขินยังจะล้อเลียนอีก
กูก็ไม่ยอมให้มาล้อเล่นนะเว้ย ผมเลยแกล้งทึ้งเสื้ออีกฝ่าย แงะกระดุมจนมือสั่นระริก แล้วอ้าปากงับเนื้อแข็งๆสีน้ำผึ้งนั่นจนเกิดเป็นรอยเขี้ยวเล็กๆ ไอ้ฟาโรห์มันนิ่งงันจนผมยักคิ้วให้มันอย่างสะใจ แต่ไม่ได้เอะใจเลยว่านั่นเป็นการอัญเชิญเหยื่อให้สิงโตขย้ำแบบไม่เหลือชิ้นดี
“เฮ้ยๆ” อยู่ๆไอ้แขกมันก็ขย้ำเนื้อผมอย่างมันเขี้ยว มืออุ่นลากเข้าไปใต้ร่มผ้า ตอนที่มันลูบผ่านเสื้อยังไม่เท่าไหร่แต่ตอนนี้เนื้อแนบเนื้อเลยครับ ยิ่งทำให้อุณหภูมิในร่างกายผมยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนนำไม่ว่ามันจะทำอะไรได้แต่คล้อยตาม จนรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นจัดหยุดนิ่งอยู่ที่ซอกคอพร้อมกับเสียงถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ ฟาโรห์ได้แต่นั่งนิ่งจนผมลืมตามองอย่างแปลกใจ ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรขึ้นมา จนนัยน์ตาหวานเยิ้มเงยขึ้นมาสบ แม้ผิวมันจะเป็นสีน้ำผึ้งแต่ผมเห็นว่ามันมีรอยสีเรื่อพาดผ่าน
“ไปอาบน้ำนะ วันนี้หนูอ้วนของโรห์เหนื่อยมาทั้งวัน”
ว๊อท?!
พอกูรวบรวมความกล้าเรียบร้อยมึงกลับถีบกูลงกลางทางแบบนนี้เนี่ยนะ? เว้ยยยยยย! ไอ้แขก!! มึงจะมาทำตัวแบบนี้ตอนนี้ไม่ได้ แล้วที่กูเตรียมใจไปซะเยอะแยะนี่จะทำไง หา???
“ห้ะ?” ตอนนี้ร้องออกแค่คำเดียวครับ ผมอ้าปากพะงาบๆ มองมือใหญ่ที่จัดเสื้อผ้าผมให้เข้าที่ เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมันปลดกระดุมจนเกือบหมดแล้วด้วย
“ไปสิ” มันจับคางผมดันกลับให้เข้าที่ ผมคงจะทำตามที่มันบอกหรอกถ้าเกิดไม่เห็นแววตาเยิ้มของมันทอประกายอยู่
มันทำท่าจะผละออกไปจนผมได้แต่ถลึงตามอง อิหยังของมึงเนี่ยไอ้โรห์ ผมแยกเขี้ยวก่อนที่คว้ามือมันมานั่งที่เตียงแทนก่อนที่จะทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำอย่างการ…
นั่งคร่อมตักทับมันไว้ทั้งตัว! โดยไม่สนใจเลยว่ามันจะขาหักเพราะน้ำหนักตัวเองหรือไม่
“พุก!!”
ไอ้แขกมันทำท่าตกอกตกใจ ผมเอามือคล้องคอให้มันหันมาสบตาอย่างไม่เกรงกลัว ยิ้มมุมปากหรี่ตามองใบหน้าคมเข้ม แล้วก้มลงกัดไหล่แข็งๆมันอย่างหงุดหงิด
“มึงจะทิ้งกูไว้กลางทางแบบนี้ไม่ได้” กระแทกเสียงบอกมัน ไอ้โรห์เลิกคิ้วไปครู่หนึ่งก่อนที่มันจะหัวเราะลั่น เลยทุบไหล่มันจนมันยกมือยอมแพ้
“ฉันกลัวพุกจะตื่นอีก” มันบอก แต่รอยยิ้มบางๆทำให้ผมหน้าเห่อร้อนจนต้องซุกหน้าหนี พูดเสียงอู้อี้
“เตรียมใจมาพร้อมแล้ว...”
ได้ยินเสียงมันสูดหายใจเฮือก ร่างสูงใหญ่เกร็งแน่น ก่อนที่มันจะช้อนสะโพกนุ่มนิ่มเข้าเอวแล้วอุ้มผมขึ้น
“ไอ้เหี้ยยยย” ผมแหกปากร้องใส่หูมัน คว้าคอมันกอดไว้แน่น
แม่ง มันอุ้มผม อุ้มจนตัวลอยเลย ตั้งแต่หนักเกินสี่สิบสมัยประถมต้นก็ไม่มีใครอุ้มผมอีกเลย มีมันนี่แหละที่อุ้มผมได้หน้าตาเฉย ตาเหลือกมองใบหน้ายิ้มแย้มนั่น
“งั้นเดี๋ยวพาไปอาบน้ำนะ” แล้วมันก็กระเตงชายหนุ่มหน้าตี๋เป็นแป๊ะยิ้ม ตัวหนักน้องๆแมวน้ำเดินฉับๆไปทางห้องน้ำ โดยที่กูจะร้องก็ร้องไม่ออกจะแหกปากก็ไม่มีเสียงใดๆ
ไอ้โรห์!!! ปล่อยกูลงงงงง
“อา...โรห์...” เสียงหอบดังแผ่วเบา ผมแทบหน้ามืดอีกแล้วครับ ร่างกายร้อนระอุเพราะฝ่ามือใหญ่ที่ฟอนเฟ้นเนื้อนิ่มจนเป็นรอยฝ่ามือ
“ครับ...” เสียงทุ้มนุ่มแต่แหบพร่า ริมฝีปากพรมไปทั่วไปแผ่นหลังขาว ทุกที่ที่เขาสัมผัสมันนุ่มจนอยากจะกัดให้เต็มปากเต็มคำ
“ยืน...ไม่ไหว” ขาผมมันอ่อนแรงไปหมด พยายามจะเกาะกำแพงเอาไว้แต่ร่างกายทำท่าจะทรุดทุกครั้ง ตอนนี้ผมหันหลังให้อีกฝ่ายอยู่ แต่คิดว่ามันดีกว่าการที่ต้องหันไปเผชิญหน้ากับดวงตาร้อนแรงคู่นั้นที่ทำำให้ผมจะละลายเป็นหนูชุบแป้งเปียก
“พิงโรห์นะ” มันจับร่างผมไปพิงกับแผงอกแกร่ง ผมเอื้อมไปเกาะมันจากทางด้านหลัง หลับตารับสัมผัสที่ลูบไล้ไปทั่วร่างกาย ความลื่นของสบู่ทำให้รู้สึกแปลกๆกว่าปกติ
ผมไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นการอาบน้ำที่นานที่สุด กินเวลาไปเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ รู้อีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับผ้าปูนอนก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะขึ้นคร่อมทับจนมองไม่เห็นเพดานห้อง
ผมมองเห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มกับนัยน์ตาหยาดเยิ้มที่มีแววสะท้อนของตัวผมคนเดียวตลอดทั้งคืน…
จักจี้…
ความรู้สึกแรกขณะที่กำลังเคลิ้มตอนเพิ่งตื่นนอน ผมส่ายหน้าไปมาเมื่อรู้สึกถึงความคันยุบยิบอยู่ที่ซอกคอ พอจะเอามือปัดออกก็ไม่เจออะไร ไม่รู้ว่าไอ้โรห์เผลอเปิดหน้าต่างแล้วมีแมลงเข้ามาหรือเปล่า พอคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้วไอ้แมลงบ้านั่นก็วนเวียนกลับมาอีกครั้ง
สุดท้ายผมก็จับไอ้แมลงนั่นได้ แต่พอแงะเปลือกตาขึ้นมามองกลับกลายเป็นใบหน้าคมเข้มของใครบางคน นัยน์ตาวิบวับทำให้ต้องหลับตาหนี พยายามจะขยับตัวหนีแต่ก็รู้สึกรวดร้าวไปทั้งตัวเหมือนตอนเวลาโดนไอ้ฟาโรห์จับพาไปซ้อมคาราเต้เลยว่ะ
“ตื่นได้แล้วหนูอ้วน” จมูกโด่งๆซุกไซร้เหมือนจะแกล้งผม
“โอย...” ได้แต่สูดปาก พยายามไม่นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้ผมกลายเป็นหมูแผ่นตากแห้งอยู่แบบนี้ แต่เหมือนฟ้าจะไม่เป็นเอาเสียเลยถึงได้ส่งไอ้แขกตาเยิ้มมาแกล้งเขาอยู่เนี่ย
“เจ็บเหรอ?” ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างกายเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม ทำเอาผมตาเหลือกเมื่อรับรู้ว่าไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยนอนถอดเสื้อผ้าเลยสักครั้ง เป็นอะไรที่…
เขินเหี้ยๆเลยครับ!
ร่างกายที่เสียดสีกันทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใส่อะไรเลยเหมือนกัน ตอนนี้ทำได้แค่มุดหน้าลงกับผ้าห่มไม่กล้าสบตามัน ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะผละออกไป
อุแงงงง้ ไอ้แขกมันเดินโทงๆไม่อายฟ้าอายดินเลยเหรอไงวะ รู้ว่าหุ่นดี ภูเขาหกห่อ แต่ไม่ต้องโชว์ก็ได้เว้ย มันหายเข้าไปในห้องน้ำระหว่างนั้นผมสำรวจร่างกายตัวเองนอกจากความเมื่อยล้าและรู้สึกเจ็บเสียดตรงช่วงล่างนอกนั้นก็ไม่มีอะไร รวมถึงความเหนียวเหนอะหนะของเหงื่อเมื่อคืนก็ไม่มี มันน่าจะเช็ดตัวให้ผมเรียบร้อย อีกอย่างฟาโรห์ก็ยังป้องกันด้วยทำให้ไม่มีอะไรเหนอะหนะอยู่ในตัวผม
คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมกับมันจะทำลงไปจริงๆ ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลยสักนิด ความกลัวที่ว่ามันจะรังเกียจร่างกายผมถูกมันปัดทิ้งไปหมด ไอ้ฟาโรห์ทำให้ผมรับรู้แค่ตัวมันอย่างเดียว ไม่ให้ผมคิดเรื่องไร้สาระ
ผมเอาผ้าปิดหน้าเหลือแค่ลูกตาที่เหล่มองร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากห้องน้ำในชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าขายาว
“ฉันจะออกไปซื้อข้าวเช้าให้ อยากกินอะไร?” มันเดินเข้ามานั่งแหมะที่ปลายเตียง “ฉันอยากให้พุกกินยากันไว้หน่อย”
ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะบอกว่าอยากกินโจ๊ก ฟาโรห์ยิ้มก่อนจะลูบผมของผมแผ่วเบา
“ได้ครับ”
ผมพยายามยันร่างกายขึ้นมา เดินกระย่องกระแย่งเข้าห้องน้ำ พยายามจะไม่สนใจร่างกายของตัวเองที่มีแต่รอยจ้ำๆประปราย ยังดีว่ามันยังอยู่ในเขตที่เสื้อผ้าปิดบังได้ ทิ้งตัวลงนั่งบนชักโครก เอามือปิดหน้าที่แดงเห่อของตัวเองแล้วถอนหายใจเฮือก
“เขินไม่หายว่ะ” รอยยิ้มระบายเต็มใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่
ผมไม่รู้ว่าจะต้องเขินแฟนไปอีกนานเท่าไหร่นะ?...
- 100% -
เค้าได้กันแล้วค่ะแม่ขา อาโปดีใจสุด อิ๊ๆ
ตอนนี้เป็นตอนที่เขียนแล้วลบหลายรอบเพราะไม่ถูกใจ แต่สุดท้ายได้แบบนี้มาแทน แต่อาโปคิดว่าเหมาะกับคู่นี้ที่สุดแล้ว
และแจ้งว่าเหลืออีกแค่สองตอนก็จะจบแล้วนะคะสำหรับเรื่องรักหนักมาก เป็นเรื่องที่อาโปผิดวินัยไปเยอะเลยค่ะ จริงๆมันควรจะจบได้นานแล้วแต่เพราะเราล่าช้าเอง ขออภัยทุกท่านด้วยค่ะ
อ่านแล้วบอกฟี้ดแบ็กกันได้เหมือนเดิมน้า ท่านใดรอเล่มก็อดใจอีกนิดน้า ระหว่างนี้เข้ามาอ่านมาเม้นให้กำลังใจกันได้เด้อ อย่าเพิ่งรอเก็บเล่มอย่างเดียว (ฮ่าๆ เรารู้นะว่ามีหลายคน พอใกล้จบแล้วหายแว่บบบบไปรอเล่ม กลับมาก๊อนนนนน)
ขอบคุณทุกการสนับสนุนค่ะ
ปล. หลังจากลงในเด็กดีและในเล้าเป็ดจบ อาโปจะนำไปลงใน Read a Write และเว็ปไซด์ Mareadsค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เห้ออออ.อุสารออ่านตอนนนนนเปิดซิง เง้ออออออออออดเลย มะมีซะนื ้เง้อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
กรี๊ดดดดดด ในที่สุด //เขิน ????