ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ถ้าวันนั้นฉันเอ่ยคำว่า “รัก”

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 : ย้อนกลับมาอดีตกาลจนรวน เวลาหวนคืนชวนให้คิดไป

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 66


     

    ที่นี่มันที่ไหนกัน… ถึงแม้ว่าทุกอย่างมันจะเหมือนทางเดินกลับหอพักของฉันมาก ๆ แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่ามันไม่ใช่ ฉันจำได้ลาง ๆ ว่าฝนตกหนักมากแล้วฉันก็เดินตากฝนตลอดทาง แต่อยู่ ๆ ก็มีเสียงอะไรไม่รู้ดังสังสนั่นมาก พอรู้ตัวอีกทีฉันก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว

     

    หรือว่า… ฉันตายแล้วเหรอ!?

     

    “ยัง…” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแก่ ๆ ของชายปริศนาที่ไม่ได้มีความน่ากลัวเลยสักนิดแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยมาก ๆ เหมือนว่าเธอเคยได้ยินเสียงนี้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งทันทีที่หันหน้าไปตามเสียงมันก็ทำให้ฉันเบิกตาโพลงโตด้วยความตกตะลึงคนตรงหน้าสุดขีด

     

    “เอแคลร์…ขนมโปรดของลูกไง”

     

    ชายวัยกลางคนอายุราว 30 ปลาย ๆ ยื่นขนมชิ้นโปรดรูปร่างอันคุ้นเคยมาตรงหน้า “พ่อ…” แต่ถึงแม้ว่าขนมชิ้นนี้จะเป็นสิ่งที่ตามหามาเนิ่นนานฉันกลับไม่สนใจมันเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะชายตาลงไปมองด้วยซ้ำ 

     

    มันคงเป็นเพราะสิ่งที่เธอต้องการมากกว่าขนมชิ้นโปรดได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกร้อนผ่าวรอบดวงตา ก่อนที่น้ำใสภายในของจะเริ่มล้นเอ่อและไหลทะลักออกมาโดยไม่อาจฝืนกลั้นมันเอาไว้ …ไม่จริง นี่ฉันฝันอยู่ใช่ไหม

     

    ทว่าเธอไม่รีรอที่จะพยายามหาคำตอบไปมากกว่านี้ว่าภาพตรงหน้าเป็นความจริงหรือความฝัน มิลค์โผเข้าโอบรัดรอบพุงใหญ่ ๆ ของชายวัยกลางคนที่จากเธอไปนานจนความเหงาได้กัดกินหัวใจไปเกือบหมด แต่ว่าตอนนี้ความรู้สึกทุกอย่างมันกลับมาอีกครั้งหัวใจดวงนี้ถูกชโลมด้วยอ้อมกอดอบอุ่นของผู้เป็นพ่อที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานเกือบ 10 ปี

                   

     

     

    “พ่อ…หนูรักพ่อนะ”

     

    ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบา ๆ ขึ้นลงเป็นการตอบรับก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย “พ่อก็รักลูก…ที่สุดในโลก”

     

                   

     

     

    ผ่านไปสักพักมิลค์ก็ค่อย ๆ ผละตัวออกมาก่อนจะเช็ดคราบน้ำตาที่มันไหลอาบแก้มแดงระเรื่อ เมื่อตั้วสติได้เธอก็เอ่ยถามทันที “มันเกิดอะไรขึ้นอะพ่อ…ทำไมพ่อถึงมาอยู่ที่นี่?…แล้วหนูอยู่ที่ไหน ถึงมันจะเหมือนทางเดินกลับหอพักหนูมาก ๆ แต่หนูรู้ว่ามันไม่ใช่แ-”

     

    “ใจเย็น ๆ ตั้งสติก่อนมิลค์ลูก เดี๋ยวพ่อจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง…แต่ก่อนอื่นกินนี่ก่อนสิ ลูกตามหามาตั้งนานไม่ใช่เหรอ?”

     

     

    พ่อยื่นเอแคลร์ชิ้นเดิมมาตรงหน้าฉันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ฉันตัดใจสินรับมันจากมือพ่อแล้วกัดไปหนึ่งคำโต ๆ เต็มปากจนเนื้อครีมล้นออกมาเลอะรอบริมฝีปากเหมือนที่เคยทำเป็นประจำตอนเด็ก ๆ 

     

    “ลูกยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” พ่อพูดพลางยิ้มอ่อนด้วยความเอ็นดูพร้อมกับใช้มือหน้าสาก ๆ เช็ดเหมือนที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว ทำแล้วบ่อน้ำตาเจ้าหญิงตัวน้อยในสายตาชายวัยกลางคนแตกอีกรอบ “พ่อขอโทษที่หายไปเสียนานเลย…”

     

    “ฮึก…หนูคิดถึงพ่อมาก มากจนไม่รู้จะเอาไรมาเปรียบเทียบเลยว่ามันมากแค่ไหน ฮึก”

     

    “พ่อรู้… พ่อรับรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูก พออยู่ตรงนี้เสมอคอยมองดูมิลค์เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทุกช่วงเวลาพ่อรับรู้ว่ามิลค์เจ็บปวดมากแค่ไหน พ่อขอโทษที่พ่อช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด”

     

    ฉันส่ายหน้าไปมาพร้อมกับใบหน้าแดงกล่ำ น้ำตาไหลพราก และเสียงสะอึกสะอื้นที่เปล่งออกมาโดยไม่ตั้งใจแต่เป็นไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานี้

     

    “เหลือเวลาไม่มากแล้ว… ลูกตั้งใจฟังดี ๆ นะ”

     

    “หา?”

     

    อะไร?… คือเหลือเวลาไม่มาก

     

    “ตอนที่ลูกเดินท่ามกลางฝนที่ตกหนักมีสายฟ้าผ่าลงมาห่างจากลูกหลายร้อยเมตร ดีที่มันผ่าไปที่เสาไฟฟ้าแต่ว่ามันก็ส่งผลกระทบไปถึงลูกจนทำให้บาดเจ็บ หมดสติไป ตอนนี้ลูกอยู่ที่โรงพยาบาล…แต่ลูกจะปลอดภัยดี”

     

     

    ฉันขมวดคิ้วมุ่ยภายในหัวเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

     

    “พ่อรู้ว่าลูกคงเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นโชคชะตาต้องพบเจอ…กลับไปครั้งนี้ถึงจะไม่มีพ่อเหมือนเดิม ลูกต้องเลือกเส้นทางของตัวเองตัดสินใจให้ดีว่าลูกต้องการอะไร ชีวิตนี้เป็นของลูก…อย่ายึดติด อย่าจมอยู่กับความเศร้า”

     

     

    ขณะที่พ่อพูดฉันก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของพ่อค่อย ๆ จางลงเรื่อย “พ่อ!…พ่อ ทำไมร่างของพ่อมันจางลงเรื่อย ๆ เลยอะ พ่อ!”

     

    “มันถึงเวลาของพ่อจริง ๆ แล้ว เวลาของพ่อมันหมดแล้ว…จงจำไว้ว่าชีวิตนี้เป็นของลูก อยากทำอะไรรีบทำเลยไม่ต้องรอจนอย่างมันสายเกินไป เมื่อลูกตื่นขึ้นจงจำคำพูดพ่อไว้ให้ดี!”

     

    “พ่อ! มันเกิดอะไรขึ้นอะพ่อ!! พ่อ!!!”

     

     

    หลังจากสิ้นสุดเสียงสุดท้ายของมิลค์ที่ตะโกนออกไปเสียงดังปนเสียงสะอื้นขาดใจ ร่างกายของชายวัยกลางคนตรงหน้าก็หายไปทันที… เหมือนทุกอย่างมันได้แตกสลายไปอีกครั้ง ทว่า…ครั้งนี้กลับแตกต่างกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมา

     

     

     

     

     

     

    .

     

     

     

    “พ่อ!”

     

     

    หญิงลืมตาขึ้นมาเผยให้เห็นภาพตรงหน้าที่เป็นห้องนอนตัวเอง กับอาการปวดหัวตึบ ๆ จนเธอต้องใช้มือข้างถนัดนวดวนไปมาตรงส่วนขมับ “ฝันอะไรวะเนี่ย ปวดหัวชะมัด”

     

    ฉันบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างหมอนขึ้นมากูนาฬิกาตามความเคยชิน แต่…มันมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “เชี้ย!”

     

     

    ฉันอุทานออกมาเสียงดังพร้อมกับเบิกตาโพลงโต…นี่มันไม่ใช่โทรศัพท์ฉันนี่!? เห้ย ไม่ดิ ต้องบอกว่ามันมันเคยเป็นโทรศัพท์เครื่องเก่าของฉันเมื่อสมัยมอปลายนี่!!!

     

    ทันใดนั้นฉันจึงมองไปรอบ ๆ ห้องและพบว่ามันคือห้องสมัยม.ปลายจริง ๆ ของทั้งหมดในห้องล้วนเป็นสิ่งที่ตัวฉันคุ้นเคย บางชิ้นก็ยังอยู่ บางชิ้นก็ทิ้งไปแล้ว หรือบางชิ้นก็หายไปแม้ต้องการหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ฉันขายบ้านหลังนี้ไปเพราะน้ำท่วมที่ถ้าต้องการจะซ่อมอีกครั้งคงแพงกว่าการไปหาเช่าห้องราคาถูกอยู่แน่ ๆ ฉันเลยตัดสินใจยอมขายบ้านหลังนี้ไป แต่ว่านะ…


     

     

    “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?! สมองฉันเลอะเลือนไปแล้วหรือไง”

     

    ฉันเปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาเผื่อว่าจะมีคำตอบอะไรให้ได้บ้าง และมันก็มีจริง ๆ ‘4 พฤศจิกายน  2564’

     

    วันเดือนปีนี้มันหลังจากพ่อฉันเสียไปแล้ว 1 เดือนนี่… ทำไม?

     

     

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

    “ตอนที่ลูกเดินท่ามกลางฝนที่ตกหนักมีสายฟ้าผ่าลงมาห่างจากลูกหลายร้อยเมตร ดีที่มันผ่าไปที่เสาไฟฟ้าแต่ว่ามันก็ส่งผลกระทบไปถึงลูกจนทำให้บาดเจ็บ หมดสติไป ตอนนี้ลูกอยู่ที่โรงพยาบาล…แต่ลูกจะปลอดภัยดี”

     

    “พ่อรู้ว่าลูกคงเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นโชคชะตาต้องพบเจอ…กลับไปครั้งนี้ถึงจะไม่มีพ่อเหมือนเดิม ลูกต้องเลือกเส้นทางของตัวเองตัดสินใจให้ดีว่าลูกต้องการอะไร ชีวิตนี้เป็นของลูก…อย่ายึดติด อย่าจมอยู่กับความเศร้า”

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

     

    “เชี้ยยย มันไม่ใช่ความฝันเหรอวะ” ฉันตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นจริง มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อเหนือธรรมชาต ถ้าไปเล่าให้ใครเขาฟังก็คงหาว่าเพี้ยนสมองผิดปกติต้องไปพบจิตแพทย์รักษาอาการบ้าเป็นแน่

     

     

    แต่! มันเกิดขึ้นแล้ว 

     

    “หรือฉันประสาทหลอนสร้างภาพจิตใต้สำนักขึ้นมาเองวะ หรือฉันต้องไปพบจิตแพทย์ อะไรยังไง!? งงไปหมดแล้ววววววว”

     

     

     

     

                   

    หลังจากที่มิลค์สติแตกไปสักพักใหญ่เธอก็ค่อย ๆ ตั้งสติให้กลับมาเป็นปกติและเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามที่พ่อได้บอกไว้ก่อนจะหายไป

     

    บอกตามตรง ฉันเคยคิดนะว่าอยากเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นเหมือนนิยายแฟนตาซีที่ชอบอ่าน แต่พอมันเกิดขึ้นจริง ๆ ก็โคตรยากที่จะเชื่อเลยอะ หลังจากนี้เวลาฉันอ่านนิยายที่ตัวเอกย้อนเวลาได้จะไม่รำคาญอีกแล้วว่าทำไมต้องสติแตกอย่างนู้นอย่างนี้

     

     

    ตอนนี้ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วล่ะ 

     

     

    เอาเป็นว่ามาทบทวนทุกอย่างกันใหม่อีกรอบดีกว่า… หลังกลับเดินออกจากสถานีฉันก็เดินตากฝนทำตัวเป็นนางเอกเอ็มวี แต่ว่าฉันกลับโดนลูกหลงของฟ้าที่ผ่าลงมาซึ่งห่างไปหลายร้อยเมตร แล้วจากนั้นฉันก็ลืมตาขึ้นมาเจอกับพ่อที่เอาเอแคลร์มาให้กินพร้อมกับบอกเรื่องราวทุกอย่าง และฝากฝังคำพูดสุดท้ายก่อนเวลาของพ่อจะหมดลง ก่อนที่ฉันจะตื่นมาพบว่าตัวเองกลายเป็นเด็กม.ปลายอีกครั้ง

     

    เดี๋ยวนะ… ม.ปลาย…ปี 2564…อายุ 17 เท่ากับว่าตอนนี้ฉันอยู่ม.6  แล้วเดือนพฤศจิกายนฉันจำได้ว่าปีนี้โควิดระบาดหนักทำให้ต้องเลื่อนการเปิดเทอมหลายรอบแสดงว่าเพิ่งเปิดเทอม 1

     

     

    แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าตอนนี้เทอมไหน… มันอยู่ที่ว่าฉันจะเอาความรู้ที่ไหนไปเรียน! แถมม.6 ต้องมีสอบ Gat สอบ Pat สอบ 9 วิชาสามัญอีก ฉันจะเอาความรู้ที่ไหนไปสอบบบบ

     

     

    ที่สำคัญฉันบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่าฉันเกลียดคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับกับวิทย์คณิต แต่!!!!!

     

     

    ฉันเรียนแผนวิทย์คณิต…

     

    ร้อง~ อยากจะร้องไห้ ร้องจนไม่เหลือน้ำตา~~~ สรุป…มันดีหรือไม่ดีกันแน่เนี่ยที่ฉันได้ย้อนเวลากลับมา T-T

     

     

    แต่เดี๋ยวนะ!? “4 พฤศจิกายน…เชี้ย! นี่มันเปิดเทอมไม่ใช่เหรอ” ฉันจำได้ดีเลยแหละว่าวันเปิดเทอมแรกของม.6 มันคือวันนี้ เพราะมันคือวันที่ฉันได้เจอกับ…เขา

     

     ทันใดนั้นฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบ

     

     

     

     

    ‘07:32’

     

     

    ฉันถลึงตาโตด้วยคความตกใจแต่ก็ไม่รีรอให้เวลาเดินไปมากกว่านี้ รีบหยิบผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำภายในเวลา 5 นาที ก่อนจะทางครีมแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางอันน้อยนิดที่มีอยู่ แล้วแต่งชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ไม่ได้สวมใส่มานานพร้อมกับมัดผมหางม้าผูกโบว์สีขาวตามกฎระเบียบ

     

    รำคาญอะ ไว้ว่าง ๆ ไปตัดผมสั้นดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลามัดผมผูกโบว์ ไม่รู้ตอนนั้นจะอยากไว้ผมยาวไปทำไม ผมสั้นนี่แหละสบายสุด ๆ แล้ว

     

     

    ซึ่งมิลค์ทำทุกอย่างเสร็จภายใน 10 นาที ก่อนจะเดินออกไปรอรถเมล์เพื่อเดินทางไปโรงเรียน

     

     

     

     

     

     

     

    ณ โรงเรียน

     

     

     

    โอ๊ย เหนื่อยชิบเป้งเลยวุ้ย! ย้อนกลับมาสมัยม.ปลายได้แป๊บเดียวก็โดนอาจารย์สั่งทำโทษวิ่งรอบสนามบอล 3 รอบเพราะมาสาย แล้วสนามบอลอะไรก็ไม่รู้จะใหญ่อะไรนักหนา

     

    มิลค์ทำหน้ามุ้ยอารมณ์เสียหัวร้อนแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่กำลังเดินไปห้องเรียนด้วยความเร่งรีบจนกระทั่งถึงหน้าห้อง ‘4310’ ที่เป็นห้องเรียนประจำในตอนนี้ เพราะต้องปรับเปลี่ยนจากการเดินเรียนเป็นการเรียนในห้องเรียนประจำเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่มันเกิดขึ้นในตอนนี้

     

    แต่ยังไงก็เถอะ…ฉันมาจากอนาคตเดี๋ยวทุกอย่างก็ค่อย ๆ กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถึงมันจะช้าหน่อยเพราะรัฐบาลที่มัน…นั้นแหละ 

     

     

    ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปข้างในพร้อมเผยให้เห็นเพื่อนเก่าสมัยม.ปลายทุกคน ที่บางคนหลังจากจบม.6 ไปแล้วฉันก็ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาไม่รู้ชีวิตความเป็นไปของพวกเขาเลย เพื่อนที่ยังเจอในหน้าฟีดโซเชียล และเพื่อนสนิท…ที่บางคนก็ไม่ได้สนิทกันแล้ว

     

     

    “สายตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกเลยนะมึง” 

     

    เสียงของหญิงสาวที่ฉันคุ้นเคยพูดขึ้น ฉันหันหน้าไปมองหน้าอีกฝ่ายทันทีเผยให้เห็นหญิงสาวหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสองชั้น จมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่มโดยรวมคลับคล้ายคลับคลาสาวฝรั่ง นั้นเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์…
     

    ’อีฟ’ เพื่อนสนิทของฉันที่รู้จักกันมาตั้งแต่ม.ต้น มันเป็นคนนิสัยคล้าย ๆ ฉัน ชอบอะไรหลายอย่างเหมือนกัน เลยทำให้สนิทกันมากที่สุด จนถึงตอนนี้ก็ยังสนิทกันมากเหมือนเดิม

     

    “เหม่ออะไรของมึง…มานั่งดิ เร็ว ๆ กูจองไว้ให้ล่ะ”

     

    “นิสัยก็ยังเหมือนเดิม…เปลี่ยนไปบ้างก็ดีนะมึง” ฉันพูดบ่นพึมพำพลางเดินไปยังที่นั่ง

     

    “เมื่อกี้มึงพูดอะไรนะ ได้ยินแว่ว ๆ เหมือนพูดถึงกู…ด่าอะไรกูปะเนี่ยย”

     

    หูดีอีกนะมึง “เปล๊า… มึงหูฟาดไปเองรึเปล่า”

     

    “เสียงสูงมีพิรุธพิราบนะมึง อย่าให้กูรู้นะ”

     

     

    ฉันส่ายหัวไปมาก่อนจะวางกระเป๋าแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ตระเตรียมเครื่องเขียนหนังสือสมุดต่าง ๆ นานาขึ้นมาวางบนโต๊ะเพื่อเรียนคาบแรกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาที

     

    ทันใดนั้นคนข้างหลังสะกิดฉันเบา ๆ ก่อนฉันจะหันไป  “มิลค์ ๆ มึงได้ยินข่าวยัง”

     

     

    ‘กิ่ง’ สาวหน้าหมวยเชื้อสายจีนเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่ม ที่ถึงแม้จะไม่ได้รู้จักกันมาตั้งแต่ม.ต้นเหมือนอีฟแต่ก็สนิทกันมาก เพราะมันเป็นคนนิสัยดีคอยซัพพอร์ตเพื่อนตลอดและมีนิสัยเหมือนแม่คอยเป็นที่พึ่งให้กับเพื่อน ๆ ทุกคน 

     

     

    “ข่าวอะไรวะ”

     

    “ก็โรงเรียนเรามีนักเรียนย้ายมาใหม่ แล้วย้ายเข้ามาตอนม.6 ได้ไงวะ กูว่าเด็กเส้นแน่ ๆ ชื่อ แทนรัก…”

     

    …แทนรัก

     

     

    ถ้าในชีวิตของฉันต้องเลือกคนที่จะไม่มีวันลืมก็คงมีเขาเป็นหนึ่งในนั้น …แม้เพียงแค่คิดถึงภายในมันก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที หัวใจพลันดิ่งวูบกระทันหันความรู้สึกอ้างว้างที่เกาะกุมหัวใจเริ่มสั่นคลอน ดวงตาร้อนผ่าวราวกับน้ำใส ๆ ต้องการจะไหลออกมา 

     

     

    “มิลค์…มึงเป็นอะไรวะ ทำไมอยู่ ๆ ก็ตาแดงเหมือนคนจะร้องไห้”

     

    “หา? กูเหรอ” ฉันค่อย ๆ พยายามกะพริบตาถี่เพื่อกดอารมณ์ที่มันสามารถปะทุออกมาได้ทุกเวลาเก็บเอาไว้

     

    “เออดิ”

     

    “ไม่มีไร ๆ กูแค่ไม่ชินกับแสงอาทิตย์ ช่วงปิดเทอมนอนอยู่แต่บ้านว่ะมึงไม่ได้ออกไปไหนเลย” ฉันพูดแถออกไป

     

    “อ๋อ…โรคขี้เกียจนี่เอง มึงต้องปรับตัวแล้วนะ ตื่นให้มันเช้า ๆ มาให้ทันเข้าแถวด้วย”

     

    “รับทราบค่ะคุณแม่~”

     

    ฉันพูดประชดทิ้งท้าย ก่อนจะหันมาสนใจเนื้อหาที่กำลังจะเริ่มเรียนในคาบแรก

     

     

     

     

     

    TBC.

     

    ถ้าย้อนเวลาได้ไม่อยากย้อนกลับไปเรียนวิทย์คณิตแน่นอน เบสออนทรูสตอรี่ของโรท์สุด ๆ 

    เพราะมันเรื่องจริง เรียนแผนวิทย์คณิตแล้วเกลียดวิทย์คณิตไม่ได้พูดเล่น555555

    วงวารน้องมิลค์ของพรี่ แต่ก็สู้ ๆ นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×