ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ถ้าวันนั้นฉันเอ่ยคำว่า “รัก”

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท : เมื่อกล่าวถึงขนมแห่งความทรงจำ นั้นจะนำเรื่องราวให้ผันผวน

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 66


     

    ทุกคนมีขนมในความทรงจำกันไหม…ขนมที่ต่อให้ผ่านมากี่สิบปีก็ไม่เคยลืม ยังจำรสชาติ กลิ่น เนื้อสัมผัสต่าง ๆ ขณะที่กำลังเคี้ยวแล้วค่อย ๆ กลืนมันลงไป มันตราตรึงอยู่ข้างในใจของเราที่ต่อให้อยากลืมก็ไม่มีวันจะลืมมันได้ลง

     

    สำหรับฉันแล้วมันคือ… เอแคลร์

     

    ขนมจากประเทศฝรั่งเศสที่ทำมาจากแป้งชูมีลักษณะเป็นแท่งเรียวยาวเหมือนกับสายฟ้าตามชื่อ สอดไส้ด้วยวิปครีมสีขาวหวานนุ่มละมุนลิ้น ส่วนบนราดด้วยช็อคโกแล็ต โรยหน้าด้วยฟองดองไอซ์ซิ่ง และอัลมอนด์สไลด์ท้อปปิ้งด้านบน …มันช่างชวนให้หลงไหลไปกับรสชาติอันน่าอัศจรรย์เหลือเกิน ยิ่งได้กินทันทีหลังเอาออกมาจากตู้เย็นนะ รู้เลยว่าสวรรค์ที่แท้จริงหน้าตาเป็นยังไง
     

    เฮ้อ ชาตินี้จะมีวันได้ลิ้มลองมันอีกไหมนะ

     

     

    คิดแล้วก็เศร้า ไม่ใช่อะไรหรอกปัญหาคือมันไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่ปัญหามันอยู่ที่มันเป็นขนมที่เป็นสูตรลับเฉพาะของพ่อฉันน่ะสิ แล้ว…พ่อฉันก็ตายไปเมื่อ 9 ปีก่อนนู้น ทุกวันนี้ก็ทำได้แค่คิดถึงรสชาติขนมที่พ่อทำให้กินทุกวันสมัยก่อนแบบลม ๆ แล้ง ๆ ได้แค่คิดถึงแต่ไม่มีวันได้สัมผัส

     

    อย่างที่รู้ ๆ กันว่าฉัน ‘มิลค์’ ฝีมือการทำครัวเท่ากับศูนย์ ถ้าใครคิดว่าฉันเกิดเป็นลูกเชฟแล้วจะทำอาหารอร่อยก็คิดใหม่เสียเถอะ แค่ทอดไข่เจียวยังทำไหม้ไม่เป็นท่า นับประสาอะไรจะไปทำเอแคลร์ฝีมือพ่อตัวเองให้ตัวเองกิน เหอะ

     

     

    เกิดมา 26 ปี แฟนก็ยังไม่เคยมีแถมยังต้องชดใช้กรรมความฟุ่มเฟือยก่อให้เกิดหนี้บัตรเครดิตมากมายในทุก ๆ เดือนอีก โอ๊ย!… สู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับของจริง ตอนเด็ก ๆ ที่เคยคิดว่าเป็นผู้ใหญ่สบาย จะทำอะไรก็ได้ พอได้โตมาก็ค้นพบว่ามันไม่มีจริงเลยสักนิด ไม่ว่าจะทำอะไรทุกอย่างมีกรอบ บรรทัดฐานสังคมคอยสกัดกั้นตัวเราไว้อยู่เสมอ

     ทุก ๆ วันได้แต่เครียดเรื่องงานที่มันยุ่งยาก วุ่นวายไปหมด เครียดเรื่องเงินที่มันไม่พอตอบสนองกับความโลภของตัวเองเสียที แถมยังต้องเครียดเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองที่มันโคตรไม่ปกติ การเมืองแต่ละวันมีเรื่องให้ปวดหัวจนบางทีก็อยากย้ายไปอยู่ประเทศอื่น

     

    แค่ก็ลืมไปว่า…ไม่มีเงินไปอะดิ

     

     

    รสชาติของการเติบโตมันขมจนไม่อยากกลืน… หลาย ๆ ครั้งก็คิดนะว่าถ้าฉันสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะไม่เติบโตมาเป็นเหมือนทุกวันนี้ ฉันจะทำให้ทุกอย่างมันแตกต่างไป ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายหรอก แต่มันต้องไม่น่าเบื่อเหมือนชีวิตในตอนนี้แน่นอน

     

    หรือบางทีฉันก็อยากล้างสมองตัวเองให้กลับกลายไปเป็นเด็กอีกครั้ง… เด็กผู้หญิงคนนั้นที่กล้าฝันในเรื่องที่ไม่ใกล้เคียงกับสภาพชีวิตความเป็นจริงด้วยซ้ำ คนที่กล้าจินตนาการอนาคตของตัวเองว่ามันมีความสุขมาก ๆ คนที่เป็นตัวของตัวเองอยากจะทำอะไรก็ทำไม่สนใจกรอบของสังคมใด ๆ ทั้งสิ้น …ฉันคิดถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นเหมือนกันนะ

     

     

    แต่ก็เอาเถอะ ชีวิตคนเรามันไม่มีทางเกิดเรื่องแฟนตาซีอะไรแบบนั้นเหมือนในนิยายพาฝันได้หรอก เราก็ทำได้แค่ยอมรับความจริงกับทุกสิ่งที่เป็นอยู่ ถึงแม้ว่าเราไม่ค่อยอยากจะยอมรับมันเท่าไร

     

     

    ทันใดนั้นเองเสียงที่มิลค์ได้ยินทุกวันก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าถึงที่หมาย “สถานีลาดพร้าว ลาดพร้าว โปรดใช้ความระวังขณะก้าวออกจากรถ…” และเป็นสัญญาณที่บอกให้มิลค์เลิกจมอยู่กับความคิดต่าง ๆ นานาของตัวเองแล้วกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกอย่างล้วนไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ

    มิลค์ก้าวเท้าด้วยความเร่งรีบออกจากขบวนรถไฟเหมือนคนอื่น ๆ รอบตัวที่ต้องการไปให้ทันเวลางาน ฝูงชนกลุ่มใหญ่ค่อย ๆ ทยอยกันแตะบัตรออกจากสถานีก่อนที่จะแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง

     

     

    มิลค์เดินไปตามเส้นทางเดิมเรื่อย ๆ เหมือนทุกวันจนกระทั่งถึงสถานที่ทำงานก่อนเธอจะเดินเข้าไปข้างในตึกสูง… แต่ฉันไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทอะไรแบบนั้นหรอก อาชีพของฉันก็แค่…

     

    “สวัสดีค่ะพี่ต่าย” ฉันพูดพร้อมกันยกมือไหว้อีกคนซึ่งเป็นผู้จัดการร้าน ก่อนที่จะหยิบผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลที่แขวนไว้ขึ้นมาใส่แล้วสแกนเข้างานทันที จากนั้นก็ค่อยทำหน้าที่ต่อไปคือการเปิดร้านประกอบด้วยการจัดโต๊ะ เตรียมของต่าง ๆ 

     

    “เออ มิลค์!”

     

    “คะ??” ฉันหันขวับไปมองพี่ต่ายพี่เรียกชื่อฉัน

     

    “พี่เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อวานพี่ไปเดินแถวเซ็นทรัลเวิลด์มา เขาจัดอีเว้นท์อะไรกันก็ไม่รู้นะ แต่พี่ไปเจอเบเกอรี่ร้านหนึ่ง อร่อยมาก!”

     

    “จริงอ๋อพี่… มันอร่อยขนาดนั้นเลย” 

     

    “จริง! อร่อยแบบตะโกน กินไปแล้วแบบแสงออกปากได้เลย”

     

    “ฮ่า ๆ อันนี้ก็ออกแนวเว่อร์ละ”

     

    “ไม่เว่อร์ ๆ แล้วที่พี่บอกเนี่ยนะเพราะมันมีเอแคลร์ที่ลักษณะเหมือนมิลค์เคยเล่าให้พี่ฟังอะ แต่พี่ไม่ได้ซื้อมานะ…มันแพง”

     

    “มันไม่ใช่ชูครีมเหมือนครั้งที่แล้วใช่ไหมคะพี่ ถ้าเป็นชูครีมอีกหนูงอนพี่แน่”

     

    “มิลค์จ๊ะ… พี่ผิดแล้วพี่จดจำเรียนรู้จนคิด วิเคราะห์ แยกแยะได้แล้วว่าอันในเอแคลร์อันไหนชูครีม ไม่ผิดซ้ำซ้อนแน่นอน”

     

    “ค่ะ ๆ หนูเชื่อก็ได้ เดี๋ยวนี้หลังเลิกงานหนูจะไป แต่ว่าร้านมันอยู่ตรงไหนเหรอคะ”

     

    “พี่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน… แต่ ๆ พี่ถ่ายรูปไว้ เดี๋ยวพี่ส่งให้เลย” ทันใดนั้นพี่ต่ายก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าด้านหน้าของผ้ากันเปื้อนแล้วตั้งใจเลื่อนไปมาขึ้นลงด้วยหน้าตามุ่งมั่น

     

     

    ติ๊ง!

     

    เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของฉันจะดังขึ้นก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาดู… “เนี่ยร้านนี้แหละ มิลค์ก็ลองไปเดินหาดูแล้วกัน”

     

    บนหน้าจอโทรศัพท์เผยให้เห็นร้านเบเกอรี่ที่พี่ต่ายพูดถึง ซึ่งเป็นร้านที่มาเปิดเป็นบูทเล็ก ๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นหรือแตกต่างไปจากร้านอื่นเลย แต่ว่าข้างหน้าซึ่งเป็นตู้กระจกไว้โชว์ขนมต่าง ๆ มีขนมรูปหน้าตาที่เธอรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก… ฉันอาจจะลิ้มรสชาติของเอแคลร์ที่แสนอร่อยอีกครั้งก็ได้นะ

     

    แววตาของมิคล์เป็นประกายทันทีมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความรู้สึกแบบนี้ที่ไม่ได้สัมผัสมานานกลับมาอีกครั้ง ถึงมันจะไม่ใช่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อะไรแต่มันก็ทำให้เธออยากจะเดินหน้าเข้าไปหาเป้าหมาย ความฝันเล็ก ๆ ที่มันเกิดขึ้นในวัย 27 ปี

     

    แต่ก่อนที่มิลค์จะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ทันใดนั้นลูกค้าก็ได้เดินเข้ามา …กริ่ง ๆ

     

     

    “สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ” ฉันพูดเสียงดังฟังชัดออกมาด้วยความเคยชิน “สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ”

     

    “ขอเป็น Black coffee เย็นไม่ใส่น้ำตาล เพิ่มกาแฟ 1 ช็อตค่ะ”

     

    “สแกนจ่ายนะคะ… เรียบร้อยค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ” ฉันยื่นใบเสร็จพร้อมกับหมายเลขคิวด้านบนให้ลูกค้าผู้หญิงตรงหน้า ก่อนที่จะยื่นรับลูกค้าคนต่อไปส่วนหน้าที่ของคนชงกาแฟก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ต่าย

     

     

    นี่แหละชีวิตของฉันตอนนี้ ตื่นมาทำงานฟูลไทม์ในร้านกาแฟให้ทันเวลาเข้างาน 7 โมงเช้า ในฐานะที่ทำงานมาได้เกือบเข้าปีที่ 2 บางครั้งก็จะต้องสอนงานน้อง ๆ พาร์ทไทม์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ได้พบเจอพนักงานบริษัททุกตำแหน่งไม่ว่าระดับไหนบอกเลยว่า…ฉันเคยพูดคุยกับพวกเขามาหมดทุกคนแล้ว

     

    มันก็เป็นงานที่ดีนะ พอจะเลี้ยงชีพตัวเองไปได้ทุกเดือน ๆ ให้ตลอดรอดฝั่ง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาชีพที่ฉันใฝ่ฝันอยากทำก็ตามที

                   

     

     

     

    18:00 น.

     

    เมื่อนาฬิกาข้อมือดิจิตอลเผยให้เห็นเลข 18:00 ฉันก็สแกนออกงานทันก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ที่เดิม แล้วบอกบาเพื่อนร่วมงานที่เข้าคนละกะ และต้องทำงานต่อไปจนถึงเวลา 3 ทุ่มตรง

     

    “กลับดี ๆ นะคะพี่ต่าย บ๊าย ๆ” ฉันโบกมือลาพี่ต่ายที่กำลังซ้อนมอเตอร์ไซค์แฟนเพื่อกลับบ้าน ส่วนฉันที่ไม่มีแฟนแถมยังขับรถไม่เป็นก็ต้องเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าคนเดียวฉบับคนเหงา

     

     

    ระหว่างที่เดินไปทุกอย่างก็เหมือนเดิม…รถบนถนนติดเหมือนเดิม…มอเตอร์ไซค์วินบนฟุตพาทเหมือนเดิม…เสาไฟฟ้าที่มีสายไฟพันกันยุ่งเหยิงเหมือนเดิม และเวลาที่มองไปบนท้องฟ้าก็ยังคงเหงาและเดียวดายเหมือนเดิม

     

    คงมีสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมในตอนนี้คือ… ฉันไม่ได้ลงสถานีห้วยขวางเหมือนทุกวัน “สถานีห้วยขวาง ห้วยขวาง…” ฉันไม่มีความคิดที่จะเดินออกไปเหมือนทุกครั้งทั้งยังนิ่งเฉยไม่สนใจประตูที่ค่อย ๆ ปิดลง

     

     

    แต่กลับมีปฏิกิริยากับ 4 สถานีถัดไป “สถานีต่อไป สถานีสุขุมวิท…”

     

    ฉันก็แค่ทำตามที่บอกพี่ต่ายเมื่อตอนเช้า คือการไปเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อตามหาร้านเบเกอรี่และหาเอแคลร์ที่ฉันเฝ้าใฝ่ฝันโหยหาด้วยความคิดถึงมาตลอดระยะเวลา 3 ปี… เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในวันนี้ของฉันคือได้ลิ้มลองเอแคลร์รสชาติแห่งความคิดถึง!

     

     

    ว่าไปแล้วฉันมันก็เบียวเหมือนกันนะ… แหะ ๆ

     

    หลังจากที่ลงจากสถานีสุขุมวิทแล้วต่อด้วยสถานีอโศกมาลงที่สถานีสยามก่อนจะเดิน ๆ มาตามทาง Skywalk ในที่สุดฉันก็ถึงที่หมายเสียที

     

    อ๊าก… แล้วมันร้านไหนละเนี่ย หลายร้านซะเหลือเกิน แม่เจ้าคุณโว้ย! คนก็เยอะยิ่งกว่าร้านอีก ถามจริงนี่ฉันคิดถูกใช่ใหมเนี่ย

     

     

    เฮ้อ… เอาไงเอากันวะ ลองหาดูสักตั้ง!

     

    จากนั้นมิลค์ก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งเฮือกก่อนที่จะเดินตามหาร้านเบเกอรี่ที่พี่ต่ายพูดถึง… ทว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ยังไม่เห็นหน้าร้านในรูปถ่าย ทุกร้านมันคล้ายกันก็จริงแต่ก็ยังไม่มีร้านไหนที่มีตู้กระจกไว้โชว์เค้กด้านหน้าเลยสักร้าน …มันมีจริง ๆ ใช่ไหม!?

    หลักจากที่เดินหาวนไปเกือบ 1 ชั่วโมงมิลค์ก็เริ่มท้อและคิดที่จะถอดใจ ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้วเธอไม่อยากกลับดึกเท่าไรนักเพราะทางเข้าหอพักที่เธออาศัยอยู่เส้นทางค่อนข้างเปลี่ยว โดยเฉพาะช่วงหลัง 2 ทุ่มขึ้นไป

     

     

    งั้น…พอแค่นี้ดีกว่า 

     

    แต่ทว่าทันใดนั้นเอง… ชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังจะเดินผ่านไปในมือของพวกเขาถือขนมเอแคลร์รูปร่างลักษณะเหมือนที่ฉันตามหา เมื่อเห็นดังนั้นมิลค์ก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปถาม 

     

     

    “ขอโทษนะคะ ขออนุญาตถามอะไรหน่อยได้ไหม คือว่าขนมอันนี้ซื้อมาจากร้านตรงไหนเหรอคะ”

     

    “อ๋อ… ร้านสุดมุมโน้นด้านซ้ายน่ะค่ะ”

     

    “โอเคค่ะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ”

     

     

    มิลค์เดินไปตามทางที่ได้ยินมาทันที และก็ได้พบกับร้านเบเกอรี่ที่ตามหาจริง ๆ …แววตาของเธอลุกวาวด้วยความดีใจ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกตื้นตันจนเหมือนน้ำตาจะรื้นออกมา

     

    ฉันรีบเดินมุ่งไปทันทีก่อนจะมองหาขนมที่ต้องการ ทว่า…

     

     

     “สวัสดีค่ะ สนใจขนมตัวไหนสอบถามได้นะคะ”

     

    “เอ่อ… มีเอแคลร์ไหมคะ”

     

    “ขอโทษจริง ๆ ค่ะ คุณลูกค้า พอดีเอแคลร์หมดแล้วน่ะค่ะ สนใจรับเป็นขนมตัวอื่นแทนไหมคะ…”

     

     

    ตั้งแต่สิ้นคำว่า… เอแคลร์หมดแล้วก็เหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางกระดองใจ ไม่ว่าพนักงานตรงหน้าจะพูดอะไรออกมาฉันก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีกแล้ว ทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้กับฉันตลอดเลย

     

     

    ก็รู้แหละว่า… โชคชะตามันมักเล่นตลกกับเราแบบนี้เสมอ ชอบมาทำให้มีความหวัง เหมือนเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายทางเพียงเดินไปอีกนิดหน่อยก็ถึงที่หมาย แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่แสงที่มาช่องเล็ก ๆ ที่เราไม่สามารถลอดผ่านมันออกไปได้ ไม่มีหนทางเจาะมันให้ใหญ่ขึ้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือเดินต่อไปท่ามกลางความมืดไม่เห็นแม้แต่ปลายทางเหมือนทุกครั้ง

     

    “รับเป็นชูครีมแทนดีไหมคะ คุณลูกค้า”

     

     

    ประสาทการรับรู้ของฉันกลับมากทันที เมื่อพนักงานตรงหน้าพูดคำที่ฉันเบื่อหน่ายกับทุกครั้งเมื่อได้ยิน “เอแคลร์มันคือเอแคลร์ เอแคลร์ไม่ใช่ชูครีม…มันแทนกันไม่ได้…ค่ะ”

     

     

    หลังจากพูดจบฉันเลือกที่จะหันหลังกลับทันที มิลค์เดินกลับย้อนไปเส้นทางเดิมด้วยท่าท่างที่ต่างจากตอนแรกไปโดนสิ้นเชิง สายตาอัดเน้นเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ มากมาย ทั้งเคร้า เสียใจ สิ้นหวัง ทุกอย่างมันผสมปมเปกันไปหมด จนบางทีมันทำให้ฉันเริ่มคิดว่า ตอนนี้ฉันทำอะไรอยู่กันแน่…ฉันทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร

     

    เพียงแค่ฉันต้องการตามเอแคลร์เท่านั้นเองน่ะเหรอ

     

     

    ถ้า…ฉันต้องการแค่นั้นจริง ทำไมตอนนี้ฉันถึงได้รู้สึกเสียใจขนาดนี้ บางทีฉันอาจจะไม่ได้ต้องการเอแคลร์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ฉันแค่ต้องการเดินตามหาความฝันที่ฉันยังเหลืออยู่น้อยนิดแล้วทำมันให้สำเร็จ… แค่นั้นเองหรือเปล่านะ

     

     ฉันเองก็ไม่แน่ใจเท่าไร

     

     

    เมื่อถึงสถานีห้วยขวางในขณะที่มิลค์กำลังเดินออกจากสถานี ทันใดนั้นเองเม็ดฝนก็โปรยลงมากะทันหัน แต่ทว่าว่าหญิงสาวกลับไม่สนใจพร้อมทั้งเดินท่ามกลางฝนที่ตกลงมาเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าจะหยุด ทั้งยังดูเหมือนว่าจะตกแรงขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่ง…

     

    เปรี้ยง!

     

    “กรี๊ด!!!!!!!”

     

     

     

     

     

     

     

    TBC.
     

    .

     

    ที่มิลค์เบียวไม่ต้องสงสัย เพราะว่าไรทฺ์ก็เบียวไม่ต่างกัน

    ขอบคุณค่าาาาาาาา

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×