ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Mo Dao Zu Shi OC] กาลเวลาผันผ่าน

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๓ (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 766
      69
      11 พ.ค. 65


     

    บทที่ ๓


     


     


     

     

    “โถ่ พี่รอง ข้าขอโทษข้าทำผิดไปแล้ว” ใครมันจะไปรู้กันว่าจะพบร่างเซียนที่เคยมาร่ำเรียนกับสกุลหลานในสภาพแบบนี้ถ้าข้ารู้ข้าก็ไปกับเจ้าแล้ว เขาเบ้ปากคิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป แม้เตี่ยและพี่ใหญ่จะพูดว่าคนที่วั่งจียอมมากที่สุดในตอนนี้คือเขาก็เถอะ แต่ก็เป็นวั่งจีอีกนั้นแหละที่เข้มงวดอย่างกับเตี่ยคนที่สอง

     

    “ข้างหน้ามีคน” หลานวั่งจีเอ่ยเตือนเป็นนัยว่าให้สำรวมแล้วสวมหน้ากากของเจ้าเสีย

     

    เมื่อฮุ่ยเจินได้ยินดังนั้นจึงเลิกรังควานผู้เป็นพี่แล้วกลับเข้าสู่มาดของตน เมื่อมองไปหน้าประตูก็พบคนกลุ่มหนึ่งในอาภรณ์สีขาวเช่นสกุลหลานแต่ปักเป็นลวดลายสกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง

     

    คุณชายทั้งสองเดินผ่านกลุ่มคนด้วยท่าทีสง่างามราวเทพเซียน

     

    “คุณชายรอง คุณชายเล็กท่านกลับมาแล้ว” ศิษย์ที่เฝ้าเวรยามคำนับให้แก่คุณชายทั้งสอง

     

    “ใครเอะอะเสียงดัง” วั่งจีถาม

     

    “คุณชายรองท่านนี้คงเป็นหยกคู่สกุลหลาน หลานวั่งจีน้องชายของประมุขตระกูลหลาน หลานซีเฉิน” หนึ่งในคุณชายผู้มาจากอวิ๋นเมิ่งกระซิบกับพี่ชายข้างกายตน

     

    “ส่วนคุณชายอีกท่านก็คงจะเป็นหลานฮุ่ยเจินลูกชายของผู้อาวุโสหลาน”

     

    “เช่นนั้นพวกเขาต้องให้เราเข้าไปแน่” ยังมิทันจะกล่าวสิ่งใดต่อเหล่าศิษย์ในอาภรณ์สีขาวก็แบกร่างเซียนผู้หนึ่งขึ้นมา

     

     

    “นี่คือ..” ศิษย์หน้าประตูส่งเสียงเป็นเชิงถาม

     

    “แบกไปข้างในก่อน”

     

    “ทำไมตายอนาถเช่นนี้”

     

    “ตายหรือ ข้าว่าดูไม่เหมือนตายดูเหมือนโดนวิชามารอะไรสักอย่าง” เสียงสนทนาจากคนตระกูลเจียงทั้งสองเรียกความสนใจจากหลานวั่งจีที่กำลังจะเดินเข้าเขตสำนักให้หันกลับมาทำให้หลานฮุ่ยเจินจำต้องหันตามไป เมื่อเห็นดังนั้นคุณชายเจียงจึงก้าวออกมาแนะนำตัว

     

    “คุณชายหลาน ข้ามาจากตระกูลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งลูกชายของเจียงเฟิงเหมียน เจียงเฉิง”

     

    “นี่พี่สาวข้าเจียงเยี่ยนหลี่และศิษย์พี่เว่ยอู่เซี่ยน” ทั้งสองก้าวออกมายืนข้างกันกับเจียงเฉิง

     

    “ได้ยินชื่อเสียงพวกท่านมานาน” เมื่อกล่าวจบจึงคำนับ

     

    “กล่าวเกินไปแล้ว” คุณชายหลานทั้งสองเห็นเช่นนั้นจึงคำนับตอบ

     

    “คุณชาย พวกข้าไม่ระวังทำเทียบเชิญหายตอนนี้ก็ใกล้พลบค่ำแล้วจะหาที่พักข้างนอกก็ลำบากจึงอยากขอร้องพวกท่าน”

     

    “ถ้าไม่มีเทียบเชิญก็เข้าไม่ได้” คุณชายรองสกุลหลานพูดด้วยสีเรียบนิ่งต่างกับผู้เป็นน้องที่ยืนยิ้มน้อยๆอยู่ข้างกัน

     

    “คุณชายรองหลานพวกข้าเดินทางมาจากอวิ๋นเมิ่ง ล่องเรือมาหลายชั่วยามจนในที่สุดก็มาถึงก่อนอาทิตย์ตกดินเพียงเพราะเทียบเชิญแผ่นเดียวถึงกับมิให้เข้าเลยมันจะไม่เกินไปหรือ” ฮุ่ยเจินแอบเห็นด้วยกับคุณชายเว่ยอยู่ในใจ

     

    “ไม่มีเทียบเชิญก็เข้าไม่ได้” วั่งจีเองก็ยังคนยืนยันคำเดิม

     

    “พวกข้าไม่ได้ตั้งใจทำหายละเว้นหน่อยมิได้หรือ” คุณชายเว่ยยังคงพยายามขอร้อง

     

    “หาเจอแล้วค่อยมา”

     

    “คุณชายรอง ตำบลไฉ่อีอยู่ไกลจากอวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่ 20 กว่าลี้ท่านจะให้พวกข้าไปหาตอนนี้จะไม่ใจร้ายไปหรือ” ครานี้นอกจากจะมิให้เข้าแล้วยังเดินเข้าสำนักไปปล่อยให้คุณชายเว่ยร้องโวยวายอยู่ข้างหลัง

     

    “คุณชาย หากไม่ได้จริงๆพวกข้าคงต้อง---” เว่ยอู๋เซี่ยนกำลังหันมาขอร้องฮุ่ยเจินที่ยังยืนอยู่ก็เงียบลงไป เมื่อพยายามจะพูดก็ไม่สามารถพูดได้สร้างความงุนงงให้แก่เขาและคนสกุลเจียงเป็นอย่างมาก

     

    “คุณชายเว่ยท่านโดนวิชาปิดปากของสกุลเราเข้าเสียแล้ว ต้องรอหนึ่งก้านธูปวิชาจึงจะเสื่อมลง”หลานฮุ่ยเจินคลายความสงสัยของทุกคน

     

    “ส่วนเรื่องเทียบเชิญท่านลองไปหาที่โรงเตี๊ยมจินเจินเหอดูเถิดเทียบเชิญอาจจะตกอยู่ที่นั่น” เขาส่งยิ้มให้ผู้มาเยือนก่อนจะหันหลังกลับเข้าสำนักตามพี่ชายไป

     

     

     

     

     

                สายลมแผ่วพัดเรือนผมสีน้ำหมึกพริ้วไหวตามแรงลมทำให้ร่างโปร่งที่เดินอย่างเอื่อยๆหยุดเท้าและจัดผมของตนให้เข้าที่ เขาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นพี่ชายคนรองเดินไปยังทางเข้าสำนัก ก่อนจะขยับเท้าเดินไปยังเรือนของผู้เป็นบิดาหมายจะสนทนาถึงเรื่องที่พบเจอมาในวันนี้

     

                หลายฮุ่ยเจินทำสีหน้างุนงงเล็กน้อยเมื่อมาถึงเรือนของบิดาแล้วพบว่าผู้ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่ เขาปิดประตูเรือนอย่างเบามือเดินอย่างเอื่อยๆออกมาจากเขตเรือนก่อนจะตรงไปยังเรือนของหลานซีเฉินผู้เป็นพี่ชายคนโตเพราะนึกขึ้นได้ว่าบิดาของตนจะต้องอยู่ที่นั่นเป็นแน่

               

                “พี่ซีเฉิน”

     

                “ฮุ่ยเจินหรือ เข้ามาสิ” เมื่อได้รับอนุญาตเขาจึงเลื่อนเปิดบานประตูเรือนที่มีเพียงแสงสว่างจากเทียนเล่มน้อยในมือของหลานซีเฉิน ฮุ่ยเจินเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดพร้อมตรงเข้าไปหาผู้เป็นบิดา ริมฝีปากยกยิ้มประจบประแจง

     

                “ข้าว่าแล้วว่าท่านจะต้องอยู่ที่นี่ ข้าน่ะคิดถึงเตี่ยมาก ๆ” เขาทำน้ำเสียงออดอ้อนเรียกให้หลานฉี่เหรินหันมามองค้อนร้องดัง ‘เฮอะ’ หลานซีเฉินยิ้มขบขันเมื่อเห็นท่าทีของคนทั้งสองพลางหันไปตรวจดูร่างที่วั่งจีนำกลับมา

     

                “ท่านอาคนผู้นี้ตายอย่างประหลาด ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเจอมาก่อน” หลานซีเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลานฉี่เหรินเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นหลานฮุ่ยเจินจึงต้องเดินตามไปอย่างห้ามมิได้

               

                “ราวกับโดนวิชามารอะไรสักอย่าง”

     

                “วั่งจีนำกลับมาศพเดียวใช่หรือไม่” ผู้อาวุโสหลานถาม

     

                “ใช่ เพียงแค่ศพเดียว” หลานฮุ่ยเจินชี้แจง

     

                “ช่วงนี้ตระกูลรอบ ๆกูซูส่งข่าวมาว่ามีนักพรตหลายคนหายตัวไปจึงให้วั่งจีลงไปสืบข่าว” ฮุ่ยเจินเสมองไปทางอื่นเมื่อบิดาหันมามองค้อนยามที่กล่าวถึงเรื่องที่วั่งจีลงไปสืบข่าวคนเดียว

     

                “คนผู้นี้คือศิษย์นอกของตระกูลหลาน”

     

                หลานฉี่เหรินใช้นิ้วกดไปยังรอยแตกบนร่างที่นอนแน่นิ่งส่งแสงสีฟ้าออกมาจากนิ้วก่อนที่จะมีไอประหลาดสีดำลอยมาจากรอยนั้น หลานฮุ่ยเจินมองมันด้วยสายตาสนใจในขณะที่หลานฉี่เหรินเบิกตาเมื่อพบว่ามันคือสิ่งใด

     

                “วิชามาร” เขาเอ่ยเสียงเครียดแล้วหันไปทางประตูเมื่อได้โวยวายที่หน้าเรือน หลานฮุ่ยเจินที่ขยับไปเอนหลังพิงกำแพงเรือนเงี่ยหูฟัง

     

                “ใครเอะอะโวยวายอยู่ข้างนอก”

     

                “ข้าเองพี่ใหญ่” หลานซีเฉินสะบัดมือเพียงครั้งเดียวผ้าขาวที่แขวนไว้ก็ปลิวมาปิดร่างที่นอนแน่นิ่งราวกับจับวาง ฮุ่ยเจินได้ยินเสียงที่คุ้นหูก็บอกลาคนทั้งสองในใจก่อนจะหนีหายไปจากเรือนประมุข

     

     

     

     

     

                ฮุ่ยเจินเดินออกจากเรือนตั้งแต่ยามเหม่าเนื่องจากวันนี้จะมีการรับศิษย์เข้าสำนักอย่างเป็นทางการ ถึงแม้เขาจะดูเหลาะแหละไปบ้างแต่ก็เป็นคนของสกุลหลานที่แสนเคร่งครัดทั้งยังมีบิดาเป็นหลานฉี่เหรินซึ่งเป็นที่ยอมรับในเหล่าเซียนจะให้มิได้รับนิสัยจากบิดามาบ้างก็คงเป็นไปมิได้

     

                ร่างโปร่งก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อน อย่างไรเสียวันนี้เขาก็ตื่นเช้าแวะไปหาท่านผู้อาวุโสหัวดื้อเสียหน่อยคงจะไม่ไปเข้าพิธีสายหรอกกระมัง คิดดังนั่นก็สาวเท้าเดินอย่างอารมณ์ดีไปยังเรือนของบิดา

     

                ตลอดทางหลานฮุ่ยเจินครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ร่างที่วั่งจีนำกลับมาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวิชามารแม้เขาจะชอบอ่านตำราแต่เรื่องของวิชามารเขาได้เห็นเพียงผ่านๆตาจึงทำทายาทสกุลหลานรูปงามผู้นี้สงสัยนักว่าผู้ใดกันที่ทำเรื่องเช่นนี้ ยิ่งเมื่อเห็นบิดาของเขามีท่าทีเช่นเมื่อคืนแล้วก็รู้สึกเครียดขึ้นมาเล็กน้อย หากเรื่องนี้ทำให้หลานฉี่เหรินรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเขาไปกอดปลอบบิดาคงรู้สึกดีขึ้นเป็นแน่ อารมณ์พลันกลับมาสดใสดังเดิมเมื่อคิดภาพตนกอดกับบิดาอย่างอบอุ่นถึงแม้ว่าในความเป็นจริงเขาคงโดนดุไม่ก็โดนหยิกเสียจนเนื้อเขียวแน่นอน

     

                เมื่อไปถึงเรือนของหลานฉี่เหรินก็พบว่าบิดาของตนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ เห็นดังนั้นจึงส่งเสียงเรียกเบาๆก่อนจะก้าวเข้าไปในเรือน

     

                “เตี่ย ทำอะไรอยู่หรือให้ข้าช่วยหรือไม่”

     

                “ฮุ่ยเจินหรือ ข้ากำลังตรวจสอบดูว่าสกุลใดบ้างที่ส่งคนมาฝึกอีกประเดี๋ยวก็จะครบแล้ว เจ้าเล่ามาหาข้ามีสิ่งใด”

     

                หลานฉี่เหรินกล่าวตอบบุตรชายของตนด้วยน้ำเสียงที่หากผู้อื่นได้ยินคงไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสตรงหน้าคือหลานฉี่เหรินผู้เคร่งครัดและน่าอึดอัดผู้นั้น หลานฮุ่ยเจินที่ได้ฟังคำตอบก็ค่อยๆขยับตัวไปนั่งใกล้ๆบิดาตนพลางเหล่มองท่าทีของบิดาเมื่อเห็นว่ามิได้มีท่าทีเคร่งเครียดมากอย่างที่เขาคิดก็โล่งใจ และนั่งรออีกฝ่ายเงียบๆ

     

                “เอาล่ะ เจ้ามีอะไรว่ามา” หลานฉี่เหรินที่ตรวจสอบความเรียบร้อยเสียจนพอใจผินหน้ามาหาบุตรชายที่นั่งอยู่ข้างกาย

     

                “ข้าคิดถึงเตี่ย” ฮุ่ยเจินทำสีหน้าเหมือนกับหมาหงอยกางแขนทั้งสองข้างออก หลานฉี่เหรินเห็นดังนั้นก็ทำหน้าคล้ายเตรียมจะดุคนเด็กกว่า

     

                “นะ นะ นะ ลูกชายท่านก็ตัวแค่นี้จะกอดกันมิได้เชียวหรือ” เขาแสร้งทำปากสั่นพยายามทำหน้าให้ดูน่าสงสารมากที่สุด

     

                “เจ้านี่นะ.. โตจนตัวจะเท่าข้าอยู่แล้วยังจะเล่นเป็นเด็กอีก”

     

                หลานฉี่เหรินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแต่ถึงอย่างนั้นผู้อาวุโสที่ได้ชื่อว่าเคร่งครัด จริงจัง ก็หันกายมาหาบุตรชายก่อนจะกางแขนออกเล็กน้อย หลานฮุ่ยเจินเห็นแบบนั้นก็ทิ้งตัวใส่บิดาเหมือนกับเด็ก หากมีผู้ใดมาเห็นภาพนี้เข้าคงขยี้ตาเสียจนเลือดออก

     

                เมื่อกอดเสียจนพอใจแล้วฮุ่ยเจินก็ผละออกก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จัดเครื่องแต่งกายของตนให้เรียบร้อยก่อนจะโค้งลา

     

                “เจ้ามาเพื่อแค่นี้หรือ” ผู้อาวุโสลูบเคราแพะของตนใบหน้าฉายแววสงสัย

     

                “แค่นี้อะไรกันเตี่ย การกอดไม่ใช่เรื่องแค่นี้หรอกนะ” เขามองหน้าบิดาตนยิ้มๆก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่กวนเตี่ยแล้ว ฮุ่ยเจินขอตัว”

     

     

     

                “ปีหน้า ข้าจะไปเรียนที่อวิ๋นเมิ่ง! ใครก็ห้ามขวางข้า”

     

                ระหว่างที่กำลังเดินไปยังเรือนกล้วยไม้อันเป็นโถงศึกษาของสำนักพร้อมกับเหล่าศิษย์ในสกุลจำนวนหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงของใครบ้างคนดังขึ้นมา เสียงนั้นฟังดูแล้วคงมิได้อยู่ไกลจากเขานักเพียงกวาดสายตามองก็พบเจอคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสจึงโบกมือเป็นเชิงให้ศิษย์ที่มาพร้อมๆกันล่วงหน้าไปก่อน

     

                “ไม่มีใครขวางเจ้าอยู่แล้ว แต่พี่ใหญ่เจ้าจะตีเจ้าให้ขาหักเท่านั้นเอง” เสียงของใครสักคนดังขึ้นมาทำเอาเด็กหนุ่มคนนั้นหงอยลงทันตา

     

                เด็กหนุ่มคนนั้นคือเนี่ยหวายซัง คุณชายรองของสกุลเนี่ยแห่งชิงเหอ พี่ชายของเขามีนามว่าเนี่ยหมิงเจวี๋ย นิสัยเฉียบขาดฉับไวแม้ทั้งสองจะไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันแต่ก็รักใคร่กลมเกลียวกันดี ความเข้มงวดของเนี่ยหมิงเจวี๋ยผู้นี้ฮุ่ยเจินเองก็พอจะรู้อยู่

     

                “ที่จริงที่กูซูก็ค่อนข้างน่าสนุกอยู่” คุณชายเว่ยจากสกุลเจียงที่เขาพบเมื่อวานเอ่ยขึ้นมา

     

                “พี่เว่ย โปรดฟังคำแนะนำจากข้าสักประโยค” เนี่ยหวายซังกล่าว “แดนเร้นเมฆาไม่เหมือนกับป้อมบงกชของพวกท่าน มากูซูครั้งนี้มีบุคคลที่ท่านมิควรล่วงเกินอยู่”

     

                “ใคร หลานฉี่เหรินรึ” เว่ยอู๋เซี่ยนถาม

     

                “มิใช่ตาเฒ่าผู้นั้นหรอก เป็นศิษย์เอกที่เขาภาคภูมิใจหลานวั่งจีต่างหาก” หลานฮุ่ยเจินอดยิ้มขำออกมามิได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น สิ่งที่คุณชายเนี่ยผู้นั้นกล่าวออกมาไม่เกินจริงเลย เขาอยากจะเสริมเรื่องหน้าตาไม่รับแขกทั้งยังชอบทำตัวเคร่งเครียดแต่ก็มิกล้า มิกล้าจริง ๆ

     

                หลังจากชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อฟังสิ่งที่กลุ่มคนตรงหน้าสนทนากันเสียจนพอใจแล้วหลานฮุ่ยเจินก็ปรับฝีเท้าให้เท่ากับความเร็วปกติของตน แม้ว่าแท้จริงจะมีนิสัยปั่นประสาทมากแค่ไหนแต่การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสง่างามก็เป็นสิ่งที่เขาถนัดมากพอๆกัน

     

                ร่างโปร่งของคุณชายคนเล็กของสกุลหลานก้าวเดินอย่างสุขุมใจเย็นใบหน้ามีรอยยิ้มเล็ก ๆประดับให้ดูเป็นมิตร เมื่อขึ้นไปยังโถงศึกษาแล้วก็เข้าไปนั่งประจำที่ข้างๆกับหลานวั่งจี ศิษย์เอกผู้โด่งดังดั่งเสียงอสุนีบาตร เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วพบว่ามีคนอยู่ไม่มากนักก็ขยับตัวไปทางหลานวั่งจีเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเย้าอย่างอามรมณ์ดี

     

                “วั่งจี เจ้านี้โด่งดังมิน้อยเลยจริงๆ”

     

                หลานวั่งจีมองลูกพี่ลูกน้องของตนด้วยสายตาเอือมระอาครั้นจะขยับปากถามก็มีเสียงพูดคุยดังมาจากอีกฝากของผนัง

     

    “ระวังตัวไว้เถอะเขาไม่คยเสียท่าให้ใครมาก่อน แม้หลานจ้านจะไม่ได้เข้าเรียนร่วมกับพวกเราแต่เขาก็จะต้องมาเป็นผู้คุมกฏของที่นี่ เขาจะเพ่งเล็งเจ้าแน่!” เนี่ยหวายซัง

     

    เว่ยอู๋เซี่ยนนอกจากจะไม่รู้สึกกลัวแล้วยังโบกมือแบบสบายๆ “เจ้าบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะ เช่นนั้นก็คงจะเรียนจบไปนานแล้วคงไม่ว่างมาเพ่งเล็งข้าหรอก ข้า..”

     

     

    กล่าวยังไม่ทันจบประโยคเมื่อมองผ่านลายฉลุเข้าไปก็พบกับเด็กหนุ่มสวมชุดสีขาวปลอดสองคนนั่งหลังตรงอยู่ ผ้าขาดหน้าผากมีลายเมฆขดบ่งบอกว่าเป็นผู้สืบสายโลหิตของสกุลหลาน บรรยากาศและสีหน้าของคนทั้งสองต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้หนึ่งมีรอยยิ้มเล็ก ๆประดับอยู่ดูเป็นมิตร กลับกันบรรยากาศของหนึ่งในหยกคู่คล้ายปกคลุมด้วยน้ำแข็งมองไปยังกลุ่มคนอย่างเย็นชา

     

    เหล่าผู้มาใหม่นับสิบคล้ายถูกคาถาปิดปาก พากันเดินเข้าโถงกันอย่างเงียบๆ มองหาที่ของตนแล้วนั่งลงอย่างเงียบๆ โดยเว้นระยะห่างจากร่างขาวปลอดทั้งสองอย่างเงียบๆ ทำเอาหลานฮุ่ยเจินมุมปากกระตุก นี่เขาโดนรังเกียจหรืออย่างไรกัน

     

    เมื่อทุกคนมากันครบแล้ว หลานฉี่เหรินและประมุขคนปัจจุบันหลานซีเฉินก็เดินเข้ามาพอดีบรรยากาศความเป็นหลานแผ่ออกมาจากตัวผู้มาใหม่ทั้งสอง พิธีเริ่มขึ้นด้วยการร่ายถึงความเที่ยงธรรม และหลักทั้งสี่หลักของสกุลหลาน

     

    “น้อมรับคำสอน” เหล่าศิษย์หน้าใหม่(และเก่า)คำนับหลานฉี่เหรินผู้เป็นอาจารย์กล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง ศิษย์สายในคนหนึ่งก้าวออกมาพร้อมกับม้วนตาราคุณธรรมซึ่งภายในคือกฎทั้ง3500ข้อของสกุลหลาน พอกางออกมาก็ยาวเฟื้อยไปถึงพื้น

     

    “กฏของตระกูลหลานมีทั้งหมด3500ข้อ ไม่ศึกษาวิชามาร ห้ามใช้อาวุธลับโดยพละการ….” ยังคงอ่านต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เด็กหนุ่มบางคน(A.K.Aเว่ยอิง)เริ่มมีสีหน้าเบื่อหน่ายแต่หลานวั่งจีพี่ชายผู้น่าเลื่อมใสของเขายังคงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ จนขนาดฮุ่ยเจินเองยังอดแปลกใจไม่ได้

     

    จิ๊บ จิ๊บ เสียงร้องของนกดังแว่วพาให้คิ้วขมวดเล็กน้อย เมื่อเหลือบมองก็พบว่าเนี่ยหวายซังและเว่ยอิงกำลังซุบซิบอะไรกันอยู่โดยที่สายตาจับจ้องมาที่เด็กหนุ่มข้างหน้าเขาก่อนจะพากันสะดุ้งเมื่อวั่งจีหันมองอย่างตำหนิ และการอ่านกฎตระกูลก็ยังคงดำเนินต่อไป

     

    “เชิญคนจากตระกูลจินแห่งหลันหลิงมาแสดงความเคารพ” สิ้นเสียงนั้นเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีขาวปักลวดลายสีทองบ่งบอกถึงตระกูลที่ส่งมาร่ำเรียนได้เป็นอย่างดีก็ก้าวออกมา

     

    “ข้าน้อยจินจื่อเซวียนจากตระกูลจินแห่งหลันหลิงคารวะท่านอาจารย์” เจ้าของเสียงทรุดกายลงคำนับกับพื้น “ท่านอาจารย์มองสรรพสิ่งเป็นความว่างเปล่าไม่สนสิ่งของธรรมดาแต่ท่านพ่อของข้าตั้งใจหาคัมภีร์เหอลั่วจิงซื่อเล่มนี้มาให้ท่านอาจารย์” หนึ่งในผู้ติดตามของเขาเลื่อนเปิดกล่องหรูหราเผยให้เห็นถึงตัวคัมภีร์ที่ทำมาจากทองคำเส้นก่อนจะส่งมอบให้ศิษย์นำของล้ำค่าไปเก็บไว้

     

    “เชิญคนจากสกุลเนี่ยแห่งชิงเหอมาแสดงความเคารพ” เนี่ยหวายซังเดินออกมาแสดงความเคารพโดยมีเมิ่งเหยาที่เป็นตัวแทนของประมุขเนี่ยมอบกระถางดินม่วงอยู่ด้านหลัง ทว่าระหว่างนั้นกลับมีเสียงซุบซิบเกี่ยวกับเมิ่งเหยาอย่างไม่ปิดบังดังออกมา ข่าวลือที่ว่าเมิ่งเหยาผู้นี้เป็นลูกลับๆของประมุขจิน ข่าวที่ว่าเขาโดนถีบตกลงมาจากจินหลินไถจนต้องมาพึ่งพิงสกุลเนี่ยแห่งชิงเหอ

     

    ผู้อาวุโสเคราแพะกระแอมออกมาคราหนึ่งเสียงนั้นจึงเงียบลงไป ประมุขหลานยิ้มน้อย ๆ เดินออกมารับของจากมือของเมิ่งเหยาด้วยตัวเอง

     

    “ได้ข่าวว่าประมุขเนี่ยมีผู้ช่วยฝีมือเก่งกาจ วันนี้ได้มีโอกาสได้ฟังวาจารื่นหูไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

     

    พิธียังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นแต่ไม่รู้ทำไมฮุ่ยเจินผู้นี้กลับรู้สึกเหมือนกำลังมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น และเขาก็หวังว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่เขาคิดไปเองเท่านั้น

     

    ลำดับต่อไปเป็นการแสดงความเคารพของสกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง เจียงเฉิงก้าวออกมากล่าวแนะนำตัวยังไม่ทันจะจบกลับมีเสียงแทรกขึ้นมาเสียก่อน แม้ยังไม่เห็นตัวเจ้าของเสียงแต่เขาก็สามารถเดาได้ว่าใครกันที่เอ่ยมันออกมา

     

    “ข้าพึ่งจะรู้วันนี้ว่าการจะเหยียบเข้าตระกูลหลานแก่งกูซูไม่ใช่เรื่องง่าย” เหล่าคนในอาภรณ์สีแดงอันเป็นสีประจำสกุลเวินแห่งฉีซานนำโดยเวินเฉาเดินเข้ามาในเรือนกล้วยไม้เป็นขบวน ฮุ่ยเจินแอบทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อเห็นคนที่เดินนำเข้ามา

     

    “ไม่ทราบว่าคุณชายเวินจะเดินทางมาตระกูลหลานต้องขออภัย นานมากแล้วที่ตระกูลเวินมิได้ร่วมมาฝึกกับตระกูลหลาน” หลานซีเฉินออกหน้ารับกล่าวยิ้มๆ “ท่านเดินทางมาครั้งนี้ไม่ทราบว่าเซียนตูมีอะไรฝากมาชี้แนะ”

     

    “ประมุขหลานเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาร่วมฝึกเพียงแต่มาส่งคนต่างหากเล่า” เวินเฉากวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะเชิดหน้ากล่าวอย่างถือดี “อีกอย่างแต่ไหนแต่ไรตระกูลเวินก็เป็นสำนักฝึกยุทธ์อยู่แล้วไม่จำเป็นจะต้องมาฝึกที่สกุลหลานหรอก”

     

    การกระทำที่แสนอวดเบ่งของเวินเฉาทำให้วั่งจีเริ่มไม่พอใจทำท่าคล้ายจะกล่าวอะไรออกมา ฮุ่ยเจินจึงแตะชายเสื้อเขาเบาๆแล้วส่ายหน้าห้ามไว้ เวินเฉาผู้นี้เป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยน่ารำคาญเป็นที่หนึ่งเกิดไม่พอใจสิ่งใดขึ้นมาเกรงว่าจะกลายเป็นร่องรอยเล็กๆที่สั่นคลอนความสัมพันธ์ที่แต่เดิมก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นักของสองตระกูลเอาได้

     

    “ใครใช้ให้เจ้าพูดขัดข้า?” นั่นปะไร เขานินทาเจ้าคนนิสัยเสียในใจเพียงครู่เดียวก็เริ่มโต้เถียงกันเสียแล้ว

     

     “เมื่อครู่ศิษย์น้องของข้ากำลังคารวะอาจารย์อยู่เจ้าก็เข้ามาโหวกเหวกโวยวาย ตระกูลเวินของพวกเจ้าอบรมสั่งของคนเช่นนี้หรือ” เด็กหนุ่มจากตระกูลเจียงเท้าเอวจ้องหน้าท้าทายอย่างไม่กลัว

     

    เว่ยอู๋เซี่ยนผู้นี้ใจกล้าดีเสียจริง หากเป็นตัวฮุ่ยเจินเองก็คงไม่กล้าจิกกัดต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้แน่ น่านับถือ น่านับถือ

     

    “ดี!” เวินเฉาหันไปจ้องอย่างเอาเรื่อง “วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นว่าสกุลเวินของพวกเราจัดการกับพวกไม่เชื่อฟังอย่างไร”

     

    เพ้ย ประเดี๋ยวก่อน เหตุใดเจ้าถึงได้มาอวดเบ่งในที่ของตระกูลข้ากัน 

     

    “คุณชายเวิน แค่คิดเห็นมิตรงกันจำเป็นต้องทำร้ายกันด้วยหรือ” เจียงเฉิงแย้ง

     

    “คนตระกูลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งไม่รู้จักกาลเทศะ ถ้าไม่สั่งสอนคนอื่นจะหาว่าข้าไม่รู้จักกฎระเบียบ” เวินเฉากระแทกเสียงจบกลุ่มคนในชุดแดงก็ชักกระบี่ออกมา ฝ่ายตระกูลเจียงเองก็ไม่น้อยหน้าชักกระบี่ออกมาชี้หน้ากัน

                

    นี่พวกเจ้ากำลังจะตีกันสินะ ฮ่า ช่วยไปตีกันนอกสำนักข้าไม่ได้หรือ กฎตระกูลข้าคือห้ามตีกันเองในสำนักนะ

     

    เมื่อเห็นท่าไม่ดีหลานซีเฉินจึงต้องเป็นผู้คลี่คลายสถานการณ์ เพียงแค่ผิวปากเป่าเลี่ยปิง กระบี่ก็พากันลอยออกจากมือเจ้าของปกพื้นดังปัก

     

    “คุณชายเวิน วันนี้เป็นวันคำนับอาจารย์ของอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่” หนึ่งในหยกขาวสกุลหลานก้าวออกมาเอ่ยอย่างใจเย็น “หวังว่าท่านจะยับยั้งชั่งใจ”

     

    เวินเฉากำลังทำท่าเหมือนจะเปิดปากด่าพี่ใหญ่ หญิงสาวในเครื่องแบบสกุลเวินก็ก้าวออกมาคำนับผู้อาวุโสกว่าพร้อมทั้งกล่าวว่าตัวเองและน้องชายได้รับคำสั่งจากเซียนตูให้มาร่วมฝึก

     

    “ข้าและน้องชายมาอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่เป็นครั้งแรกยังมิทราบกฎเกณฑ์ของที่นี่ ขอผู้อาวุโสกับประมุขหลานโปรดอย่าถือสา” เมื่อกล่าวจบก็ยื่นกล่องที่รับมาจากผู้เป็นน้องชายให้ประมุขหลาน 

     

    มาร่ำเรียนกันเพียงสองคน เจ้าจำเป็นจะต้องพากันมาเป็นพรวนด้วยหรือเวินเฉา ข้าแยกมิออกเลยจริงๆว่าเป็นห่วงคนในตระกูลหรือเอามาข่มผู้อื่นกันแน่


     


     

         

          Talk

    50%ค่ะทุกคน เมอร์รี่คริสต์มาส แฮปปี้วันเกิดจีซัสคุงย้อนหลังนะค้า ช่วงนี้โควิดกับมาห้าวเป้งอีกแล้วดูแลตัวเองกันดีๆนะคะ ทางด้านไรต์เองเป็นหนึ่งในผู้มีความเสี่ยงไปซะแล้วค่ะ แง ออกจากบ้านก็อย่าลืมพกเจลล้างมือ ใส่แมส และโซเชียลดิสแทนชิ่งกันด้วยนะคะ

    ร้อยเปอค่ะ หายไปนานมากกกก เค้าเบิร์นเอ้าหนักมากอยู่พักหนึ่ง(ใหญ่ๆ)เลยค่ะ ขนาดเรื่องที่ชอบยังไม่อยากจะทำ หายไปนานจนจำแทบไม่ได้ว่าถึงไหนแล้ว เพราะอะไร? เพราะจบในหัวไปนานแล้วค่ะ

      

    CR.SQW

    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×