ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love Underneath Moonlight

    ลำดับตอนที่ #6 : เลือด

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 50


    -' Forrest's Sight '-

    คืนแรกผมก็ต้องเจ็บตัวเสียแล้ว บทเรียนครั้งนี้สอนให้ผมรู้ว่าแวมไพร์เลือดผสมแม้จะเป็นผู้ชาย ก็ไม่อาจสู้กับแวมไพร์เลือดแท้ที่เป็นผู้หญิงในยามวิกาลได้ ส่วนในตอนกลางวันนี่คงต้องลองดูอีกที

    ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ผมเห็นว่าผิวของเธอเริ่มขาวซีด อันเป็นสัญญาณบอกเหตุถึงอาการที่แวมไพร์ไม่กี่คนมักจะเป็นกัน... อาการขาดเลือด

    ผมมีความรู้สึกว่าเธอคงยังไม่เคยดื่มเลือดมนุษย์สักอึกเลยด้วยซ้ำ ปล่อยไว้อย่างนี้อีกไม่นานก็คงจะเป็นอันตรายต่อตัวเธอ ผมจำเป็นต้องหาเลือดให้เธอดื่ม

    แต่ผมไม่ได้พิศวาสเธอถึงขั้นที่จะยอมสละเลือดตัวเอง และผมก็ไม่ได้เป็นคนเนรคุณขนาดจะเอาเลือดของพ่อหรือลูกค้ามายื่นให้เธอ ดังนั้นคืนนี้ผมคงต้องออกไปหาเลือดที่อื่น

    “ต้องเอาอะไรไปบ้างล่ะนี่”

    ผมไม่ได้ดื่มเลือดมาตั้งหลายปีก่อน ตั้งแต่ตอนที่แม่ของผมเสียชีวิตไปนั่นแหละ แม่ผมเป็นแวมไพร์เลือดแท้ที่เชี่ยวชาญวิชาสะกดจิต ดังนั้นการล่าเลือดจึงไม่ใช่ปัญหา

    แต่ตอนนี้สิปัญหา... เพราะผมไม่มีความสามารถแบบนั้น วิชาสะกดจิตเป็นพรสวรรค์สำหรับแวมไพร์เลือดแท้เท่านั้น
    ผมคิดว่าครอบครัวดาร์กเพิร์ลก็คงทำได้ทุกคน ยกเว้นลูนาร์นี่ล่ะ ที่บางทีเจ้าหล่อนอาจจะยังไม่รู้แม้แต่ความลับของพวกเราเลยด้วยซ้ำ

    สุดท้ายผมก็ตัดสินไปไม่พกอะไรติดตัวไปมาก เพียงแค่ผ้าคลุมสีแดงดำผืนหนึ่งเพื่อให้สมกับภาพลักษณ์แวมไพร์

    ...เอาล่ะ ได้เวลาล่าเหยื่อแล้ว...

    =============================================================================

    ผมย่องเข้ามาในบ้านหลังหนึ่ง มันอาจจะเป็นการไม่สมเกียรติแวมไพร์อยู่บ้างสำหรับการสะเดาะกุญแจ แทนที่จะพังกระจกเข้ามาในบ้าน
    แต่สิ่งที่ผมต้องคำนึงตอนนี้ไม่ใช่ศักดิ์ศรี แต่เป็นการลงมือที่ไม่ทิ้งร่องรอยต่างหาก

    “ใครน่ะ”

    สิ่งเดียวที่ผมต้องการตอนนี้ก็คือการที่ได้เห็นเด็กผู้หญิงตรงหน้ากรีดร้องลั่นบ้าน และเผื่อว่าคุณจะไม่รู้ เมื่อครู่ผมประชดน่ะ

    เด็กเมืองมิดไนท์นอนดึกสมชื่อ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อโรงเรียนยังไม่เปิดด้วยแล้ว

    โชคยังเข้าข้างผมที่เธอยังงัวเงีย... แต่นั่นก็ไม่นานนักหรอก

    “ผะ... ผีดูดเลือด !!”

    ผมเข้าไปปิดปากเธอก่อนที่เธอจะตะโกนออกมา หวังว่าคงไม่มีใครตื่นเพราะเสียงเมื่อครู่นะ

    “เผ่าพันธุ์ของพวกเราสูงส่งเกินกว่าจะถูกเหมารวมว่าเป็นภูตผีปิศาจนะ” ผมกระซิบ

    เด็กผู้หญิงคนนั้นดิ้นขัดขืน แน่นอนล่ะว่าเธอสู้แรงผู้ชายไม่ได้หรอก โดยเฉพาะถ้าผู้ชายคนนั้นมีเลือดแวมไพร์อยู่ในตัวครึ่งนึง

    ไม่นานเธอก็ล้วงเอาไม้กางเขนที่ห้อยคอขึ้นมาทาบกับมือของผม การกระทำนั่นทำให้ผมหัวเราะยกใหญ่กับความเชื่อของเธอ

    “ขอโทษที เธอเชื่อจริงๆหรือว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ร่างกายจะละลายเมื่อสัมผัสกับไม้กางเขน”
    ผมกลั้นหัวเราะ “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่านอนดึกนักเลย” แล้วผมก็ใช้สันมือฟาดให้เธอหลับ

    เห็นลำคอขาวๆนั่นแล้วผมก็ชักจะกระหายเลือด แต่ก็ต้องยั้งใจไว้ วันนี้ผมมาเพื่อการณ์อื่น

    ผมเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณนิ้วให้แข็งแรงขึ้น และด้วยความคมของเล็บ ทำให้ผมเจาะมันที่ลำคอของเธอสบายๆ

    ผมหยิบขวดโหลใสยื่นไปรองเลือดที่ค่อนๆไหลเทลงมา ที่เป็นอย่างนั้นเพราะผมไม่ได้เจาะที่เส้นเลือดใหญ่ ผมไม่ได้โหดร้ายอย่างนั้นหรอกน่ะ แค่ขอแบ่งเลือดมาเล็กน้อยเท่านั้นเอง

    อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ถ้าผมใช้แรงมากเกินไป แผลของเธออาจจะใหญ่จนเป็นที่สังเกต

    หวังว่าคงไม่ลืมว่าผมกำลังทำภารกิจที่ต้อง ‘ทิ้งร่องรอยน้อยที่สุด’

    ผมหยุดมือเมื่อเลือดหยุดไหลออกมาจากเด็กคนนั้น “หวังว่าบ้านนี้คงมีคนอยู่อีกสักคนนะ” ผมวางตัวเธอบนโซฟา
    พลางปรารถนาว่าเธอจะคิดว่าสิ่งที่เธอเผชิญมันเป็นเพียงความฝัน ผมไม่ลืมเปิดโทรทัศน์ทิ้งเอาไว้เพื่อตบตาว่าเธอแค่ผล็อยหลับไประหว่างดูทีวี

    =============================================================================

    ผมได้แผลมาแผลหนึ่งด้วยฝีมือของเด็กผู้ชายอายุมากกว่าผมสักสามปี ลำพังแรงของเขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก
    แต่เป็นเพราะว่าไม้เบสบอลของเขาต่างหากที่ทำให้ผมเจ็บ แต่สิ่งที่เด็กคนนั้นต้องจ่ายเป็นค่าตอบแทนก็คือเลือดของเขาราวครึ่งขวด

    หลังจากใช้เวลาหลังตื่นนอนแหย่ลูนาร์ หรือที่ตอนนี้ผมควรจะเรียกว่า ‘คุณหนู’ จะดีกว่า (ผมประชดนะ อย่าเข้าใจผิด)
    ซึ่งเหตุผลก็คือ ผมสังเกตสีหน้าของเจ้าหล่อนตั้งแต่มาที่นี่แล้ว... ดูท่าทางเธอจะเป็นคนที่เอาแต่ใจพอตัวเลยทีเดียว

    ลูนาร์ทำหน้าบูดบึ้งเมื่อได้ยินว่าต้องไปรับชุดนักเรียนและหนังสือที่โรงเรียนกับผม

    “เฮ้ ลูนาร์ เป็นอะไรไปน่ะ”

    ผมอดถามไม่ได้ สงสัยเหลือเกินว่าเธอรู้ตัวไหมว่าหน้าของเธอน่ะมันซีดเสียยิ่งกว่าซีดแล้ว ผมว่าคงต้องรีบไปเอาเลือดขวดนั้นให้เธอดื่มแล้วล่ะ
    แต่ก็นั่นแหละ ผมดันสะเพร่าเผลอวางขวดบรรจุเลือดนั่นเอาไว้ที่โต๊ะอาหาร อุตส่าห์คิดว่าเธอจะเห็น แต่ท่าทางผมจะคิดผิด เจ้าหล่อนท่าทางจะไม่สนอะไรนอกจากอาหารตรงหน้าจริงๆ

    นัยน์ตาของเธอดูเลื่อนลอย ผมรู้สึกผิดปกติ ถ้าเธอขาดเลือดจริงเธอควรจะสลบหรืออะไรทำนองนี้มากกว่า แต่การที่เธอมีอาการแบบนี้ก็หมายความว่า... เธอกำลังได้กลิ่นเลือด

    ไม่ต้องคิดนานผมก็รู้ตัว เลือดที่เข่าของผมนี่เอง !

    “ลูนาร์” ไม่ตลกเลยที่ได้รู้ว่าเลือดตัวเองกำลังจะถูกสูบ ไม่เชื่อคุณลองจินตนาการถึงมันดูสิ ยิ่งเป็นคนที่คุณพยายามจะช่วยเหลืออยู่ด้วย

    “...ฟอร์เรสต์” เสียงเบาหวิวอย่างนี้แหละที่ทำให้ผมผวา ท่าทางสติของเธอจะเลือนรางเต็มที

    เธอเอื้อมมือมาสัมผัสที่เข่าของผม... และกำลังจะก้มลงลิ้มรส...

    “เดี๋ยว !” ผมขืนตัวไว้อย่างไม่ลำบากนัก เนื่องด้วยตอนนี้ไม่ใช่เวลากลางคืน ผมจึงมีเรี่ยวแรงมากกว่าเธอ ยิ่งในตอนที่เธอกำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างนี้

    ผมสะบัดตัวออก ก่อนจะรีบลากตัวเธอไปทางโต๊ะอาหารที่เธออยู่เมื่อครู่ เปิดฝาจุกออก ก่อนจะกรอกปากเธอ

    ลูนาร์ดื่มด่ำกับรสชาตินั้นราวกับโหยหามานานแสนนาน ผมรีบปิดฝาขวดเมื่อมันลงคอลูนาร์ไปกว่าครึ่ง
    ถ้าไม่อย่างนั้นเธออาจจะคลั่งไคล้เลือดถึงขั้นเสพติด... ผมเคยได้ยินแม่สอนมาอย่างนั้น

    เธอเลียริมฝีปากอย่างเสียดาย

    “ที่เหลือเอาไว้โอกาสหน้านะคุณหนู” ผมปิดฝาขวด พลางมองดูสีหน้าของเธอที่เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นท่าทางเธอก็ดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน

    “นี่ ! นาย !”
    เธอโวยทันทีเมื่อพบว่าตัวเธออยู่ในอ้อมแขนของผม หน้าขึ้นสีจัด “ทำอะไรน่ะ !”

    ผมนิ่วหน้า ตัดสินใจอธิบายเธอตั้งแต่แรก “เธอควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีของแวมไพร์เสียที”

    “ชั้นว่าแล้วว่านายต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นายก็เป็นผีดูดเลือดเหรอ”
    “ไม่ใช่ผี... พวกเราคือแวมไพร์” ผมย้ำ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×