คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : เข้าใจผิด
ขอบตาสองข้างของผมร้อนผ่าว
หลังจากเมื่อกี้ปะทะอารมณ์กับพี่เกรทมา รู้สึกเหนื่อยเหมือนกำลังวิ่งมาราธอน
ผมไม่เคยขึ้นเสียงใส่พี่เกรท ไม่เคยคิดที่จะตะคอกด้วยท่าทางก้าวร้าวอย่างนั้น
และพี่เกรทก็ไม่เคยขึ้นเสียงใส่ผมด้วยท่าทีจริงจังอย่างนี้
คิดว่าการที่ไปพักใจบ้านไอ้มิวซ์จะทำให้ผมสลัดความรู้สึกแย่ๆ ทิ้งไปเหมือนที่เคยทำ แต่เปล่าเลย ผมก็แค่ยัดๆ มันไว้ ยัดไว้จนเก็บไม่อยู่ สุดท้ายก็ทะลักออกมา
ผมพาลใส่พี่เกรท
แล้วอย่างนี้พี่เกรทจะมองผมยังไง แค่นี้ก็มีอะไรดีเลยด้วยซ้ำ
ทำไมผมต้องทำตัวแย่ๆ อย่างนั้นด้วย
ทำไมถึงเก็บอารมณ์ไม่อยู่…
ครูฟิสิกส์เคยพูดว่าเรียนไฟฟ้าก็เหมือนเรียนความรักนั่นแหละ
มันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้หรอก เมื่อไหร่ที่เราเจ็บ เราถึงจะรู้ว่ามันมีตัวตน
มันเป็นการบอกว่าเราได้เริ่มลิ้มรสความรักที่แท้จริง
ก่อนจะมีความสุขทุกคนต้องผ่านความเจ็บปวด
เหมือนที่โทมัส เอดิสัน ล้มเหลวกับการทดลองของเขาเป็นพันครั้ง
ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ แล้วผมล่ะ… จะมีวันนั้นไหม
หรือมันจะจบลงตั้งแต่วันนี้แล้ว
หรือผมต้องรอให้พี่เกรทเลิกกับพี่พายอีกรอบถึงจะมีโอกาส
ต้องเป็นผมที่เจอสภาพพี่เกรทตอนอกหักอีกแล้วหรอ มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยนะ
ที่เห็นคนที่เรารักเจ็บปวดน่ะ
“พอร์ช” ผมรีบปาดน้ำตา
หันกลับไปหาแม่พร้อมปั้นหน้ายิ้มเหมือนคนไม่ได้เป็นอะไร
“ครับ..” แต่ให้ตาย
น้ำเสียงของผมมันสั่นเกินที่จะโกหกผู้หญิงที่เลี้ยงผมมาจนอายุ 18 ปีได้
“มานี่มา” คุณนายเรียกผมเข้าไปหา
กางแขนสองข้างพร้อมรับผมเข้าสู่อ้อมกอด
เหมือนเวลานี้ผมได้ย้อนกลับมาเป็นเด็กชายศิฑาอีกครั้ง
คนที่ทั้งดื้อและซนจนทำให้คุณนายปวดหัวบ่อยๆ
แต่ถึงอย่างนั้น.. ทุกครั้งที่มีน้ำตา ทุกครั้งที่อ่อนแอ ทุกๆ ครั้งที่หันกลับไปมองด้านหลัง จะมีผู้หญิงคนนึงคอยปลอบผมเสมอ และอ้อมกอดของคุณนายในครั้งนี้ก็อบอุ่นไม่เคยเปลี่ยน
“เป็นอะไร… ไหนเล่าให้แม่ฟังหน่อยเร็ว”
แม่เอ่ยถาม มือข้างนึงคอยกอดปลอบ ส่วนอีกข้างก็ลูบหัวผมแผ่วเบา
ถึงแม่จะไม่ได้ตามใจผมเหมือนพ่อ ไม่ได้เอ่ยตกลง ณ
เวลานั้นที่ผมเอ่ยขอสิ่งของ แต่ผมรู้ว่ายังไงแม่ก็ยอมซื้อให้ คุณนายเป็นคนที่ปากบอกไม่แต่มือก็ทำ
ไม่เหมือนคุณชายที่ตามใจเสียทุกเรื่อง
สำหรับเรื่องที่แม่ถาม ผมไม่รู้ว่าควรจะบอกดีไหม
ไม่ใช่คนที่มีความลับกับพ่อแม่หรอก
แต่เรื่องนี้บอกไปก็ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงกันแน่ คุณนายจะรับได้ไหม
ครอบครัวผมจะรับได้หรือเปล่าที่ผมเป็นแบบนี้
มันไม่ใช่แค่ผมชอบพี่เกรท แต่มันหมายถึงการที่ผมชอบผู้ชาย
ผู้ชายชอบผู้ชายเลยนะ
เอาแค่ปัจจุบันสังคมยังไม่เปิดรับเลย แล้วที่บ้านผมล่ะ ผมเป็นลูกชายคนเดียว พ่อกับแม่จะว่ายังไง
ผมรู้ว่าความฝันสูงสุดของคนเป็นพ่อเป็นแม่
ยังไงก็หวังให้ลูกแต่งงานมีครอบครัว มีหลานไว้สืบสกุลอยู่แล้ว ถ้าการบอกไปเป็นการทำลายความฝันเหล่านั้น
พ่อกับแม่จะรับได้หรอ
“ไปนั่งโซฟาก่อนแล้วกัน
เผื่อได้คุยยาว” คุณนายจูงมือผมไปนั่ง ไม่มีคำถามเร่งเอาคำตอบจากผม
แม่แค่รอเวลาให้ผมบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
เอาว่ะ… ไม่บอกวันนี้ก็ต้องบอกวันอื่นอยู่ดี
สู้บอกวันนี้ให้คุณนายช่วยแบ่งเบาความรู้สึกแย่ๆ ออกไปไม่ดีกว่าหรอ
ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่
เรียกกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง
“แม่… ถ้าพอร์ชชอบผู้ชาย
แม่จะว่าอะไรไหม” คุณนายนิ่งไปยิ่งทำผมใจสั่น
รับรู้ได้เลยว่าใจตัวเองเต้นแรงแค่ไหน
“แม่จะไปว่าพอร์ชทำไมล่ะ” คุณนายตอบพร้อมรอยยิ้ม
ยกมือมาลูบหัวผมเหมือนช่วยคลายความกังวลที่มีให้เบาลง
“ก็พอร์ชไม่เหมือนคนอื่น”
ผมหมายถึงผู้ชายทั่วไปที่ชอบผู้หญิง
จริงๆ การที่ผมชอบพี่เกรทไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบผู้ชายทุกคนหรอกนะ ยังไม่เคยมองผู้ชายคนอื่น หรือไม่ก็อาจจะเป็นกับพี่เกรทแค่คนเดียว
บางทีความสนิทที่มีอาจพัฒนาให้เกิดความรู้สึกที่มากขึ้นก็ได้
ผมเองก็ยังหาเวลาที่แน่ชัดไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นช่วงไหน
ไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ตราตรึงใจ เหมือนมันค่อยๆ ถักทอความรู้สึกขึ้นมาเรื่อยๆ
จนวันนึงก็มากเกินกว่าสถานะที่เคยเป็นอยู่
“แม่ก็ไม่อยากให้พอร์ชเหมือนคนอื่น
แม่ต้องการแค่พอร์ชเป็นพอร์ช เป็นลูกของแม่ เรื่องความชอบของพอร์ช
แม่เองก็ไม่เคยห้าม พร้อมสนับสนุนทุกอย่างที่พอร์ชอยากทำ ทุกอย่างที่พอร์ชเป็น”
“…”
“ต่อให้พอร์ชจะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง
แม่ก็ไม่ว่าอะไรเราเลย แต่แม่ขอถามอีกอย่าง… พอร์ชกำลังชอบใครอยู่ อ้อ! แล้วอย่าปฏิเสธแม่ว่าไม่มี พูดอย่างนี้ต้องมีแน่ๆ”
ผมเริ่มยิ้มออกเมื่อคุณนายไม่ได้ว่าอะไร
มันทำให้ผมอุ่นใจเมื่อรู้ว่ายังมีครอบครัวเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็น
แม้คนในสังคมบางคนจะมองว่ามันประหลาด มันผิดธรรมชาติก็เถอะ
“แม่ต้องไม่เชื่อพอร์ชแน่”
“เราไม่ยอมบอกแล้วแม่จะเชื่อได้ยังไง”
“พอร์ชอบพี่เกรท”
แม่เป็นคนที่สามที่รู้เรื่องนี้
อาการของแม่ต่างจากพี่เต้ลิบลับ
รายนั้นบอกว่าไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด
แถมยังถามย้ำตั้งหลายครั้งว่าผมชอบพี่เกรทเนี่ยนะ อย่างที่บอก… พี่เกรทไม่ได้มีอะไรที่ดีมากมาย
ไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษกับทุกคน
เพราะงั้นมันเลยไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ตราตรึงใจผมเป็นพิเศษ
แต่สิ่งที่ผมชอบก็คือการที่มันไม่เป็นสุภาพบุรุษกับทุกคนนั่นแหละ
พี่เกรทมีมาตรฐานที่แบ่งชัดเจนว่าใครเพื่อน ใครน้อง ใครพี่ และใครที่เป็นแฟน
การกระทำทุกอย่างมันบอกชัดอย่างไม่ต้องย้ำสถานะ
เหมือนวันนั้นที่พี่มันพาพี่พายเข้าบ้าน
วันที่ผมมีความรู้สึกเหมือนตกจากยอดเขาเอเวอเรสต์
เหตุการณ์ทุกอย่างประติประต่อในสมองจนได้คำตอบว่าทำไมช่วงนี้เราไม่ได้เจอกัน
มันไม่ใช่การที่พี่เกรทมีงานเยอะ
แต่เป็นเพราะพี่เกรทมีแฟนแล้วต่างหาก แปลว่าน้องอย่างผมไม่สำคัญอีกต่อไป
“ถ้าเป็นพี่เกรท… แม่ก็พอเข้าใจ” แต่ผมไม่เข้าใจ
ทำไมแม่ดูไม่ตกใจ นั่นพี่เกรทเลยนะ
คนที่อยู่ข้างบ้านเลยนะนั่น
“แต่เดี๋ยว… พี่เกรทเป็นคนที่ทำให้เราแอบร้องไห้เมื่อกี้ใช่ไหม”
ชิบหาย ผมก็นึกว่าแม่ลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก
ผมพยักหน้าหงึกๆ ไม่กล้าตอบเต็มเสียง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกับพี่ชายข้างบ้าน
“พี่เกรทกลับไปคืนดีกับพี่พายแล้วครับ”
ก่อนจะอธิบายเสริม แต่ก็ยังไม่พูดเรื่องเมื่อกี้ที่ทำให้บ่อน้ำตาซึม
“พี่พาย? ผู้หญิงที่เกรทพาเข้าบ้านน่ะหรอ”
อย่าย้ำกันได้ไหมเล่า! ให้ผมตอกย้ำตัวเองก็พอ
“ครับ… ที่จริงเรื่องนี้มันก็ทำให้พอร์ชซึมๆ เท่านั้นแหละ
ก่อนเข้าบ้านพอร์ชเจอกับพี่เกรท แล้ว… พอร์ชเผลอขึ้นเสียงใส่พี่เกรทด้วย แต่พอร์ชไม่ได้ตั้งใจนะแม่”
คิดตามความเป็นจริงมันควรจะเป็นผมไม่ใช่หรอที่โกรธพี่มัน
ผมเป็นฝ่ายถูกทิ้งนะ
ถ้าไม่ชิงไปนั่งที่ร้านกาแฟก่อนป่านนี้ก็คงได้ยืนรอเก้ออยู่หน้าโรง
เห็นกันเมื่อกี้ก็ไม่คิดจะขอโทษด้วยซ้ำ
ดันถามผมว่า ‘มึงไปไหนมา’ แถมยังขึ้นเสียงใส่กันอีก
ใครจะไม่เดือดถ้าได้ยินคนถามขึ้นเสียงอย่างนั้น
ผมอยากได้ยินคำว่า ‘ขอโทษ’ แทนคำถามเมื่อกี้
พี่เกรทถามเหมือนรอผม ถามเหมือนตามหาผม ทั้งที่ความจริงไม่ใช่เลย
คงเสียดายเงินล่ะสิไม่ว่า…
“อ้าว! นี่เราไมได้กลับมากับพี่เกรทหรอกหรอ”
“แยกกันตั้งแต่ชั้นโรงหนังแล้วครับ
พี่เกรทเจอพี่พายก็เลยแยกกัน” เป็นผมฝ่ายเดียวมากกว่าที่แยกออกมา
แต่ถึงอยู่ยังไงก็คงขวางหูขวางตาพี่เกรทเปล่าๆ
“ไม่น่า…”
“อะไรครับ?”
“ก็พี่เกรทโทรมาหาเรานี่สิ”
!!
ไอ้พี่เกรทเนี่ยนะโทรหาผม! ก็บ้าละ...
“แม่ว่าไงนะ!”
“พี่เกรทโทรมาที่เครื่องเราเนี่ย” คุณนายยื่นโทรศัพท์มาให้ผม เข้าไปเช็คข้อมูลการโทรเข้า-ออกก็มีรายชื่อพี่เกรทจริงๆ
ช่วยด้วย… หยุดยิ้มไม่ได้แล้ว
“สรุปยังไงเนี่ย ไม่ได้กลับกับพี่เขาหรอ”
ผมส่ายหน้ารัว
เริ่มรู้แล้วว่าเมื่อกี้ตัวเองผิดเต็มๆ ทุกอย่างไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ไม่เลยสักนิด…
“แม่! เดี๋ยวพอร์ชมานะ”
“จะไปไหนน่ะ! จริงๆ เลยลูกคนนี้…”
ผมลุกพรวด ไม่ฟังเสียงคุณนายว่าพูดอะไร
รู้แค่ว่างานนี้ตัวเองผิด และยังไงก็ต้องขอโทษ
ก่อนที่ไอ้พี่เกรทจะมองผมเป็นเด็กนิสัยไม่ดี
เวลาที่พี่มันโทรมาใกล้กับเวลาที่หนังกำลังจะฉาย
ผมจำได้แม่นว่ามันต้องเหลืออีกสักสิบนาที.. ซึ่งถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป
ที่พี่เกรทโทรหาผม ที่พี่เกรทถามผมด้วยท่าทางจริงจังจนน่ากลัว
ที่พี่มันโมโหผมก็คงเป็นเพราะ…
พี่เกรทตามหาผม
ไม่รู้ว่าพี่มันได้คืนดีกับพี่พายจริงๆ ไหม
เรื่องนี้พักไว้ก่อน เอาเป็นว่าตอนนี้ผมดีใจ
ดีใจที่อย่างน้อยตัวเองก็สำคัญพอที่พี่มันจะตามหา
ถ้าตอนที่อยู่หน้าบ้านผมไม่ทำอย่างนั้น
ก็คงต้องยืนฟังพี่เกรทด่าจนหูชาไปข้าง แต่นี่ผมกลับขึ้นเสียงใส่พี่มัน
ตอบกลับอย่างกวนประสาทเพราะคิดว่าควรเป็นผมที่รู้สึกโกรธอีกฝ่าย แต่ไม่ใช่เลย…
เท้าสองข้างหยุดอยู่ที่หน้ารั้วของบ้านหลังข้างๆ
แม้แต่มือที่แนบอยู่ข้างลำตัวก็ยังไม่กล้าที่จะยกขึ้นมากดออด
กลัวพี่เกรทจะโกรธจนไม่ยอมมาเปิดให้ผม
ท่าทางพี่มันตอนที่ผมขึ้นเสียงใส่นิ่งจนผมกลัว พี่เกรทมีสิทธิ์ที่จะว่าผมตอนนั้นเลยก็ได้
ทำไมไม่ทำ..
ทำไมปล่อยให้เด็กไม่ได้เรื่องอย่างผมทำนิสัยอย่างนั้น สอนผมสิ
สอนพอร์ชให้รู้จักฟังสักที
ผ่านไปเกือบสิบนาที… ผมก็เอื้อมมือไปกดมันจนได้
ห้านาทีผ่านไปไร้วี่แววที่พี่เกรทจะมาเปิด
แอบมองผ่านช่องเล็กๆ ก็เห็นว่าวันนี้ไม่มีรถยนต์จอดอยู่ แสดงว่าพ่อกับแม่พี่เกรทไม่อยู่บ้าน
คนเดียวที่มีสิทธิ์เปิดประตูให้ผมคือพี่เกรทซึ่งอยู่ด้านใน เพราะมีรถมอ’ไซด์ของพี่มันจอดอยู่
สิบนาทีแล้วก็ยังไม่มีใครออกมา
อย่าบอกว่าพี่มันโกรธผมจนไม่อยากเห็นหน้าผมแล้ว
ออกมาฟังคำขอโทษกันหน่อยไม่ได้หรือไง
แปะ!
ผมตบยุงที่กำลังดูดเลือดจากแขนอย่างเอร็ดอร่อย
ตัวที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ บรรยากาศเริ่มมืดลงเรื่อยๆ หรือผมควรกลับดีวะ
ค่อยมาใหม่วันพรุ่งนี้
แต่ถ้าผมกลับคืนนี้ต้องนอนไม่หลับแน่
ผมเริ่มมองซ้ายทีขวาที ดูว่าแถวนี้มีคนอยู่ไหม
ก่อนจะลองผลักประตูรั้วเผื่อคนด้านในไม่ได้ล็อค และแน่นอน…
ไม่ได้ล็อค!!
ผมก้าวเข้าไปในเขตบ้านอย่างคุ้นเคย
ลังเลว่าจะตะโกนเรียกพี่เกรทมาเปิดประตูบ้านให้หรือจะเดินเข้าไปเองดี
สุดท้ายผมก็มาหยุดที่หน้าห้องพี่เกรท
แนบหูไปกับประตูแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
แกร๊ก~
ว่าละ… แม่งนอนหลับหรอวะ
ปล่อยให้คนคิดมากตั้งนาน แล้วก็ไม่ยอมล็อคห้องอีก เกิดขโมยขึ้นบ้านจะทำไง
“เข้ามาทำไม” ชิบหายแล้วววว
พี่เกรทมันตื่นแล้ว ทำไงดี คิดสิคิด ไอ้พอร์ชคิดเร็ว!
“ถามไม่ตอบ” คนบนเตียงถอนหายใจก่อนจะเกาหัวตัวเองดังแคร่กๆ
น่าเกลียดว่ะ ถ้ามีรังแคไม่หล่นมาหมดหัวหรือไง
“พี่เกรทโทรหาพอร์ชทำไมอ่ะ”
พี่มันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม นาทีนี้บอกเลยว่าอยากหลบสายตามาก
ไอ้พี่เกรทน่ากลัว…
“กูโทรผิด”
คราวนี้เหมือนตกจากเตียงนิ่มๆ รับรู้ว่าพื้นข้างล่างเป็นหินไม่ใช่พื้นพรม โทรผิด?
“ไม่ได้จะโทรหาพอร์ชหรอ” จะดูหนังอยู่แล้วพี่เกรทจะโทรหาใคร
“ทำไมกูต้องโทรหามึง” นั่นน่ะสิ… มีเหตุผลอะไรที่พี่เกรทต้องโทรหาผม ถ้าเมื่อกี้ฟังแม่พูดต่อก็คงไม่ต้องมาฟังความจริงจากปากเจ้าตัวอย่างนี้ใช่ไหม
“แล้ว… ดูหนังสนุกปะ”
ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ เวลารู้ว่าตัวเองเจ็บแผล ก็อยากกดให้มันเจ็บมากกว่าเดิม
ถ้าพี่เกรทสนุกผมก็ควรดีใจใช่ไหม…
“ถ้าสนุกกูจะอารมณ์เสียอย่างนี้หรอ”
ผมพาร่างตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้
ทำยังไงก็ได้ให้อยู่ห่างจากพี่เกรทมากที่สุด
โต๊ะทำงานพี่มันอยู่ติดหน้าต่าง
เกิดไอ้พี่เกิดคลั่งขึ้นมาผมก็สามารถกระโดดหน้าต่างหนีได้ทันสินะ
“หนังห่วยขนาดนั้นเลย?” ถ้าหนังห่วยก็ไม่แปลกที่พี่เกรทจะอารมณ์เสีย
แต่เท่าที่อ่านรีวิวเขาบอกว่าหนังดีมากนะเว้ย หรือพี่มันไม่เข้าใจที่เขาสื่อกัน
“แล้วมึงยุ่งอะไรด้วย?”
ผมทำตัวไม่ถูกเมื่อได้รับคำถามแทนคำตอบ
มันคุ้นๆ เหมือนที่ผมเคยถามพี่เกรทเมื่อไม่นาน
เพียงแต่ระดับน้ำเสียงที่เราใช้แตกต่างกัน พี่เกรทใช้น้ำเสียงธรรมดา
ต่างจากผมที่ขึ้นเสียงจนหน้าแดง
“เมื่อกี้ที่พอร์ชทำนิสัยไม่ดีด้วย…
พอร์ชขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงแผ่ว
กลั่นเอาความรู้สึกผิดออกมา ใช้แอคติ้งที่เรียนมาในวิชาแนะแนวเข้าช่วย
สุดท้ายก็ยอมจำนน
ยอมให้ผมเป็นฝ่ายโกรธพี่เกรทฝ่ายเดียวดีกว่าให้พี่มันโกรธผม อย่างน้อยถึงผมจะโกรธ
จะน้อยใจ แต่ผมก็หายเองได้ เพราะไม่อยากให้พี่มันหายไปไหนไกลอีกแล้ว
“รู้ด้วยหรอว่าตัวเองทำผิด”
“รู้~”
“แล้วคิดว่าคนที่ฟังจะรู้สึกยังไง”
ถึงได้มาขอโทษไงเล่า! ช่วยให้อภัยหน่อยไม่ได้หรือไง
ทำไมต้องต้อนผมให้จนมุมทุกที อย่าทำให้รู้สึกผิดมากไปกว่านี้เลย
“…”
“หนังก็ไม่ได้ดูเสียเงินไปฟรีๆ
โทรไปมึงก็เอาโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน เดินหาอ้อมห้างจนเมื่อยขาก็ยังไม่เห็น
ถามใครก็ไม่มีใครรู้ พอกูถามกลับก็หาว่ากูยุ่ง เคยคิดบ้างไหมว่าหายไปอย่างนี้คนอื่นเขาจะเป็นห่วง”
ผมกระพริบตาปริบๆ
มองคนที่ระเบิดความในใจออกมาจนหมดเปลือก
ความรู้สึกแย่ๆ วันนี้หายไปเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของพี่เกรท ใช้เวลาไม่ถึง 5
นาทีในการร่ายคำพูดแล้วเหมือนมันชุบชีวิตผมให้กลับมาเป็นพอร์ชคนที่สดใสอีกครั้ง
“กูเบื่อมึงมากเลยพอร์ช
วันหลังกูจะไม่ให้มึงไปไหนด้วยแล้ว” แปลกดีที่ผมไม่ได้เสียใจกับคำพูดพี่มันเลยสักนิด
อาจเพราะเกราะป้องกันจากคำว่า ‘เป็นห่วง’ เมื่อกี้
“พอร์ชขอโทษ”
“พูดเป็นแต่คำว่าขอโทษหรือไง!”
…พอร์ชชอบพี่เกรท… อยากฟังไหมล่ะ ถ้าอยากฟังจะได้เปลี่ยนคำใหม่
“อื้ม”
“เบื่อมึงว่ะแม่ง ไปไกลๆ เลย”
ไม่ไปไหนไกลหรอก กลัวคนแถวนี้เป็นห่วง แล้วก็ไม่ได้อยากไปไหนไกลด้วย
ใจอยู่นี่จะให้ไปไหนวะ
“พี่เกรทไม่ได้เบื่อพอร์ชหรอก
ไม่ต้องมาโกหก”
“สำคัญตัวนะมึง” พี่มันทำสีหน้าเอือมระอากับคำพูดของผม บรรยากาศตอนนี้ดีขึ้นกว่าตอนแรกโข
“ก็อยากสำคัญไง”
“เป็นสำรองให้ได้ก่อนเถอะ” ไอ้พี่เกรท!
*******
ความคิดเห็น