คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เมื่อเรื่องร้ายๆเกิดพร้อมกัน [พี่เกรท]
ผมเดินไปยังผู้หญิงที่ยืนอยู่ไกล เธอที่ตรงสเป็คผมทุกอย่าง
ผมชอบผู้หญิงผมสั้น ซึ่งเธอก็ผมสั้น
ผมชอบผู้หญิงตัวเล็ก ซึ่งเธอก็ตัวเล็กกว่า
ผมชอบความสัมพันธ์ของคู่รักที่เป็นได้หลายสถานะ เป็นทั้งเพื่อน
ทั้งพี่ ทั้งน้อง บางทีก็เป็นแม่ที่คอยเป็นห่วงเป็นใย ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่อยู่ใกล้พาย
มันเป็นความรู้สึกที่โชคดีที่เป็นแฟนกับผู้หญิงคนนี้
แต่แล้ววันนึงเธอก็ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมด ด้วยการเดินเข้ามาขอเลิกง่ายๆ ง่ายเหมือนตักข้าวเข้าปากตัวเอง
เหมือนประโยคบอกเล่าทั่วไป ทั้งที่ใจความของมันทำให้คนฟังเจ็บเหี้ยๆ เลยแหละ
เพื่อนของพายที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังเธอหลีกทางให้ผม
พร้อมทั้งสะกิดให้เธอรู้ตัว
ผมนึกมาทั้งคืนว่าพายจะทำสีหน้ายังไงตอนเจอผม จะตกใจไหม
จะรู้สึกผิดไหม แต่เปล่าเลย เธอยิ้มให้ผมเหมือนปกติ
ก่อนจะเอ่ยคำทักทายที่ผมอยากถามนักว่าเธอทำได้ยังไง
หมดรักกันง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไง
ช่วยสอนผมทีเพราะผมก็อยากกลับไปใช้ชีวิตปกติโดยไม่ต้องนั่งเพ้อถึงเขาอย่างนี้
“ไงเกรท มาดูหนังคนเดียวหรอ”
ผมส่ายหน้า “มากับน้องน่ะ” ตอบกลับไปพร้อมกับชี้ให้พายดูรุ่นน้องคนที่ว่า ไอ้พอร์ชกับพายรู้จักกัน
ไม่แปลกที่คำถามต่อไปพายจะถามถึงมัน
“กลับมาสนิทกันแล้วล่ะสิ” ผมชะงัก ไม่ยักรู้ว่าการที่เรามาดูหนังด้วยกันจะทำให้พายคิดว่าเรากลับมาสนิทกันเหมือนเดิม
ใจจริงผมอยากบอกว่าโดนไอ้เต้เท
และก็เป็นไอ้เต้อีกนั่นแหละที่บอกให้ผมชวนหมูข้างบ้านมาด้วยแลกกับการที่มันบอกว่าพายจะมาดูหนัง
แต่ดีที่ผมคิดได้ขึ้นมาว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพล่ามทุกอย่างให้พายฟังได้เหมือนเดิมอีกแล้ว
“เปล่าหรอก”
แค่พักนี้ผมกับไอ้พอร์ชอยู่ด้วยกันบ่อย
มันน่ารำคาญจะตายไปใครจะอยากไปสนิทด้วย อ้อ! เว้นไอ้เต้คนนึง
ไม่สิ.. พ่อกับแม่ผมด้วย ทุกคนใกล้ตัวผมนั่นแหละ
เอ็นดูอะไรมันนักหนาวะ ตามมันอยู่ได้เดี๋ยวแม่งก็เหลิงหรอก
“ทำไมล่ะ พอร์ชออกจะน่ารัก”
นี่ต้องรวมพายอีกคนด้วยใช่ไหม
ถ้าไม่เจอมันก็คงไม่พูดถึงมันหรอก น่ารักตรงไหน? อ้วนเหมือนหมูล่ะสิไม่ว่า
“ไปตัดแว่นได้แล้วนะ” ทำไมผมต้องอารมณ์เสียตอนที่พายชมไอ้พอร์ชด้วยวะ
“อ้าว! แล้วนี่น้องไปไหนอ่ะ
เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย” ผมรีบหันขวับ
มองตรงที่มันยืนอยู่เมื่อกี้ คราวนี้ไม่เห็นร่างของไอ้พอร์ชยืนอยู่ที่เดิมแล้ว
ไปไหนของมันวะ
“ไปเข้าห้องน้ำมั้ง” ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างที่ผมกังวล
ไอ้พอร์ชไม่ใช่เด็กที่ผมต้องมากังวลอะไร ไม่ต้องกลัวมันหาย ไม่ต้องกลัวใครมาหลอก มันโตขึ้นเยอะแล้ว
อีกอย่างมันก็รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ถ้าไปเข้าห้องน้ำจริงสักพักก็คงกลับมาเองแหละ
ถ้ามันไม่มาไว้ค่อยโทรตามก็ได้
“เดี๋ยวเราขอตัวก่อนนะ”
“อย่าเพิ่งสิ” ผมรั้งเธอไว้ ไม่อยากปล่อยให้ความสงสัยค้างคาในใจอย่างนี้ ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว ขอถามให้รู้เรื่องไปเลยเถอะ “มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
พายหันไปสบตากับเพื่อนอีกคน แววตาเต็มไปด้วยความหนักใจ นี่การคุยกับผมทำให้พายรู้สึกลำบากใจขนาดนี้เชียวหรอ
หึ! นี่มึงมาถึงขั้นนี้ได้ยังไงวะเกรท
“แกเข้าไปก่อนก็ได้
ขอคุยกับเกรทแปบนึง” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า แล้วยื่นบัตรมาให้พายหนึ่งใบ
“มีอะไรจะคุยกับเราเหรอ” พายหันมาถามผม เอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
พายบอกสาเหตุว่าทำไมเธอถึงเลิกกับผม
เพราะความรู้สึกมันหมดไป แต่ไม่รู้สิ… มันมีอะไรบางอย่างกำลังค้างคาใจ
เหมือนว่ามันจะไม่ได้มีแค่นั้น
“ถามจริงๆ นะ” ผมเริ่มเกริ่น ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าเจ้าของประโยคไม่ได้มีความมั่นใจเลยสักนิด
อาจเพราะใจที่กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่ไม่อยากได้ยิน คำตอบที่ผมเองก็คาดไม่ถึง
“ทำไมถึงเลิกกับเราล่ะ ไม่สิ…
ทำไมเลิกชอบกันง่ายอย่างนี้
ทำไมต้องทำเหมือนที่ผ่านมาเรารู้สึกไปเองคนเดียว ช่วยบอกหน่อยได้ไหม”
ถ้าพายบอกว่าที่ผ่านมาเป็นผมที่คิดไปเองคนเดียวคงทำใจยากน่าดู
ถ้าจะให้ยอมรับว่าพายแค่เล่นไปตามน้ำเพราะไม่กล้าปฏิเสธผม บอกตรงๆ ว่าคงทำใจไม่ได้
“เราไม่อยากทำร้ายความรู้สึกเกรทเลย
คิดแล้วว่าสักวันเกรทก็ต้องสงสัย สิ่งนึงที่เราอยากบอก คือเรารู้สึกดีมากที่คบกับเกรท
เราชอบเกรทจริงๆ นะ แต่…”
เหมือนกำลังดูฉากนางเอกบอกรักพระเอกแล้วสัญญาณเน็ตหาย กำลังจะรู้สึกดีแล้ว
ทำไมต้องมีคำว่าแต่ด้วย พายพรูลมหายใจ
เหมือนกับเรื่องที่กำลังจะบอกต่อจากนี้เป็นเรื่องที่เธอเองก็หนักใจ
“แต่เราก็เพิ่งรู้ตัวว่าเราชอบใครอีกคนมากกว่า”
หูมันชา ตาก็พร่า ต้องรู้สึกยังไงหรอ ต้องรู้สึกยังไงตอนที่พายบอกว่าชอบคนอื่นที่มากกว่าผม ถ้าเข้าใจถูกก็คงเป็นช่วงที่กำลังคบกับผมใช่ไหม นี่ผมมีค่าเป็นแค่บทพิสูจน์ความรักบทนึงหรอ
ทำไมต้องมีรู้สึกมากกว่า
รู้สึกน้อยกว่า ทำไมไม่รู้สึกเท่ากัน
และทำไม… เป็นผมที่ได้รับความรู้สึกน้อยกว่าใครอีกคน
“เราอยากบอกให้รู้ว่าทั้งหมดที่เราทำระหว่างคบกับเกรทมันไม่ใช่เรื่องโกหก
มันคือความรู้สึกของเราจริงๆ วันนี้เราไม่ได้หวังให้เกรทเข้าใจสิ่งที่เราพูด
สักวันนึงที่เกรทเผลอรักคนใกล้ตัวขึ้นมา
วันนึงที่เกรทเดินตกหลุมเขาไปโดยไม่ตั้งตัว วันนั้นเกรทจะเข้าใจเรา”
ถ้าเป็นเพื่อนมาปรึกษาว่ามันเลิกกับแฟนเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าชอบคนอื่นมากกว่ามัน
ผมจะบอกมันไปว่านั่นแค่ข้ออ้าง เพื่อที่จะได้เลิกกันแค่นั้น
ทว่าพายไม่ใช่อย่างนั้น สีหน้าจริงจังกับแววตาจริงใจที่สื่อผ่านออกมา
บอกได้ดีว่าเขาพูดความจริง
แม้แต่น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยก็ยังสัมผัสได้ถึงความเสียใจ
พายไม่ได้ตั้งใจเลย แค่เรื่องทุกอย่างมันพลิกล็อค
เรื่องของหัวใจเราโทษใครไม่ได้หรอก
“ลองมองคนใกล้ตัวเกรทดูสิ
บางทีเกรทอาจจะตกหลุมเขาไปแล้วก็ได้
มันใช้เวลานานเหมือนกันนะกว่าเราจะรู้ตัวว่าอยู่ในหลุมที่ลึกท่วมหัว
แต่ถ้าวันนึงที่เขาหายไป เกรทจะรู้ตัวได้เป็นอย่างดี เปิดใจมองเขาบ้างก่อนมันจะสายเกิน”
พายกำลังพูดอะไรวะ
ให้ผมมองคนใกล้ตัวอย่างนั้นหรอ ก็มีแต่พายเท่านั้นแหละที่อยู่ใกล้ตัวผมที่สุด
เราอยู่คณะเดียวกันนะเว้ย จะมีอะไรที่ใกล้กว่านี้อีก
จะให้ผมชอบเงาของตัวเองเลยไหมล่ะ
“เราขอให้เกรทโชคดี ไว้เจอกันใหม่นะ”
ผมได้แต่พยักหน้ารับ มองดูพายจนกระทั่งลับสายตา อยากคุยต่อแต่สมองก็นึกบทสนทนาไม่ออกด้วยซ้ำ
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ใครสักคนเดินชน
เจ้าตัวเอ่ยขอโทษขอโพยยกใหญ่ ผมหันกลับไปหวังว่าจะเรียกไอ้พอร์ช ป่านนี้โฆษณาคงจบแล้วมั้ง เข้าไปคงได้ดูหนังเลย
แม้จะไม่อยากเห็นหน้าพายสักเท่าไหร่ แต่มันเสียเงินไปแล้วนี่หว่า
ทว่า… ไอ้พอร์ชไม่ได้อยู่ตรงนั้น
‘แต่ถ้าวันนึงที่เขาหายไป เกรทจะรู้ตัวได้เป็นอย่างดี’
คำพูดของพายแวบเข้ามาในหัว
ผมพยายามสลัดมันให้หลุด เป็นบ้าจนเผลอเชื่อมโยงคำพูดของพายกับไอ้พอร์ชได้ยังไง
หรือจะเบลอเพราะไม่ได้กินข้าวเหมือนที่ไอ้พอร์ชว่า
พูดถึงข้าวเช้า
ไอ้พอร์ชมันต้องอยู่ร้านอาหารสักร้านในห้างนี่แหละ
หมูอย่างมันคงจะหิวแล้วเดินโซซัดโซเซไปหาอะไรกินแน่ๆ โทรหามันดีกว่า
จะได้ลงไปกินด้วย ชักจะหิวแล้วเหมือนกัน
[….] สายแรกไม่มีคนรับ
[…] สายที่สองก็เช่นกัน
ขาผมเริ่มก้าวลงบันไดเลื่อน กวาดสายตามองหาร้านของกิน
ช่วงนี้มันชอบกินอาหารญี่ปุ่น
[เกรทหรอลูก] เสียงไม่คุ้นแฮะ?
“เอ่อ..”
[น้าเองลูก โทรศัพท์พอร์ชอยู่บ้านน่ะ
สงสัยจะลืมหยิบไปด้วย]
อ๋อ! นี่หายตัวไปไม่ยอมบอกแล้วยังลืมโทรศัพท์ด้วยอีก
แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อตอนเช้าผมเร่งมันขนาดนั้น
แล้วอย่างนี้จะไปหามันได้ที่ไหน ต้องวิ่งตามหาทั่วห้างเลยใช่ไหม?
[มีอะไรหรือเปล่าลูก] ชิบหาย… นี่ผมกำลังคุยกับแม่มันอยู่
ทำลูกเขาหายซวยแน่ไอ้เกรท
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร
พอดีน้องหาโทรศัพท์ไม่เจอน่ะครับ”
[น้าก็นึกว่าน้องหายไปไหนซะอีก
ไม่ดื้อให้เราปวดหัวใช่ไหม]
ไม่ปวดหัวแต่จะบ้าตายล่ะสิ
หายไปไหนของมันทำไมไม่ยอมมาบอกกันก่อน
“ไม่ดื้อครับ ผมขอวางนะครับ เดี๋ยวต้องดูหนังกันแล้ว”
[จ้า~ น้าฝากน้องด้วยนะ]
ไม่รับปากได้ไหมวะ… เฮ้อ~~
สิ่งเดียวที่คิดออกคือร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีแซลม่อนของโปรดมัน
แต่เดินดูจนทั่วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงกับใจที่เต้นรัวด้วยความกังวล
หรือผมจะไว้ใจไอ้พอร์ชมากเกินไป
คิดว่ามันโตแล้วใครเอาอะไรมาล่อมันก็ไม่ไปกับเขาหรอก
ทว่าผมลืมคิดถึงความตะกละของมัน ถ้าเป็นของกินไอ้หมูมันต้องยอมแน่ ให้ตายเถอะ
ไม่ได้เดินมาคุยกับพายแล้วปล่อยให้มันอยู่คนเดียวเลยว่ะ
“ขอโทษนะครับ พอจะเห็นผู้ชายผิวขาวใส่เสื้อเชิ๊ตสีฟ้าผ่านมาแถวนี้หรือเปล่าครับ”
ถ้าอยากหามันเจอเร็วก็คงต้องถามเบาะแสจากคนที่เดินในห้องนี่แหละ
“คนใส่เสื้อเชิ้ตมีเยอะจะตายไปน้อง
พี่ไม่รู้หรอกว่าน้องหมายถึงคนไหน พอจะรู้อะไรเพิ่มเติมไหมล่ะ” การจดจำแค่สีเสื้อของมันได้ ไม่ช่วยให้ผมได้ข้อมูลอะไรเลย จะบอกกางเกงที่ใส่ผมก็จำไม่ได้
เอาง่ายๆ คือไม่ได้สังเกตชุดที่มันใส่เลย
“อ้อ! ไม่เป็นไรครับ
ขอบคุณมาก” ผมเดินถามหาผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าไปเรื่อยๆ
จากชั้นสาม มาชั้นสอง จนกระทั่งหยุดอยู่ที่ชั้นแรก
ถึงตอนนี้รู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่าขากลับต้องแวะซื้อยามานวดขาแล้วแหละ
ถ้าเจอเมื่อไหร่มึงไม่ได้ตายดีแน่ไอ้พอร์ช
…….
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจกลับมาที่บ้าน
หลังจากนั่งพักที่ม้านั่งจนหายเหนื่อย
ก่อนเปิดประตูรั้วก็แอบมองไปบ้านหลังข้างๆ เผื่อว่าจะเห็นมัน
แต่ก็ไม่มีวี่แววเลย
ไปอยู่ไหนวะไอ้พอร์ช…
ผมเดินขึ้นบันไดมายังชั้นสอง ไม่รู้อะไรดลใจให้ขาเดินไปยังห้องพระ
ขาสองข้างหยุดอยู่ตรงหน้าต่างแล้วมองทะลุออกไป เห็นว่าใครอีกคนเปิดหน้าต่างเอาไว้
“ทำไมพี่เกรทไม่ย้ายมาอยู่ห้องนี้ล่ะ”
บทสนทนาของเด็กชายศิฑาตอนอายุสิบขวบแวบเข้ามาในหัว
ตอนนั้นมันติดผมแจ เช้าๆ จะได้ยินเสียงมันเล็ดลอดผ่านหน้าต่างห้อง ตะโกนชื่อผม ‘พี่เกรท พี่เกรท’
“ก็นี่มันห้องพระ จะมาอยู่ได้ยังไง”
“แต่พอร์ชอยากคุยกับพี่เกรทผ่านหน้าต่างบานนี้”
มันชี้มาที่หน้าต่างบานเดียวในห้องพระ
หน้าต่างบานที่ผมใช้มองไปยังห้องมันนี่แหละ
“จะตะโกนคุยกันหรอ เสียงดังว่ะ”
“พี่เกรทมานอนห้องพอร์ชสิ
พอร์ชจะได้ไม่ตะโกนเสียงดัง”
จำได้ว่ามันชวนผมไปนอนที่ห้องบ่อยมาก แต่เชื่อปะ
เข้าออกบ้านมันเป็นว่าเล่น แต่ถ้าเป็นห้องนอนมัน นับครั้งได้เลย พอสอบเข้ามหา’ลัยก็ห่างหายไปเลย
ยิ่งปีหนึ่งที่ผมคบกับพาย ผมกับมันก็ไม่ได้คุยกันเป็นเดือนแหน่ะ
มันเพิ่งมารู้ว่าผมมีแฟนตอนที่พาพายเข้าบ้านครั้งแรก
กะว่าจะเปิดตัวให้ที่บ้านรู้ที่แรก แต่กลับเป็นมันที่รู้ก่อน
ตอนนั้นตรงกับช่วงที่มันกลับมาจากโรงเรียนพอดี
จะไม่ชวนมันคุยแล้วถ้าพายไม่บอกว่าไอ้พอร์ชมองผม ดูตาก็รู้ว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
ผมเดินไปหามันก่อน ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา
“นี่แฟนหรอ?”
“อื้ม.. สวยปะล่ะ?” ไอ้พอร์ชดูหงอยไปเลยตอนที่ผมบอกว่าพายเป็นแฟนผม
คงเพราะก่อนหน้านี้เราสนิทกัน
คงทำใจลำบากถ้ารู้ว่าเวลาที่ผมหายไปเป็นเพราะผมคุยกับแฟน
คงเสียใจที่หลังจากนี้เราจะสนิทกันน้อยลง
อยากจะขอโทษอยู่หรอกแต่แม่งไม่รู้จะพูดยังไงนี่ดิ
จะบอกว่า ‘ขอโทษนะเว้ยที่กูมีแฟน’ ไม่คิดว่ามันแปลกหรอวะ
ผมมีแฟนแล้วมันผิดตรงไหนวะ ไม่มีใครห้ามสักหน่อย
“ชื่อไรอ่ะ”
“พาย”
“ชื่อเหมือนของกินเลย” ไอ้นี่ก็วกเข้าเรื่องของกินตลอด แต่เห็นใบหน้ามันยิ้มออกก็ดีแล้ว
“ตลอดแหละมึง”
“พอร์ชไปนะ ไว้เจอกันใหม่”
คำพูดมัน ทำให้ผมนึกถึงเนื้อเพลงเพลงนึงที่ว่า..
คำที่บอกว่าเราจะมาพบกันใหม่
แปลว่ามันจะไม่ได้พบกันอีก
เหมือนที่มันบอกผมว่าไว้คุยกันใหม่
แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีก ได้ยินแม่พูดถึงมันตอนกินข้าวเย็น
ว่าไอ้พอร์ชเรียนพิเศษ นี่แม่มันก็นึกห่วง กลัวมันจะเรียนเยอะเกินจนไม่ไหว
วันถัดไปผมก็ได้เจอมัน
ไอ้พอร์ชในสถาพที่ใบหน้าเรียวขึ้น มันผอมลงในสภาพที่กำลังแย่ งงไหม?... ไอ้พอร์ชผอมลง
แต่ดูก็รู้ว่าร่างกายมันไม่ได้ผอมแบบคนสุขภาพดี มันกำลังแย่ต่างหาก ขอบตาคล้ำ
ใบหน้าก็หมองเหมือนคนนอนไม่พอ
อยากเป็นหมอฟัน
ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนร่างกายตัวเองขนาดนี้นี่หว่า
“ไอ้พอร์ช! มานี่ดิ๊” มันเดินเอื่อยๆ มาหาผม
เหมือนคนมีร่างแต่ไร้วิญญาณ
“ว่าไง” เสียงแหบๆ ของมันทำให้ผมนึกห่วง
คิดถึงไอ้พอร์ชคนเดิมที่มีน้ำมีนวลกว่านี้
“เรียนหนักหรอ” มันพยักหน้า
แม่เคยขอให้ผมติวให้มันบ้าง จะได้ไม่ต้องเทียวเรียนพิเศษตอนเลิกเรียน
กว่าจะกลับก็ค่ำ ไหนจะการบ้านที่มันต้องทำอีก ได้นอนทีก็ดึกพอสมควร
แต่ผมปฏิเสธ
ไม่มั่นใจว่าความรู้ตัวเองจะไปสอนอะไรมันได้
อีกอย่างกลัวว่าจะทำให้มันผิดหวังจากความฝันของตัวเอง
“พี่เกรทมีอะไรหรือเปล่า” มันเงยหน้าสบตาผม
แปลกดี… ก่อนหน้านี้มีเรื่องจะคุยกับมันตั้งเยอะ
มากกว่าถามว่า ‘เรียนหนักหรอ’ พอโดนมันถามกลับก็ไม่รู้จะต่อว่าอะไร
“ไม่มีอะไรแล้ว เข้าบ้านเหอะ”
มาถึงตอนนี้ก็ยังหาสาเหตุความว้าวุ่นใจในครั้งนั้นไม่ออก
ไอ้พอร์ชชอบทำให้ผมดิ้น ชอบทำให้อยู่ไม่สุข ผมเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง ป่านนี้ก็คงจะขลุกตัวอยู่ในห้องครัวล่ะมั้ง
กลับมาแล้วก็น่าจะโทรถามกลับบ้าง โทรบอกหน่อยก็ดี
ไม่ใช่ปล่อยให้ผมเดินตามหาจนขาลาก
ผมนั่งลงบนเตียง แกะกล่องยาที่ซื้อมาทาตามขา
นวดเบาๆ ให้เนื้อยาซึมเข้าไป เสร็จสรรพก็นอนแผ่ไปบนเตียง
ไม่รู้ว่าหลับไปนอนตอนไหนเหมือนกัน
ตื่นขึ้นมาอีกทีในช่วงบ่ายคล้อย
ผมเดินลงมาหาอะไรกินด้านล่าง เจอโพสอิตแปะไว้หน้าตู้เย็นสองแผ่น
‘วันนี้พ่อกลับดึกนะ’ ลายมือลวกๆ บ่งบอกว่าคนเขียนคงจะรีบ
‘แม่ซื้อแบรนด์ไว้ให้ในตู้เย็น
มีมะม่วงสุกที่เกรทอยากกินด้วย’ ส่วนของแม่จะเป็นรายมือที่ถูกเขียนอย่างบรรจง
ผมหยิบแบรนด์ขึ้นมาดื่ม
กระดกรวดเดียวจนหมดก่อนจะดื่มน้ำเปล่าตาม กี่รอบแล้วก็ยังไม่เคยชินกับรสชาติของมัน
เสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาให้อาหารปลาที่หน้าบ้าน
พลันสายตาก็เหลือบเห็นร่างของไอ้พอร์ชก้าวลงมาจากรถแท็กซี่
อย่าบอกว่ามันเพิ่งกลับ ไปอยู่ไหนมาวะ
อารมณ์ฉุนเฉียวทำให้ผมเดินออกไปหามัน
ไอ้พอร์ชไม่ได้สังเกตสักนิดว่ามีใครอยู่ด้านหลัง
“ไปไหนมา!” โอเค…
ผมอาจจะโกรธจนเผลอขึ้นเสียงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แต่มันก็สมควรโดนดุไหมวะ
“ไปไหนก็ได้ปะ” ยิ่งคนตรงหน้าตอบแบบขอไปที ยิ่งสุมไฟในอกให้มันร้อนรุ่มเข้าไปใหญ่
“ไอ้พอร์ชอย่ามากวน!” ผมเริ่มโมโห
“แล้วพี่ยุ่งอะไรวะ!!”
กึก!
ยุ่ง นี่ผมกำลังยุ่งเรื่องของมันหรอ
ผิดหรอที่จะถามว่ามันไปไหนมา ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้ไหมวะ ตามหาจนทั่วห้าง
เหลือก็แต่ไปแจ้งรปภ.มาช่วยนี่แหละที่ยังไม่ทำ
ผมเป็นคนพามันไปนะเว้ย เกิดมันโดนใครหลอกไปที่อื่นให้ทำไง
สิทธิ์ที่จะห่วงก็ไม่ได้ได้หรอวะ
มันพรูลมหายใจออกมา พยายามทำให้อารมณ์ตัวเองเย็นขึ้น ไอ้พอร์ชไม่เคยตะคอกใส่ผม ไม่เคยทำเหมือนผมเป็นคนอื่น
ครั้งนี้ครั้งแรก แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรทำมันเดือดได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นผมไม่ใช่หรอ
“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม พอร์ชจะเข้าบ้าน”
น้ำเสียงมันอ่อนลง แต่แววตาก็ยังไม่ใช่ไอ้พอร์ชคนเดิมที่ผมรู้จัก
“อืม” ผมคราวรับในลำคอ
เป็นฝ่ายเดินหันหลังให้มันก่อน
บรรยายไม่ได้ว่าตอนนี้รู้สึกแย่แค่ไหน
ใครบอกว่าถ้าเราผ่านเรื่องร้ายๆ มา
เราจะได้เจอเรื่องดีๆ ในคราวต่อไป แล้วนี่อะไร? ทำไมผมถึงเจอเรื่องร้ายสองเรื่องในวันเดียวกัน
*******
ความคิดเห็น