คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ความจริงหรือคิดไปเอง
ใกล้เวลาสอบมิดเทอมเข้ามาเต็มที แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองเรียนไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
ความจริงควรจะหาเวลาทบทวนตั้งนานแล้วแหละ เพียงแต่เวลาที่ผ่านมาในหัวมักจะคิดเรื่องพี่เกรทตลอดเวลา นี่ถ้าคะแนนมิดเทอมผมไม่ถึงครึ่งโทษพี่เกรทได้ไหมวะ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราสนิทกันมากกว่าเดิม จะไม่พูดถึงคนที่คอยช่วยเหลือคนนี้ไม่ได้เลย พี่เต้คือคนที่ช่วยผมทุกอย่าง แต่จะดีมากถ้าพี่เต้เลิกพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ต่อหน้าพี่เกรทสกที
ฟังทีไรขนลุกทุกที
นึกภาพพี่เกรทเรียกผมว่า ‘น้องพอร์ชครับ’ดูดิ เสียงชวนเคลิ้มหน่อย พอได้ยินบ่อยเข้า
นอกจากจะขนลุกแล้วผมยังสัมผัสได้ถึงความกวนประสาทที่แฝงมาด้วย
อะไรคือพูดกับผมแต่ตามองพี่เกรทวะครับ อย่าบอกว่าไอ้พี่เต้จะหักมุมในตอนท้ายนะ
คิดจะมาแย่งพี่เกรทตอนท้ายนี่ไม่ยอมนะเว้ย
*พี่มีข่าวดีมาบอก น้องพอร์ชอยากรู้ไหมครับ
*พี่คิดว่าหมู่นี้ไอ้เกรทมันแปลกๆ ไป
แต่แปลกไปในทางที่ดีนะ มันพูดที่พายน้อยลงแล้วด้วย แถม… มันมีอาการตอนที่พี่พูดถึงพอร์ชด้วย
*ไม่แน่ว่าอาจจะหวง
แต่อีกไม่นานพี่ว่ามันคงจะหึงแล้วแหละ
มันเป็นข่าวดีเมื่อหลายวันก่อน โอเค
มันดีมากๆ เลยแหละ แต่ก็ใช่ว่าผมจะปักใจเชื่อ 100 % นี่หว่า
เอาเป็นว่ามันคือแรงผลักดันที่จะทำให้ผมสู้ต่อไป
ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟ เป็นร้านขนาดเล็กที่เปิดในวันอาทิตย์ ผมนัดกับไอ้คุณชายมิวซ์เอาไว้
กะว่าจะมาติวหนังสือกันที่นี่ เมื่อกี้มันส่งไลน์มาบอกว่าจะเลท ผมเลยหยิบชีทเลขมาอ่านรอ
พร้อมกับดูดน้ำแก้ง่วง
ปึก!
ก้มหน้าอ่านได้แค่โจทย์ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนที่โยนกระเป๋าเงินลงมาบนโต๊ะ ถ้าเป็นคุณชายที่บอกว่าจะมาสายคงเอ่ยปากด่ามันไปแล้ว แต่เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าคือไอ้พี่เกรท
พี่เกรทตัวเป็นๆ
มาได้ไงวะ!
“นั่งด้วย”
ไม่คิดจะอธิบายเลยสักนิด พี่แกเล่นเลื่อนเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกันหน้าตาเฉย
ผมมองดูรอบร้าน ถึงมันจะเป็นร้านขนาดเล็ก
มีโต๊ะแค่ 4-5
ตัว แต่มันก็ยังว่างอยู่ตั้ง 2 ตัว
ทำไมไม่นั่งโต๊ะว่างวะ
มานั่งตรงข้ามกันอย่างนี้สงสารคนที่ต้องใช้สมาธิอ่านหนังสือหน่อยได้ปะ
นี่หอบมาอ่านนอกบ้านเพราะจะหลบหน้าพี่มันโดยเฉพาะเลยนะเว้ย
ไม่อย่างนั้นผมคงฟุ้งซ่านคิดถึงพี่มันจนไม่มีกระจิตกระใจอ่านเป็นแน่
“โต๊ะว่างก็มีตั้งเยอะ”
ผมเปรยขึ้น ถ้าคิดได้ก็คงแปลความหมายที่ผมต้องการจะสื่อได้ ถ้าเป็นวันอื่นจะไม่บอกให้พี่มันไปนั่งที่อื่นหรอก แต่วันนี้ต้องการสมาธิไง
ถ้าคนที่ชอบมานั่งตรงหน้า คุณคงเข้าใจความรู้สึกผมดีว่ามันจะกระเจิงแค่ไหน
“ก็กูจะนั่งตรงนี้ มีปัญหามากไหม”
“เพื่อนพอร์ชจะนั่ง”
“เหลือเก้าอี้อีกตั้ง 2 ตัว ที่ไม่พอก็ต่อโต๊ะเพิ่มมันจะไปยากอะไร คราวนี้กูนั่งได้แล้วใช่ไหม”
โว้ยยย! ทำไมขี้เถียงอย่างนี้วะ ไม่มีปัญหาก็ได้ ในเมื่อในใจพอร์ชพี่ก็นั่งมาชาติเศษแล้ว คราวนี้อยากจะนั่งตรงไหนก็เชิญเลย
ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่มีบทสนทนาระหว่างเราเกิดขึ้น
พนักงานเอากาแฟมาเสิร์ฟจนตอนนี้พี่มันดูดจนเหลือครึ่งแก้วแล้ว
ไอ้บ้ามิวซ์ก็ยังไม่โผล่หัวมาสักที เลทของมันคือ 1 ชั่วโมงหรือไงวะ
นี่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วนะเว้ย
ส่วนคนตรงหน้า ถึงแม้ผมจะไม่ได้สบตากันตรงๆ
แต่ก็สัมผัสได้ว่าไอ้พี่เกรทมองผมอยู่ตลอด อย่าเรียกว่ามองเลย
เรียกว่าจ้องจะดีกว่า ไอ้พี่บ้าจะทำให้สมาธิผมหลุดจริงๆ ใช่ไหม
ผมวางดินสอ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น
ถือว่าพักสมองหลังจากทำโจทย์ได้มากพอสมควร
“จะอ่านหนังสือก็อย่าเล่นโทรศัพท์ เล่นไปอ่านไปมันจะรู้เรื่องได้ยังไง”
บอกเลยว่าไม่ได้กลัวแววตาที่มองมาอย่างดุๆ นั่นเลยสักนิด แค่สิ้นคำที่พี่เกรทพูดปุ๊บผมก็วางโทรศัพท์ปั๊บ อ่านต่อไปก็ได้ เปล่ากลัวเลยนะ
แต่เดี๋ยว… เมื่อกี้ผมไม่ได้จะเล่นซะหน่อย
แค่จะถามไอ้คุณชายเองว่าถึงไหนแล้ว ทำไมกูไม่บอกพี่มันวะ?
ผมเปิดชีทหน้าใหม่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่เกรท กัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิดว่าจะบอกพี่มันดีไหม
“เมื่อกี้.. พอร์ชแค่จะถามเพื่อนว่ามันถึงไหนแล้ว”
ให้ตายเถอะไอ้พอร์ช ถ้ามึงจะพูดเบาขนาดนี้มึงก็ไม่ต้องพูดเถอะ
ได้ยินเสียงพี่มันถอนหายใจ แขนยาวๆ ของคนตรงข้ามเอื้อมมาหยิบโทรศัพท์ของผมไปเล่นเฉย
“กดรหัส”
ก่อนจะยื่นมาให้ผมปลดล็อค ดีที่หน้าจอ lock screen ไม่ใช่รูปของพี่เกรท ไม่อย่างนั้นความลับคงแตกไปแล้ว
“เพื่อนคนไหน”
“ห๊ะ?”
ชอบพูดให้งงแล้วก็ทำหน้าเอือมอยู่เรื่อย พี่เป็นคนพูดไม่เคลียร์เองปะ ใครเขาสอนให้ถามกันอย่างนี้เลยวะ
“เพื่อนคนไหนที่จะมาติวด้วย กูจะได้ถามให้ว่ามันถึงไหนแล้ว มึงก็อ่านหนังสือไปจะได้ไม่ต้องมาพะวง”
อ้อ! ผมบอกชื่อไลน์ไอ้มิซ์ไป
หวังว่าพี่เกรทคงไม่เลื่อนอ่านแชทที่คุยกันก่อนหน้านี้นะเว้ย ให้ตายเถอะ
อันตรายชิบหายเลย
กะอีแค่ถามเพื่อนว่าถึงไหนแล้วให้ผมถามเองก็ได้ไหมวะ
สละเวลาไม่ถึง 5 นาทีก็ได้คำตอบแล้ว
“เพื่อนมึงบอกว่าอีก 10 นาที” ผมพยักหน้ารับคำ พี่มันก็ถามต่อ “ติวกันแค่สองคน?”
“อื้ม มีแค่พอร์ชกับมิวซ์
คนที่พี่เจอตอนไปรับพอร์ชที่โรงเรียนวันนั้น” ไม่รู้ว่าจะจำได้ไหม
“สอบวันไหน”
เออเว้ย เล่นไปอ่านไปมันจะทำให้อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง
แต่ที่พี่มันถามผมไม่เลิกอันนี้ก็เสียสมาธิเหมือนกันนะ
“อีก 2 สัปดาห์“
บทสนทนาถูกหยุดไปพักหนึ่งก่อนมันจะเริ่มขึนมาใหม่ด้วยคนถามคนเดิม
“ช่วงนี้คุยกับไอ้เต้บ่อยไหม”
ผมวางดินสอลง จะอ่านต่อตอนที่พี่เกรทหยุดถามนี่แหละ
“ก็… บ่อยมั้ง” จริงๆ ก็คุยกันทุกวัน
“คุยอะไรกันบ้าง มันพูดอะไรแปลกๆ ด้วยไหม”
กึก!
หรือพี่เกรทจะรู้ว่าผมคุยกับพี่เต้วะ บ้าแล้ว… จะรู้ได้ไงในเมื่อพี่เต้บอกว่าจะรูดซิปปากไม่บอกใคร
ใจเย็นเว้ยพอร์ช
พี่เกรทก็แค่พูดไปเรื่อยแหละ อาจจะยังไม่รู้เรื่องก็ได้
แล้วถ้ายังไม่รู้เรื่องพี่มันจะมานั่งอยู่ในร้านทำไมตั้งนานสองนาน
ถ้าไม่ได้มาเพื่อพูดเรื่องนี้ แล้วดันนั่งจ้องผมด้วยนะเว้ย ไม่แปลกไปหน่อยหรอ
“เรื่องทั่วไปน่ะ… เรื่องเรียนต่อบ้าง
เรื่องหนังบ้าง คุยไร้สาระบ้าง”
“วันหลังถ้ามันพูดอะไรแปลกๆ ก็อย่าไปเชื่อมันมากนะ”
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวูบโหวงในอก
เรื่องแปลกที่สุดที่พี่เต้พูดถึงก็คงเป็นอาการของพี่เกรทที่มีต่อผม
หรือพี่เกรทจะหมายถึงเรื่องนี้…
ที่บอกว่าอย่าไปเชื่อพี่เต้ หมายถึงเรื่องนี้ใช่ไหม… พูดอย่างนี้แสดงว่าพี่เกรทรู้แล้วแหงๆ ว่าผมคุยอะไรกับพี่เต้บ้าง
รวมถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่ชายข้างบ้านคนนี้ เจ้าตัวคงรับรู้แล้ว
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่เกรทคิดอะไรในใจ รังเกียจน้องชายคนนี้ไหม หรือแค่รู้สึกเฉยๆ ถ้าพี่เกรทเฉยๆ กับเรื่องที่รู้แล้วบอกให้ผมตัดใจ คงต้องบอกว่ามันง่ายกว่าการที่อีกฝ่ายตั้งท่ารังเกียจผม อย่างหลังคงรับไม่ได้จริงๆ
ถ้าผมต้องออกไปจากวงจรชีวิตของพี่เกรท
การที่จะได้เข้ามาสนิทกับพี่ชายข้างบ้านอีกครั้งมันไม่ง่ายเลย
แต่ถึงอย่างนั้น การที่จะต้องกลับไปอยู่ในจุดเดิม
ทั้งที่ความรู้สึกมันมากขึ้นกว่าเดิม ก็เป็นสิ่งที่ยากกว่าอะไรทั้งหมด
“พอร์ช!”
ไอ้มิวซ์โบกมือหยอยๆ อยู่หน้าประตู เสียงเรียกของมันทำให้ผมรีบตีหน้ายิ้ม ไม่อยากให้บรรยากาศมันกร่อย
คนมาใหม่ยังไม่รู้เหตุการณืที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ผมก็ไม่ควรที่จะทำให้เพื่อนรับความรู้แย่ไป
“พี่… เอ่อ สวัสดีครับ” มันจำหน้าพี่เกรทได้ ผมรู้ ไม่งั้นคงไม่ส่งสายตาล้อเลียนมาหรอก
“หวัดดี”
“เราไปสั่งน้ำนะ”
วางกระเป่าเสร็จก็วิ่งไปหน้าเคาน์เตอร์เฉย แล้วดูมัน แทนที่สั่งแล้วจะเดินมานั่ง ไปยืนรอทำไมตรงนั้น
รู้แหละว่ามันอยากให้ผมอยู่กับพี่เกรท แต่มันต้องไม่ใช่เวลานี้
“เข้าใจที่พูดไหม อย่าไปฟังมันมาก” ผมพยักหน้า พี่เกรทคงพยายามจะสื่อว่า
‘อย่าคิดว่าคนอย่างกูจะหันไปชอบมึงเหมือนอย่างที่ไอ้เต้บอกเลย’
ทำไมนะ ทุกครั้งที่สบตากับพี่ชายข้างบ้านคนนี้
มันเหมือนผมกำลังมองภูเขาน้ำแข็ง เพิ่งมาประจักษ์ก็วันนี้แหละ
ว่าต่อให้ผมพยายามจะหลอมละลายภูเขาลูกนี้ยังไง มันก็ไม่สามารถละลายได้
แม้จะใช้เวลานานเท่าชั่วชีวิตของผมก็ตาม
“เมื่อไหร่จะกลับสักที” เมื่อคนพ่ายแพ้ให้กับโชคชะตาอย่างผมกำลังถอยห่าง
“นั่งด้วยไม่ได้หรือไง”
แต่ผู้ชนะอย่างพี่เกรทกลับก้าวเข้ามาหา ทุกอย่างไม่เคยง่ายเมื่อผมคิดจะตัดใจ เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ผมแค่คนเดียว
แต่มันขึ้นอยู่กับคนตรงหน้าด้วย ถ้าทุกการกระทำของเขายังคงเป็นการให้ความหวังผม
ก็คงต้องรับความเจ็บปวดจากความหวังเหล่านี้ต่อไป
“มานั่งเล่นเฉยๆ เนี่ยนะ”
“แล้วไม่ได้หรือไง”
ผมเลิกโต้ตอบ ถามอะไรไปพี่เกรทก็คงแย้งได้หมด สู้นั่งเก็บแรงไว้ดีกว่า
“วันนี้กูว่างทั้งวัน ติวให้ได้นะ”
ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมหมดแรงที่จะถอยหลังกลับไปจุดเดิม
ขอให้รู้ไว้ว่ามันมาจากการกระทำหวังดีของพี่นี่แหละ
“ถามไม่ตอบ”
“ก็ได้”
“ก็ได้คือ?” ทีผมพูดน้อยบ้างทำเป็นไม่เข้าใจ
“ติวให้หน่อย”
เคยปฏิเสธความหวังดีนี้ได้ไหมล่ะ ก็ไม่.. เมื่อไหร่ที่ทำได้เมื่อนั้นใจผมคงไม่มีความรู้สึกนี้อีกแล้ว
…….
ผมฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะอย่างคนหมดแรง
ไอ้พี่เกรทเล่นอัดมารวดเดียวไม่ให้พักเลย สังเกตได้ว่าพี่มันจงใจแกล้งผมโดยเฉพาะ
เห็นเหม่อหน่อยไม่ได้เป็นต้องถามทุกทีว่าเมื่อกี้พี่มันพูดอะไร
ตอบไม่ได้ก็มีรางวัลให้เป็นความเจ็บทุกที ดีดแป๊ะๆ จนมันมือเลยสิท่า
นี่หน้าผากคนนะเว้ยไม่ใช่ลูกแก้ว
ส่วนไอ้มิวซ์ ดูเหมือนมันจะเข้าใจที่พี่เกรทสอนเป็นอย่างดี
บอกทริคอะไรมาก็พยักหน้าอ๋อตาม มึงจะฉลาดไปไหน รู้จักตามไม่ทันบ้างก็ได้
พี่เกรทให้เวลาพัก 30 นาที
มีแต่ผมที่เลือกนอนมากกว่าการลุกไปเข้าห้อง อยากอยู่เงียบๆ คนเดียวด้วยแหละ ยังดีที่เวลาช่วยให้ผมลืมๆ เรื่องเมื่อเช้าไปได้บางส่วน เชื่อว่ากลับไปนอนบนเตียงยังไงก็ถูกสมองรื้อฟื้นขึ้นมาอยู่ดี
“ไอ้พอร์ช” ผมเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก “ช็อคเพิ่มวิป”
น้ำปั่นถูกยืนมาตรงหน้าผมอย่างงงๆ แต่พออีกฝ่ายถามว่าจะเอาไม่เอา ผมก็รีบตะครุบทันที
ของฟรีซะอย่างทำไมพอร์ชต้องปฏิเสธ ถึงแม้จะไม่ชอบที่พี่เกรททำอย่างนี้ก็เถอะ
แถมยังมีการบอกอีกว่า เมื่อเช้าเห็นผมดื่มกาแฟไปแล้ว
จะซื้อกาแฟมาให้อีกก็กลัวผมจะเอ๋อไปกว่าเดิม
ไอ้บ้าพี่เกรทเอ๊ย!
“มิวซ์ล่ะ” มือตักวิปครีม
ปากก็ถามหาคนที่ไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี้ ใกล้หมดเวลาพักแล้ว
ไอ้มิวซ์มาคงเริ่มติววิชาใหม่เลย
“คุยโทรศัพท์อยู่”
“อ้อ!”
“ที่สอนไปพอรู้เรื่องไหม”
“ก็โอเค เข้าใจ แต่พอร์ชเบลอหน่อยเลยเข้าใจช้า”
แอบรู้สึกผิดกับพี่มันเลย อุตส่าห์สอนแต่ผมกลับได้ไปแค่นิดเดียว
“พี่เกรทว่างทั้งวันจริงดิ จะกลับตอนไหนก็ได้นะเว้ย พอร์ชไม่อยากกวนเผื่อพี่มีงานต้องทำ”
ผมพูดต่อ นี่ก็บ่ายแล้วด้วย แต่คำตอบที่ได้รับมาก็ทำเอาไปไม่เป็นเหมือนกัน
“อยากให้กลับตอนไหนล่ะ”
อีกแล้ว… อย่ามาพูดให้ความหวังอย่างนี้นะ อย่ามาพูดเหมือนผมมีสิทธิ์บอกให้พี่มันกลับเมื่อไหร่ก็ได้นะ
ไม่ใช่แฟนทำทุกอย่างแทนไม่ได้หรอกนะเว้ย แต่ไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากพูด
เสียงไอ้มิวซ์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“พี่เกรท พอร์ช คือที่บ้านเราโทรตามให้กลับด่วนน่ะ”
คนพูดยิ้มแหย ไรวะ อุตส่าห์จะคุยด้วยหลังติวเสร็จแท้ๆ
“กลับยังไง” พี่เกรทถาม “ที่บ้านมารับหรือนั่งแท็กซี่” ผมเสริมต่อ
“ที่บ้านมารับน่ะ อีกเดี๋ยวคงถึงแล้ว ขอโทษนะ”
“เฮ้ย! ไม่เป็นไร
เอาไว้ติววันหลังก็ได้”
ระหว่างรอคนที่บ้านไอ้มิวซ์มารับ
ผมกับมันก็นั่งคุยกันไปพลาง โดยมีไอ้พี่เกรทนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงข้ามเหมือนเดิม
อยากคุยเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้มันฟังอยู่หรอก ติดที่พี่เกรทยังอยู่นี่สิ
“มึงแม่งไม่น่ากลับก่อนเลยว่ะ ว่าจะชวนไปกินข้าวร้านข้างๆ”
ท้องร้องไปหลายรอบแล้ว แต่ไม่กล้าชวนพี่เกรทไปสองคน
ถึงพี่เกรทจะไม่รู้สึกอะไร แต่ผมอึดอัด
“ไม่ชวนดูล่ะ” มันพยักพเยิดไปทางพี่เกรท
“คงไปด้วยอยู่หรอก”
“ไม่แน่นะ”
ผมส่ายหน้า ต่อให้หิวยังไงก็ไม่ชวนหรอก เดี๋ยวไอ้มิวซ์กลับผมก็คงกลับเลย
หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนไปเรื่อยจนกระทั่งไอ้มิวซ์เดินออกจากร้านเสียงพูดคุยเลยเงียบลง
ผมกับพี่เกรทจมดิ่งเข้าสู่โลกส่วนตัว
*ไอ้เกรทอยู่บ้านไหม
อะไรของพี่เต้วะ จะถามหาพี่เกรทไม่ถามเจ้าตัวเขาล่ะ มาถามผมทำไม แต่ไหนๆ ก็อยู่ด้วยกันแล้วจะตอบแทนก็แล้วกัน
#ไม่ครับ ตอนนี้พี่เกรทอยู่ร้านกาแฟกับพอร์ช
*ว่าแล้ว
*มันไปตั้งแต่เมื่อไหร่
#พอร์ชมาร้านช่วงสายๆ หลังจากนั้นไม่นานพี่เกรทก็มา
น่าจะ 4 ชั่วโมงได้
*ช่วยลากมันกลับมาทำงานหน่อยสิ
นี่พี่รอมันตั้งแต่เช้าไม่เห็นโผล่หัวมา ไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรตามก็ไม่รับ
อ้าว! ไอ้พี่เกรทบอกว่าวันนี้ว่างทั้งวันนี่หว่า
ใครพูดเล่นพูดจริงกันแน่เนี่ย ชักจะงงแล้วนะ
#เดี๋ยวพอร์ชบอกให้ครับ
*ขอบคุณมาก
ผมเก็บโทรศัพท์พร้อมกับชีทลงในกระเป๋า ในเมื่อพี่เกรทมีงานต่อก็ไม่ควรกวน คนอะไรบอกให้กลับไปตั้งนานก็ไม่ยอมกลับ
คิดจะใช้แรงงานเพื่อนหรอ
“พี่เกรทกลับก่อนได้นะ พี่เต้บอกพอร์ชว่าพี่ต้องทำงาน”
“ก็บอกว่าอย่าไปฟังมันมากไง!”
แล้วจะมาอารมณ์เสียใส่กันทำไมล่ะ รู้ว่าห้าม แต่นี่มันเรื่องงานของพี่นะเว้ย
“กูไม่ไป
มันจะทำอะไรก็ปล่อยมันไป”
เออ… ตามสบายเลย จะคิดยังไงก็ช่าง ไม่สนแล้วโว้ยยย
โดนพี่เต้ตัดชื่อออกจากงานจะหัวเราะให้
“กินข้าวกัน ลุกเร็ว”
“อะไร?” เป็นฮิตเลอร์หรือไง
สั่งอยู่ได้ คิดว่าคนอื่นเขาชอบนักหรอ พูดดีๆ ไม่เป็นหรือไง
“หิวข้าวไม่ใช่หรอ ไปดิ นี่มันจะบ่ายแล้ว” ซื้อต่อได้ไหมไอ้นิสัยแบบนี้
“บอกพี่เต้ก่อน”
“บอกมันทำไม มันไม่ใช่พ่อที่ต้องรายงานตลอดเวลาสักหน่อย”
ผมนั่งนิ่ง คิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่รู้จักฟังความคิดเห็นคนอื่นเลยสักนิด
ถ้าพี่เกรทไม่คุยกับพี่เต้ผมก็ไม่ไปกินข้าว แต่ก็เพิ่งระลึกขึ้นมาได้ว่ากูมันแค่น้องชายข้างบ้านนี่หว่า
จะเอาใจอะไรให้มากวะ
“กูบอกมันแล้ว คราวนี้ไปได้ยัง”
ผิดคาดเมื่อพี่มันก้มหน้ามามองพร้อมกับประโยคที่ผมไม่คาดคิด
ผมควรทำยังไงกับปัญหาใจในตอนนี้ดีครับ
…….
เพราะเป็นร้านอาหารตามสั่งทั่วไป ไม่ได้อยู่ในห้างหรูถึงจะได้มีแอร์เย็นๆ
ตอนนี้สภาพผมจึงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ตรงกันข้ามกับคนตรงหน้าที่ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกร้อนหนาวอะไรกับเขาเลย
ผมใช้มือรวบผมหน้าม้าขึ้นมาข้างบน ส่วนอีกข้างก็พัดไปมาเพื่อให้เกิดลม
“ร้อนมากไหม” ผมพยักหน้าตอบ “เอาชีทมึงมานี่” อย่าบอกว่าพี่จะติวต่อที่นี่นะ สงสารสมองผมบ้างเถอะ
“อะไรเล่า นี่ยังจะติวอีกหรอ” ผมทำหน้าหน่ายๆ
รู้สึกเหนื่อยจนแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว
“กูจะพัดให้ จะได้หายร้อน”
ผมหยิบชีทออกจากกระเป๋าอย่างว่าง่าย ส่งชีทให้กับพี่เกรทด้วยมือที่สั่นเพราะบังคับตัวเองไม่อยู่
ไอ้บ้าพอร์ชตั้งสติเดี๋ยวนี้นะเว้ย
มึงจะใจเต้นแรงกับพี่เกรทไม่ได้
ลมเย็นจากชีทที่พี่เกรทใช้พัดทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อกี้เยอะ
อาจเป็นเพราะความใส่ใจของพี่เกรทด้วยแหละมั้ง
ทำให้ขนาดนี้แสดงว่าพี่เกรทไม่ได้รังเกียจอะไรผมใช่ไหม
“พอร์ชพัดเองได้นะ”
“นั่งอยู่เฉยๆ เถอะ หน้ามึงแดงหมดแล้ว”
บางทีไอ้สาเหตุของอาการหน้าแดงสำหรับผม อาจจะไม่ได้เกิดจากความร้อนก็ได้นะ
พี่มันพัดให้ผมเรื่อยๆ จนกระทั่งพนักงานมารับออร์เดอร์
รู้สึกเกรงใจพี่มันนิดหน่อย จะย้ายโต๊ะไปนั่งใกล้พัดลมก็ไม่ได้เพราะมันเต็มหมดแล้ว
“ทำไมพี่ไม่กลับไปทำงานวะ”
“ใครบอกว่ากูมีงาน วันนี้กูว่าง”
คร้าบบบ ว่างมากเลยครับ ว่างจนเพื่อนต้องถามหากันเลยทีเดียว
“ว่างมากจนพี่เต้ต้องมาถามพอร์ชเลยเนอะ”
ประชดครับ ผมเป็นพวกไม่สนับสนุนคนที่เอาเปรียบเพื่อนสักเท่าไหร่
“พอร์ช…” อะไรอีกล่ะ ทำไมต้องใช้น้ำเสียงจริงจังขนาดนี้ด้วย
“กูขอเตือนมึงในฐานะพี่ชาย
อย่ายุ่งกับไอ้เต้มากนัก มันเป็นพวกพูดไปเรื่อย บางเรื่องก็ไม่ได้จริงจังอะไร
กลัวว่ามึงจะเผลอเชื่อมันเข้าสักวัน”
ไม่ทันแล้วพี่เกรท พอร์ชเชื่อไปแล้ว
สมองก็บอกอย่าปักใจเชื่อให้มาก แต่ใจนี่เชื่อไปทั้งดวง แต่ไม่เป็นไรเว้ย.. ในเมื่อทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะตัวผมเอง
“ถ้าพี่เกรทจะห้ามพอร์ชเลิกคุยกับพี่เต้
พอร์ชทำไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าพอร์ชจะไม่เชื่อที่พี่เต้พูดทั้งหมดก็ได้”
“ดีมาก”
เราจบเรื่องไว้แค่นั้น
จัดการกับอาหารที่พนักงานเอามาเสิร์ฟจนหมดเกลี้ยง
“พี่เกรทคะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะเอ่ยเรียกคนตรงหน้าผม
ในขณะที่ผมทำหน้างงว่าพี่มันไปรู้จักผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง
ไอ้พี่เกรทก็ก้าวออกจากเก้าอี้อย่างรู้หน้าที่
“ขอถ่ายรูปได้ไหมคะ”
เอ้ออออ รู้ว่าพี่มันคนดัง แต่นี่คือประสบการณ์ที่ผมเพิ่งได้สัมผัสครั้งแรก
นึกถึงใครอีกคนที่คงจะเห็นจนชินตา พี่พายคงเห็นจนชินแล้วแน่ๆ
จะรู้สึกยังไงวะที่มีคนตาม มีคนมาขอถ่ายรูปอย่างนี้
ผู้หญิงคนนั้นถามอะไรบางอย่าง
ซึ่งหน้าจะเป็นตารางานของพี่เกรทแหละ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณแล้วเดินออกจากร้านไป
“พี่พายเคยหึงปะเนี่ย” ไหนๆ พี่เต้ก็บอกว่าไอ้พี่เกรทเปลี่ยนไปแล้ว ขอทดสอบหน่อยเถอะว่ามันจะจริงอย่างที่พี่เต้บอกหรือจะเป็นแค่คำพูดเล่นเหมือนที่พี่เกรทบอก
อะไรคือเรื่องจริงกันแน่วะ
และจากท่าทีของคนตรงหน้าที่เฉยชากับสิ่งทีผมพูด ก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าพี่มันคงจะพอทำใจได้บ้างแล้ว
“แรกๆ ก็บ่อยแต่ไม่บอกกูหรอก นู่น.. ใครมีอะไรก็ฟ้องไอ้เต้หมด”
ผมเข้าใจนะ ด้วยความที่เป็นผู้หญิง แสดงความรู้สึกออกมามากกถูกหาว่างี่เง่าบ้างล่ะ
ไร้สาระบ้างล่ะ เพราะงั้นความรู้สึกที่แท้จริงจึงต้องถูกปกปิดไว้
หรือไม่ก็ระบายกับคนอื่นแทน
“มีอะไรแทนที่จะบอกกู
บอกไอ้เต้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาวะ มันห้ามกูถ่ายรูปได้หรอ ก็ไม่.. มึงก็อีกคน ถ้าจะคุยเรื่องเรียนคุยกับกูก็ได้ ไปกวนไอ้เต้ทำไม”
“….”
“พูดแล้วเงียบ ลุกได้ละ จะไปไหนต่อหรือจะกลับบ้าน”
ที่เงียบไม่ใช่อะไรหรอก
เมื่อกี้ไอ้พี่เกรทพูดไรนะ คิดว่าผมคุยเรื่องเรียนกับพี่เต้หรอวะ
เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ
“พอร์ชจะถามพี่เต้แล้วมันทำไมวะ”
ผมไม่ตอบคำถามที่พี่มันถามมา แต่กลับวกกลับไปเรื่องเดิม
“เกิดไอ้เต้บอกอะไรมึงผิดจะทำยังไง ถ้ามึงพลาดคณะที่มึงอยากเข้าจะทำยังไง
ร้องไห้ขึ้นมากูไม่ปลอบนะเว้ย”
พอจะเข้าใจละ คือพี่มันเข้าใจว่าผมคุยเรื่องเรียนกับพี่เต้ใช่ไหม
แล้วที่ห้ามผมไม่ต้องฟังที่พี่เต้พูดเพราะกลัวพี่เต้จะพูดไปเรื่อยเปื่อย
สรุปคือเป็นห่วงกลัวว่าผมจะเข้าคณะตัวเองไม่ได้ว่างั้น?
บ้าบอ… ความรู้สึกก่อนหน้าที่คิดว่าพี่มันให้ความหวังผมเล่นนี่คือกูคิดผิด
หึ! ดีมากครับพี่เกรท ไอ้คนชัดเจนเอ้ย
แล้วไม่บอกว่าเป็นเรื่องเรียนตั้งแต่แรกวะ ปล่อยให้ผมนั่งเหม่อทำไม โอ๊ย! ติวให้ใหม่เลยนะเว้ย
เป๊าะ!
ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงอะไร พี่เกรทแม่งดีดหน้าผากผมอีกแล้วครับ
กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ผมฟ้องแม่แน่
“ไอ้เอ๋อเอ๊ย!” ดูพี่มัน
หัวเราะกันเข้าไป “จะกลับบ้านไหม”
“กลับดิ มาติวให้พอร์ชด้วย” โทษฐานที่ทำให้เมื่อเช้าผมเหม่อลอยจนตามไม่ทัน
“กูจะทำงานเอาไว้วันหลัง”
“ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่างไงวะ”
“พักสมองบ้างเถอะ แค่นี้ก็เอ๋อแล้ว” ทำมาเป็นบอกว่าผมเอ๋อ เป็นห่วงกันก็พูดตรงๆ เลยเด้
*******
ความคิดเห็น