คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [แรกพบ] อ้าว! ไม่ใช่หญ้าหรอกหรือ?
บทที่ 1
อ้าวไม่ใช่หญ้าหรอกหรือ?
สายลมโชนพัดเข้ามาภายในร้านอ่อนแรง มันไม่ได้นำพามาเพียงอากาศเย็นสบายเท่านั้น หากแต่ยังพกพาเสียงจอแจจากภายนอกร้านเข้ามาด้วย นับว่าเป็นวันที่อากาศดีวันหนึ่งเลยก็ว่าได้ อากาศดีเกินกว่าที่จะมานั่งแช่อยู่ที่นี่และย่างเนื้อที่ตัวเองไม่มีทางจะได้กินเกิน 10%
นารา ชิกะมารุใช้มือซ้ายเท้าคางพรางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างร้านเนื้อย่างในขณะที่ตะเกียบในมือขวายังอ้อยอิ่งอยู่กับเนื้อบนกระทะที่เขาเพิ่งพลิกด้านไปเมื่อนาทีก่อน
เป็นเมฆนี่ดีจังเลยน้า~
“ตกลงว่าไง นี่! ชิกะมารุ!”
“ห๊ะ!??”
เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์ มิวายเสียดายบรรยากาศมองเมฆที่เพิ่งถูกทำลายลง ทั้งครูอาซูมะ อิโนะ กระทั่งโจจิผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ละสายตาจากอาหารตรงหน้าก็ยังหันมามองเขา คล้ายกับว่าเขาเพิ่งพลาดบางอย่างไป
“นี่นาย–__-+ ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม ชิกะมารุ!!”
ยามานากะ อิโนะกำหมัดแน่นพร้อมจะกระโดดข้ามโต๊ะมาต่อยเขาได้ทุกเวลาหากว่าคำตอบของเขาฟังไม่เข้าหูเธอ ผู้หญิงเป็นเพศที่ชอบใช้ความรุนแรงว่าไหม?
“ใครบอกว่าไม่ได้ฟัง ฉันฟังอยู่ตลอดเลย”
โกหกทั้งเพ-__-; อะไรเล่า เขาเรียกเอาตัวรอดเป็นยอดดีต่างหากละ-p-Y
“งั้นก็แล้วไป” สาวเจ้าคลายกำปั้นในที่สุด
“แล้วตกลงว่าเธอจะเข้าสอบจูนินปีนี้หรือเปล่า”
อ๋อ เรื่องสอบจูนินนี่เอง เกือบเจ็บตัวแล้วไหมละ
“ของฉันแล้วแต่ชิกะมารุ นายว่าไง ฉันก็ว่าตามนั้นแหละ-O-/”
“พูดงั้นได้ไงโจจิ>O<!! ยังไงนายก็ต้องเข้าสอบนะชิกะมารุ ถ้านายไม่ลงชื่อ ฉันก็อดนะซี่>__</”
“-__-; มันก็ต้องแล้วแต่ความสมัครใจของเจ้าตัวไม่ใช่เหรอ” เขาท้วง
“แต่ฉันเป็นหัวหน้า -O-”
“จ้า จ้า” ชิกะมารุตอบรับตัดรับรำคาญด้วยความเอือมระอาในขณะที่หันไปคีบเนื้อสุกเกือบไหม้ใส่จานที่สะอาดเอี่ยมของตน
“ยังไงก็ตาม กลับไปคิดดูให้ดีก่อนดีกว่าไหม ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน ไม่ต้องรีบร้อนด่วนสรุปกันตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้ แต่ฉันก็มั่นใจในตัวพวกเธอนะถึงได้เสนอชื่อไป” ครูอาซูมะเสนอแนะ
“โธ่ ว่าซะดิบดีแต่สุดท้ายก็ลงเอยที่บังคับเหมือนกันละน่า=O=+”
“-__-;; ไม่ใช่สักหน่อยอิโนะจัง”
“แต่ไอ้คำที่บอกว่ามั่นใจ มันก็เหมือนจะบอกโต้งๆอยู่แล้วว่า พวกเธอต้องเข้าสอบแน่ๆ แล้วใครจะไปกล้าขัดศรัทธาละคะ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ฉันก็แค่เสริมเข้าไปเท่านั้นเอง แล้ว-”
เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆก่อนจะเบือนหน้าหนีและปล่อยให้เสียงถกเถียงของครูกับศิษย์ลอยผ่านหูไปโดยไม่สนใจจะหยิบยกคำใดเลยขึ้นมาพิจารณาฟัง สายตาของเขากวาดมองไปบนท้องถนนที่ทอดยาวไปถึงประติมากรรมรูปแกะสลักใบหน้าของคาเงะรุ่นต่างๆของโคโนฮะ และใบหน้าแข็งทื่อไร้ชีวิตชีวาที่มองย้อนกลับมาที่พวกเขาอย่างไม่ได้เจาะจงนั้นก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกใดๆแก่เขาเลยแม้แต่น้อย มันก็แค่หินแกะสลักเท่านั้น จะไปมีชีวิตชีวาเมื่อมองได้อย่างไร
แล้วคนละ?
จริงๆแล้วคนมีชีวิตชีวากว่าหินสลักแน่หรือเปล่า? เจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทโยกย้ายความสนใจไปที่ความวุ่นวายบนถนน มองตามคนนั้นที-คนนี้ที ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือให้พาเขาไปให้พ้นจากสถานการณ์อันน่าเบื่อ แต่ก็หาได้มีใครหันกลับมาสนใจเขาไม่
เพราะการสอบจูนินใกล้เข้ามา เขาจึงได้เห็นคนต่างถิ่นเข้ามาเดินเตร็ดเตร่อยู่มากในหมู่บ้าน และเพราะเหตุนั้น บรรยากาศที่เคยสงบของโคโนฮะจึงได้ครึกครื้นจนผิดสังเกต ธุรกิจร้านอาหารและร้านขายของทำกำไรได้มากในช่วงนี้ นับเป็นเรื่องดีในแง่เศรษฐกิจ แต่พราะว่าเขาไม่ได้มีความสนใจในเศรษฐกิจแต่อย่างใด มันจึงเป็นเรื่องนี้ค่อนข้างจะเอียงเอนไปทางที่...แย่ ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งน่าเบื่อ
“แยกกันตรงนี้นะ ฉันมีเรื่องต้องไปทำ”
ครูอาซูมะยิ้มพรางโบกมือลา จากนั้นพวกเขาที่เหลือก็แยกย้ายกันที่หน้าร้าน โจจิบอกว่ามีนัดฝึกวิชากับพ่อ ส่วนอิโนะต้องกลับไปเฝ้าร้านดอกไม้ที่บ้าน ทุกคนต่างมีที่ๆต้องไป มีสิ่งที่ต้องทำ แต่ตัวเขากลับว่างเปล่า
“ไปดูฉันฝึกดีไหมชิกะมารุ^O^” โจจิเอ่ยปากชวนคล้ายเวทนาในความว่างเปล่าของเขา
“ไม่เป็นไร ฉันกลัวโดนลูกหลง^__^;”
“-__-;งั้นไปเฝ้าร้านกับฉันไหม”
“-__-+ นั่นน่าเบื่อสุดๆไปเลย”
“=__=^^”
“=__=;;;;”
เหมือนจะพูดอะไรผิดไปแฮะ อิโนะโมโหเดินก้มหน้าบ่นอย่างอารมณ์เสียจากไป โจจิหันมายิ้มแห้งๆให้เขาและขอตัวกลับบ้าน สุดท้ายก็เหลือเพียงเขากับเงาสีทึบเท่านั้น ชิกะมารุเหลือบมองเงาของตนบนพื้น มืดเมื่อใด แกก็จากฉันไปเหมือนกันสินะ
ชิกะมารุเดินทอดน่องไปอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้เท้าก้าวนำไปก่อนสมองอยู่เพียงครู่เดียว เขาก็พบตัวเองอยู่บนทุ่งหญ้าว่างเปล่า เด็กหนุ่มยักไหล่ก่อนจะเอนกายลงบนผืนหญ้า ท้องฟ้ากว้างใหญ่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่ก็ไกลเสียเหลือเกิน
ถ้าหากว่าก้อนเมฆก้อนนั้น เป็นขนมปังละก็...
ชิกะมารุเอื้อมมือหวังจะคว้าก้อนขนมปังสีขาวบนฟากฟ้า แต่ก็ฉกฉวยได้เพียงอากาศ เขายิ้มให้กับการกระทำอันโง่เง่าของตัวเอง อดเสียดายที่จะไม่ได้กินขนมปังค้างฟ้าไม่ได้
อะไรเล่า ไม่ได้คิดว่าจะคว้าเมฆได้แต่แรกอยู่แล้วละน่า
“อุ้ย!!”
เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่บนทุ่งหญ้าเหนือศีรษะเขาไปเพียงเล็กน้อย เธอมีผมสีเหลืองที่มัดแกะสองชั้นดูแปลกตา แต่หน้าตาเธอมีเค้าความสวย เขาหมายถึง เธอจะสวยถ้าเธอโตกว่านี้อีก แต่เรื่องนั้นมันไม่สำคัญอะไรในตอนที่ ที่ควรอย่างยิ่งที่จะสนใจคือเธอกำลังเหยียบปอยผมเขาอยู่! เธอที่น่าจะแก่กว่าเขาสักปีสองปีคนนั้นมองตามสายตาเขาไปที่เท้าของตัวเองก่อนจะทำหน้าตกใจสุดขีดเมื่อรู้ว่าอะไรที่อยู่ใต้รองเท้าเธอไม่ใช่หญ้า เด็กสาวชักเท้าออกแทบจะในทันที วินาทีต่อมาเธอก็ลงมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างเขาแล้ว
“ขะ ขอโทษนะ คือฉันไม่ได้ทันมอง ไม่รู้จริงๆว่านายนอนอยู่”
“อืม”
เขาพูดเดียงเท่านั้นแล้วเงียบไป
“นี่ฉันขอโทษนายแล้วนะ”
“ใช่ ฉันได้ยินแล้ว ไม่เป็นไร”
แล้วก็เงียบไปอีก ปฏิกิริยาเฉื่อยช้าของเขากลับเพิ่มดีกรีความกังกลใจของเธอให้มากขึ้น ก็เธอไม่รู้จริงๆนี่ว่าเขานอนอยู่ตรงนี้ ใครจะไปคิดละว่าจะมีคนมานอนแผ่หลาอยู่กลางทุ่งหญ้า –O-/ แล้วเธอก็ขอโทษเขาซึ่งเขาก็ตอบรับเรียบร้อย แต่มันกลับรู้สึกเหมือนว่าความผิดยังไม่ได้จางหายไปเลย เธอไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ให้ตายเถอะ ถ้าเขาลุกขึ้นมาด่าเธอสักนิดก็คงดี เธอจะได้ตั้นหน้าเขาอย่างไม่รู้สึกผิด
“เธอชอบก้อนเมฆไหม”
“ห๊ะ!?”
จู่ๆเขาก็พูดขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุย ทำเอาเด็กสาวด้านข้างตั้งตัวไม่ทัน เธอขมวดคิ้วไม่เข้าใจแต่ก็ฟังเขาพูดต่อไปอย่างเงียบๆ
“หากเป็นเมฆแล้วละก็ จะไปไหนก็ได้ ไม่มีใครด่าไม่มีใครว่าทั้งนั้น ได้ลอยล่องอย่างอิสระ ไม่ต้องคิดอะไร แถมยังได้อยู่สูงซะขนาดนั้นอีก”
เด็กหนุ่มพล่ามราวกับเด็ก เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่าเขากำลังพูดกับตัวเองแล้วมีเธอรุกล้ำเข้ามาฟังยังไงยังงั้น เธอหัวเราะน้อยๆแล้วจึงมองตามเขาไปที่ก้อนเมฆบนท้องฟ้าสีคราม
ลมพัดผ่านหอบเอากลิ่นไอของเด็กสาวมาปะทะเข้ากับจมูกของเขา มันเป็นกลิ่นที่หอมแบบแปลกๆ ไม่เหมือนกลิ่นอาหาร ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม เขาเรียกมันว่ากลิ่นของผู้หญิง ส่วนใหญ่มักจะมาพร้อมกับความน่าปวดหัวของเจ้าหล่อน
“เป็นเมฆก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกรู้ไหม”
“หือ?” ชิกะมารุเอียงคอมองใบหน้าด้านข้างของเด็กสาว
“ถ้าขาดลมไป เมฆก็ไร้ค่า”
ลมพัดมาอีกครั้งพร้อมกับเมฆที่เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ เธอหันมายิ้มให้เขา ชั่วขณะหนึ่ง เขาคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดที่เขาเคยพบ
“เรื่องผมของนาย..”
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่เลย”
ฝ่ายที่ต้องรู้สึกแย่มันเขาไม่ใช่หรือไง -__-+
“ฉันจะสระผมให้นาย!!”
“เฮ่ย! จะบ้าเหรอ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”
“บอกว่าจะทำก็จะทำสิ-O-^ เดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งซะนี่”
-__-;; ผู้หญิงอะไรร้ายกาจชะมัด ขู่จะฆ่าได้กระทั่งคนไม่รู้จัก ชิกะมารุเหลือบมองสำรวจเด็กสาวจากด้านข้าง ไม่ใช่คนในหมู่บ้านอย่างที่คิด ที่คาดหน้าผาก(ซึ่งเธอเอามาห้อยคอแทน)บ่งบอกสายเลือดแห่งลม คาเซะโนะคุนิ หมู่บ้านทะเลทราย ‘ซึนะ’
สายตาของเขาตวัดผ่านพัดมหึมาที่ห้อยอยู่ด้านหลัของเธอ คงไม่ได้มีไว้คลายร้อนสินะ ใช้พัดเป็นอาวุธก็มีวิธีอยู่ล้านแปด แต่นั่นก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี จะว่าไป วิชาเงาของเขาก็น่าเบื่อเหมือนกัน-_-;
“ถึงบอกว่าได้ แต่จะสระยังไงละ” ชิกะมารุวกกลับมาถามเรื่องเดิมซ้ำอีกหน ป่วยการที่จะขัดใจผู้หญิง เขาไม่เคยเห็นใครเถียงชนะผู้หญิงสักครั้งหนึ่งเลยในชีวิต
“ไม่เห็นต้องถามเลยนี่”
“เฮอะ”
สิบนาทีต่อมา
ทั้งเขาและเธออยู่ตรงหน้าลำธารอันชุ่มฉ่ำสายหลักของหมู่บ้าน ละอองน้ำกระเซ็นสาดสัมผัสกับผิวหนังให้ความรู้สึกเย็นจนเริ่มหนาว ชิกะมารุมุ่ยหน้า เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะยุ่งยากถึงเพียงนี้ อันที่จริง เวลานี้เขาควรจะนอนอยู่บนทุ่งนั่นแล้วปล่อยเวลาให้ลอยผ่านไปอย่างเมฆที่จับจ้อง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ คนต่างถิ่นที่บังเอิญเห็นผมของเขาเหมือนกับหญ้าเสียได้ ซ้ำร้ายยังขู่จะฆ่าเขาหากเขาไม่ยอมให้เธอรับผิดชอบกับรอยเท้าบนเส้นผม เขาไม่ได้กลัวเธอ(ผู้หญิงเนี้ยนะ) แต่ที่มายืนอยู่ตรงนี้เหตุผลเดียวคือถูกลากมาต่างหาก
“เอ้า! ยืนเซ่ออยู่ทำไม ลงไปสิ”
“-__-+ ลงไปก็เปียกนะสิ”
“หือ? มือใหม่หรอกหรือ”
“อะไร” เขาถามอย่างรำคาญ
“ก็นี่ไง”
เธอพูดก่อนจะก้าวเท้าลงน้ำ แต่แทนที่เธอจะจมลงไป เด็กสาวปริศนาจากซึนะกลับทรงตัวอยู่บนผิวน้ำหน้าตาเฉย เด็กหนุ่มทำตาโตอย่างทึ้งๆ
“นั่นมันอะไรอ่ะ?”
“หึหึ เรื่องอะไรจะบอก”
-__-* กวนโอ้ยซะไม่มี ถ้าไม่คิดจะบอกแต่แรกแล้วจะโชว์วิชาให้สงสัยทำไมวะ แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ
“ลงมาสักทีเถะ จะได้จบเรื่องสักที”
“คนที่ไม่ยอมจบมันเธอไม่ใช่รึไง”
“เน่!”
“จ้า จ้า ลงไปเดี๋ยวนี้แหละ”
น้ำเย็นๆราดรดลงมาจากหัวถึงเอว ไม่ใช่ว่าจากเอวลงไปจะรอดจากการเปียกอะไรหรอก แต่เพราะว่ามันแช่อยู่ใต้น้ำอยู่แล้วต่างหาก ในขณะที่เขาต้องยอมเปียกเพียงเพื่อความสบายใจของเธอ แต่เด็กสาวแปลกหน้ากลับนั่งอยู่บนผิวน้ำโดยไม่เปียกสักกะติ๊ด รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบอย่างรุนแรง=__=lll
“เธอมาสอบจูนินเหรอ” เขาถามทำลายความเงียบ
“ใช่ นายก็จะสอบใช่ไหม” เธอถามกลับพรางราดน้ำรดหัวเขาอีกหน
ชิกะมารุใช้มือลูบหน้าของตัวเองก่อนจะตอบ “ฉันไม่แน่ใจ”
“ยังงั้นหรือ”
แชมพูเย็นๆถูกชโลมทั่วผมเปียกลู่ของเขา เธอค่อยๆนวดอย่างเบามือแล้วจึงแรงขึ้นจนหนังหัวแทบหลุดติดมือเธอไป -__-**
“ไม่ต้องลงจะดีกว่า” จู่ๆเธอก็พูดขึ้น
เขาเลิกคิ้วสงสัย “ทำไมฉันถึงไม่ควรลงละ”
เด็กสาวเงียบไปชั่ววินาทีก่อนจะตอบ “ก็ฉันไม่อยากสู้กับคนที่ฉันเคยเหยียบผมนี่ มันพิลึกออก”
“คนที่พิลึกมันเธอต่างหาก เดินมาเหยียบผมกันเฉยเลย”
“-__-^^”
“โอ้ย!!! เบาๆหน่อยเซ่”
เธอหัวเราะคิกคักแต่ก็เบามือลง ชิกะมารุมองภาพสะท้อนของตัวเองในน้ำ เขาในตอนนี้ดูตลกจริงๆ
และถึงแม้หมู่บ้านซึนะและโคโนฮะจะเป็นพันธมิตรกัน แต่ความสัมพันธ์ก็หาได้ดีอย่างที่สร้างภาพไว้ไม่ เขาได้ยินเรื่องนี้จากพ่อบ่อยเสียจนมันติดฝั่งอยู่ในกะโหลกแล้ว แล้วไอ้ที่เธอบอกห้ามไม่ให้เขาลงสอบเพราะเหตุผลบ้าๆบอๆของเธอ บอกตามตรงว่าเขาไม่เชื่อ สังหรณ์ใจว่าจะมีอะไรมากมายกว่านั้น คล้ายกับเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างไว้
ชิ! น่าเบื่อชะมัด
“เอ้า! เสร็จแล้ว”
“ดีละ นึกว่าจะต้องอยู่อย่างนี้ถึงเย็นเสียอีก”
“-__-^^ ขอเหยียบอีกสักรอบเถอะ คราวนี้ขอเหยียบลงตรงปากนายแล้วกัน”
“=___=;;”
ชิกะมารุขึ้นจากลำธารพร้อมกับเธอ แต่ต่างกันเล็กน้อยถึงมากโขตรงที่ปริมาณน้ำบนเสื้อผ้า เธอก็ยังดูดีอย่างเดิม หากแต่เขากลับไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำแม้แต่น้อย
“กะอิแค่สระผม ฉันก็สระเองได้หรอก โธ่เอ้ย! แล้วคราวนี้จะทำไง เปียกไม่เหลือชิ้นดีเลย”
“เลิกบ่นเป็นตาแก่สักทีได้ไหม ยืนอยู่นิ่งๆตรงนั้นแหละ”
ฟังหล่อนพูดเข้าสิ ออกคำสั่งอย่างกับแม่ แล้วยังกล้าเรียกเราว่าตาแก่อีก เขามองตามร่างสูงของเด็กสาวอย่างไม่ใคร่พอใจเท่าใดนัก เธอรี่ตรงไปยังสัมภาระของตัวเองและกลับมาพร้อมกับพัดอภิมหามหึมา อลังการงานสร้างจริงๆ -__-+
“เฮยๆ ถ้าเธอคิดจะใช้เจ้านั่นทำให้เสื้อผ้าแห้งละก็ ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ ได้ปลิวกันพอดี”
“-__-+ นายพูดบ้าอะไรของนาย”
แต่พอเอาเข้าจริงๆ เขากลับยืนนิ่งไม่ไหวติงแถมเสื้อผ้าแห้งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเพราะเธอโบกพัดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คาถาอะไรไม่รู้ แต่มันก็เข้าท่าดีเหมือนกันแฮะ
“ฉันไปละ”
เด็กสาวพูดขึ้นกะทันหันหลังจากเก็บพัดเข้าที่ก่อนจะสาวเท้าเดินจากไป
ง่ายๆอย่างนั้นเชียว?
“เดี๋ยวก่อน!!! ฉันชื่อนารา ชิกะมารุ เธอชื่ออะไร!!??” เขาตระโกนถาม เด็กสาวหันกลับมายิ้มบางก่อนจะตอบ
“เทมาริ ฉันชื่อซาบาคุโนะ เทมาริ!!!”
t em
ความคิดเห็น