ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Crimson vampire (part1) ภาค สงครามอสูรชิงพิภพทมิฬ

    ลำดับตอนที่ #3 : Blade 2 : Unknow world ( up 100 %แล้วจ้า)

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 58




    มาใส่เพลงก่อน อีกสองอาทิตย์จะมาอัพตอนค่า




    Blade 2: Unknown world
     

    ลึกลงไป...

    ใต้ก้นบึ้งของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ถูกขนานนามว่า ทะเลดำ ...

    ส่วนที่เชื่อมต่อกับแคว้น ซาตาเนส ...


    หมู่ปลาน้อยใหญ่แห่งท้องทะเลต่างแหวกว่ายตามการดำรงชีพของมันที่ต้องกระทำเพื่อให้ตัวมันนั้นอยู่รอด...หาไม่แล้วมันจะเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแรงกว่า!!

     

    บาดาลใต้สมุทร...

    สถานที่...ที่ไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดได้ย่างกรายเข้าใกล้ และได้ชื่นชมความงดงามของมัน

    ผืนน้ำสีเขียวดั่งมรกตมิต้องใช้แสงแห่งดวงอาทิตย์มันก็ยังคงงดงาม...แสงระยิบระยับจากสิ่งที่ส่องประกายคล้ายดวงดาราแห่งท้องทะเล ความงามที่ราวกับเวทมนต์แสนอัศจรรย์...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่บนโลกแห่งนี้...โดยเฉพาะกับสถานที่ ว่ากันว่าอยู่ในส่วนลึกที่สุดของโลกนี้

     

    มนุษย์ทั่วไปอาจคิดเช่นนั้น...

     

    แต่มันไม่ใช่!!

     

    ความลึกที่สุดแห่งที่สุดไม่ใช่เพียงแค่นี้...ความลึกที่มองไม่เห็นแม้แสงของสิ่งใดๆ...ความลึกที่มีแต่ความมืดมิด...

    ใช่แล้ว...ลึกไปอีก...ลึกจนถึงอีกภพภูมิหนึ่ง!!

     

    เปลวไฟสีดำทะมึนกำลังลุกไหม้

    เหล่าปีศาจผู้มีรูปร่างทุรลักษณ์กำลังกรีดร้องโหยหวนกับความทรมานที่พวกมันได้รับ และต้องชดใช้ เป็นเวลานับหมื่นปี

     

    ที่นั่น...


    ไม่ว่าความมืดมิดและชั่วร้ายที่ว่ากันว่าเป็นที่สุดของโลกมนุษย์แล้วก็ยังไม่อาจเทียบเท่าหนึ่งในสิบส่วนของมันได้เลย

    ที่นั่นเป็นแดนทมึฬสำหรับมนุษย์...แต่ที่นั่น...คือสวนสวรรค์สำหรับพวกมัน...

    เหล่าปีศาจแห่งขุมนรกนี่!!


    ปราสาทใหญ่ยักษ์ทมึฬตั้งอยู่ใจกลางอาณาจักรนั้น...ยิ่งใหญ่กว่าของซาตาเนส...

    ความงามวิจิตรปนประหวั่นพรั่นพรึงหาที่สุดไม่ได้...งดงามและน่าหวาดกลัว...

    ความงามแห่งดินแดนมืด...ความงามที่ปีศาจต่างชื่นชอบ

     

    เสียงครึกครื้นดังเซ็งแซ่ออกมาจากปราสาท บ่งชัดว่า ภายในนั้นกำลังจัดงานสังสรรค์บางอย่าง...

    เพลิงสีม่วงที่แตกต่างเพลิงทมึฬด้านนอกตั้งอยู่ในกระถางอันใหญ่ที่ใจกลางของงาน

    ร่างทุกร่างนั้นแตกต่างจากเหล่าอสุรกายที่อยู่ด้านนอก


    ทุกร่างนั้นล้วนงดงามราวภาพวาดของเทพธิดา และเทพบุตร แต่ก็แฝงไปด้วยความน่ากลัวอย่างที่ปีศาจควรจะเป็น...ทั้งอาภรณ์ บรรยากาศของปราสาท อาหารที่คงไม่พ้นของคาวสดๆ รวมทั่งเลือด ทุกอย่างโอ่อ่า งามวิจิตร และมืดมน

     

    เหนืออื่นใดพลังความมืดที่แผ่ซ่านไปทั่วอาณาบริเวณ พร้อมสียงหัวเราะ และกลิ่นคาวเลือด

    กลิ่นคาวเลือดจากการกัดกินกันด้วยตัณหาและราคะ ของความเป็นปีศาจ!!

     

    ทุกท่าน...ข้าต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ขัดความสำราญของพวกท่าน...แต่ ขอเวลาสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่

     

    เสียงทุ้มเปี่ยมอำนาจนั้นดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงสง่าของบุรุษผู้หนึ่ง ที่ดูมีภูมิฐาน อำนาจ และความน่ายำเกรง ปรากฏตัวขึ้น ณ เก้าอี้หินอ่อนสีดำที่ดูน่าจะเป็นบัลลังก์  

     
    ทันทีที่ร่างของเขาผู้นั้นประจักษ์แก่ทุกสายตา...การกระทำต่างๆก็หยุดลง พร้อมกับที่เหล่าปีศาจพร้อมใจกันถวายความเคารพแด่ชายผู้นี้

     

    อีกไม่นาน...จักรวรรดิแห่งความมืดอันยิ่งใหญ่ที่สุดจะถือกำเนิดขึ้น...ภายใต้การนำของรัชทายาทแห่งข้า...ผู้เดียวที่จะสั่นคลอนสามพิภพ

     

    ทันทีที่เสียงนั้นกล่าวจบ เสียงฮือฮาและความชุลมุนก็เกิดขึ้น ก่อนที่บุคคลผู้หนึ่งจะเอ่ยขึ้นอย่างฉงน

     

    แต่ฝ่าบาท...รัชทายาทของพระองค์มีด้วยกันถึงสามคน...และตอนนี้ทั้งสามก็หาได้รักใคร่กลมเกลียวกันเช่นกาลก่อนไม่...หากเป็นเช่นนั้น ทั้งสามคงจะเข้าห้ำหั่นกันเป็นแน่แท้...สงครามของพวกเขาจะสร้างภัยพิบัติใหญ่หลวงแก่ผองเรา และลูกๆของพระองค์ทั้งหมด...เหนืออื่นใด อาจส่งผลต่อสามพิภพ...ไม่สิ อาจทำให้ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลสูญสิ้นเลยก็ได้นะพะยะค่ะ

     

    พลังของทั้งสามสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไม่ยากเย็นสักนิดนะยะค่ะ

     

     แล้วบุคคลอีกคนก็กล่าวสนับสนุนผู้พูดคนแรกเช่นกัน แม้ทุกคนจะมีสีหน้าเคร่งเครียด หวาดวิตก...แต่ผู้ฟังกลับเพียงแต่กระตุกรอยยิ้มเย็นๆขึ้นมาเท่านั้น

     

    หึ...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก...การต่อสู้ที่เดขึ้นเนี่ยเพื่อเฟ้นหา รัชทายาทที่เหมาะสมเพียงหนึ่งเดียวของข้า...ผู้ที่จะสามารถครอบครองสิ่งนั้น...และเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากข้า เป็นจักรพรรดิแห่งปีศาจทั้งมวล สร้างจักรวรรดิมืดอันแข็งแกร่ง เข้ายึดครองพิภพทั้งสาม!! ”

     

    แต่ทุกร่างก็ยังไม่อาจคลายกังวลในสิ่งที่บุรุษผู้เป็นราชา ของพวกเขานั้นคิดจะทำ...เพราะว่าสิ่งที่คนผู้นี้กระทำนั้น มันมักจะเกิดเหตุคาดไม่ถึงตามมาเสมอ!!

     

    ฝ่าบาท...ข้าพระองค์เกรงว่าเรื่องนี้อาจรู้ไปถึงพวกแรกนั่ม ...หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้าต้องไม่อยู่เฉยแน่...ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพระเจ้ารู้ว่า บุตรีของท่านเป็น...

     

    ดี!! ชายหนุ่มบนบัลลังก์เอ่ยขึ้นทันควัน ก่อนที่บุคคลผู้นั้นจะเอ่ยจบ

     

    ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า หากเหล่าบุตรีที่รักยิ่งแห่งพระเจ้า จะต้องตกเป็นของลูกๆข้า และหนึ่งในนั้น จะถูกสถาปนาให้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีเคียงข้ารัชทายาทแห่งข้าแล้วกุมอำนาจภิภพทั้งสามไว้ในมือ พระเจ้าจะทำหน้ายังไง!! ”

     

    เอ่ยเสร็จก็หัวเราะลั่น เสียงหัวเราะของตนผู้นั้นแทบทำให้อาณาจักรแห่งนี้สั่นสะเทือน

     

    นอกจากข้าจะมอบจักรพพรดินีที่เพียบพร้อมและอำนาจทุกอย่างแก่ลูกข้า....สิ่งนั้น ก็ยังถือเป็นของขวัญอีกชิ้นจากข้าที่จะมอบให้ผู้เป็นรัชทายาทแห่งข้าเช่นกัน  

     

    แต่ว่าลูกๆของเราก็ไม่เคยมีใครทำได้นี่เพคะ เสียงหวานใสหนึ่งเสียงดังขึ้นจากสตรีผู้หนึ่งที่อยู่เบื้องหลังบัลลังก์ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ดวงหน้างดงามประหนึ่งเทพธิดาลงมาจุติ หากแต่ โดยรอบตัวนางนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความมืดของปีศาจ

     

    การที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครอบครองมิใช่เพียงเอาชนะได้แล้วเท่านั้น...แต่ก็ต้องหาที่ซ่อนของสิ่งนั้น ให้เจอด้วย...ตลอดเวลาหลายหมื่นปี...ยังมิมีผู้ใดหามันพบเลยสักคน...แล้วฝ่าบาทมั่นใจได้อย่างไรว่าคราวนี้ หนึ่งในลูกๆของเราจะเป็นคนหามันเจอ


    ชายหนุ่มเพียงแต่ยิ้มเยือกเย็นออกมา ก่อนตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า

     

    อย่ากังวลไปเลยที่รักของข้า...ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามโชคชะตา...อำนาจแห่งสวรรค์ที่เราแสนชิงชังจะช่วยเขาหาสิ่งนั้นจนพบเอง

     

    ………………………………………

    อุ่นจัง...

    สัมผัสอันอบอุ่น ที่อยู่ตรงแก้ม ให้ความรู้สึกที่สบายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับอยู่บนสวรรค์

    มือเรียวพยายามไคว่คว้ามัน ทว่า สิ่งนั้นกลับยิ่งถอยห่างออกไปเรื่อยๆ...

     

    อือ... เสียงครางออกมาราวกับขัดใจ มือทั้งสองพยายามไคว่ขว้าความอบอุ่นยิ่งขึ้น...แต่สิ่งนั้นก็ยิ่งหนีห่างเข้าไปอีก

    ความหงุดหงิดเริ่มก่อขึ้นในใจ...ทำให้สติ และความยับยั้งชั่งใจนั้นขาดหายไป...มือทั้งสองก็ยื่นออกไป พร้อมกับที่ร่างของตนพุ่งกระโจนเข้าหาสิ่งนั้นอย่างแรง

     

    โครม!!

     

    แรงปะทะกับบางสิ่งที่หน้าผากนำพาความเจ็บปวดมาให้อย่างหลายแสน ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนที่ไม่อยากตื่นก็ต้องตื่นเต็มตาจนได้

    เปลือกตาค่อยๆปรือเปิดขึ้นอย่างช้าๆเผยให้เห็นดวงตาสีนิลกาฬที่มักส่อประกายระริกอยู่เป็นนิจ

    แต่ตอนนี้มันแฝงความงุนงง และ ความง่วงงุ่นเอาไว้ด้วย

     

    เราเป็นอะไรไปหว่า...

     

    คิดพลางหาวหวอด พร้อมกับที่ใช้มือข้างขวานั้นเกาหัวอย่างเคยชินเวลาตื่นนอน ก่อนที่จะยกมืออีกข้างมาช่วยกันสางผมตามปกติ

    ทว่า...ไม่อาจทำเช่นนั้นได้...

    เมื่อมือข้างซ้ายถูกยกขึ้นมาในแนวระดับกับหน้าตน ดวงตาสีดำก็ปะทะกับสิ่งนั้นเข้าอย่างจัง!!

    สิ่งนั้น เป็นก้อนขนปุกปุยสีขาวอ่อนนุ่มน่าทะนุถนอม...

    ใช่ มันคงน่าทะนุถนอมมาก...ถ้าไม่ใช่เพราะมันขยับได้...แล้วบริเวณที่คิดว่าเป็นลวดลายของมันนั้นกลับเปิดขึ้น ให้เห็นดวงตาสีแดงกลมโตใส ที่ดูน่ารักราวกับตุ๊กตา

    ไม่...นั่นยังน้อยไป เพราะที่คิดว่าน่ารักเหมือนตุ๊กตา นั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์!!

     บริเวณที่เคยคิดว่าเป็นลวดลายบริเวณใต้ดวงตาทั้งสองนั้น เปิดขึ้น เผยให้เขี้ยวยาวขาววาววับเรียงกันเป็นตับยิ่งกว่าฟันปลาฉลาม!!

     

    กรี๊ด~!!

     

    เสียงแหลมร้องลั่นพร้อมกับที่มือเรียวนั้นขว้างเจ้านั่นในมือให้ออกห่างไกลตัวให้มากที่สุด

    หญิงสาวหายใจหอบเหนื่อยอย่างตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อครู่

     

    เจ้าตัวเมื่อกี๊มันอะไรกัน!!

     

    เธอค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พร้อมกับขยับแว่นตาให้อยู่ในระดับพอดีสำหรับตน ไม่รู้เหตุอันใดเธอรู้สึกว่าตัวเธอหนักอึ้งเหลือเกิน และที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือบริเวณที่เธออยู่...

    ต้นไม้สูงใหญ่รูปร่างแปลกตาล้อมกรอบทั้งด้านหน้าและหลัง หันซ้ายหันขวา มีแต่ต้นไม้

    ไม่ต้องบอก...มันก็ป่าดีๆนี่เอง...มันดูสวยงามและน่าค้นหา อากาศก็บริสุทธิ์ นั่นเป็นเรื่องที่ดี

    แต่เรื่องที่ต้องมาอยู่กลางป่าทึบที่ไม่รู้จักเนี่ย! มันเป็นเรื่องที่รับม่ายด้ายยยยยยยยย!!

     

    มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย!! ” สาวน้อยนาม อิ๋ง กำลังอยู่ในอาการสติแตกเมื่อดันโผล่มาอยู่กลางป่าทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หากทบทวนดูดีๆแล้ว เธอกับพวกเพื่อนแสนแสบกำลังเข้าไปในห้องเก็บของนั่น แล้วก็เจอกระจกบานนั้นจากนั้น... ก็จำไม่ได้อีกเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้น

     

    จำได้ลางๆว่า...พอมองดวงตาของค้างคาวตัวนั้น...ทุกอย่างก็มืดไปหมด

     

    ดวงตากลมโตเพ่งมองไปโดยรอบอย่างใคร่ครวญ ป่านี้ไม่ใช่ป่าหลังโรงเรียนแน่ๆ ในโรงเรียนไม่น่าจะมีต้นไม้สูงชะลูดยิ่งกว่าเสาไฟฟ้าแบบนี้ มันสูง และใหญ่ เกินขนาดมาตรฐานทั่วๆไปของต้นไม้ที่ควรจะเป็นอย่างยิ่ง...นัยน์ตายังคงสำรวจต่อไปด้วยความใคร่ครวญปนกับความตระหนกที่ก่อตัวขึ้น ก่อนจะพบกับบางสิ่งที่สะดุดตา

    ร่างหกร่างยังคงหลับใหลไม่ได้สติ แต่ละคนมีสภาพที่ไม่จืดเลยสักนิด

    นัยน์ตากลมที่ว่าโตอยู่แล้วเบิกกว้างยิ่งขึ้นน่ากลัวว่ามันจะถลนออกมานอกเบ้า

    อิ๋งรีบรุดไปดูอาการของเพื่อนทั้งหมดของเธอที่นออกจากจะดูไม่จืดแล้วยังมีบาดแผลตามเนื้อตัว แถมเสื้อผ้าก็มอมแมมพอๆกับเธอในตอนนี้

     

    อิ๋งรีบรุดเข้าไปหาพร้อมกัยเขย่าตัวคนที่อยู่ใกล้ที่สุด

    โบตั๋น...โบตั๋น...ไอ้ป๋า! ตื่น ตื่น!! ” การเรียกชื่อจากปกติเพิ่มเป็นเสียงดังยิ่งขึ้นเมื่อไอ้คนตรงหน้ามันไม่ตื่น พร้อมกับตบที่แก้มเบาๆสองสามที ซักพัก ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นสีดำก็ปรือเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เป็นวินาทีเดียวกับที่คนมาปลุกถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

    อิ๋ง...แก...ที่นี่ ที่ไหน สาวแมนถามพร้อมกับพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างช้าๆ

     

    ฉันก็ไม่รู้...พอตื่นขึ้นมาก็อยู่นี่กันหมดแล้ว...ก่อนอื่นช่วยปลุกเจ้าพวกนั้นก่อนเถอะ

    ว่าเสร็จก็เดินไปปลุกกัญ ขวัญ และ แพรว ที่อยู่ห่างออกไป ส่วนโบตั๋นก็ไปปลุก ฟ้า กับ ชมพู่

     

    เฮ้ยๆ เป็นอะไรกันรึเปล่า...ตื่นได้แล้ว เขย่าตัวเพียงไม่นานทั้งสามก็ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย

     

    ...แสดงว่า หลับได้ที่ แบบไม่เจ็บแผลเลยสินะเนี่ย...

     

    ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเล็กๆ...แต่ช่างเหอะพวกมันไม่เป็นไรมากก็ดีแล้วล่ะ...

     

    อิ๋ง...พวกเราเป็นอะไรไปอ่ะ... ขวัญถามขึ้นทั้งที่ยังเบลอๆ พร้อมกับขยี้ตาไปมา ผู้ถูกถามเพียงแต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

     

    ว่าแต่...แกไม่เป็นไรมากใช่มั้ย! ” สาวผมหยิกนาม กัญ เอ่ยถามขึ้นบ้างทำเอาคนถูกถามประหลาดใจที่จู่ๆก็ถามแปลกๆกับตน

     

    อย่าทำหน้าเหลอหลานะโว้ย!! เมื่อกี๊ตอนอยู่ที่หอคอยนั่นน่ะ แกเป็นอะไรก็ไม่รู้ ท่าทางอย่างกับถูกอะไรเข้าสิง แถมพูดภาษาประหลาดๆที่เขียนอยู่บนกระจกอีก ทันทีที่ได้ฟังเช่นนั้นสาวเจ้าผู้ถูกกล่าวหาถึงกับอึ้งกิมกี่ ความเงียบเข้าปกคลุม พร้อมกับที่ภาพบางอย่างกำลังปรากฏแจ่มชัดในมโนสำนึก...เหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาเมื่อไม่นาน...เธอสบตากับดวงตาของรูปปั้นค้างคาวนั่น...แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ความมืด...แต่ว่า...กลับมีภาพบางอย่างกำลังแทรกเข้ามา...ตัวเธอกำลังยื่นมือไปสัมผัสกระจก...เบื้องหลังคือเพื่อนๆ...ดวงตาสีดำเบิกกว้างเมื่อนั่นเป็นตัวเธอ ที่ไม่ใช่ตัวเธอ!!

     

    แปล๊บ~!!

     

    ความเจ็บปวดพุ่งเข้าสู่สมองอย่างฉับพลัน รู้สึกร้าวไปทั้งหัวตลอดจนถึงสมอง...ราวกับสมองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

     

    เฮ้ย เป็นอะไรไปอ่ะ!! ” ขวัญรีบถลาเข้ามา เมื่อเห็นเพื่อนตนเองกำลังเอามือกุมศรีษะตนเอง ทำท่าราวกับจะจับไข้เสียอย่างนั้น

     

    ไม่เป็นไรหรอก...แค่มึนหัวนิดหน่อยน่ะ เด็กสาวตอบพลางยิ้มแหยๆให้ แต่ก็ยังมิอาจทำให้เพื่อนอีกสามคนนั้นอดเป็นห่วงไปได้...ส่วนเจ้าตัวก็คิดไม่ตกว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้บ่อยนัก...หากคิดดีๆก็หลังจากที่เธอเห็นกระจกนั่นจากรูปถ่ายของชมพู่

    พลัน! ความคิดก็หวนกลับไปนึกถึงความฝันก่อนหน้านั้น...บุรุษผู้สง่างาม และน่ากลัวในความฝันลึกลับนั่น

     

    ผู้ชายคนนั้น...เป็นใครกันนะ...

     

    ไอ้ขี้เซาสองตัวตื่นได้แล้ว!! ” เสียงโบตั๋นดังมากขึ้นจนเกือบก้องทั้งป่า ด้วยเหตุที่ว่า สองตัวดีที่เธอต้องทำหน้าที่ไปปลุกนั้นยังไม่มีทีท่าจะตื่น...หลังจากที่ตะโกนเป็นสิบรอบ

    ยัยขี้เซาทั้งสองทำท่าบิดไปบิดมาอย่างดื้อดึงราวกับไม่อยากจะตื่นขึ้นมา คนหนึ่งนอนกรนคร่อกๆ ไม่สนใจใคร อ้าปากค้าง น่ากลัวว่าจะมีแมลงบินเข้าไปทำรังในช่องปากของคุณเธอ

    อีกคน...ไม่ได้กรนแต่หมุนตัวไปมาจนน่าเวียนหัว...ในอ้อมแขนทั้งสองข้างกอดบางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นสีน้ำตาลไว้แน่น ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่า ในนั้นบรรจุของสุดรักสุดหวงของมันเอาไว้

     

    โบตั๋นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะใช้มาตรการเด็ดที่ตกทอดจากทวด สู่ทวด สู่ทวด และสู่ทวด ของตระกูลมัน นับตั้งแต่โบราณกาล

     

    ซ่าาา!!

     

    หนาว หนาว โว๊ยยยยยยย!! ” เป็นชมพู่คนแรกที่ส่งเสียงกึกก้องสะท้านปฐพี จนป่ารอบข้างสั่นสะเทือน ก่อนจะตามมาด้วยฟ้าที่โวยวายน้อยกว่าหน่อยนึง ร่างสองร่างเปียกโชกหันซ้ายหันขวา ก่อนจะเจอ เฮียป๋าของเรายืนเก๊กหล่อ ส่งยิ้มยิงฟันมาให้พร้อมกับที่ในมือมีขวดน้ำพลาสติก ว่างเปล่าหันคว่ำลงไป เป็นตัวบ่งชี้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    ไง เย็นชื่นช่ำอุราดีไหมเพื่อน...ถือว่าล้างหน้าล้างตาหลังจากนอนกินบ้านกินเมืองไงล่ะจ๊ะ

    สาวอวบนามชมพู่กับ ยัยผอมแห้ง ฟ้า มองหน้าเจ้าตัวคนทำราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันไปเอาน้ำมาจากไหน?

    แล้วความคิดบางอย่างก็เข้าสู่สมอง มือเรียวของฟ้าคว้ากระเป๋าใบโปรดที่ติดตัวมาด้วย มารือค้นอย่างรีบร้อน ยิ่งค้นมาขึ้นเท่าไหร่เท่าไหร่ ก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการหา ดวงหน้าสวยเริ่มซีดลงเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนไปแดงขึ้นตามอารมณ์ที่ขุ่นมัวของตน

    ไอ้ป๋า...น้ำนั่น...แกเอามาจากไหน เสียงเย็นเยียบถามขึ้น

     

    ก็จากกระเป๋าแกน่ะสิ...แล้วจะเอาจากไหนล่ะ ตอบกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง

     

    งั้นแก...ก็คงเห็นของในกระเป๋า แล้วสินะ น้ำเสียงค่อยๆเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆจนคนรอบข้างอีกห้าคนรู้สึกได้...โบตั๋นเองก็รู้ดี แต่อารมณ์อยากแกล้งกลับมีมากกว่า

     

    อ๋อ~!! หมายถึงไอ้ของนั่นใช่มะ...แกจะเอามาทำไมว่ะตั้งหลายเล่ม พูดตอบอย่างไม่สะทกสะท้านทำให้เหล่าผู้ฟังได้แต่บริภาษมันในใจ เมื่อรอบด้านฟ้าเต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุ อย่างที่นานๆครั้งจะมีซักที

    ...ไอ้ป๋า นรกจะถามหาแก ยังไม่รู้ตัวอีกเรอะ!!...

     

    น่า น่า เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังก่อน...ตอนนี้มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าเราอยู่ที่ไหน และจะออกจากที่นี่ยังไงกันดี แพรวสาวหวานประจำกลุ่มรีบเข้าไปไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นสถานการณ์ชักจะเริ่มออกลางหายนะ ซึ่งฟ้าก็เป็นคมที่มีพื้นฐานเยือกเย็นพอจะมีเหตุผลได้ แต่ไม่วายยังส่งสายตาแปล๊บปล๊าบ ราวแสงเลเซอร์ไปทางเฮียป๋าซึ่งยิ้มยั่วตอบกลับไป ราวกับจะบอกว่า...ฝากไว้ก่อนเหอะ...

     


    สรุปว่าพวกเราเจ็ดคน มาติดอยู่กลางป่าลึกลับนี่สินะ ขวัญเป็นคนพูดสรุปจากสถานที่รอบตน และคำกล่าวของอิ๋งในบางส่วน ตอนนี้ทั้งเจ็ดมาหาที่นั่งพักกันตรงโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ไม่ไกลออกไปนัก บรรยากาศอันเงียบเชียบ และเสียงของสัตว์ป่าประหลาดๆที่ส่งออกมาบ่อยครั้งสร้างความขนหัวลุก และตื่นตระหนกแก่พวกเธอได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    ดูท่าว่าจะไม่ใช่ป่าหลังโรงเรียนด้วยสินะ...ดูจากต้นไม้ ก็พอเดาออกได้อยู่แล้ว กัญพูดขึ้น เธอมองไปรอบข้างอย่างสำรวจ ต้นไม่สูงใหญ่เกินมาตรฐานต้นไม้ปกติ รูปร่างเป็นม้วนๆ ทรงประหลาด แบบที่ไม่เคยเห็น ตะไคร้น้ำก็เกาะตามโคนต้นไม้ทุกต้น พื้นดินก็ชื้นแฉะ บอกชักๆเลยว่าไม่ใช่ที่ที่มีคนหลายคนอาศัยอยู่ อย่างเช่นโรงเรียน ที่อย่างน้อยน่าจะเป็นทางเดินหินปูนที่เป็นระเบียบบ้าง เพราะว่าป่าด้านหลังของโรงเรียนวกเธอนั้นมีนานๆครั้งจะใช้เป็นสถานที่ในการเรียนการสอนด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะชื้นแฉะถึงขนาดนี้

     

    ถ้าไม่ใช่...แล้วเป็นที่ไหนล่ะ แพรวพูดบ้าง ถ้าไม่ใช่ป่าหลังโรงเรียนที่พวกเธออยู่แล้วที่นี่มันที่ไหนกันล่ะ ก็ในเมื่อไม่ได้ออกนอกตัวโรงเรียนซักหน่อย

     

    หรือว่า...เพราะกระจกอาถรรพ์นั่น ที่พาพวกเรามาสู่อีกโลกหนึ่ง!! ”

     

    ป๊าบ!!

    ยังไม่ทันที่เจ๊อวบสุดสวยของเราจะพูดจบ ฝ่ามืออรหันตร์ของขวัญก็จัดกาสำเร็จโทษเธอทันทีในข้อหาพูดจาเพ้อเจ้อ ชมพู่กุมหัวตัวเองอย่างเจ็บปวดด้วยว่าฝ่ามือของขวัญนั้นหนักยิ่งกว่าตะกั่วซะอีก

    ไอ้ขวัญ...แกทำอะไรของแกห๊าาา!! ”

     

    ก็แกอยากพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมาทำไมล่ะ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา และท่าทางไร้เยื่อใยตามแบบฉบับของตนเอง

     

    ก็แค่สมมติเฟ้ย!! เข้าใจไหม คำว่า สอ-สระออ-มอ-มอ-มอ-สระอุ-ตอ-สระอิ = สมมติ น่ะห๊า!! ”

    ชมพู่เริ่มสติแตกไปแล้วล่ะตัว

     

    การสมมติน่ะต้องมีหลักการและเหตุผลที่น่าเชื่อถือตามหลักความเป็นจริงที่เป็นไปได้ ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดแบบนี้ก็พูดขึ้นมาลอยๆซะงั้น ขวัญแถลงไขให้ต่อด้วยท่าทางนักวิชาการผู้รอบรู้ อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับอารมณ์เดือดของเพื่อนสาวตรงหน้า...และอีกอย่างสาเหตุหลักๆที่ทำให้พวกเรามาอยู่ที่นี่...ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นของคุณเธอไม่ใช่เรอะ

     

    แก...ยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะอิ๋ง กัญเริ่มหันไปถาม ดวงตากลมโตจ้องอีกฝ่ายเขม็งราวกับจะเค้นความจริงออกมาให้ได้ เรื่องที่หอคอยนั่นน่ะ

     

    สายตาที่จ้องมาทำเอาเธอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจจนต้องยอมแพ้เล่าความจริงเท่าที่รู้ไปในที่สุด แม้ว่ามันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อก็ตามเถอะ

     

    มาถึงแล้ว...เหล่าบุคคลที่จะผันเปลี่ยนโชคชะตาของสามโลก...                                     

    บุคคลจากชะตากกรม...เทพธิดาผู้กอบกู้ผองเราทั้งมวล... 


    คล้ายกับได้ยินเสียงบางอย่าง มาจากรอบข้าง ดวงตาสีดำใต้กรอบแว่นหันขวับไปตามต้นเสียงนั้น แต่ผลที่ออกมาก็คือ ภาพป่ารกทึบเช่นเดิม

    ...เดี๋ยวนี้ชักจะประสาทกินแล้วตู...คิดดังนั้นก็ส่ายหน้าเสียยกใหญ่ เพื่อย้ำเตือนตนเองว่าคิดมากไป เพราะเพื่อนคนอื่นๆของเธอไม่เห็นจะมีท่าทีเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเลย

    ว่าไงล่ะ กัญเริ่มเร่งรัดหาคำตอบเมื่อคนตรงหน้าไม่เอ่ยปากพูดซักที คนอื่นๆก็เริ่มจ้องเธอมาอย่างสงสัยปนใคร่รู้

     

    จะให้ชั้นพูดยังไงดีล่ะ...จำได้แค่รางๆว่า สบตากับรูปปั้นค้างคาวตรงกระจกนั่น ก็เหมือนกับทุกอย่างมันมืดไปหมดเลยล่ะ...รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่กลางป่าแบบนี้ซะแล้ว   ตอบอย่างไม่คิดปิดบังพร้อมกับทำหน้าจริงจังราวกับจะบอกว่าไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เหล่าคนฟังงงเสียยิ่งกว่างง...เรื่องบ้าๆแบบนี้ก็มีด้วย!!

     

    แกแน่ใจนะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ โบตั๋นพูดย้ำอีกครั้งซึ่งคนถูกถามก็พยักหน้าหงึกหงักแทน

     

    ไม่รู้ตัวเลยจริงๆเหรอว่าแกทำอะไรลงไปบ้างน่ะ ฟ้าพูดบ้าง

     

     อิ๋งจึงได้แต่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวตอบอย่างไม่มั่นใจ

    จะเรียกแบบนั้นก็ไม่เชิง...มันเหมือนกับรู้ตัว แต่ก็ไม่รู้ตัว...คือพอจะรู้ว่าตัวเองทำลงไป แต่...คนที่ลงมือทำนั่นไม่ใช่ฉัน...นั่นคือตัวฉัน แต่ความคิดน่ะไม่ใช่

    สีหน้าของคนฟังทุกคนทำเอาเธออย่างจะร้องไห้...พวกมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินมา...เหอ เหอ...ยิ่งอธิบาย พวกมันก็ยิ่งงง...เวรกรรม!!

     

    คือสรุปง่ายๆนะ...แกจะบอกว่า...เหมือนกับแกโดนอะไรเข้าสิงงั้นซิ... สาวแมนสรุปออกมาหลังจากฟังคำกล่าวนั้น...สุดปัญญาที่จะหาอะไรที่อธิบายง่ายๆให้พวกมันพอเข้าใจ ก็เออออห่อหมกไปละกัน...เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร

    แทนคำตอบก็มีเพียงการพยักหน้าช้าๆเท่านั้น

     

    มันต้องเป็นเพราะกระจกบ้าๆนั่นแน่!! ” กัญเสริมอย่างมั่นใจ ทำให้คนอื่นมองมาที่เธออย่างตะลึง...ปกติ บทแบบนี้มันต้องไอ้ชมพู่เป็นคนพูดไม่ใช่หรือ!?

     

    เออ เออ! จะเป็นอะไรก็แล้วแต่นะ ตอนนี้มาช่วยกันคิดหาทางออกจากที่นี่กันดีกว่า...รู้สึกว่ายิ่งอยู่นานไป จะยิ่งขนหัวลุกยังไงไม่รู้สิ แพรวกล่าวทำลายความเงียบพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่เกาะกระโปรงสีดำของเธออย่างหนาแน่นแรงๆ พอจะสลัดไปได้ส่วนหนึ่ง

     

    นั่นซิ...อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ อิ๋งพูดบ้างพร้อมกับลุกขึ้นปัดกระโปรงเสื้อเช่นกัน ไม่นานอีกห้าคนที่เหลือก็พร้อมใจกันลุกขึ้น สีหน้าทุกคนนั้นฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ก่อนที่เธอจะพูดกับทุกคนว่า


    พวกเรา...ไปกันเหอะ!! ”

     

     

    แฮ่ก แฮ่ก...


    เหล่าคณะเดินทางจำเป็นทั้งเจ็ดกำลังเหนื่อยหอบจนลิ้นห้อย หลังจาที่ติดแหงกในป่าพิลึกนี่ราวๆสองชั่วโมงเห็นจะได้...ป่าที่ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง....ราวกับกำลังเดินอยู่ในเขาวงกตที่ไร้จุดสิ้นสุด

    มองไปทางไหน ก็มีแต่ต้นไม้...ต้นไม้...และ ต้นไม้

     

    โว๊ย!มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย!! ” อิ๋งโวยลั่นหลังจาที่เดินเท้ามาจนขาแทบลาก น่าแปลกนักที่เธอจะเป็นคนโวยวายออกมา แต่มันจะไม่น่าแปลก หากคุณรู้ว่าเมื่อประมาณสามสิบนาทีก่อนหน้านั้น...ชมพู่กับขวัญได้เผด็จศึก( อย่าคิดลึก )กันไปก่อนแล้ว...อากาศที่ร้อนชื้นอบอ้าว และกลิ่นสาบสางของสัตว์ป่าที่ตอนแรกแทบไม่มี กลับยิ่งรุนแรงขึ้น จะมีใครทนเก็บอารมณ์อยู่ได้เล่า

    ที่สำคัญ...

     

    โครก~ 


    เสียงร้องอันไม่พึงประสงค์จากท้องของเหล่าคณะเดินทางที่ยิ่งเหี่ยวแห้งเมื่อได้ยิน

    นั่นก็คือปัญหาที่สำคัญ...พวกเธอยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มื้อเย็นวาน...แถมยังกระหายน้ำอย่างหนักจากการเสียเหงื่อให้กับอากาศร้อนชื้นแบบนี้ด้วย...แค่ยังเดินโทงๆแบบนี้ได้กว่าสองชั่วโมง ก็สุดยอดแล้ว

     

    ไอ้ฟ้าแกมีน้ำอีกหรือเปล่า เฮียป๋าถามเจ้าคนที่เดินตัวเหี่ยวสะพายกระเป๋าสีน้ำตาล ที่ดูแล้วน่ากลัวว่าน้ำหนักกระเป๋าจะฉุดคนสะพายให้ล้มโครมไปกับพื้น!!

    ฟ้าที่ถูกถามเช่นนั้นก็หันขวับมามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

    จะมีได้ไง!! ก็แกเอาไปสาดหมดขวดแล้วไม่ใช่เหรอ!! ”

     

    ...เออ...จริงของมัน...

    แล้วไอ้ที่ตุงๆ ในกระเป๋าแกน่ะ อย่าบอกนะว่าไม่มีอะไรที่พอจะกินได้เลย

     

    แทนคำตอบฟ้าก็เบนหน้ากลับมาแล้วทำหน้าเหมือนไปเหยียบอึที่ไหนมาแล้วล้างไม่ออก แถมไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย

     

    แล้วแกพกอะไรมาตั้งเยอะแยะว่ะ กัญอดที่จะสงสัยไม่ได้พร้อมกับกระชากกระเป๋าอีกฝ่ายมาตอนทีเผลอ...กว่าฟ้าจะรู้ตัว...ก็สายไปเสียแล้ว...

    มือของกัญเริ่มละเลงการค้นหาไปมาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้มองข้างใน...ก่อนจะสัมผัสกับบางสิ่งที่แข็งๆ เหลี่ยมๆได้ สองถึงสามอัน...สงสัยคงเป็นช็อคโกแลต ไม่ก็เวเฟอร์...ลาภปากตูละงานนี้...หึ หึ

    ว่าแล้วสาวผมหยิกก็จัดการหยิบสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นของกินนั้นขึ้นมา

    แทนที่จะเป็นช็อคโกแลตขนาดใหญ่ๆน่าหม่ำ...แทนที่จะเป็นเวเฟอร์กรอบๆชวนฝัน...

    กลับกลายเป็นหนังสือเล่มๆ หนึ่ง...ถ้าเป็นหนังสือธรรมดา ทุกคนคงไม่ตาเบิ่งค้างชนิดหุบไม่ลงเช่นนี้ แต่มันเป็นหนังสือที่สาวกลัทธิสีม่วง ชอบอ่านเป็นชีวิตจิตใจ เหมือนยาบำรุงกำลังชั้นเยี่ยม แถมหน้าปกของมันก็...อึ๋ย~>///< เห็นแล้วอายอ่ะ...ไม่ใช่ภาพโป๊หรอกนะ...แต่มันเป็นภาพที่ส่อๆนะ

    ( โปรดคิดกันเอาเอง... ) 

    กัญหน้าแดงแปร๊ด ก่อนจะรีบเก็บมันใส่กระเป๋า แล้วหยิบของที่เหลือขึ้นมา...แต่มันก็ เป็นแบบเดิมอีก อยู่ ห้าถึงหกครั้ง ในขณะที่หน้ากัญแดงขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าก็กำลังตัวสั่นหงึกๆ พยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้เต็มที่...มือเรียวของฟ้ากำแน่นขึ้น ออร่าสีแดงเริ่มปะทุออกมาทำเอาความเหนื่อยของคนอื่นอันตรธานหายไป...แทนที่ด้วยความรู้สึกอย่างอื่น

     

    กัญญญญญญญญญ!! ”  ฟ้าตะโกนลั่นพร้อมกับตะบึงตะบันกระทืบเท้าโครมๆ เข้าหากัญที่ตอนนี้ยังค้นของต่อไปแบบทองไม่รู้ร้อน

     

    นี่แกจะพกอะไรมาเยอะขนาดนี้ว่ะเนี่ย ยังคงพูดต่อไปแบบหน้าตายแต่ก็ยังมีคราบแดงๆนิดหลงเหลืออยู่เพราะพอจะรู้ดีว่านิสัยมันเป็นยังไงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

     

    ช่างหัวช้านนนน! ว่าแต่มารยาทแกน่ะมีมั้ยห~!! ” ฟ้าสติแตกแบบที่นานๆครั้งจะมีสักที อาจเป็นเพราะปัจจัยหลายๆอย่างทำให้มันควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้วล่ะมั้ง

    กัญทำหน้าเซ็งๆก่อนจะส่งกระเป๋าคืนให้แต่โดยดี ฟ้าก็รับมาพร้อมกับพ่นไฟออกมาไม่ยอมหยุดจนน่าตกใจที่มันเป็นได้ขนาดนี้

     

    แซ่ก แซ่ก!

     

    เสียงบางอย่างดังออกมาจากพุ่มไม่รอบข้างจนทำให้โบตั๋นเริ่มผิดสังเกต...ขณะเดียวกันเสียงของสัตว์จำพวกแมลง และนกก็เริ่มเงียบหายไปจนน่าสงสัย แต่กลับมีเสียงพุ่มไม้ไหวตัวแทนที่

    เสียงมันดังรัวและเร็ว คล้ายกับอะไรกำลังเคลื่อนผ่านบริเวณนี้...อะไรที่คล้ายกับเลื้อยผ่าน...ที่สำคัญดูจากเสียงขนาดของมันคงจะ...

    นอกจากโบตั๋นแล้ว ไม่มีใครสังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้เลยซักคน...เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องของยัยสองตัวที่ยังเคลียร์ไม่เสร็จเนี่ยแหละ

    ฟ้ายังไม่หยุดพ่นไฟ จนกัญที่ขอโทษขอโพยมันไปห้ารอบแล้วชักเอือมระอา...ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับฟ้าตรงๆ

    ก็บอกแล้วไงว่าขอ... เหมือนกับเสียงจะหายไปในลำคอ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ยกเว้นก็แต่ยัยคนที่นานๆทีจะปากมาก กำลังพ่นไฟไม่เสร็จ

     

    ยังไงก็ตามชั้นก็ไม่ยอมเด็ดขาดเฟ้ย! แกต้องชดใช้ @##$%%^&&*@$$%^&&... พ่นต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนๆที่เงียบไป พร้อมกับจ้องมาทางเธอด้วยสายตาประหลาด...

     

    เฮ้ย! ทำไมพวกแกเงียบไปอ่ะ เฮ้ เฮ้ นี่!! ”  ดูมัน...ทำหน้ายังกับเห็นผี...

    ด้วยความที่ว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี (?) หรือจะมีความหลงตัวเองอยู่ ( แต่ก็น้อยกว่าชมพู่ 555+ ) กันแน่ ทำให้เธอคิดว่าที่เจ้าพวกนั้นเงียบไปเป็นเพราะกลัวความโกรธของเธอ...

    หึ หึ เห็นฤทธิ์ท่านฟ้าผู้เป็นจ้าวแห่งความวายหรือยัง ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! ...

    คิดดังนั้น เจ้าตัวก็หัวเราะออกมาราวกับคนขาดสติ...หัวเริ่มเงยขึ้นมองด้านบนเรื่อยๆ ก่อนจะสบกับบางสิ่งที่เป็นสีเหลืองใสแจ๋ว และมีจุดรีๆสีดำข้างใน กำลังสะท้อนหน้าของเธออยู่

     

    ...O_O... ฟ้าเบิกตากว้างค้างอยู่ในท่านั้น ก่อนที่สีเหลืองใสๆนั้นจะกลอกไปมา ราวกับมีชีวิต รูวงรีสีดำยิ่งเพิ่มเนื้อที่มากขึ้น...นี่มัน ดวงตา!!

    แทนคำทักทางเจ้าของดวงตาก็แยกริมผีปากที่เต็มไปด้วยเกล็ดของมัน เผยให้เห็นเขี้ยวขาววาววับ สองซี่ คมกริบ...ลิ้นสองแฉกยาวออกมาอย่างน่าสยดสยอง...เห็นชัดๆว่ามันคือสิ่งที่เรียกว่า

    งู!!

     

    กรี๊ด~!!

     

    เสียงกรีดร้องดังระงมจนป่าสั่นสะเทือนอีกครั้ง...

    ทั้งหมดรีบเร่งฝีเท้ากันสุดชีวิตเพื่อหาทางเอาตัวรอด ความเหนื่อยที่มีมาก่อนราวกับหายเป็นปลิดทิ้ง...แต่เสียง และต้นไม้ที่ล้มระเนระนาดไล่ตามมาใกล้จากด้านหลังนั้นก็ทำให้หวั่นๆเหมือนกันว่ามันจะไม่รอด!!

    คุณพระช่วย!!  ที่เห็นนั่นมันงู ไม่ว่าจะเป็นลำตัวที่ยาว หรือเกล็ดสีเขียวมรกตเหลือบดำเป็นมันวาว แถมดวงตา เขี้ยว และลิ้นสองแฉกนั่นอีก..ดูยังไงก็งู

     แต่ว่า...ขนาดของมันดันใหญ่และยาวกว่ารถไฟฟ้าเนี่ยซิ...งูยักษ์...สัตว์ประหลาดชัดๆ!!


    งูบ้าอะไรเนี่ย ตัวโคตรยักษ์เลย!! ” ขวัญพูดด้วยเสียงตื่นๆ พร้อมกับเร่งฝีเท้ามากขึ้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่เร่งความเร็วไม่แพ้กัน...แหงล่ะถ้าช้าก็ถูกกินดิ

     

    อย่ามาถามซิฟระ!! ก็อยู่ด้วยกันจะไปตรัสรู้ได้ไงเล่า   ชมพู่ผู้เป็นคู่กัดคู่กันกับสาวเหนือนั้นตะโกนตอบไป

     

    ครืด~!! ครืด~!!

     

    รัศมีการพังทลายของต้นไม้ยักษ์เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมกับร่างของอสรพิษขนาดยักษ์ที่ไล่ตามมาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าขนาดตัวของมันจะทำได้เลย อสรพิษยักษ์อ้าปากขู่ฟ่อๆ เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมของมัน และน้ำใสๆข้นหนืดท่วมปากบ่งบอกถึงความกระหายเลือด เนื้อสดๆของเหยื่ออันเป็นอาหารชั้นโอชะของมัน!!

     

    ฟ่อ ฟ่อ!!

     

    เสียงของมันดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างของอสุรกายยักษ์เริ่มกระชั้นเข้ามา

    มันเคลื่อนไหวตัวเป็นทางคดเคี้ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วของมันให้มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

     

    ปึ๊ก!

    โอ๊ย!! ”

    โดยไม่ทันระวังถึงรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาเหนือดิน ร่างของแพรว ก็สะดุดแล้วล้มลงทันที

     

    แพรว! ” กัญและอิ๋งร้องขึ้นพร้อมกันก่อนจะเข้าไปช่วยพยุงสาวหน้าหวานขึ้นมา ทันทีที่พยุงตัวได้ แพรวก็ร้องออกมาทันที...นั่นก็ทำให้รู้ว่าเธอบาดเจ็บที่ขา...และคงเดินต่อไปเองไม่ได้

    แต่ถ้าไม่รีบ...

     

    ครืด~!! ครืด~!!

     

    เสียงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ...เรื่อยๆ...

    ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องวิ่งไปพร้อมกันทั้งสามคนแบบนี้แหละ!!

    ด้วยเหตุที่ขาเจ็บ ทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วได้มากนัก...แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังก็ยังคงตามมาติดๆ

    ยังไงก็ต้องออกวิ่งให้เร็วที่สุดแล้วตอนนี้!!

    ไม่ต้องห่วงชั้น พวกแกรีบออกวิ่งเลย...ชั้นอึดอยู่แล้ว แพรวพูดพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างจริงใจ และเด็ดเดี่ยว หวังไม่ให้เพื่อนอีกสองคนต้องกังวลเรื่องขาของเธอ

     

    งั้น...ไม่เกรงใจแล้วนะ...กัญไปโลด!! ” ไม่รอช้าอิ๋งก็บอกเพื่อนที่ช่วยพยุงอีกคนซึ่งพยักหน้ารับอย่างยินดี แล้วฝีเท้านักกรีฑาของกัญ กับนักกรีฑา (จำเป็น) อย่างอิ๋ง ก็เริ่มออกฤทธิ์ทันที

     

    แต่ว่า...

     

    ครืด~!! โครม!!

     

    มันก็ช้า...ไปเสียแล้ว...

     

    ต้นไม้ยักษ์ตรงหน้าล้มลงมาขวางเส้นทางของพวกเธอ ขนาดของมัน ทำให้ไร้ซึ่งหนทางจะหนีต่อไป ขณะเดียวกับที่...เจ้าอสุรกายยักษ์นั้น...มาอยู่ทางด้านหลังพอดิบพอดี

    ลมหายใจร้อนๆมีกลิ่นคาวสาบสางนั้นรดอยู่เหนือหัวพวกเธอที่กำลัง เบิกตาสีดำกว้าง...ตัวแข็งทื่อราวกับหินประติมากรรม...ดวงตาสีเหลืองที่มีนัยน์ตารีสีดำสะท้อนภาพของพวกเธอเด่นชัด มันวาววับไหวระริกอย่างปีติ เมื่อเห็นเหยื่ออันโอชะอยู่ตรงหน้า

     

    ไม่นะ...

     

    เสียงร่ำร้องในใจของทุกคนทันทีที่อสรพิษยักษ์อ้าปากกว้างส่งเสียงดังฟ่อๆ ราวกับมันเป็นผู้ชนะ ก่อนมันจะผงกหัวสูง และพุ่งตรงเข้ามาเขมือบพวกเธอทีเดียวพร้อมกัน!!

     
    jkjkjkjkjkjk

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×