คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Blade 2 : Unknow world ( up 100 %แล้วจ้า)
มาใส่เพลงก่อน อีกสองอาทิตย์จะมาอัพตอนค่า
Blade 2: Unknown world
ลึกลงไป...
ใต้ก้นบึ้งของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ถูกขนานนามว่า ทะเลดำ ...
ส่วนที่เชื่อมต่อกับแคว้น ซาตาเนส ...
หมู่ปลาน้อยใหญ่แห่งท้องทะเลต่างแหวกว่ายตามการดำรงชีพของมันที่ต้องกระทำเพื่อให้ตัวมันนั้นอยู่รอด...หาไม่แล้วมันจะเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแรงกว่า!!
บาดาลใต้สมุทร...
สถานที่...ที่ไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดได้ย่างกรายเข้าใกล้ และได้ชื่นชมความงดงามของมัน
ผืนน้ำสีเขียวดั่งมรกตมิต้องใช้แสงแห่งดวงอาทิตย์มันก็ยังคงงดงาม...แสงระยิบระยับจากสิ่งที่ส่องประกายคล้ายดวงดาราแห่งท้องทะเล ความงามที่ราวกับเวทมนต์แสนอัศจรรย์...ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่บนโลกแห่งนี้...โดยเฉพาะกับสถานที่ ว่ากันว่าอยู่ในส่วนลึกที่สุดของโลกนี้
มนุษย์ทั่วไปอาจคิดเช่นนั้น...
แต่มันไม่ใช่!!
ความลึกที่สุดแห่งที่สุดไม่ใช่เพียงแค่นี้...ความลึกที่มองไม่เห็นแม้แสงของสิ่งใดๆ...ความลึกที่มีแต่ความมืดมิด...
ใช่แล้ว...ลึกไปอีก...ลึกจนถึงอีกภพภูมิหนึ่ง!!
เปลวไฟสีดำทะมึนกำลังลุกไหม้
เหล่าปีศาจผู้มีรูปร่างทุรลักษณ์กำลังกรีดร้องโหยหวนกับความทรมานที่พวกมันได้รับ และต้องชดใช้ เป็นเวลานับหมื่นปี
ที่นั่น...
ไม่ว่าความมืดมิดและชั่วร้ายที่ว่ากันว่าเป็นที่สุดของโลกมนุษย์แล้วก็ยังไม่อาจเทียบเท่าหนึ่งในสิบส่วนของมันได้เลย
ที่นั่นเป็นแดนทมึฬสำหรับมนุษย์...แต่ที่นั่น...คือสวนสวรรค์สำหรับพวกมัน...
เหล่าปีศาจแห่งขุมนรกนี่!!
ปราสาทใหญ่ยักษ์ทมึฬตั้งอยู่ใจกลางอาณาจักรนั้น...ยิ่งใหญ่กว่าของซาตาเนส...
ความงามวิจิตรปนประหวั่นพรั่นพรึงหาที่สุดไม่ได้...งดงามและน่าหวาดกลัว...
ความงามแห่งดินแดนมืด...ความงามที่ปีศาจต่างชื่นชอบ
เสียงครึกครื้นดังเซ็งแซ่ออกมาจากปราสาท บ่งชัดว่า ภายในนั้นกำลังจัดงานสังสรรค์บางอย่าง...
เพลิงสีม่วงที่แตกต่างเพลิงทมึฬด้านนอกตั้งอยู่ในกระถางอันใหญ่ที่ใจกลางของงาน
ร่างทุกร่างนั้นแตกต่างจากเหล่าอสุรกายที่อยู่ด้านนอก
ทุกร่างนั้นล้วนงดงามราวภาพวาดของเทพธิดา และเทพบุตร แต่ก็แฝงไปด้วยความน่ากลัวอย่างที่ปีศาจควรจะเป็น...ทั้งอาภรณ์ บรรยากาศของปราสาท อาหารที่คงไม่พ้นของคาวสดๆ รวมทั่งเลือด ทุกอย่างโอ่อ่า งามวิจิตร และมืดมน
เหนืออื่นใดพลังความมืดที่แผ่ซ่านไปทั่วอาณาบริเวณ พร้อมสียงหัวเราะ และกลิ่นคาวเลือด
กลิ่นคาวเลือดจากการกัดกินกันด้วยตัณหาและราคะ ของความเป็นปีศาจ!!
“ ทุกท่าน...ข้าต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ขัดความสำราญของพวกท่าน...แต่ ขอเวลาสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่ ”
เสียงทุ้มเปี่ยมอำนาจนั้นดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงสง่าของบุรุษผู้หนึ่ง ที่ดูมีภูมิฐาน อำนาจ และความน่ายำเกรง ปรากฏตัวขึ้น ณ เก้าอี้หินอ่อนสีดำที่ดูน่าจะเป็นบัลลังก์
ทันทีที่ร่างของเขาผู้นั้นประจักษ์แก่ทุกสายตา...การกระทำต่างๆก็หยุดลง พร้อมกับที่เหล่าปีศาจพร้อมใจกันถวายความเคารพแด่ชายผู้นี้
“ อีกไม่นาน...จักรวรรดิแห่งความมืดอันยิ่งใหญ่ที่สุดจะถือกำเนิดขึ้น...ภายใต้การนำของรัชทายาทแห่งข้า...ผู้เดียวที่จะสั่นคลอนสามพิภพ ”
ทันทีที่เสียงนั้นกล่าวจบ เสียงฮือฮาและความชุลมุนก็เกิดขึ้น ก่อนที่บุคคลผู้หนึ่งจะเอ่ยขึ้นอย่างฉงน
“ แต่ฝ่าบาท...รัชทายาทของพระองค์มีด้วยกันถึงสามคน...และตอนนี้ทั้งสามก็หาได้รักใคร่กลมเกลียวกันเช่นกาลก่อนไม่...หากเป็นเช่นนั้น ทั้งสามคงจะเข้าห้ำหั่นกันเป็นแน่แท้...สงครามของพวกเขาจะสร้างภัยพิบัติใหญ่หลวงแก่ผองเรา และลูกๆของพระองค์ทั้งหมด...เหนืออื่นใด อาจส่งผลต่อสามพิภพ...ไม่สิ อาจทำให้ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลสูญสิ้นเลยก็ได้นะพะยะค่ะ ”
“ พลังของทั้งสามสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไม่ยากเย็นสักนิดนะยะค่ะ ”
แล้วบุคคลอีกคนก็กล่าวสนับสนุนผู้พูดคนแรกเช่นกัน แม้ทุกคนจะมีสีหน้าเคร่งเครียด หวาดวิตก...แต่ผู้ฟังกลับเพียงแต่กระตุกรอยยิ้มเย็นๆขึ้นมาเท่านั้น
“ หึ...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก...การต่อสู้ที่เดขึ้นเนี่ยเพื่อเฟ้นหา รัชทายาทที่เหมาะสมเพียงหนึ่งเดียวของข้า...ผู้ที่จะสามารถครอบครองสิ่งนั้น...และเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากข้า เป็นจักรพรรดิแห่งปีศาจทั้งมวล สร้างจักรวรรดิมืดอันแข็งแกร่ง เข้ายึดครองพิภพทั้งสาม!! ”
แต่ทุกร่างก็ยังไม่อาจคลายกังวลในสิ่งที่บุรุษผู้เป็นราชา ของพวกเขานั้นคิดจะทำ...เพราะว่าสิ่งที่คนผู้นี้กระทำนั้น มันมักจะเกิดเหตุคาดไม่ถึงตามมาเสมอ!!
“ ฝ่าบาท...ข้าพระองค์เกรงว่าเรื่องนี้อาจรู้ไปถึงพวกแรกนั่ม ...หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้าต้องไม่อยู่เฉยแน่...ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพระเจ้ารู้ว่า บุตรีของท่านเป็น...”
“ ดี!! ” ชายหนุ่มบนบัลลังก์เอ่ยขึ้นทันควัน ก่อนที่บุคคลผู้นั้นจะเอ่ยจบ
“ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า หากเหล่าบุตรีที่รักยิ่งแห่งพระเจ้า จะต้องตกเป็นของลูกๆข้า และหนึ่งในนั้น จะถูกสถาปนาให้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีเคียงข้ารัชทายาทแห่งข้าแล้วกุมอำนาจภิภพทั้งสามไว้ในมือ พระเจ้าจะทำหน้ายังไง!! ”
เอ่ยเสร็จก็หัวเราะลั่น เสียงหัวเราะของตนผู้นั้นแทบทำให้อาณาจักรแห่งนี้สั่นสะเทือน
“ นอกจากข้าจะมอบจักรพพรดินีที่เพียบพร้อมและอำนาจทุกอย่างแก่ลูกข้า....สิ่งนั้น ก็ยังถือเป็นของขวัญอีกชิ้นจากข้าที่จะมอบให้ผู้เป็นรัชทายาทแห่งข้าเช่นกัน ”
“ แต่ว่าลูกๆของเราก็ไม่เคยมีใครทำได้นี่เพคะ ” เสียงหวานใสหนึ่งเสียงดังขึ้นจากสตรีผู้หนึ่งที่อยู่เบื้องหลังบัลลังก์ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ดวงหน้างดงามประหนึ่งเทพธิดาลงมาจุติ หากแต่ โดยรอบตัวนางนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความมืดของปีศาจ
“ การที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาครอบครองมิใช่เพียงเอาชนะได้แล้วเท่านั้น...แต่ก็ต้องหาที่ซ่อนของสิ่งนั้น ให้เจอด้วย...ตลอดเวลาหลายหมื่นปี...ยังมิมีผู้ใดหามันพบเลยสักคน...แล้วฝ่าบาทมั่นใจได้อย่างไรว่าคราวนี้ หนึ่งในลูกๆของเราจะเป็นคนหามันเจอ ”
ชายหนุ่มเพียงแต่ยิ้มเยือกเย็นออกมา ก่อนตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่า
“ อย่ากังวลไปเลยที่รักของข้า...ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามโชคชะตา...อำนาจแห่งสวรรค์ที่เราแสนชิงชังจะช่วยเขาหาสิ่งนั้นจนพบเอง ”
………………………………………
อุ่นจัง...
สัมผัสอันอบอุ่น ที่อยู่ตรงแก้ม ให้ความรู้สึกที่สบายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับอยู่บนสวรรค์
มือเรียวพยายามไคว่คว้ามัน ทว่า สิ่งนั้นกลับยิ่งถอยห่างออกไปเรื่อยๆ...
“ อือ... ” เสียงครางออกมาราวกับขัดใจ มือทั้งสองพยายามไคว่ขว้าความอบอุ่นยิ่งขึ้น...แต่สิ่งนั้นก็ยิ่งหนีห่างเข้าไปอีก
ความหงุดหงิดเริ่มก่อขึ้นในใจ...ทำให้สติ และความยับยั้งชั่งใจนั้นขาดหายไป...มือทั้งสองก็ยื่นออกไป พร้อมกับที่ร่างของตนพุ่งกระโจนเข้าหาสิ่งนั้นอย่างแรง
โครม!!
แรงปะทะกับบางสิ่งที่หน้าผากนำพาความเจ็บปวดมาให้อย่างหลายแสน ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนที่ไม่อยากตื่นก็ต้องตื่นเต็มตาจนได้
เปลือกตาค่อยๆปรือเปิดขึ้นอย่างช้าๆเผยให้เห็นดวงตาสีนิลกาฬที่มักส่อประกายระริกอยู่เป็นนิจ
แต่ตอนนี้มันแฝงความงุนงง และ ความง่วงงุ่นเอาไว้ด้วย
เราเป็นอะไรไปหว่า...
คิดพลางหาวหวอด พร้อมกับที่ใช้มือข้างขวานั้นเกาหัวอย่างเคยชินเวลาตื่นนอน ก่อนที่จะยกมืออีกข้างมาช่วยกันสางผมตามปกติ
ทว่า...ไม่อาจทำเช่นนั้นได้...
เมื่อมือข้างซ้ายถูกยกขึ้นมาในแนวระดับกับหน้าตน ดวงตาสีดำก็ปะทะกับสิ่งนั้นเข้าอย่างจัง!!
สิ่งนั้น เป็นก้อนขนปุกปุยสีขาวอ่อนนุ่มน่าทะนุถนอม...
ใช่ มันคงน่าทะนุถนอมมาก...ถ้าไม่ใช่เพราะมันขยับได้...แล้วบริเวณที่คิดว่าเป็นลวดลายของมันนั้นกลับเปิดขึ้น ให้เห็นดวงตาสีแดงกลมโตใส ที่ดูน่ารักราวกับตุ๊กตา
ไม่...นั่นยังน้อยไป เพราะที่คิดว่าน่ารักเหมือนตุ๊กตา นั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์!!
บริเวณที่เคยคิดว่าเป็นลวดลายบริเวณใต้ดวงตาทั้งสองนั้น เปิดขึ้น เผยให้เขี้ยวยาวขาววาววับเรียงกันเป็นตับยิ่งกว่าฟันปลาฉลาม!!
กรี๊ด~ด!!
เสียงแหลมร้องลั่นพร้อมกับที่มือเรียวนั้นขว้างเจ้านั่นในมือให้ออกห่างไกลตัวให้มากที่สุด
หญิงสาวหายใจหอบเหนื่อยอย่างตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อครู่
เจ้าตัวเมื่อกี๊มันอะไรกัน!!
เธอค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พร้อมกับขยับแว่นตาให้อยู่ในระดับพอดีสำหรับตน ไม่รู้เหตุอันใดเธอรู้สึกว่าตัวเธอหนักอึ้งเหลือเกิน และที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือบริเวณที่เธออยู่...
ต้นไม้สูงใหญ่รูปร่างแปลกตาล้อมกรอบทั้งด้านหน้าและหลัง หันซ้ายหันขวา มีแต่ต้นไม้
ไม่ต้องบอก...มันก็ป่าดีๆนี่เอง...มันดูสวยงามและน่าค้นหา อากาศก็บริสุทธิ์ นั่นเป็นเรื่องที่ดี
แต่เรื่องที่ต้องมาอยู่กลางป่าทึบที่ไม่รู้จักเนี่ย! มันเป็นเรื่องที่รับม่ายด้ายยยยยยยยย!!
“ มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย!! ” สาวน้อยนาม อิ๋ง กำลังอยู่ในอาการสติแตกเมื่อดันโผล่มาอยู่กลางป่าทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หากทบทวนดูดีๆแล้ว เธอกับพวกเพื่อนแสนแสบกำลังเข้าไปในห้องเก็บของนั่น แล้วก็เจอกระจกบานนั้นจากนั้น... ก็จำไม่ได้อีกเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้น
จำได้ลางๆว่า...พอมองดวงตาของค้างคาวตัวนั้น...ทุกอย่างก็มืดไปหมด
ดวงตากลมโตเพ่งมองไปโดยรอบอย่างใคร่ครวญ ป่านี้ไม่ใช่ป่าหลังโรงเรียนแน่ๆ ในโรงเรียนไม่น่าจะมีต้นไม้สูงชะลูดยิ่งกว่าเสาไฟฟ้าแบบนี้ มันสูง และใหญ่ เกินขนาดมาตรฐานทั่วๆไปของต้นไม้ที่ควรจะเป็นอย่างยิ่ง...นัยน์ตายังคงสำรวจต่อไปด้วยความใคร่ครวญปนกับความตระหนกที่ก่อตัวขึ้น ก่อนจะพบกับบางสิ่งที่สะดุดตา
ร่างหกร่างยังคงหลับใหลไม่ได้สติ แต่ละคนมีสภาพที่ไม่จืดเลยสักนิด
นัยน์ตากลมที่ว่าโตอยู่แล้วเบิกกว้างยิ่งขึ้นน่ากลัวว่ามันจะถลนออกมานอกเบ้า
อิ๋งรีบรุดไปดูอาการของเพื่อนทั้งหมดของเธอที่นออกจากจะดูไม่จืดแล้วยังมีบาดแผลตามเนื้อตัว แถมเสื้อผ้าก็มอมแมมพอๆกับเธอในตอนนี้
อิ๋งรีบรุดเข้าไปหาพร้อมกัยเขย่าตัวคนที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ โบตั๋น...โบตั๋น...ไอ้ป๋า! ตื่น ตื่น!! ” การเรียกชื่อจากปกติเพิ่มเป็นเสียงดังยิ่งขึ้นเมื่อไอ้คนตรงหน้ามันไม่ตื่น พร้อมกับตบที่แก้มเบาๆสองสามที ซักพัก ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นสีดำก็ปรือเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เป็นวินาทีเดียวกับที่คนมาปลุกถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ อิ๋ง...แก...ที่นี่ ที่ไหน ” สาวแมนถามพร้อมกับพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างช้าๆ
“ ฉันก็ไม่รู้...พอตื่นขึ้นมาก็อยู่นี่กันหมดแล้ว...ก่อนอื่นช่วยปลุกเจ้าพวกนั้นก่อนเถอะ ”
ว่าเสร็จก็เดินไปปลุกกัญ ขวัญ และ แพรว ที่อยู่ห่างออกไป ส่วนโบตั๋นก็ไปปลุก ฟ้า กับ ชมพู่
“ เฮ้ยๆ เป็นอะไรกันรึเปล่า...ตื่นได้แล้ว ” เขย่าตัวเพียงไม่นานทั้งสามก็ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย
...แสดงว่า หลับได้ที่ แบบไม่เจ็บแผลเลยสินะเนี่ย...
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเล็กๆ...แต่ช่างเหอะพวกมันไม่เป็นไรมากก็ดีแล้วล่ะ...
“ อิ๋ง...พวกเราเป็นอะไรไปอ่ะ... ” ขวัญถามขึ้นทั้งที่ยังเบลอๆ พร้อมกับขยี้ตาไปมา ผู้ถูกถามเพียงแต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“ ว่าแต่...แกไม่เป็นไรมากใช่มั้ย! ” สาวผมหยิกนาม กัญ เอ่ยถามขึ้นบ้างทำเอาคนถูกถามประหลาดใจที่จู่ๆก็ถามแปลกๆกับตน
“ อย่าทำหน้าเหลอหลานะโว้ย!! เมื่อกี๊ตอนอยู่ที่หอคอยนั่นน่ะ แกเป็นอะไรก็ไม่รู้ ท่าทางอย่างกับถูกอะไรเข้าสิง แถมพูดภาษาประหลาดๆที่เขียนอยู่บนกระจกอีก ” ทันทีที่ได้ฟังเช่นนั้นสาวเจ้าผู้ถูกกล่าวหาถึงกับอึ้งกิมกี่ ความเงียบเข้าปกคลุม พร้อมกับที่ภาพบางอย่างกำลังปรากฏแจ่มชัดในมโนสำนึก...เหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาเมื่อไม่นาน...เธอสบตากับดวงตาของรูปปั้นค้างคาวนั่น...แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ความมืด...แต่ว่า...กลับมีภาพบางอย่างกำลังแทรกเข้ามา...ตัวเธอกำลังยื่นมือไปสัมผัสกระจก...เบื้องหลังคือเพื่อนๆ...ดวงตาสีดำเบิกกว้างเมื่อนั่นเป็นตัวเธอ ที่ไม่ใช่ตัวเธอ!!
แปล๊บ~บ!!
ความเจ็บปวดพุ่งเข้าสู่สมองอย่างฉับพลัน รู้สึกร้าวไปทั้งหัวตลอดจนถึงสมอง...ราวกับสมองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ เฮ้ย เป็นอะไรไปอ่ะ!! ” ขวัญรีบถลาเข้ามา เมื่อเห็นเพื่อนตนเองกำลังเอามือกุมศรีษะตนเอง ทำท่าราวกับจะจับไข้เสียอย่างนั้น
“ ไม่เป็นไรหรอก...แค่มึนหัวนิดหน่อยน่ะ ” เด็กสาวตอบพลางยิ้มแหยๆให้ แต่ก็ยังมิอาจทำให้เพื่อนอีกสามคนนั้นอดเป็นห่วงไปได้...ส่วนเจ้าตัวก็คิดไม่ตกว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้บ่อยนัก...หากคิดดีๆก็หลังจากที่เธอเห็นกระจกนั่นจากรูปถ่ายของชมพู่
พลัน! ความคิดก็หวนกลับไปนึกถึงความฝันก่อนหน้านั้น...บุรุษผู้สง่างาม และน่ากลัวในความฝันลึกลับนั่น
ผู้ชายคนนั้น...เป็นใครกันนะ...
“ ไอ้ขี้เซาสองตัวตื่นได้แล้ว!! ” เสียงโบตั๋นดังมากขึ้นจนเกือบก้องทั้งป่า ด้วยเหตุที่ว่า สองตัวดีที่เธอต้องทำหน้าที่ไปปลุกนั้นยังไม่มีทีท่าจะตื่น...หลังจากที่ตะโกนเป็นสิบรอบ
ยัยขี้เซาทั้งสองทำท่าบิดไปบิดมาอย่างดื้อดึงราวกับไม่อยากจะตื่นขึ้นมา คนหนึ่งนอนกรนคร่อกๆ ไม่สนใจใคร อ้าปากค้าง น่ากลัวว่าจะมีแมลงบินเข้าไปทำรังในช่องปากของคุณเธอ
อีกคน...ไม่ได้กรนแต่หมุนตัวไปมาจนน่าเวียนหัว...ในอ้อมแขนทั้งสองข้างกอดบางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นสีน้ำตาลไว้แน่น ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่า ในนั้นบรรจุของสุดรักสุดหวงของมันเอาไว้
โบตั๋นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะใช้มาตรการเด็ดที่ตกทอดจากทวด สู่ทวด สู่ทวด และสู่ทวด ของตระกูลมัน นับตั้งแต่โบราณกาล
ซ่าาา!!
“ หนาว หนาว โว๊ยยยยยยย!! ” เป็นชมพู่คนแรกที่ส่งเสียงกึกก้องสะท้านปฐพี จนป่ารอบข้างสั่นสะเทือน ก่อนจะตามมาด้วยฟ้าที่โวยวายน้อยกว่าหน่อยนึง ร่างสองร่างเปียกโชกหันซ้ายหันขวา ก่อนจะเจอ เฮียป๋าของเรายืนเก๊กหล่อ ส่งยิ้มยิงฟันมาให้พร้อมกับที่ในมือมีขวดน้ำพลาสติก ว่างเปล่าหันคว่ำลงไป เป็นตัวบ่งชี้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
“ ไง เย็นชื่นช่ำอุราดีไหมเพื่อน...ถือว่าล้างหน้าล้างตาหลังจากนอนกินบ้านกินเมืองไงล่ะจ๊ะ ”
สาวอวบนามชมพู่กับ ยัยผอมแห้ง ฟ้า มองหน้าเจ้าตัวคนทำราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันไปเอาน้ำมาจากไหน?
แล้วความคิดบางอย่างก็เข้าสู่สมอง มือเรียวของฟ้าคว้ากระเป๋าใบโปรดที่ติดตัวมาด้วย มารือค้นอย่างรีบร้อน ยิ่งค้นมาขึ้นเท่าไหร่เท่าไหร่ ก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการหา ดวงหน้าสวยเริ่มซีดลงเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนไปแดงขึ้นตามอารมณ์ที่ขุ่นมัวของตน
“ ไอ้ป๋า...น้ำนั่น...แกเอามาจากไหน ” เสียงเย็นเยียบถามขึ้น
“ ก็จากกระเป๋าแกน่ะสิ...แล้วจะเอาจากไหนล่ะ ” ตอบกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง
“ งั้นแก...ก็คงเห็นของในกระเป๋า แล้วสินะ ” น้ำเสียงค่อยๆเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆจนคนรอบข้างอีกห้าคนรู้สึกได้...โบตั๋นเองก็รู้ดี แต่อารมณ์อยากแกล้งกลับมีมากกว่า
“ อ๋อ~!! หมายถึงไอ้ของนั่นใช่มะ...แกจะเอามาทำไมว่ะตั้งหลายเล่ม ” พูดตอบอย่างไม่สะทกสะท้านทำให้เหล่าผู้ฟังได้แต่บริภาษมันในใจ เมื่อรอบด้านฟ้าเต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุ อย่างที่นานๆครั้งจะมีซักที
...ไอ้ป๋า นรกจะถามหาแก ยังไม่รู้ตัวอีกเรอะ!!...
“ น่า น่า เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังก่อน...ตอนนี้มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าเราอยู่ที่ไหน และจะออกจากที่นี่ยังไงกันดี ” แพรวสาวหวานประจำกลุ่มรีบเข้าไปไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นสถานการณ์ชักจะเริ่มออกลางหายนะ ซึ่งฟ้าก็เป็นคมที่มีพื้นฐานเยือกเย็นพอจะมีเหตุผลได้ แต่ไม่วายยังส่งสายตาแปล๊บปล๊าบ ราวแสงเลเซอร์ไปทางเฮียป๋าซึ่งยิ้มยั่วตอบกลับไป ราวกับจะบอกว่า...ฝากไว้ก่อนเหอะ...
“ สรุปว่าพวกเราเจ็ดคน มาติดอยู่กลางป่าลึกลับนี่สินะ ” ขวัญเป็นคนพูดสรุปจากสถานที่รอบตน และคำกล่าวของอิ๋งในบางส่วน ตอนนี้ทั้งเจ็ดมาหาที่นั่งพักกันตรงโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ไม่ไกลออกไปนัก บรรยากาศอันเงียบเชียบ และเสียงของสัตว์ป่าประหลาดๆที่ส่งออกมาบ่อยครั้งสร้างความขนหัวลุก และตื่นตระหนกแก่พวกเธอได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ ดูท่าว่าจะไม่ใช่ป่าหลังโรงเรียนด้วยสินะ...ดูจากต้นไม้ ก็พอเดาออกได้อยู่แล้ว ” กัญพูดขึ้น เธอมองไปรอบข้างอย่างสำรวจ ต้นไม่สูงใหญ่เกินมาตรฐานต้นไม้ปกติ รูปร่างเป็นม้วนๆ ทรงประหลาด แบบที่ไม่เคยเห็น ตะไคร้น้ำก็เกาะตามโคนต้นไม้ทุกต้น พื้นดินก็ชื้นแฉะ บอกชักๆเลยว่าไม่ใช่ที่ที่มีคนหลายคนอาศัยอยู่ อย่างเช่นโรงเรียน ที่อย่างน้อยน่าจะเป็นทางเดินหินปูนที่เป็นระเบียบบ้าง เพราะว่าป่าด้านหลังของโรงเรียนวกเธอนั้นมีนานๆครั้งจะใช้เป็นสถานที่ในการเรียนการสอนด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะชื้นแฉะถึงขนาดนี้
“ ถ้าไม่ใช่...แล้วเป็นที่ไหนล่ะ ” แพรวพูดบ้าง ถ้าไม่ใช่ป่าหลังโรงเรียนที่พวกเธออยู่แล้วที่นี่มันที่ไหนกันล่ะ ก็ในเมื่อไม่ได้ออกนอกตัวโรงเรียนซักหน่อย
“ หรือว่า...เพราะกระจกอาถรรพ์นั่น ที่พาพวกเรามาสู่อีกโลกหนึ่ง!! ”
ป๊าบ!!
ยังไม่ทันที่เจ๊อวบสุดสวยของเราจะพูดจบ ฝ่ามืออรหันตร์ของขวัญก็จัดกาสำเร็จโทษเธอทันทีในข้อหาพูดจาเพ้อเจ้อ ชมพู่กุมหัวตัวเองอย่างเจ็บปวดด้วยว่าฝ่ามือของขวัญนั้นหนักยิ่งกว่าตะกั่วซะอีก
“ ไอ้ขวัญ...แกทำอะไรของแกห๊าาา!! ”
“ ก็แกอยากพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมาทำไมล่ะ ” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา และท่าทางไร้เยื่อใยตามแบบฉบับของตนเอง
“ ก็แค่สมมติเฟ้ย!! เข้าใจไหม คำว่า ‘ สอ-สระออ-มอ-มอ-มอ-สระอุ-ตอ-สระอิ = สมมติ ’ น่ะห๊า!! ”
ชมพู่เริ่มสติแตกไปแล้วล่ะตัว
“ การสมมติน่ะต้องมีหลักการและเหตุผลที่น่าเชื่อถือตามหลักความเป็นจริงที่เป็นไปได้ ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดแบบนี้ก็พูดขึ้นมาลอยๆซะงั้น ” ขวัญแถลงไขให้ต่อด้วยท่าทางนักวิชาการผู้รอบรู้ อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับอารมณ์เดือดของเพื่อนสาวตรงหน้า...และอีกอย่างสาเหตุหลักๆที่ทำให้พวกเรามาอยู่ที่นี่...ก็เพราะความอยากรู้อยากเห็นของคุณเธอไม่ใช่เรอะ
“ แก...ยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะอิ๋ง ” กัญเริ่มหันไปถาม ดวงตากลมโตจ้องอีกฝ่ายเขม็งราวกับจะเค้นความจริงออกมาให้ได้ “ เรื่องที่หอคอยนั่นน่ะ ”
สายตาที่จ้องมาทำเอาเธอรู้สึกกระอักกระอ่วนใจจนต้องยอมแพ้เล่าความจริงเท่าที่รู้ไปในที่สุด แม้ว่ามันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อก็ตามเถอะ
“มาถึงแล้ว...เหล่าบุคคลที่จะผันเปลี่ยนโชคชะตาของสามโลก...
บุคคลจากชะตากกรม...เทพธิดาผู้กอบกู้ผองเราทั้งมวล... ”
คล้ายกับได้ยินเสียงบางอย่าง มาจากรอบข้าง ดวงตาสีดำใต้กรอบแว่นหันขวับไปตามต้นเสียงนั้น แต่ผลที่ออกมาก็คือ ภาพป่ารกทึบเช่นเดิม
...เดี๋ยวนี้ชักจะประสาทกินแล้วตู...คิดดังนั้นก็ส่ายหน้าเสียยกใหญ่ เพื่อย้ำเตือนตนเองว่าคิดมากไป เพราะเพื่อนคนอื่นๆของเธอไม่เห็นจะมีท่าทีเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเลย
“ ว่าไงล่ะ ” กัญเริ่มเร่งรัดหาคำตอบเมื่อคนตรงหน้าไม่เอ่ยปากพูดซักที คนอื่นๆก็เริ่มจ้องเธอมาอย่างสงสัยปนใคร่รู้
“ จะให้ชั้นพูดยังไงดีล่ะ...จำได้แค่รางๆว่า สบตากับรูปปั้นค้างคาวตรงกระจกนั่น ก็เหมือนกับทุกอย่างมันมืดไปหมดเลยล่ะ...รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่กลางป่าแบบนี้ซะแล้ว ” ตอบอย่างไม่คิดปิดบังพร้อมกับทำหน้าจริงจังราวกับจะบอกว่าไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เหล่าคนฟังงงเสียยิ่งกว่างง...เรื่องบ้าๆแบบนี้ก็มีด้วย!!
“ แกแน่ใจนะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ” โบตั๋นพูดย้ำอีกครั้งซึ่งคนถูกถามก็พยักหน้าหงึกหงักแทน
“ ไม่รู้ตัวเลยจริงๆเหรอว่าแกทำอะไรลงไปบ้างน่ะ ” ฟ้าพูดบ้าง
อิ๋งจึงได้แต่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวตอบอย่างไม่มั่นใจ
“ จะเรียกแบบนั้นก็ไม่เชิง...มันเหมือนกับรู้ตัว แต่ก็ไม่รู้ตัว...คือพอจะรู้ว่าตัวเองทำลงไป แต่...คนที่ลงมือทำนั่นไม่ใช่ฉัน...นั่นคือตัวฉัน แต่ความคิดน่ะไม่ใช่ ”
สีหน้าของคนฟังทุกคนทำเอาเธออย่างจะร้องไห้...พวกมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินมา...เหอ เหอ...ยิ่งอธิบาย พวกมันก็ยิ่งงง...เวรกรรม!!
“ คือสรุปง่ายๆนะ...แกจะบอกว่า...เหมือนกับแกโดนอะไรเข้าสิงงั้นซิ... ” สาวแมนสรุปออกมาหลังจากฟังคำกล่าวนั้น...สุดปัญญาที่จะหาอะไรที่อธิบายง่ายๆให้พวกมันพอเข้าใจ ก็เออออห่อหมกไปละกัน...เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร
แทนคำตอบก็มีเพียงการพยักหน้าช้าๆเท่านั้น
“ มันต้องเป็นเพราะกระจกบ้าๆนั่นแน่!! ” กัญเสริมอย่างมั่นใจ ทำให้คนอื่นมองมาที่เธออย่างตะลึง...ปกติ บทแบบนี้มันต้องไอ้ชมพู่เป็นคนพูดไม่ใช่หรือ!?
“ เออ เออ! จะเป็นอะไรก็แล้วแต่นะ ตอนนี้มาช่วยกันคิดหาทางออกจากที่นี่กันดีกว่า...รู้สึกว่ายิ่งอยู่นานไป จะยิ่งขนหัวลุกยังไงไม่รู้สิ ” แพรวกล่าวทำลายความเงียบพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นที่เกาะกระโปรงสีดำของเธออย่างหนาแน่นแรงๆ พอจะสลัดไปได้ส่วนหนึ่ง
“ นั่นซิ...อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ” อิ๋งพูดบ้างพร้อมกับลุกขึ้นปัดกระโปรงเสื้อเช่นกัน ไม่นานอีกห้าคนที่เหลือก็พร้อมใจกันลุกขึ้น สีหน้าทุกคนนั้นฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ก่อนที่เธอจะพูดกับทุกคนว่า
“ พวกเรา...ไปกันเหอะ!! ”
แฮ่ก แฮ่ก...
เหล่าคณะเดินทางจำเป็นทั้งเจ็ดกำลังเหนื่อยหอบจนลิ้นห้อย หลังจาที่ติดแหงกในป่าพิลึกนี่ราวๆสองชั่วโมงเห็นจะได้...ป่าที่ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง....ราวกับกำลังเดินอยู่ในเขาวงกตที่ไร้จุดสิ้นสุด
มองไปทางไหน ก็มีแต่ต้นไม้...ต้นไม้...และ ต้นไม้
“ โว๊ย!มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย!! ” อิ๋งโวยลั่นหลังจาที่เดินเท้ามาจนขาแทบลาก น่าแปลกนักที่เธอจะเป็นคนโวยวายออกมา แต่มันจะไม่น่าแปลก หากคุณรู้ว่าเมื่อประมาณสามสิบนาทีก่อนหน้านั้น...ชมพู่กับขวัญได้เผด็จศึก( อย่าคิดลึก )กันไปก่อนแล้ว...อากาศที่ร้อนชื้นอบอ้าว และกลิ่นสาบสางของสัตว์ป่าที่ตอนแรกแทบไม่มี กลับยิ่งรุนแรงขึ้น จะมีใครทนเก็บอารมณ์อยู่ได้เล่า
ที่สำคัญ...
โครก~ก
เสียงร้องอันไม่พึงประสงค์จากท้องของเหล่าคณะเดินทางที่ยิ่งเหี่ยวแห้งเมื่อได้ยิน
นั่นก็คือปัญหาที่สำคัญ...พวกเธอยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่มื้อเย็นวาน...แถมยังกระหายน้ำอย่างหนักจากการเสียเหงื่อให้กับอากาศร้อนชื้นแบบนี้ด้วย...แค่ยังเดินโทงๆแบบนี้ได้กว่าสองชั่วโมง ก็สุดยอดแล้ว
“ ไอ้ฟ้าแกมีน้ำอีกหรือเปล่า ” เฮียป๋าถามเจ้าคนที่เดินตัวเหี่ยวสะพายกระเป๋าสีน้ำตาล ที่ดูแล้วน่ากลัวว่าน้ำหนักกระเป๋าจะฉุดคนสะพายให้ล้มโครมไปกับพื้น!!
ฟ้าที่ถูกถามเช่นนั้นก็หันขวับมามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ จะมีได้ไง!! ก็แกเอาไปสาดหมดขวดแล้วไม่ใช่เหรอ!! ”
...เออ...จริงของมัน...
“ แล้วไอ้ที่ตุงๆ ในกระเป๋าแกน่ะ อย่าบอกนะว่าไม่มีอะไรที่พอจะกินได้เลย ”
แทนคำตอบฟ้าก็เบนหน้ากลับมาแล้วทำหน้าเหมือนไปเหยียบอึที่ไหนมาแล้วล้างไม่ออก แถมไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย
“ แล้วแกพกอะไรมาตั้งเยอะแยะว่ะ ” กัญอดที่จะสงสัยไม่ได้พร้อมกับกระชากกระเป๋าอีกฝ่ายมาตอนทีเผลอ...กว่าฟ้าจะรู้ตัว...ก็สายไปเสียแล้ว...
มือของกัญเริ่มละเลงการค้นหาไปมาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้มองข้างใน...ก่อนจะสัมผัสกับบางสิ่งที่แข็งๆ เหลี่ยมๆได้ สองถึงสามอัน...สงสัยคงเป็นช็อคโกแลต ไม่ก็เวเฟอร์...ลาภปากตูละงานนี้...หึ หึ
ว่าแล้วสาวผมหยิกก็จัดการหยิบสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นของกินนั้นขึ้นมา
แทนที่จะเป็นช็อคโกแลตขนาดใหญ่ๆน่าหม่ำ...แทนที่จะเป็นเวเฟอร์กรอบๆชวนฝัน...
กลับกลายเป็นหนังสือเล่มๆ หนึ่ง...ถ้าเป็นหนังสือธรรมดา ทุกคนคงไม่ตาเบิ่งค้างชนิดหุบไม่ลงเช่นนี้ แต่มันเป็นหนังสือที่สาวกลัทธิสีม่วง ชอบอ่านเป็นชีวิตจิตใจ เหมือนยาบำรุงกำลังชั้นเยี่ยม แถมหน้าปกของมันก็...อึ๋ย~ย >///< เห็นแล้วอายอ่ะ...ไม่ใช่ภาพโป๊หรอกนะ...แต่มันเป็นภาพที่ส่อๆนะ
( โปรดคิดกันเอาเอง... )
กัญหน้าแดงแปร๊ด ก่อนจะรีบเก็บมันใส่กระเป๋า แล้วหยิบของที่เหลือขึ้นมา...แต่มันก็ เป็นแบบเดิมอีก อยู่ ห้าถึงหกครั้ง ในขณะที่หน้ากัญแดงขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าก็กำลังตัวสั่นหงึกๆ พยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้เต็มที่...มือเรียวของฟ้ากำแน่นขึ้น ออร่าสีแดงเริ่มปะทุออกมาทำเอาความเหนื่อยของคนอื่นอันตรธานหายไป...แทนที่ด้วยความรู้สึกอย่างอื่น
“ กัญญญญญญญญญ!! ” ฟ้าตะโกนลั่นพร้อมกับตะบึงตะบันกระทืบเท้าโครมๆ เข้าหากัญที่ตอนนี้ยังค้นของต่อไปแบบทองไม่รู้ร้อน
“ นี่แกจะพกอะไรมาเยอะขนาดนี้ว่ะเนี่ย ” ยังคงพูดต่อไปแบบหน้าตายแต่ก็ยังมีคราบแดงๆนิดหลงเหลืออยู่เพราะพอจะรู้ดีว่านิสัยมันเป็นยังไงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
“ ช่างหัวช้านนนน! ว่าแต่มารยาทแกน่ะมีมั้ยห~า!! ” ฟ้าสติแตกแบบที่นานๆครั้งจะมีสักที อาจเป็นเพราะปัจจัยหลายๆอย่างทำให้มันควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้วล่ะมั้ง
กัญทำหน้าเซ็งๆก่อนจะส่งกระเป๋าคืนให้แต่โดยดี ฟ้าก็รับมาพร้อมกับพ่นไฟออกมาไม่ยอมหยุดจนน่าตกใจที่มันเป็นได้ขนาดนี้
แซ่ก แซ่ก!
เสียงบางอย่างดังออกมาจากพุ่มไม่รอบข้างจนทำให้โบตั๋นเริ่มผิดสังเกต...ขณะเดียวกันเสียงของสัตว์จำพวกแมลง และนกก็เริ่มเงียบหายไปจนน่าสงสัย แต่กลับมีเสียงพุ่มไม้ไหวตัวแทนที่
เสียงมันดังรัวและเร็ว คล้ายกับอะไรกำลังเคลื่อนผ่านบริเวณนี้...อะไรที่คล้ายกับเลื้อยผ่าน...ที่สำคัญดูจากเสียงขนาดของมันคงจะ...
นอกจากโบตั๋นแล้ว ไม่มีใครสังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้เลยซักคน...เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องของยัยสองตัวที่ยังเคลียร์ไม่เสร็จเนี่ยแหละ
ฟ้ายังไม่หยุดพ่นไฟ จนกัญที่ขอโทษขอโพยมันไปห้ารอบแล้วชักเอือมระอา...ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับฟ้าตรงๆ
“ ก็บอกแล้วไงว่าขอ... ” เหมือนกับเสียงจะหายไปในลำคอ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ยกเว้นก็แต่ยัยคนที่นานๆทีจะปากมาก กำลังพ่นไฟไม่เสร็จ
“ ยังไงก็ตามชั้นก็ไม่ยอมเด็ดขาดเฟ้ย! แกต้องชดใช้ @##$%%^&&*@$$%^&&... ” พ่นต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนๆที่เงียบไป พร้อมกับจ้องมาทางเธอด้วยสายตาประหลาด...
“ เฮ้ย! ทำไมพวกแกเงียบไปอ่ะ เฮ้ เฮ้ นี่!! ” ดูมัน...ทำหน้ายังกับเห็นผี...
ด้วยความที่ว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี (?) หรือจะมีความหลงตัวเองอยู่ ( แต่ก็น้อยกว่าชมพู่ 555+ ) กันแน่ ทำให้เธอคิดว่าที่เจ้าพวกนั้นเงียบไปเป็นเพราะกลัวความโกรธของเธอ...
หึ หึ เห็นฤทธิ์ท่านฟ้าผู้เป็นจ้าวแห่งความวายหรือยัง ฮ่า ฮ่า ฮ่า!! ...
คิดดังนั้น เจ้าตัวก็หัวเราะออกมาราวกับคนขาดสติ...หัวเริ่มเงยขึ้นมองด้านบนเรื่อยๆ ก่อนจะสบกับบางสิ่งที่เป็นสีเหลืองใสแจ๋ว และมีจุดรีๆสีดำข้างใน กำลังสะท้อนหน้าของเธออยู่
“ ...O_O... ” ฟ้าเบิกตากว้างค้างอยู่ในท่านั้น ก่อนที่สีเหลืองใสๆนั้นจะกลอกไปมา ราวกับมีชีวิต รูวงรีสีดำยิ่งเพิ่มเนื้อที่มากขึ้น...นี่มัน ดวงตา!!
แทนคำทักทางเจ้าของดวงตาก็แยกริมผีปากที่เต็มไปด้วยเกล็ดของมัน เผยให้เห็นเขี้ยวขาววาววับ สองซี่ คมกริบ...ลิ้นสองแฉกยาวออกมาอย่างน่าสยดสยอง...เห็นชัดๆว่ามันคือสิ่งที่เรียกว่า
งู!!
กรี๊ด~ด!!
เสียงกรีดร้องดังระงมจนป่าสั่นสะเทือนอีกครั้ง...
ทั้งหมดรีบเร่งฝีเท้ากันสุดชีวิตเพื่อหาทางเอาตัวรอด ความเหนื่อยที่มีมาก่อนราวกับหายเป็นปลิดทิ้ง...แต่เสียง และต้นไม้ที่ล้มระเนระนาดไล่ตามมาใกล้จากด้านหลังนั้นก็ทำให้หวั่นๆเหมือนกันว่ามันจะไม่รอด!!
คุณพระช่วย!! ที่เห็นนั่นมันงู ไม่ว่าจะเป็นลำตัวที่ยาว หรือเกล็ดสีเขียวมรกตเหลือบดำเป็นมันวาว แถมดวงตา เขี้ยว และลิ้นสองแฉกนั่นอีก..ดูยังไงก็งู
แต่ว่า...ขนาดของมันดันใหญ่และยาวกว่ารถไฟฟ้าเนี่ยซิ...งูยักษ์...สัตว์ประหลาดชัดๆ!!
“ งูบ้าอะไรเนี่ย ตัวโคตรยักษ์เลย!! ” ขวัญพูดด้วยเสียงตื่นๆ พร้อมกับเร่งฝีเท้ามากขึ้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่เร่งความเร็วไม่แพ้กัน...แหงล่ะถ้าช้าก็ถูกกินดิ
“ อย่ามาถามซิฟระ!! ก็อยู่ด้วยกันจะไปตรัสรู้ได้ไงเล่า ” ชมพู่ผู้เป็นคู่กัดคู่กันกับสาวเหนือนั้นตะโกนตอบไป
ครืด~ด!! ครืด~ด!!
รัศมีการพังทลายของต้นไม้ยักษ์เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมกับร่างของอสรพิษขนาดยักษ์ที่ไล่ตามมาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าขนาดตัวของมันจะทำได้เลย อสรพิษยักษ์อ้าปากขู่ฟ่อๆ เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมของมัน และน้ำใสๆข้นหนืดท่วมปากบ่งบอกถึงความกระหายเลือด เนื้อสดๆของเหยื่ออันเป็นอาหารชั้นโอชะของมัน!!
ฟ่อ ฟ่อ!!
เสียงของมันดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างของอสุรกายยักษ์เริ่มกระชั้นเข้ามา
มันเคลื่อนไหวตัวเป็นทางคดเคี้ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วของมันให้มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
ปึ๊ก!
“ โอ๊ย!! ”
โดยไม่ทันระวังถึงรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาเหนือดิน ร่างของแพรว ก็สะดุดแล้วล้มลงทันที
“ แพรว! ” กัญและอิ๋งร้องขึ้นพร้อมกันก่อนจะเข้าไปช่วยพยุงสาวหน้าหวานขึ้นมา ทันทีที่พยุงตัวได้ แพรวก็ร้องออกมาทันที...นั่นก็ทำให้รู้ว่าเธอบาดเจ็บที่ขา...และคงเดินต่อไปเองไม่ได้
แต่ถ้าไม่รีบ...
ครืด~ด!! ครืด~ด!!
เสียงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ...เรื่อยๆ...
ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องวิ่งไปพร้อมกันทั้งสามคนแบบนี้แหละ!!
ด้วยเหตุที่ขาเจ็บ ทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วได้มากนัก...แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังก็ยังคงตามมาติดๆ
ยังไงก็ต้องออกวิ่งให้เร็วที่สุดแล้วตอนนี้!!
“ ไม่ต้องห่วงชั้น พวกแกรีบออกวิ่งเลย...ชั้นอึดอยู่แล้ว ” แพรวพูดพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างจริงใจ และเด็ดเดี่ยว หวังไม่ให้เพื่อนอีกสองคนต้องกังวลเรื่องขาของเธอ
“ งั้น...ไม่เกรงใจแล้วนะ...กัญไปโลด!! ” ไม่รอช้าอิ๋งก็บอกเพื่อนที่ช่วยพยุงอีกคนซึ่งพยักหน้ารับอย่างยินดี แล้วฝีเท้านักกรีฑาของกัญ กับนักกรีฑา (จำเป็น) อย่างอิ๋ง ก็เริ่มออกฤทธิ์ทันที
แต่ว่า...
ครืด~ด!! โครม!!
มันก็ช้า...ไปเสียแล้ว...
ต้นไม้ยักษ์ตรงหน้าล้มลงมาขวางเส้นทางของพวกเธอ ขนาดของมัน ทำให้ไร้ซึ่งหนทางจะหนีต่อไป ขณะเดียวกับที่...เจ้าอสุรกายยักษ์นั้น...มาอยู่ทางด้านหลังพอดิบพอดี
ลมหายใจร้อนๆมีกลิ่นคาวสาบสางนั้นรดอยู่เหนือหัวพวกเธอที่กำลัง เบิกตาสีดำกว้าง...ตัวแข็งทื่อราวกับหินประติมากรรม...ดวงตาสีเหลืองที่มีนัยน์ตารีสีดำสะท้อนภาพของพวกเธอเด่นชัด มันวาววับไหวระริกอย่างปีติ เมื่อเห็นเหยื่ออันโอชะอยู่ตรงหน้า
ไม่นะ...
เสียงร่ำร้องในใจของทุกคนทันทีที่อสรพิษยักษ์อ้าปากกว้างส่งเสียงดังฟ่อๆ ราวกับมันเป็นผู้ชนะ ก่อนมันจะผงกหัวสูง และพุ่งตรงเข้ามาเขมือบพวกเธอทีเดียวพร้อมกัน!!
jkjkjkjkjkjk
ความคิดเห็น