คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Prologue เริ่มตำนาน
Prologue
ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
สถานที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตแสนหนาทึบ และ ความมืดมิด มีเพียงแสงจากจันทราสีเหลืองบนฟากฟ้าหลังม่านหมู่เมฆ ซึ่งพร้อมจะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานได้ทุกเมื่อ ความสว่างที่แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังคงสาดส่องให้กับยอดปราสาทสีดำทมึฬอันมโหฬารที่ถูกวิจิตรสรรสร้างด้วยศิลปกรรมของโกธิคอันทรงค่าของศตวรรษที่ 16
ภายในปราสาทนั้นมีแสงไฟสีแดงระเรื่อออกมาตามตำแหน่งต่างๆตลอดจนทางเดินที่ทอดยาวและห้องอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน
ทว่า....
มีเพียงห้องเดียวเท่านั้นซึ่งอยู่ ณ ชั้นใต้ดินของตัวปราสาท ที่มีแสงไฟอื่นเล็ดลอดออกมาด้วย
จากที่นั่น...บานประตูไม้สีโอ๊กที่สูงจรดเพดาน มีแสงสว่างอย่างอื่นนอกจากคบเพลิงที่โชติช่วงเล็ดลอดออกมา
แสงสีแดงและเขียวกำลังข่มรัศมีของกันและกันอย่างไม่มีฝ่ายใดยอมอ่อนข้อ
ตูมมม!!!
ลำแสงแปลบปลาบปะทะกันอย่างจัง ผลลัพธ์ของมันได้ส่งผลไปทั่วอาณาบริเวณ จนสรรพสิ่งตลอดจนพื้นดินภายในห้องกว้างซึ่งจัดไว้สำหรับการต่อสู้นั้นต้องแตกร้าว และลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
ชายหนุ่ม 2 คนยืนตระหง่าน ณ ใจกลางของพลังเหล่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็กำลังดิ้นรนคว้าชัยชนะให้มาเป็นของตน
“ ท่านไม่มีทางชนะข้าได้หรอก ” บุรุษคนหนึ่งพูดขึ้น ดวงหน้าคมคายนั้นระบายรอยยิ้มเมื่อคิดว่าตนจะเป็นผู้คว้าชัย พร้อมกับที่ดวงตาสีเขียวมรกตนั้นส่องประกายของความยินดี เรือนผมสีทองที่ยาวซอยถึงประบ่านั้น พลิ้วไหวไปตามแรงลมจากพลังรอบด้านที่อัดแน่นของฝ่ายตรงข้าม
“ เจ้าแน่ใจอย่างนั้นเหรอ ” เสียงทุ้มนุ่มนั้นเอ่ยขึ้น พร้อมกับที่ริมฝีปากบางได้รูปสวยนั้นระบายรอยยิ้มเหี้ยมแสนคมขึ้นมาอย่างเหยียดหยาม
มือเรียวสวยหากแข็งแกร่งกระชับดาบสีนิลเล่มยักษ์ไว้ให้มั่นรับคมดาบของอีกฝ่ายที่ฟาดฟันลงมา
ดูจากภายนอกเขาเสียเปรียบก็จริง แต่หารู้ไม่ว่า...เขารอช่วงเวลานี้อยู่นานแล้ว!!!
จังหวะที่ดาบยักษ์สีเงินฟาดฟันลงมาอีกเป็นรอบที่สอง ชายผมดำนั้นเอี้ยวตัวหลบด้วยความเร็วในชั่วพริบตา ทำให้ฝ่ายที่ฟาดฟันลงมานั้นได้แต่มึนงงทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเองที่ลำคอของเขาถูกล็อคจากด้านหลัง ด้วยความตกใจชายหนุ่มจึงหมายจะใช้ดาบของตนจัดการผู้อยู่เบื้องหลัง แต่...ช้าไปก้าวเดียวเพราะตอนนี้ แสงสะท้อนวิบวับจากคมดาบสีนิลนั้นอยู่ตรงลำตัวของเขาหมายจะฟันให้ขาดเป็นสองท่อนหากดิ้นรน
แทนที่เขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตื่นกลัว แต่เขากลับระบายยิ้มร่าออกมาให้กับอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังจ้องคอบด้วยแววตาเพชฌฆาต
“ ฮะ ฮะ ข้ายังสู้ท่านไม่ได้จริงๆท่านพี่ ” เสียงที่มักออกแววขี้เล่นเสมอนั้นตอบกลับมา ทำให้ชายผู้ได้เปรียบต้องละจากสายตาเพชฌฆาตและจิตสังหารมาเป็นความเอือมระอาแทน
“ หากเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแบบเมื่อครู่ เจ้ายังจะมาหัวเราะหน้าชื่นตาบานได้อีกอย่างนั้นเหรอ เอริค ...หากเมื่อครู่คนที่มีชัยเหนือเจ้านั้นไม่ใช่ข้า เจ้าคงได้ไปเฝ้าท่านลิลิธ กับท่านซาตานก่อนวัยอันควรเป็นแน่แท้” ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่ชายนั้นกล่าวอย่างเหนื่อยใจ กับการกระทำอันไม่ถูกกาลเทศะของผู้เป็นน้อง
“ แหม...คนที่เอาชนะข้าจนประชิดตัวได้...ในซาตาเนสแห่งนี้ ก็มีเพียงท่านพี่อารอนคนเดียวไม่ใช่หรือ...แล้วใยข้าจำต้องกลัวบุคคลอื่นนอกจากท่านพี่ด้วยเล่า ”
คำพูดที่อวดดีแบบไม่รู้ตัวนั้นเรียกเอาสายตาคมๆจาผู้พี่ได้มากโขที่เดียว
“ ในการต่อสู้ทุกครั้ง...ไม่ว่าจะกับใครก็ตามเจ้าก็ไม่ควรหยิ่งทระนงตนอันจะนำไปสู่ความประมาท และขัดต่อวิถีดาบของนักรบ...ที่สำคัญ คนที่จะเอาชีวิตเจ้าได้นั้นอาจมิได้มีข้าเพียงผู้เดียว...เหนือฟ้าย่อมมีฟ้าเสมอ ”
“ ขอร๊าบ ขอร๊าบ กระหม่อมเข้าใจในพระบรมราโชวาทของพระองค์แล้วองค์จักรพรรดิ ” คำสุภาพที่แสร้งล้อเลียนยศศักดิ์ของอีกฝ่ายทำเอาผู้ถูกล้อนั้นต้องปวดเศียรเวียนเกล้ารอบสองกับนิสัยเดิมๆของน้องชายที่ดูท่าจะไม่มีทางแก้ให้หายขาด
น่ากลุ้มแทนสตรีที่จะต้องมาลงเอยกับมัน และทนรับนิสัยกวนพระบาทของมันไปชั่วชีวิต!!!!
“ ท่านอารอน ท่านเอริค ” เสียงทุ้มนุ่มอีกเสียงดังขึ้นจนทำให้สองผู้อยู่ในห้องต้องหันไปมอง บุรษผู้มาใหม่นั้นมีรู้ร่างสูงโปร่ง แต่งชุดที่บ่งบอกถึงยศศักดิ์ของเสนาธิการชั้นผู้ใหญ่ เรือนผมสีเงินสลวยสะอาดตาถูกซอยเป็นทรงประบ่า ดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสนั้นฉายความเยือกเย็นออกมาจนผู้มองมันต้องเกรงกลัว แต่ว่าดวงตาคู่นั้นแหละที่เป็นเสน่ห์สามารถดึงดูดสตรีเพศไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ คาเลียส!! ”
“ มีอะไรเช่นนั้นหรือ ” เป็นอารอนนั่นเองที่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ
“ แม่มดแห่งรัตติกาล ต้องการพบตัวพวกท่านทั้งสอง และพวกข้าที่เหลือทั้งหมด 8 คน...ให้พวกเราทั้งหมดขึ้นไปพร้อมกัน...นางมีเรื่องสำคัญที่จะบอกให้ทราบ ” คำพูดนั้นทำผู้มีใบหน้าเรียบเฉยเป็นนิจยังต้องมุ่นคิ้วด้วยความสงสัยในการกระทำของบุคคลที่สามซึ่งถูกพาดพิงถึง
แม่มดเฒ่าเอรีส...นางมีเรื่องสำคัญอะไรกันแน่...ถึงต้องการพบตัวพร้อมกันถึง 10 คน
“ ได้...อีกสักพักข้ากับเอริคก็จะขึ้นไปบนยอดปราสาทเช่นกัน...คาเลียส เจ้าช่วยไปตาม ฮิวจ์ กับคนอื่นๆด้วยนะ ”
สิ้นคำกล่าวของบุรุษผมดำ...บุรุษผมเงินก็น้อมรับคำบัญชาทันที
“ ขอรับ....ข้าจะปฏิบัติตามที่ทรงบัญชา ”
ห้องมืดที่อยู่บนยอดปราสาทสูงเฉียดฟ้าอันมืดมิด...ไร้ซึ่งแสงและสรรพเสียงที่จะรบกวนบรรยากาศเงียบสงัดของความมืดมิด...จะว่าไม่มีแสงจนมองไม่เห็นนั้นก็กระไรอยู่...เพราะตรงกลางห้องนั้น แสงเรื่อๆจากคบเพลิงขนาดยักษ์กำลังทำหน้าที่เป็นดวงอาทิตย์ขนาดเล็กให้กับสถานที่นี้อยู่
ร่างสิบร่างยืนอยู่หน้ากระถางไฟมหึมานั้น ซึ่งตรงข้ามกับร่างๆหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าเบื้องหน้าพอดิบพอดี
ลูกแก้วกลมโตสีหม่นนั้นตั้งอยู่ มือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลานั้นลอยอยู่เหนือลูกแก้วนั้น
“ เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ...ชนเผ่าของเราจะต้องสูญไปจากพิภพแห่งนี้ ” เสียงทุ้มนุ่มแฝงกระแสความเยือกเย็นนั้นเอ่ยขึ้น สีหน้าของคนผู้นั้นบ่งบอกถึงความเคร่งเครียดอย่าชัดแจ้ง นัยน์ตาสีซัฟไฟร์นั้นมีแวววิตกปรากฏขึ้น
ผู้ที่นั่งอยู่นั้นหลับตาลง ดวงหน้าชราบัดนี้หม่นหมองไม่แพ้กัน
“ เป็นเรื่องจริงเพคะ...ไม่เพียงแต่ชนเผ่าของพวกท่าน แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจอื่นๆก็ยังต้องพินาศ...พวกยิปซีตลอดจนแม่มดและผู้ใช้เวทก็จะหายสาบสูญ...ไม่เหลือแม้แต่ลูกหลานให้สืบเผ่าพันธุ์ ”
“ แล้วมีทางแก้หรือไม่เอริส ” เป็นเอริค นั่นเองที่ถามขึ้นด้วยความร้อนรนก่อนที่บุรุษอีกคนข้างกายเขานั้นจะกล่าวเสริม ดวงตาสีเปลือกไม้นั้นมีแวววิตกไม่แพ้ร่างอื่นๆ ณ ที่นั่น
“ ถ้าหากพวกเราจัดการผนึกเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้เครือจักรภพของชนเผ่าเรา ให้กลายเป็นจักรวรรดิมืดที่ทรงอำนาจล่ะ ” ทว่า...หญิงชราผู้มีนามว่าเอริสนั้นกลับส่ายหน้าช้าๆเป็นการตอบ
“ นั่นคือสิ่งที่เราต้องกระทำเป็นแน่แท้...หากแต่พวกที่ทราบเรื่องนี้และมีแนวความคิดแบบเดียวกับท่านนั้นยังมีอีกหลายฝ่ายที่มีความเกรียงไกรไม่แพ้จักรวรรดิของพวกท่าน...ซึ่งบัดนี้พวกมันได้ร่วมมือกันแล้ว เป็นการยากเหลือเกินที่ฝ่ายท่านนั้นจะชนะ ”
เพียงคำตอบนั้น...บรรยากาศตึงเครียดก็หวนกลับมา ทุกร่างยังคงครุ่นคิดหาวิธีจนสุดกำลังสติปัญญาทั้งหมด
“ ข้าจะลองหาวิธีดูเองเพคะ ”
มือเหี่ยวย่นตามวัยของนางวางเหนือลูกแก้วอีกครั้ง เกิดแสงประหลาดสีขาวจางๆล้อมรอบตัวนางและลูกแก้วจนสิ้น ดวงตาฟ้าฟางจ้องลึกลงไป ก่อนจะเบิกกว้างด้วยความยินดี พลันเงยหน้ามองเหล่านายเหนือหัวของตน
“ ข้าว่าสิ่งนี้...อาจจะเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเราก็ได้เพคะ.... อีกไม่นานจะมีเหล่าบุคคลกลุ่มหนึ่งจะมาช่วยเหลือพวกท่าน... พวกนางจะสร้างปาฏิหาริย์แก่ผองเราและปีศาจทั้งมวล ”
“ พวกนางเป็นใคร และมาจากประเทศใดกัน ” คาเลียส กล่าวถามเสียงเรียบแต่แฝงความร้อนรนเอาไว้เช่นกัน
“ โอ...พวกนางเป็นเพียงกลุ่มเด็กสาววัยแรกรุ่นเพิ่งจะแย้มบานได้ไม่นานนี้เอง...ส่วนชื่อเสียงเรียงนามของพวกนางนั้นข้าไม่อาจทราบได้ ” เอริสตอบดวงตาของนางยังเป็นสมาธิมองลึกลงไปในลูกแก้วสีหม่นนั้นก่อนจะกล่าวขึ้นอีก “ 3 คนนั้นมาจากตอนเหนือของแถบบูคาเรสต์...ส่วนอีก 7 คนนั้นไม่ได้มาจากประเทศไหน...หากแต่มาจากที่ๆไกลแสนไกล ”
คำตอบอันกำกวมสร้างความฉงนให้กับทุกร่างยิ่งนัก
“ ที่ๆไกลแสนไกล...หมายความว่าอย่างไรกัน ” เสียงหนึ่งถามขึ้นดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยคำถาม
หญิงชราที่เห็นเช่นนั้นจึงยิ้มบางให้โดยที่มิได้หันมาสบตากับร่างอื่นๆเลย
“ เวลาเพคะ...พวกนางมาจากอนาคตที่ไกลแสนไกล ห่างจากช่วงเวลานี้เป็นเวลาหลายร้อยปี...ทั้งสิบคนนั้นมีดวงตาสีดำนิลกาฬที่ราวกับจะดึงดูดทุกสรรพสิ่ง...เรือนผมดำขลับเป็นประกายเช่นผืนน้ำ...รูปลักษณ์ภายนอกนั้นแม้จะดูธรรมดา แต่รูปลักษณ์ที่แท้จริงซึ่งแฝงเอาไว้นั้นช่างงดงามดุจเหล่านารีธิดาจากสรวงสวรรค์ลงมาจุติก็ไม่ปาน...มีความสามารถแตกต่างกันไป...ทว่า พวกนางทุกคนนั้นก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์แฝงเอาไว้เช่นกัน...และพลังนั้นจะเป็นตัวสร้างปาฏิหาริย์และเส้นทางรอดของผองเราขึ้นมา ”
เมื่อสิ้นคำตอบกลับบรรยากาศตึงเครียดก็เริ่มทุเลาลง...ความสบายใจส่วนหนึ่งเริ่มเข้ามาแทนที่
หากคนที่ถนัดวางมาดเงียบนั้นก็ยังคงเงียบต่อไป ทว่า ดวงตาสีซัฟไฟร์นั้นฉายแววยินดีอยู่ลึกๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงเยือกแข็งตามเอกลักษณ์ของตน
“ แล้วพวกข้าจะตามหาพวกนางได้เช่นไร ”
เอริสผละออกจากการเพ่งสมาธิในลูกแก้วทอดสายตามองไปยังเหล่าบุรุษวัยฉกรรจ์ที่ความจริงนั้นอายุมากกว่านางหลายชั่วอายุคน พลันรอยยิ้มก็ถูกวาดขึ้นบนใบหน้าชราของนางอีกครั้ง
“ ไม่จำเป็นหรอกเพคะ...เมื่อถึงเวลาอันควร พวกนางจะมาหาพวกท่านเอง ”
gjgjgjgjgjg
ความคิดเห็น